อเจลสูตร

อเจลสูตร

ผมกำลังศึกษาเกี่ยวกับจิตตคฤหบดี และมีสมมติฐานว่าท่านน่าจะเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่พระอนาคามีอย่างที่เขาว่ากัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามีฆราวาสเป็นพระอรหันต์ ซึ่งในส่วนตัวผมก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะเป้าหมายของพุทธนั้นเป็นเรื่องของการหลุดพ้นจากกิเลส ใครก็หลุดพ้นได้ถ้าปฏิบัติจนถึงผล

กลับมาในอเจลสูตร เป็นสูตรที่ผมประทับใจเมื่อได้อ่าน อเจลกัสสปซึ่งเป็นสหายเก่าของจิตตคฤหบดี ที่ไม่ได้เจอกันนาน ไปแสวงหาปฏิบัติธรรมตามที่ตนเข้าใจ

เมื่อจิตตคฤหบดีได้พบก็ทักทายกันทั่วไป สักพักก็เปิดบทสนทนาด้วย เนื้อความประมาณว่า ที่ท่านไปปฏิบัติกว่า 30 ปี นั้นได้มรรคผลอะไรบ้างล่ะ

อเจลกัสสปก็ตอบว่า ไม่ได้อะไรนอกจากเป็นชีเปลือย หัวโล้น สลัดฝุ่น…

ว่าแล้วอเจลกัสสปก็ถามกลับไปว่าแล้วท่านล่ะ จิตตคฤหบดี ก็ตอบไปว่า เราไม่มีกามแล้ว ไม่มีอกุศลแล้ว บรรลุฌาน ๔ พระพุทธเจ้าพยากรว่าท่านไม่มีสังโยชน์ใดที่จะเป็นเหตุให้กลับมายังโลก (โลกียะ) อีกแล้ว (ในส่วนตัวผม แค่เนื้อความตอนนี้ก็มากพอที่จะยืนยันว่าเป็นอรหันต์แล้ว)

ฟังแล้วอเจลกัสสปก็ประทับใจ เกิดอยากบวชขึ้นมาทันที จิตตคฤหบดีก็เลยพาไปพบกับหมู่สงฆ์จนได้บวชและปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ในที่สุด… จบสูตรนี้

…..ชอบสูตรนี้ตรงที่ว่า ๑. เป็นมิตรสหายที่ดีต่อกันแล้วพากันไปเจริญ ในสูตรนี้ไม่ได้มีการพูดข่มใดๆ เลย เพียงแค่รับฟังกันตามความเป็นจริง
๒. ถามกันตรงๆ ว่าปฏิบัติธรรมมานานแล้วมีมรรคผลอะไรนี่แหละ …. ในปัจจุบันยอมรับเลยว่า การจะไปถามใครแบบนี้เขาจะโกรธเอา แต่ในสูตรนี้นี่เพื่อนเก่าไม่ได้เจอกันมานานมาก เรียกว่าห่างไปนาน มาเจอกันก็ยังถามได้ ผมว่ามันดีนะ จริงๆก็อยากถามเหมือนกันว่า แบบที่คุณๆ ปฏิบัติกันอยู่มันมีมรรคผล มีความวิเศษ มีอะไรดีๆ เกิดขึ้น ในชีวิตบ้าง… บางทีก็อยากจะถามไปเหมือนกันว่า ไอ้ที่ปฏิบัติอยู่เนี่ย มันลด โลภ โกรธ หลงอย่างไร? ….แต่ก็คงยาก ไปถามใคร เขาก็คงไม่ชอบใจ 555 (เพราะจะถามเจาะไปเรื่อยๆ) สมัยนี้ก็คงยกไว้แค่คนที่ถือวิสาสะกันจริงๆ เท่านั้น มิตรสหายทั่วๆไป นี่ผมไม่กล้า…

อีกสูตรหนึ่งที่มีน้ำหนักคือ ปุตตสูตร มีเนื้อความประมาณว่า หญิงชาวพุทธวิงวอนขอให้ลูกตัวเองเป็นอย่างจิตตคฤหบดีและหัตถกอาฬวกอุบาสก แต่ถ้าจะบวชก็ให้เป็นอย่างพระโมคคัลลานะ,พระสารีบุตร *ขอให้ลูกจงอย่าเป็นเช่นพระเสขะผู้ยังไม่บรรลุอรหัตผล …. นั่นหมายถึงที่ยกมาก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นอรหันต์ทั้งหมด

ศิลปะในการให้ข้อมูลและวิจารณ์

จากกระทู้ : [อวยไส้แตกแหกไส้ฉีก] อาชีพนักท่องเที่ยว เรื่องงาน เรื่องเที่ยว เรื่องเดียวกัน เรื่องที่เขาไม่เคยบอกคุณ!!?

กระทู้นี้มีศิลปะในการให้ข้อมูลดีครับ ผมว่าแบบนี้ก็เนียนดี ว่าจะหัดอย่างเขาไว้หน่อย

แหม่… ถ้าเราจะแฉใครว่าเขาชั่วเขาไม่ดี ใครเขาจะไปฟัง มันต้องเนียนๆ ให้ข้อมูลกันไปให้คนเขาพิจารณาเอง คนมีปัญญาก็รู้ได้ คนไม่มีปัญญาก็ไม่รู้ บางทีบางเรื่องไปกระทบมันก็เสียหายมาก… จริงๆผมถนัดงานประเภทฟ้าผ่ามากกว่า แบบชี้ขยี้แหกไส้มาดูนี่เก่งนัก แต่ก็ยังไม่กล้าผ่าใคร กลัวเขาตาย…

ส่วนเรื่องในกระทู้นี้ก็เอาไว้ดูเป็นตัวอย่างนะครับ ท่องเที่ยวนี่มันก็เหยียบขาอยู่บนอบายมุขอยู่แล้ว คนปฏิบัติธรรมไม่ต้องไปหมกมุ่นกับมากเนาะ แต่เราก็ศึกษาคนอื่นเขาไป เพราะยุคนี้ท่องเที่ยวเขาแรง

ความเสื่อมสลายโดยรูปของศาสนา

ความเสื่อมสลายโดยรูปของศาสนา

อ่านเจอข่าวสถานที่ปฏิบัติธรรมลารุงการ์ในทิเบต กำลังถูกรื้อถอนและจำกัดจำนวนผู้พักอาศัยลดลงมากกว่าครึ่ง

ก็มานั่งคิดว่า ศาสนานี่มันต้องเสื่อมแน่ๆ แต่เพียงแค่มันเสื่อมโดยรูปเท่านั้น นามนั้นยังมีอยู่ แต่นามนั้นเป็นของจริงไม่จริงนั้นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องพุทธในทิเบตก็ยกไว้ก่อน เอาพุทธในไทยนี่แหละ

ช่วงก่อนหน้านี้ก็มีกระแสกล่าวหาว่าพุทธนั้นโดนศาสนาอื่นโจมตี ก็มานั่งนึกอีกว่า เขาจะมากล่าวหา โจมตี สอดไส้สร้างความเสื่อมเสียแล้วมันยังไงหรือ? ถ้าเนื้อแท้มันยังอยู่ มันต้องไปกังวลทำไมเล่า ปัญหาจริงๆ คือตอนนี้มันมีแต่หนังรึเปล่า เนื้อไม่มีแล้ว มีแต่เปลือกๆ มันเลยสั่นคลอน หวั่นไหวได้ง่าย

ประเด็นคือคนที่ไม่รู้จริงก็จะกลัวความเสื่อม วิตกกังวลกันไปใหญ่ ก็พากันขัดขืนบ้าง เร่งสร้างหลักฐานบ้าง ก็เห็นชาวพุทธไทยนี่ชอบสร้างหลักฐานในการมีอยู่ของพุทธกันเหลือเกิน จนมันค่อนไปทางอัตตาเสียมาก คือมีอะไรก็สร้างวัตถุเป็นหลัก ธรรมะก็เน้นวัตถุกันอีก จะส่งต่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานนี่เขาเน้นส่งแต่วัตถุกันนะ แต่จะไปว่าเขาก็ไม่ได้ ก็เขารู้เท่านั้น

ในส่วนตัวผมนะ ว่าจะไม่เน้นวัตถุเลย เอาข้างในให้มันได้จริงๆ ก่อนเถอะ ถึงวันนั้นจะมีวัดไม่มีวัด มีพระไม่มีพระ มีพระไตรปิฎกหรือไม่มี มันก็ไม่ได้สำคัญเท่าไหร่หรอก (จริงๆ มีก็ดี แต่ไม่มีก็ไม่เป็นไร)

อย่างตอนที่พระเถระท่านร่วมกันสร้างพระไตรปิฎกขึ้นมานี่ วัตถุมันไม่ได้มาก่อนนะ มันตามมาทีหลัง มันเป็นมรดกจากความสมบูรณ์ คือพระอรหันต์ 500 รูปมาร่วมกันสร้าง ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์นี่เข้าร่วมไม่ได้นะ

แต่ทุกวันนี้อรหันต์ไม่อรหันต์ไม่รู้แหละ ตะบี้ตะบันสร้างวัตถุกันไป วัดบ้าง ตำราบ้าง ก็เยอะแยะหลากหลาย พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้นะ ให้ทำคุณอันสมควรก่อน จึงพร่ำสอนผู้อื่นภายหลังจักไม่มัวหมอง..

ผมนั่งนึกถึงวันที่พุทธในไทยมันเสื่อมสลายเหมือนกันนะ คือรูปไม่เหลือเลย วัดก็เละเทะ พระก็เละเทะ แล้วมันจะยังไง นึกไปมันก็ไม่ได้ทุกข์อะไร เพราะมันต้องเป็นไปอย่างนั้นอยู่แล้ว และที่สำคัญพุทธก็ไม่ได้สืบทอดกันแบบนั้นเสียหน่อย ศาสนาในปัจจุบันจะเละอย่างไร คนที่มีภูมิเก่าเขาก็สืบทอดสิ่งที่เขามีเขาเป็นมาก่อน แล้วพัฒนาต่อยอดไปเรื่อยๆ พอมีจริงแล้วมันก็เลยไม่กังวลว่าพุทธจะเสื่อมสลายไป เพราะรู้ว่าตนเองนี่แหละมีความเป็นพุทธอยู่ ถึงเหลือคนเดียวในโลกก็ทำไปเท่าที่ทำได้ ตายไปก็เกิดมาศึกษาต่อไปจนกว่าจะหมดกิเลส

พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้อย่ารีบเชื่อ ทั้งตำรา อาจารย์ผู้มีชื่อเสียง เพราะของพวกนี้มันไม่เที่ยง มันหลอกได้ มันปลอมได้ แต่ภาวะในตนนี่มันเป็นของจริง มันรู้แล้วรู้เลย มันแน่นอนกว่า เพราะเกิดจากการปฏิบัติสะสมมาหลายภพหลายชาติ พอไปลองปฏิบัติตามดูก็จะรู้เองว่าทางไหนใช่ ทางไหนไม่ใช่ ดังนั้นความเป็นพุทธจึงไม่หล่นหายไปไหน แม้รูปของศาสนาจะเสื่อมไปโดยสมบูรณ์ก็ตาม คนที่เขาปฏิบัติได้จริงถึงมรรคผลจริง เขาก็มีของเขาอยู่แบบนั้นแหละ

ทีนี้คนไม่รู้จริงเขาก็จะไม่มีความเข้าใจแบบนี้ เขาก็จะกังวล ตื่นตระหนก หากพุทธที่เขารักโดนทำร้ายทำลาย ถูกทำให้เสื่อมลง ส่วนใหญ่ก็จะเร่งสร้างวัตถุ สร้างมวล แต่ไม่ได้สร้างคุณภาพ คือไม่ทำความเห็นของตนให้ถูก เขาก็เลยต้องทุกข์เพราะความผิดหวังจากการพลัดพรากอยู่อย่างนั้น

 

สัมมาทิฏฐิ ต้องเกิดในตนเอง

สัมมาทิฏฐิ ต้องเกิดในตนเอง…

วันก่อนคุยกับเพื่อน เกี่ยวกับเรื่องภาวะที่สะกดจิตตนเองอยู่ในภพหนึ่งๆ คุยไปคุยมาก็ไปเรื่อง อุปาทาน คนอุปาทานกิเลสได้ คนก็อุปาทานธรรมะได้เหมือนกัน

เหมือนกับคนที่ฟังธรรมะมา (แม้จะเป็นธรรมที่ถูกตรงก็ตาม) แล้วยกทั้งหมดนั้นมาสวมหัว เหมือนสวมหัวโขนเป็นคนมีธรรมะ เป็นคนดี ฯลฯ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นสภาพของ “สีลัพพตุปาทาน” คือเขาจะปฏิบัติได้หมดเลยนะ จะเป็นโสด จะไม่กินเนื้อสัตว์ จะกินมื้อเดียว จะเป็นคนเสียสละ จะพูดธรรมะ อะไรก็พูดได้จำได้คล่องก็มีเหมือนกัน

ผมมานั่งระลึกถึงหนังสือที่อ่านวันก่อนว่า บัวใต้น้ำ (อเวไนยสัตว์ – สัตว์ที่สอนไม่ได้) ก็มีเนื้อหาที่เขาให้มาดังนี้ คือเป็นผู้ดีแต่พูด เพราะได้ฟังพุทธพจน์ไว้มาก กล่าวก็มาก จำไว้ก็มาก บอกสอนก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลในชาตินี้ (พุทธกำเนิด หน้า76)

เอาง่ายๆ คือ ทุกวันนี้ที่เห็นเป็นเหมือนคนมีธรรมะก็อาจจะไม่มีจริงก็ได้ เห็นพูดเห็นสอนธรรมะ พิมพ์หนังสือ best seller เป็นนักพูดยอดนิยม ก็อาจจะไม่มีธรรมะนั้นจริงก็ได้

เพียงแค่จำมา ท่องมา ยกมาไว้ สวมหัวตน แล้วก็ท่องว่า นี่ฉันเป็นผู้มีธรรม ฉันเป็นผู้มีธรรม … ไอ้แบบนี้ มันก็ทำให้คนที่ไม่ได้ศึกษาเขาหลงเชื่อได้เหมือนกัน

สัมมาทิฏฐินั้นเป็นสภาพที่เกิดและเข้าใจในตนเอง ไม่ใช่เอาความเข้าใจของคนอื่นมาจำไว้เป็นความรู้(สัญญา) แล้วไปยึดมั่นว่าสิ่งนั้นเป็นตัวฉันของฉัน เพียงแค่ได้อุปาทานธรรมนั้นๆ มาเป็นของตน

แต่ผมก็เข้าใจสัจจะนะ ว่าคนที่จะมาเอาดี เขาต้องยึดแบบสีลัพพตุปาทานก่อน มันจะกระโดดมาสมาทานไม่ได้ มันต้องหลงปฏิบัติธรรมแบบมิจฉาทิฏฐิก่อน จนเห็นว่ามันผิด มันจึงค่อยหาทางมาสัมมาทิฏฐิได้

ทั้งนี้เหตุแห่งสัมมาทิฏฐินั้นมีสองข้อ หนึ่งคือการยอมฟังข้อคิดเห็นที่แตกต่าง สองคือการทำในใจให้แยบคายลงไปถึงที่เกิด ข้อแรกนี่ก็ยากที่จะผ่านแล้ว เพราะส่วนใหญ่อัตตามันจะต้าน มันจะไม่ฟัง ถึงจะทำเหมือนฟัง แต่ถ้าจิตมันไม่ยอมรับ มันก็ไม่ผ่านข้อแรกอยู่ดี

ส่วนการทำใจในใจให้ถึงที่เกิดนี่มันยากถึงยากมาก มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ คนปฏิบัติธรรมทั้งชีวิตจะไม่สามารถเข้าถึงการทำใจในใจที่ถูกตรง ผมก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมันเป็นเรื่องยาก มันต้องมีองค์ประกอบที่เกื้อหนุนมาก ตั้งแต่มีมิตรดี มีศีล มีฉันทะ รู้จักอัตตา มีความเห็นที่ถูก ไม่ประมาท ถึงจะเจริญไปถึงการทำใจในใจได้

ถ้าอยากรู้ว่าตนเองสัมมาทิฏฐิไหมก็ต้องศึกษาองค์ประกอบของสัมมาทิฏฐินั้นเป็นอย่างไร แล้วลองกระทบกับปัญหาดู เมื่อมีปัญหา มีผัสสะ มีสิ่งกระทบ จะรู้ได้เห็นว่าความเห็นมันเป็นตรงตามแบบสัมมาทิฏฐิหรือไม่ตรง ถ้ามีจริงมันจะไม่เบี้ยวออกเลยนะ มันจะอยู่ในกรอบของสัมมาทิฏฐินั่นแหละ

แต่แบบท่องจำก็มี คือกระทบแล้ว เกิดอารมณ์แล้ว แต่ใช้สัมมาทิฏฐิที่เรียนรู้มานี่แหละ มาเป็นตัวตบให้เวทนามันสงบ เอาปัญญานี้มาใช้เป็นตัวทำให้สงบ เรียกว่าปัญญาสมถะ เช่นพอเราเรียนรู้เรื่องกรรมและผลของกรรมมา ครูบาอาจารย์ท่านว่าให้ทำความเห็นแบบนี้แบบนั้น พอเรากระทบเสร็จขุ่นใจเราก็เอามาท่อง มันก็สงบไปได้ แต่ถ้าเข้าใจจริงๆ มันจะออกมาเองเลย ไม่ต้องนึก เพราะความเห็นมันตรงอยู่แล้ว มันจะแก้กลับของมันเอง ในกรณีผัสสะนั้นๆ ไม่หนักมากจนเกินไป หรือถ้าเพื่อนเตือนก็จะนึกออกและระลึกได้เอง ไม่ต้องมานั่งปรับความเข้าใจ เพราะมันตรงอยู่แล้ว เพียงแค่สติมันหลุดไป

เรื่องนี้เป็นเรื่องลึกและเข้าใจยากเหมือนกันครับ ผมอาจจะอธิบายไม่ละเอียดนัก แต่กำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่ ก็พยายามจะเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรมแต่ยังงงๆ

ศึกษาเรื่องผี

วันนี้ลุยศึกษาเรื่องผีทั้งวัน

..ก็ศึกษาจากพันทิพเหมือนเดิม ตามที่เขาเล่ามา จริงไม่จริงไม่รู้ แต่ก็กลับมาตรวจสอบตัวเองนะว่า เออป่านนี้เราก็พัฒนาจากคนที่บาปมากๆ มาจนทุกวันนี้เชื่อว่าได้สร้างบุญชำระบาปไปพอสมควรแล้ว ผมมั่นใจว่าผมมีบุญและกุศล(ความดี) มากพอสมควรเชียวล่ะ

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีนี่จะมาขอส่วนบุญคนมีบุญ ผมก็มีเยอะนะ แต่จนทุกวันนี้ยังไม่มีมาเลย มีแต่คนที่ยังมีความเป็นผีนี่แหละ ที่มาขอวิธีทำบุญ (ชำระกิเลส) กับผม ก็ช่วยๆกันไปแบบเพื่อนร่วมหนทางธรรม

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีมาขอส่วนบุญ จริงๆ ตามหลักพุทธนี่ เรามีกรรมเป็นของของตนนะ ไอ้บุญ กุศลอะไรนี่ก็เป็นสิทธิที่คนทำพึงได้ คนไม่ทำก็ไม่ได้ แล้วมันจะโอนกันยังไงหว่า นี่ผมก็ยังงงตรรกะนี้ ไม่รู้แนวคิดนี้มาจากไหนเหมือนกัน

ก็คนเขามักบอกกันว่า ต้องพกพระขลังๆ ผมนี่ไม่เคยพก ไม่เคยห้อยพระอะไรเลย และผมยังชัดเจนในใจว่า พระไหนจะยิ่งใหญ่สู้พระพุทธเจ้าอีก ไม่มีหรอกในโลกนี้ แค่พกความเป็นพุทธะไปก็พอแล้ว ไม่มีอะไรเหนือกว่านี้แล้ว ไม่ต้องไปหาให้มันเมื่อย ทำให้เกิดในตนนั่นแหละ เกิดมากเกิดน้อยก็แล้วแต่จะเพียรสร้าง

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีที่มาหลอกนั้นคือวิญญาณที่ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ซึ่งผมก็เข้าใจว่าผมเองก็มีวิญญาณเหมือนกัน ไม่เห็นมันจะแสดงอำนาจอะไรประหลาดๆ ถ้าตอนเป็นมันไม่มีอำนาจนั้น ตอนตายมันจะมีอำนาจนั้นได้อย่างไร ที่สำคัญคือเรื่องผีไม่ใช่เรื่องอจินไตย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ ไม่ใช่เรื่องที่คิดแล้วเป็นบ้า ไม่มีวันจบสิ้น แต่เป็นเรื่องที่มีจุดจบ มีคำตอบ เพียงแต่ต้องศึกษากันอย่างลึกซึ้งเท่านั้นเอง

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีมักจะมาหลอกตอนกลางคืน จริงมันก็ตลกดีตรงมีวันเวลาทำงานที่ชัดเจนขนาดนั้น ผมอ่านความเห็นนี้ก็มานั่งคิด ว่า เออ ทำไมมันต้องกลางคืน ทำไมต้องตอนนอน ทำไมต้องตอนกลัว …ผมเข้าใจสภาวะของจิตที่สติไม่ครบ เช่น ตอนง่วง หรือช่วงตอนตื่นนอน ผมมักจะใช้ช่วงเวลานั้นปรุงแต่งเรื่องบางเรื่องที่ต้องการศึกษาเพราะมันจะขยายได้มากกว่าปกติ นั่นเพราะไม่มีสติเป็นตัวจำกัด ดังนั้น “เรื่อง” จึงขยายได้ไม่มีจำกัด สภาพของจิตที่ตกร่องระหว่างจะหลับก็ไม่ใช่จะตื่นก็ไม่เชิงนี่แหละ ที่คนเขาว่ากันว่าเป็นภาวะของคนถูกผีอำ ซึ่งผมก็เห็นตามนั้นเพราะตอนนั้นปรุงอะไรมันก็ได้อย่างนั้นจริงๆ

ก็คนเขามักบอกกันว่า คนเห็นผีนั้นเป็นคนมีสัมผัสที่หก ผมยังเห็นว่าน่าจะเกิดจากอัตตามากกว่า เป็นอัตตาชนิดมโนมยอัตตา คือสร้างภาพขึ้นมาเอง ผมเข้าใจสภาพนี้เพราะมันสามารถปรุงมาได้ครบรสเลย คือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เขาว่าเจอผมก็เคยเจอบ้าง แต่ผมก็เข้าใจว่ามันเกิดเพราะอะไร มันมีเหตุจากอะไร จากสัญญาเก่าบ้าง มาเป็นนิมิตบ้าง หรือเป็นมโนมยอัตตาบ้าง อันนี้ต้องแยกให้ดี ผมเชื่อว่าถ้าผมยังเห็นผีอยู่ นั่นแหละผมยังมีกิเลสหนาที่ยังปั้นพลังงานสร้างผีขึ้นมาได้ ซึ่งเรียกว่าเสียของมากๆ แทนที่จะเอาพลังงานสร้างสิ่งที่มีประโยชน์กลับปั้นผีขึ้นมา จึงสรุปว่าคนเห็นผีนี่แหละยังเป็นคนที่มีภาระเยอะ วิบากกรรมก็เยอะเช่นกัน เพราะต้องมาเห็นอะไรที่ไม่ใช่ความจริงที่เป็นประโยชน์

….แต่ผมเองก็ยังไม่มีปัญญาพอจะอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ได้ คือยังไม่มีปัญญารู้แจ้งเหตุทั้งหมดของการเกิด “ผี” ก็คงต้องอาศัยศึกษาจากผู้รู้กันต่อไป

จริงๆ ผีมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก กิเลสเรานี่ร้ายกว่าผีเยอะ ผีนี่อย่างเก่งก็ทำให้เรากลัว ให้เราทุกข์ แม้จะทำให้เราตายได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะมันเป็นผลจากเหตุ แต่ถ้ากิเลสนี่มันเป็นเหตุที่ทำให้เกิดผล ถ้ายังเลี้ยงกิเลสไว้อยู่ มันก็ยังเป็นตัวที่สร้างผีอยู่นั่นเอง

อย่ายึดมั่นถือมั่น

อย่ายึดมั่นถือมั่น…

ผมได้อ่านประโยคเหล่านี้บ่อย เมื่อได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับความเห็นจากการศึกษาศาสนาพุทธต่อการไม่กินเนื้อสัตว์ คนเขาก็ว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่น, การเลือกกินมันยึดมั่นถือมั่น ฯลฯ

ผมมาเห็นรูปนี้แล้วก็นึกได้ … เออเนาะ คนเรานี่ก็หลอกตัวเองได้เยอะเลย ยึดมั่นถือมั่นเอาเองว่ามันเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ตามใจตน เช่น สิ่งนี้คือแกะ แกะกินได้ แกะอร่อย ฯลฯ

ไอ้ “สิ่งนี้คือแกะ” นี่ก็สมมุติทั่วไป คือการตั้งสัญญาให้ตรงกัน ไม่ได้เบียดเบียนอะไรแกะ ถึงมันจะถูกเรียกว่า แกะ แอะ แมะ ฯลฯ ก็ไม่ได้กระทบอะไรมัน แต่ที่ไปกำหนดว่ามันกินได้นี่สิ มันเริ่มจะไปเบียดเบียนมันแล้ว ส่วนที่ไปฆ่าเขาแล้วซื้อมากินกันนี่เบียดเบียนเต็มๆ

ทีนี้คนที่ยึดมั่นถือมั่นนี่เขาจะไม่ปล่อยไม่คลายเลยนะ เขาว่าแกะกินได้ หมูกินได้ เขาก็จะกินอยู่นั่นแหละ เขาจะไม่ยอมคลายออกเลย เขาจะยึดอยู่แบบนั้น นี่แหละคือความยึดมั่นถือมั่นในสัญญาของคนที่ติดเนื้อสัตว์

กลายเป็นเอาเนื้อสัตว์เป็นตัวเป็นตน (อัตตา) เหมาเอาว่าเนื้อแกะชิ้นนี้ เป็นของฉัน ฉันซื้อมา อันนี้มันเมาสมมุติทั้งนั้น เหมือนเด็กเล่นขายของแล้วจริงจัง จริงๆ แกะมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการซื้อขายของเราหรอกนะ เราสมมุติขึ้นมาเอง แล้วยึดสิ่งเหล่านั้นเป็นความดีความชอบของเรา

อย่ายึดมั่นถือมั่น…ในสิ่งที่จะไปเบียดเบียนผู้อื่นเลย วางเสียทีเถิด ยึดถือสิ่งที่เบียดเบียนสัตว์อื่นเพื่อประโยชน์ตนอยู่นั่นแหละ(เห็นแก่ตัว) ไม่รู้จักวางเสียที


ผู้ที่เข้าใจอย่างแท้จริงว่า “สัญญาไม่เที่ยง” จะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดเลย แต่จะเหลือเพียงหลักพิจารณาประโยชน์และโทษให้เป็นไปตามจริง (ตามข้อมูลและความรู้ที่มี ณ ขณะนั้นๆ)

เช่นความรู้เดิมคือเนื้อสัตว์กินได้ แต่พอได้ความรู้ใหม่ว่า เขาต้องฆ่ามาถึงจะได้เนื้อมากินนะ ก็จะพิจารณาเอาประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่น จึงเลือกไม่กินเนื้อสัตว์เพราะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเบียดเบียนผู้อื่นและไม่สร้างบ่วงกรรมที่เกี่ยวข้องด้วยเวรนั้นทับถมให้เป็นทุกข์แก่ตน

แมวที่ถูกโยน อธิบายเรื่องกรรมและผลของกรรม

จากกระทู้ : อยากให้ผู้ปกครองดูแลลูกหลานหน่อยเพราะลูกคุณอาจเป็นฆาตกรไม่รู้ตัว

วันก่อนมีโยนบกปลาวันนี้โยนแมว… จริงๆ มันก็เหมือนกันละนะ เจตนาโยนแมวนี่ไม่รู้ แต่เจตนาโยนบกปลานี่ต้องการให้มันตายแน่ๆ (ก็เขาว่ามาอย่างนั้น)

เรื่องก็มีอยู่ว่ามีเด็กเอาแมวไปรังแก โดยโยนลงมาจากที่สูงจนแมวบาดเจ็บ

อ่านเจอประโยคนึงเลยหยิบมาวิเคราะห์กัน คือ “มันทำอะไรผิดเหรอ? ทำไมถึงต้องมาทำกับมันขนาดนี้ถ้าเราแบบนี้กับมนุษย์ใจบาปบ้างล่ะ?

ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็เป็นกรรมของแมวตัวนั้นละนะ ที่ต้องรับไว้ มันทำมามันก็ต้องได้รับของมันตามสัจจะ เป็นของของมันอย่างแน่แท้ทีเดียว

ทีนี้ได้รับแล้วผลของกรรมชุดนั้นก็หมดไป ไม่มีอะไร ได้ใช้กรรม ได้ใช้หนี้มันก็ดีแล้ว ไม่เห็นต้องไปทุกข์อะไร เจ้าของก็รักษาไปตามอาการ ช่วยได้ก็ช่วยเท่าที่ทำได้ ถ้ามันจะตายก็เป็นไปตามกรรมของมัน ส่วนการที่เราไปจองเวรคนอื่นนั้นเป็นกรรมใหม่ของเราที่จะไปผูกพันเราไว้กับคนที่เราเกลียด

กฎแห่งกรรมเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก ยากจะอธิบาย เป็นหนึ่งในสัมมาทิฏฐิ ผู้ที่มีความเห็นถูกตรงจริงๆ จะเข้าใจในเรื่องกรรมโดยไม่สงสัยว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร

ไม่ได้ตั้งใจวิจารณ์ จขกท นะ ที่เขามาเล่านี่ก็ดี ทำให้เห็นว่าสังคมเราก็มีแบบนี้ด้วย แต่ที่มาพิมพ์นี่ตั้งใจให้พิจารณาเรื่องกรรมกันให้ดีๆ ผลของกรรมหรือปัจจุบันที่แสดงให้เห็นอยู่ในโลกนี้แหละ คือสิ่งที่สมควรและสมเหตุสมผลอยู่ทุกวินาที …. แม้มันจะดูไม่เหมาะไม่ควรและไม่สมเหตุสมผลก็ตามที

เลือกที่รัก มักที่ชัง กรณีการข่มเหงสัตว์

ผมรู้สึกแปลกใจว่า เรามีทั้งนักปกป้องมนุษชน มีคนสำนึกดีมากมายที่คอยติเตียนคนที่ทำร้ายผู้อื่น และมีทั้งคนที่โกรธแค้นอาฆาต เมื่อมีคนทำร้ายผู้คน เมื่อมีข่าวฆ่ากันตายหรือข่มขืน เราก็จะออกมาเรียกร้องหาศีลธรรมกันยกใหญ่

การฆ่ากัน ทำร้ายกัน ข่มขืนกัน ก็เป็นการข่มเหงรังแกกัน ด้วยกำลังอำนาจที่มากกว่า ถ้าสิ่งนี้เป็นที่น่ารังเกียจจริงแล้วล่ะก็…

…ทำไมเรายังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับการฆ่าสัตว์ การกินเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามา การสั่งฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารของเรา ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว มันก็เป็นการข่มเหงรังแกกันด้วยกำลังอำนาจเหมือนกัน

แค่เราเป็นมนุษย์ เราจึงมีสิทธิเหนือสัตว์อื่นอย่างนั้นหรือ คนรังแกคนนั้นผิด แต่คนรังแกสัตว์ไม่ผิดอย่างนั้นหรือ ทำไมจิตใจช่างมีความลำเอียงกันได้ถึงเพียงนี้ จะเหลือช่องเว้นว่างไว้ให้ตนเองได้มีพื้นที่เบียดเบียนสัตว์อื่นอยู่ทำไม แม้สิ่งนั้นโลกจะสมมุติกันว่าไม่ผิด แต่ตามสัจจะแล้วมันก็ไปเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นมาอยู่ดีนั่นแหละ

ถ้าสงสัยว่ามันเบียดเบียนอย่างไร สื่อที่เขามีเกี่ยวกับการได้มาซึ่งเนื้อสัตว์ในปัจจุบันนั้นมีเผยแพร่อยู่มากมาย ส่วนมากก็เรียกว่าโหดถึงระดับไม่อยากจะดูกันเลย แต่นั่นแหละคือความจริงของการเบียดเบียน

ปลาซัคเกอร์เป็นภัยต่อระบบนิเวศน์?

จากกระทู้ : พบข่าว เจอปลาซัคเกอร์ ให้โยนบกให้ตาย เพื่อช่วยระบบนิเวศน์ เราไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้เหรอคะ

ช่วงนี้เจอข่าวปลาซัคเกอร์เป็นภัยต่อระบบนิเวศน์ ก็มีหลายคนที่ออกมาให้ความเห็นว่า ฆ่าได้ เพื่อรักษาปลาชนิดอื่น…

ผมว่ามันก็ชี้ให้เห็นถึงความตกต่ำของศีลธรรมในตัวคนนะ คืออะไรที่จะเกิดความเดือดร้อนต่อสิ่งที่ตนเองยึดว่าดี ก็เลยกำจัดสิ่งนั้น ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุจริงๆ

ในส่วนตัวผมไม่เห็นว่าการที่ปลาซักเกอร์จะเต็มแม่น้ำแล้วมันจะเกิดผลกระทบอะไรกับผมเลย แม้ปลาอื่นๆหมดไปก็ยังไม่เกิด เพราะจากนี้ไปจนถึงกลียุค คนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็ไปหาผักหาหญ้ากิน ดังนั้นจะมีหรือไม่มีปลาอะไรในแม่น้ำมันก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่

ถ้าเราไม่มองเรื่องกินเรามองเรื่องสิ่งแวดล้อมล่ะ จริงๆแล้ว คนนี่แหละไปทำให้ระบบวิเวศน์มันพัง ปลามันก็อยู่ของมันดีๆ ไปจับมันมากิน มันก็ลดจำนวนลงทุกวันๆ อันนี้ไม่เป็นศัตรูต่อระบบนิเวศน์ที่น่ากำจัดกว่าหรือ หรือไม่ก็โรงงานที่ปลอยสารพิษ การเกษตรที่ใช้สารเคมี ทำให้แหล่งน้ำและระบบนิเวศน์เสียหายกว่าเยอะเลย มันมีสิ่งที่มีพลังทำลายมากกว่าปลาซัคเกอร์อีกมาก

โดยธรรมชาติแล้ว มันไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้นานหรอก แม้ปลาซัคเกอร์ก็ตาม วันหนึ่งจะมีบางอย่างเกิดขึ้นมาทำลายปลาซักเกอร์เอง จะเป็นสัตว์อื่นก็ได้หรือจะเป็นคนก็ได้ โลกนี้หมุนไปบนความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ไม่มีวันที่ปลาซัคเกอร์จะครองแม่น้ำในไทยได้ทั้งหมดตลอดไป แต่วันที่คนบาปจะครองโลกนั้นมีอยู่ แต่ถึงกระนั้นสิ่งนั้นก็ไม่ได้ตั้งอยู่ถาวร สุดท้ายคนบาปที่ไร้ศีลธรรมก็ฆ่ากันตายจนหมดโลก แล้วคนดีที่แอบซ่อนอยู่ก็ค่อยๆ ออกมาฟื้นฟูโลกให้กลับมาสดใสงดงามอีกที หลังผ่านกลียุคไปแล้ว (อ้างอิงจากเหตุการณ์ในกลียุคที่พระพุทธเจ้าทำนายไว้)

ปัญหาที่ควรแก้จริงๆ ไม่ใช่ปลาซัคเกอร์หรอก แต่เป็นความตกต่ำของศีลธรรมในตนที่เห็นว่าการฆ่านั้นดี แม้จะให้เหตุผลใดๆ ก็ตามที (บางทีพูดยกตนเหมือนเสียสละ) แก้ปัญหานี้ก่อนจะดีกว่า เพราะสุดท้ายปลาซัคเกอร์ก็มีกรรมของมัน แต่คนที่ไปฆ่ามันก็ต้องรับกรรมที่ไปฆ่านั้นเอง ก็เลือกพิจารณากันไปว่าจะรับกรรมแบบไหน

ปล. แม้มีความยินดีในการฆ่าก็เป็นกรรมนะ :)

การไม่กินเนื้อสัตว์ตั้งแต่เด็ก

จากกระทู้ : ลูก 11 เดือน ให้กินมังสวิรัติตั้งแต่เกิดเลย ดีไหม?

ถ้าเป็นไปได้ ในส่วนตัวของผมนี่ถ้าให้กินมาตั้งแต่เกิดเลยก็ดี ถ้าผมพูดกับพ่อแม่ได้ตอนนั้นผมก็จะบอกเช่นนั้นละนะ 55

แต่ตามสัจจะมันเป็นแบบนั้นได้ยากในยุคนี้ละนะ เพราะสังคมและโลกเขาก็มอมเมาว่าเนื้อสัตว์นั้นดี ยึดเนื้อสัตว์เป็นตัวตนกันจนกลืนไปกับวิถีชีวิตแล้ว เป็นอุปาทานที่ยึดแน่นมั่นจนยากจะแยกออก

ครูบาอาจารย์เคยบอกว่า เด็กบางคนจะสังเคราะห์มาตั้งแต่อยู่ในท้องเลย คือแม่จะไม่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้ หรือมีอาการแพ้ กินได้แต่พืช ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ออกมาก็เมาไปตามโลกกว่า 30 ปีแน่ะ พอได้ความรู้ก็จบ แต่ก่อนไม่มีคนให้ความรู้เรา เราก็หลงไปนานเหมือนกัน

แต่ก็น่าจะเคยได้ยินว่าตอนแม่บางคนแพ้ท้องก็อยากกินเนื้อสด ลาบเลือดอะไรแบบนี้ ก็ตามนั้นแหละครับ วิบากของเขาก็สังเคราะห์ขึ้นมาเป็นอาการเช่นนั้น กรณีในสมัยพุทธกาลก็มีพระนางเวเทหิ ตอนท้องพระเจ้าอชาตศัตรูก็อยากกินเลือดสามี สุดท้ายลูกก็ฆ่าพ่อ บางอย่างมันมีสัญญาณมาก่อน

ก็เล่ากันไปไกล … ในความเห็นส่วนตัวของผมกับเรื่องเด็กกินมังฯ นี่ ก็กินไปเถอะ ถ้าเขาทรมานมากเดี๋ยวเขาก็หนีหรือแอบไปกินเนื้อสัตว์เอง จริงๆถามเขาก็ได้ว่าไหวไหม ชอบไหม เป็นสุขดีไหม ถ้าเขามีปัญญาถึง เขาจะไม่ทุกข์ แต่ถ้าเขาไม่ไหวเราก็อนุโลมไป ทั้งนี้การกินมังฯทั้งชีวิตไม่ได้มีผลเสียอะไรเลย นอกจากจะทำให้อายุยืนและมีโรคน้อย อย่างเช่นเผ่าฮันซาเป็นต้น ที่เขาอายุ 90 กว่าแล้วยังเต้นรำกันได้อยู่เลย แถมยังแก่ตายกันตามธรรมชาติอีกด้วย

ปล. การที่เราหยิบยื่นสิ่งที่เราคิดว่าดีให้คนที่เรารักมันไม่ได้ผิดอะไรมากมายหรอก มันก็เป็นไปตามความรู้ของเรา เรารู้แค่ไหนเราก็ให้สิ่งดีได้เท่านั้น เช่นพ่อแม่ที่เห็นว่าอาหารขยะเช่นเบอร์เกอร์ มันทอดเป็นของมีคุณค่า เขาก็ซื้อให้ลูกกิน เช่นเดียวกับคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์แล้วเข้าใจว่าสิ่งนั้นคือคุณค่า เขาก็ให้ลูกกินมังฯตาม มันก็เป็นคุณค่าตามที่แต่ละคนเข้าใจ เป็นไปตามความรู้ของแต่ละคนไป สุดท้ายถ้ามันเกิดทุกข์กับร่างกายมันก็แค่ความรู้นั้นผิดเท่านั้นเอง ก็เรียนรู้กันไป