รักจะดี เพราะมีศีล

พูดไปใครจะเชื่อ ว่าไปคบหากับคนไม่มีศีลแล้วมันจะทุกข์ มันต้องโดนกับตัวเองน่ะถึงรู้

เอาแค่ไม่มีศีล ๕ นี่ก็ทุกข์จนถึงตายได้เลยนะ ถ้าไม่มีศีลข้อ ๑ เขาก็ทำร้ายคุณ ฆ่าคุณได้ ทุกข์ไหมล่ะ

ไม่มีศีลข้อ ๒ เขาก็เอาเปรียบคุณ เบียดเบียนคุณ ขโมยของรักของคุณด้วยการล่อลวงของเขา เอาแบบไหนดี แบบรักษามาทั้งชีวิตแล้วเขาชิงไปหมด เอาไปย่ำยีขยี้จนหมด มันจะทุกข์ไหมล่ะ

ไม่มีศีลข้อ ๓ อันนี้ล่ะเจ็บปวด คนที่ทำร้ายกันได้เจ็บปวดที่สุดก็คือคนรักกันนี่แหละ สร้างภพ สร้างสวรรค์ขึ้นมา ก็หลงอยู่กับสวรรค์ สุดท้ายเขาเอาเท้าถีบพังทิ้ง เช่น คบหากันมาสิบปี อยู่ ๆ มาเฉลยว่ามีเมียอยู่แล้ว หรือไม่ก็พาคนใหม่เข้ามา แล้วก็ถีบคุณออกไป มันทุกข์ไหมล่ะ

ไม่มีศีลข้อ ๔ นี่ไปกันใหญ่ พางงกันไปหมด ความลวงกลายเป็นความจริง ความจริงไม่ถูกเปิดเผย ลับลวงพราง มีคู่อยู่แล้วก็บอกว่าโสด คบเล่น ๆ ก็บอกว่าคบจริง ๆ พอมารู้ความจริง จะทุกข์ไหมล่ะ

ไม่มีศีลข้อ ๕ นี่กู่ไม่กลับเลย พาเมา พาหลง ชีวิตเหมือนติดบ่วง ต้องเสียเวลา เสียสุขภาพ เสียทรัพย์ เสีย…ฯลฯ ไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องไร้สาระ เรื่องที่ไม่พาให้เกิดความเจริญ เรื่องอบายมุขทั้งหลาย

…นี่ถ้ามีศีล ๕ ก็พ้นทุกข์ไปเยอะแล้ว ถ้าศีล ๘ ศีล ๑๐ นี่ยิ่งหาทุกข์ยากใหญ่เลย คนเรานี่ก็แปลก ชอบทิ้งศีลไปหานรก ชอบแบบทุกข์มาก ไม่อยากทุกข์น้อย พอวันหนึ่งสวรรค์ล่ม ทุกข์มันชนเข้าจริง ๆ มันจะไหวไหมล่ะนั่น?

…คนมีศีลไม่มีศีลนี่ต้องดูกันนาน ๆ คนเราก็มีมารยา มารยาท สร้างภาพ อดทนอดกลั้น จนกระทั่งตอแหลทำให้ดูดีกันได้ บางคนเขาอดทนสร้างภาพมาเป็นสิบสิบปีเลยนะ จะประมาทไม่ได้ ถ้าอยากได้รักดี ๆ ต้องดูกันไป ทำความรู้จักกันไป สิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี สี่สิบปี ….นาน ๆ นั่นแหละ มันจะเห็นความชั่ว ความทุกข์ ที่เกิดจากคนไม่มีศีลหรือคนผิดศีลเอง

ก็ศึกษาจากเรื่องราวในสังคมก็ได้ คนไม่มีศีลคนหนึ่งได้รับผลกรรม เดือดร้อนกันไปหมด เรียกว่าฉิบหายวายวอดเลยก็ว่าได้ ความส่งความสุขนี่ไม่ต้องถามถึง เอาเป็นว่าจะทุกข์ไปถึงเมื่อไหร่ มันไม่พ้นง่าย ๆ หรอก มันจะเป็นตราบาปแปะไว้จนกว่าจะสารภาพทั้งหมดนั่นแหละ คายออกมาทั้งหมดไอ้ที่ทำผิดไว้ แล้วแก้กลับซะ ภาษาพระ เขาว่า ปลงอาบัติ

แต่ก็ยากจะให้คนที่ผิดศีลหรือคนที่ไม่มีศีล ยอมรับผิดแบบกระจ่างแจ้งในบาปที่ตนก่อ ถ้าจะรับก็รับได้แค่ตามมารยาท ได้แค่ลีลา ท่าที แต่จะให้ถึงใจนั้นยากยิ่ง เมื่อใจที่เป็นประธานของการผิดศีลไม่ได้ถูกแก้ เมื่อเหตุไม่ได้ถูกแก้ ผลนั้นก็จะเกิดต่อไปเรื่อย ๆ ชาติแล้วชาติเล่า ชาติต่อไป ครั้งต่อไป รอบต่อไป ไม่จบไม่สิ้น

รัก 100 ทุกข์ 100

รัก 100 ทุกข์ 100
รัก 1 ทุกข์ 1
รัก 0 ทุกข์ 0

ไม่รักก็ไม่มีทุกข์เลย …
พึงรักษาความโสด ดุจเกลือรักษาความเค็ม ! :)

จิตที่ยินดีในความโสด หมายถึงความยินดีที่ไม่ต้องเอาวัตถุสิ่งของ ลาภสักการะ บุคคลหรือบริวารใด ๆ มาบำเรอตน

คนที่ไม่ยินดีในความโสด จะแสดงอาการอยากกระหาย แสวงหา ล่อลวง ตลบตะแลง ใช้อำนาจ วาสนา บารมี ที่ตนมี เพื่อให้ได้มาซึ่งกาม หรือสิ่งสนองอัตตา มาเพื่อเสพสมใจ

ความยินดีในความโสด คือความยินดี พอใจ พอเพียง ตามที่ตนมี ตามที่ตนได้

ความไม่ยินดีในความโสด คือความไม่พอเพียง คือความโลภ คือตัณหา ต้องหา”บางสิ่ง” ตามที่ตนยึดมั่นถือมั่น มาเติมเต็มตนเอง

คนโสดพุทธะ คือคนเต็มคน ไม่ขาดไม่พร่อง จะอยู่คนเดียวก็ไม่ทุกข์ อยู่หลายคนก็ไม่ทุกข์

คนโสดไสยะ คือคนพร่อง ๆ แหว่ง ๆ ต้องหามาเติมร่ำไป ไม่เคยพอ ไม่พอใจ น้อยใจ เว้าใจ แหว่งใจเมื่อต้องอยู่คนเดียว อึดอัดขัดข้องใจเมื่อเห็นคนอื่นเขาเคียงคู่กัน

ฝากชีวิตไว้กับ “รัก”

คงจะมีคนหลายคนในโลกนี้ที่ฝากชีวิต ฝากอนาคตไว้กับความรัก คนรัก ครอบครัวที่รัก แต่เมื่อวันหนึ่งที่ที่เขาฝากฝังไว้พังทลาย น้อยคนนักที่จะยังคงดำเนินชีวิตไปในเส้นทางแห่งความดีงามได้

ได้อ่านข่าวคนฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังในชีวิตรักมาก็มาก เหตุนั้นก็ไม่ได้มาจากอะไร ส่วนหนึ่งมาจากการที่เขาเหล่านั้นลงทุนผิด เอาสิ่งสำคัญไปฝากฝังไว้กับอะไรที่มันพึ่งพาไม่ได้ เป็นเหตุแห่งทุกข์ ฝากไว้กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอด ฝากไว้กับสิ่งที่มันไม่มีจริง(ไม่สามารถคงสภาพนั้น ๆ ได้เที่ยงแท้ถาวร) เขาเหล่านั้นก็ย่อมได้รับทุกข์เป็นธรรมดา ส่วนจะทนทุกข์ได้ถึงขนาดไหน จะหลงผิดไปยังไงก็แล้วแต่บุญกุศลของแต่ละคน

เวลาเราสวดมนต์(พุทธ) เราก็มักจะสวดบทไตรสรณคมน์ “พุทธัง … ธัมมัง … สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ …” คือให้ชาวพุทธระลึกว่า ให้เอาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ในเบื้องต้นแม้จิตยังไม่รู้จักวิธีการพึ่งพาอาศัยสามสิ่งนี้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ก็ยังมีผลให้เพิ่มความตระหนักว่าเราควรพึ่งสามสิ่งนี้นี่แหละ ชีวิตจึงจะพ้นทุกข์ไปสู่ความผาสุก

ยกตัวอย่างคนที่เขาศึกษาธรรมมาประมาณหนึ่ง ได้พบครูบาอาจารย์ ได้พบหมู่มิตรดีที่พากันปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ แต่เขากลับเลือกไปพึ่งสามี ภรรยา คือเข้าใจว่าชีวิตจะมั่นคงด้วยการมีคู่ มีลูกหลาน ฯลฯ เขาก็เลือกไปด้วยความหลงของเขา หลงไปยึดเอาสิ่งที่มันไม่เที่ยง เห็นกงจักรเป็นดอกบัว พอยิ่งยึดในโลกีย์มันก็ยิ่งจะห่างจากธรรม

คนเรามีอยู่แค่สองเท้า ก็ยืนได้ในพื้นที่จำกัด เช่นเดียวกับจิตถ้าหลงไปยึดสิ่งใดแล้ว ย่อมพรากจากสิ่งอื่นโดยธรรมชาติ เช่นหลงยึดเอาอธรรม ก็ย่อมห่างไกลจากธรรม สัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฎฐิไม่รวมอยู่ที่เดียวกัน(ภพในจิต) ดังนั้นเมื่อเขาเหล่านั้นยึดเอาคู่ครองครอบครัวเป็นหลักชัยในชีวิต ก็ย่อมจะพรากห่างจากพุทธธรรมสงฆ์เป็นธรรมดา

เพราะแทนที่จะใช้เวลาในชีวิตไปคิดว่าต้องทำอย่างไรเราจึงจะเจริญได้มากกว่านี้ จะลดโลภ โกรธ หลง ได้ยิ่งกว่านี้ ก็ต้องเอาเวลาไปเสียกับการสังเคราะห์ปัญหาหรือไม่ก็บำเรอกิเลสคนในครอบครัว วันนี้จะพากันไปกินอะไร จะไปเที่ยวกันที่ไหน จะมีลูกกี่คน จะวางแผนครอบครัวยังไง สรุปแม้จะดูเหมือนนับถือศาสนา แต่กิเลสเอาเวลาไปกินหมด เวลา ทุนทรัพย์ แรงกายแรงใจ จ่ายให้กับที่พึ่งอันโยกเยกคลอนแคลนเหมือนกับไม้ผุปักเลน

พอวันหนึ่งที่พึ่งเหล่านั้นพังไปด้วยเหตุดังเช่นว่า คู่ครองนอกใจ คู่ครองตาย คู่ครองติดอบายมุข เป็นนักเลง ติดพนัน ติดยา ขี้เกียจ นิสัยชั่วร้าย ฯลฯ คือสภาพที่เคยคิดว่าดี มันเปลี่ยนแปลงไป สุดท้ายชีวิตก็จะพังตามไปด้วยตามน้ำหนักของการยึดสิ่งนั้น ๆ

บางคนยึดไว้แต่คู่ครองครอบครัว ไม่มีสิ่งอื่น พอมันพังไปชีวิตก็จบสิ้นไปด้วย บางคนยึดคู่ครองครอบครัวไว้ส่วนหนึ่ง แต่อีกขายังพยายามมายึดธรรมบ้าง ก็ยังถือว่าเสี่ยง เพราะไม่รู้ว่าวันเวลาที่ผ่านไป อาจจะทำให้ห่างธรรมไปเรื่อย ๆ แล้วหลงเข้าใจไปเองว่าตัวเองยังมีธรรมเป็นที่พึ่ง สุดท้ายต่อไม่ติด เข้าไม่ถึงธรรม ชีวิตก็อาจจะพังได้ (ทุกข์แสนสาหัส)

ส่วนคนที่ยึดพุทธธรรมสงฆ์ไว้อาศัย ก็ไม่ต้องลำบากเมื่อคู่ครองครอบครัว เปลี่ยนแปลง แตกหัก พังทลาย เพราะรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ที่พึ่งแท้อยู่แล้ว สิ่งเหล่านั้นยึดไว้ย่อมเป็นทุกข์ ย่อมเปลี่ยนแปลง และไม่ใช่สาระแท้ในชีวิต ก็สักแต่ว่าอาศัย ถึงมีอยู่ก็เอื้อให้เกิดกุศล จากไปก็แค่หมดภาระหน้าที่ในบทบาทนั้น ๆ ก็มีแต่อาการเบาลง ไม่เศร้า ไม่อาลัย ไม่เหมือนกับคนที่ยึดคู่ครอง พอคู่ครองครอบครัวเปลี่ยนแปลงไป บางรายอาจจะทุกข์ถึงขั้นฆ่าตัวตาย

นี่คือความต่างของการพึ่งพาอาศัยในสิ่งใด ๆ ชีวิตต้องการความผาสุกที่มั่นคง ดังนั้นเราก็ควรเลือก ที่พึ่งทางใจที่มั่นคงด้วย อย่าเอาไปฝากไว้กับ แฟน สามี ภรรยา ลูกหลาน ฯลฯ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีความมั่นคงใด ๆ เลย

รักกันจนตาย…เกือบทุกวัน

ทุกวันนี้แม้จะมีข่าวฆ่ากันตายด้วยเหตุแห่งรัก? มากมายแค่ไหน แต่ผู้คนก็ยังดิ้นรนแสวงหามัน เสพสุขจากมัน ไม่ยอมพรากจากมัน

ไอ้รักแบบนี้นี่มัน… จะเรียกว่าขยะ ขยะมันก็ยังเอามาปรับปรุงใช้ประโยชน์ได้ แต่ความรักที่เต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง นี่มันไม่มีค่าอะไรเลย คือไม่มีน่ะดี มีขึ้นมาก็ไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งตนเองและผู้อื่น สรุปมันต่ำกว่าขยะอีก

คนเขาก็หลงดม หลงเก็บ หลงกอดกันไว้ เพิ่มเจ้ากรรมนายเวรกันไป ในวิถีของโลกีย์ มันจะวนดิ่งลงไปสู่ความต่ำเรื่อย ๆ ความน่ากลัวของมันคือชั่วช้านาน คือมันจะเป็นบาปที่กัดกินใจอย่างช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่เห็นโทษชัดเจนในเบื้องต้น ทุกข์หนักนานแสนสาหัสในเบื้องปลาย ซึ่งก็ตามที่เห็นตาย ๆ กันมาเยอะแยะ

ความยินดีในการมีคู่ จึงเป็นสภาพที่น่าสงสาร ไม่ต่างกับเป็นโรค เป็นเหตุที่ทำให้บาดเจ็บได้ ทำให้ตายได้

หลายคนประมาท ก็หลงเข้าใจว่าเขาควบคุมมันได้ จริง ๆ เรื่องพวกนี้มันคุมไม่ได้ ทุกอย่างมันจะเปลี่ยนแปลงไป คนยึดมั่นถือมั่นก็พยายามจะกอดมันไว้ ดึงมันไว้ ไม่ยอมปล่อย ไม่ตัวเองตัวขาดตาย ก็ไปดึงคนอื่นให้ตัวขาดตาย หรือไม่ก็พากันตายไปตาม ๆ กัน

ถ้าเก่งเหนือรักโลกีย์ ก็แค่ไม่ต้องไปแตะไปเสพมัน ปล่อยมันไว้แบบนั้นแหละ เขาไม่ใช่ของของเรา ปล่อย ๆ ไปเดี๋ยวเขาก็ไปมีชีวิตของเขา ไม่จำเป็นต้องเอาใครมาผูกไว้ ให้คอยจองเวรจองกรรมกันไปอีกหลายชาติ

เลือกรักใครก็เลือกจองเวรจองกรรมคนนั้นนั่นแหละ แล้วก็เลือกให้เขามาจองเวรจองกรรมกับเราเช่นกัน สนุกตรงไหนล่ะนี่?

ที่สุดแห่งความรัก

ที่สุดแห่งความรักโลกีย์ คือทำ/นำ/พา ให้อีกฝ่ายหลง,ชั่ว,โง่,ทุกข์ แสนสาหัสชั่วกัปชั่วกัลป์

ที่สุดแห่งความรักโลกุตระ คือทำ/นำ/พา ให้อีกฝ่ายตระหนักรู้,ทำดี,มีปัญญา,เกิดสุขจากการล้างความหลงติดหลงยึดโดยลำดับ

…ความรักแบบโลกีย์นี่มันก็ทำง่ายนะ คุณจะทำให้ใครสักคนหลงรักคุณหัวปักหัวปำมันก็ไม่ยากนักหรอก ใคร ๆ เขาก็ทำกันได้ ทำกันทั่วไปในสังคม สุดท้ายก็ได้เห็นผลกันมากมาย เช่น ทุกข์ทรมาน สติแตก ทำร้ายกัน ฆ่ากัน ฯลฯ

ส่วนความรักแบบโลกุตระนี่มันยากสุด ๆ จะพากันลด ละ เลิกความหลงติดหลงยึดนี่มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยในโลกนี้ มีใครเคยเห็นมั่งไหม รักกันเพื่อที่จะพิสูจน์ให้รู้ว่ารักเป็นทุกข์ หรือตั้งจิตว่าจะรักเพื่อบรรลุธรรม ไม่มีหรอก มีแต่รักกันเพื่อเสพสุขตามกิเลสเท่านั้นเอง เป็นไปเพื่อสนองความหลงติดหลงยึดของตน

รักโลกุตระนี่พาออก แต่ใครเขาจะไปออกง่าย ๆ เขาก็หลงว่าสิ่งเหล่านั้นดี รักแบบโลกีย์นั้นดี ได้เสพได้สุขตามที่เขายึดมั่นถือมั่น เขาไม่ออกกันหรอก

ดังนั้นจะรักแบบโลกุตระนี่มันต้องทำใจ/วางใจ กันเยอะ ๆ หน่อย เพราะเขาไม่มากับเราง่าย ๆ หรอก เขาก็ไปหลงโลกตามประสาของเขานั่นแหละ แต่ถ้าถามว่าเราช่วยเขาไหม เราก็ช่วยทำตัวเป็นตัวอย่างไง ก็อยู่เป็นโสดให้เขาดู ให้เขาเห็นว่าการอยู่เป็นโสดนี่แหละคือการไม่เบียดเบียนกัน คือสภาพที่สามารถเกื้อกูลกันได้อย่างไม่มีความลำเอียง คือทางที่จะพากันไปสู่ความผาสุกอย่างยั่งยืน

เราก็ทำของเราไป 5 ปี 10 ปี 20 ปี หรือจะทั้งชาติเราก็ทำของเราไป ทำตัวอย่างให้เขาดูว่ารักแบบนี้มันดีกว่า ทำกันข้ามภพข้ามชาติเลย ชาติใดชาติหนึ่งเขาทุกข์จนเกินทน แล้วเขาจำได้ว่าเราเคยทำให้ดูเดี๋ยวเขาก็มาเอาเอง

แต่ถึงเขามาเอารักโลกุตระมันก็ไม่ได้ทำได้ง่าย ๆ หรอก เขาต้องผ่านการฝึกฝน อีกนาน….ดังนั้นต้องเข้าใจ ทำใจ และทำตัวอย่างให้ดูต่อไป..ที่สุดของรักโลกุตระก็คือนำพาเขาลดโลภโกรธหลงไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ แม้มันจะไม่มีความหวังเลยก็ตามที

ชั่วที่สุดคือระเบิดรบ ดีที่สุดคือระเบิดรัก

…คิดได้ตอนฟังเขาพูดเกี่ยวกับระเบิดในวิทยุเมื่อกี้ ฟังไปก็พิจารณาไป ระเบิดนี่มันชั่วจริง ๆ มันฆ่าเหมาหมดเลย จะดีจะเลว ถ้าอยู่ในรัศมีของมันก็ตายหมด สัตว์เล็กสัตว์น้อยก็ตายหมดเช่นกัน

ดูเป็นการแก้ปัญหาที่เรียกว่าไร้สติปัญญาที่สุดทางหนึ่ง เพราะไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ แถมยังสร้างเวรสร้างกรรมเพิ่มขึ้นมหาศาล มีเรื่องกับใครอย่างเลวที่สุดก็ควรจะกำหนดกรอบเบียดเบียนแค่คนนั้น แต่มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกนะ ขึ้นชื่อว่าคนพาลแล้ว มันจะมีอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลเสมอ

ระเบิดรบมันจึงชั่ว จึงเลว จึงโง่ไปตามขนาดของการเบียดเบียนของมัน เบียดเบียนมากก็โง่มาก เพราะการเบียดเบียนไม่นำความผาสุกมาให้อย่างแน่นอน

ส่วนระเบิดรักนั้นเหมือนจะกลับกันโดยสิ้นเชิง ถ้าระเบิดรักนี่ควรสร้างให้ใหญ่ ให้ระเบิดให้กว้าง ให้ยั่งยืนนาน และไม่ควรระบุเจาะจงเป้าหมาย

ในเรื่องความรักนี่ยิ่งระบุเป้าหมายมากเท่าไหร่ ก็เป็นความเห็นแก่ตัวมากเท่านั้น ชั่วเท่านั้น เลวเท่านั้น โง่เท่านั้น นั่นเพราะความรักหรือการเมตตาเกื้อกูลหวังประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น ยิ่งทำได้กระจายไกลได้มากเท่าไหร่ก็จะมีแต่ผลดีกระจายทั่วถึงไปเท่านั้น ถ้าจะกระจุกจะกลายเป็นชั่ว นั่นเป็นเพราะอัตตาทำให้เราเลือกที่รัก ระเบิดรบก็เช่นกัน อัตตาจะทำให้เราชัง

ผมว่าหลายคนก็คงจะมีทั้งสองอย่างในตนเอง พอชังใครก็จะไปตีทิ้งคุณค่าของเขาหมดเลย เหมือนระเบิดเขาทิ้งทั้งหมด จะดีจะเลว ทำลายไม่เหลือ ส่วนพอไปรักใครก็จะวนเวียนเสียเวลาอยู่กับคนนั้น มุ่งอยู่แต่กับคนนั้น โลกนี้มีกันแค่สองคน ฯลฯ กลายเป็นว่าชีวิตเกิดมามีโอกาสทำดีตั้งมากมายไม่ทำ มาเลือกสิ่งที่คิดว่าดีกับคนหน่วยเดียว

เปรียบเทียบไปเหมือนคนมีพื้นที่อยู่ร้อยไร่ สามารถปลูกอะไรก็ได้ แต่เขาไม่ทำ เขานำทรัพยากรทั้งหมดไปปลูก ข้าวโพดอยู่ต้นหนึ่ง รักและดูแลข้าวโพดต้นนั้นอย่างทะนุถนอม จริงอยู่ที่ว่าเขาจะได้ผลเป็นข้าวโพดในวันใดวันหนึ่ง แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเขาให้เวลากับการปลูกข้าวโพดหรือพืชอีกหลายชนิดในไร่ของเขา เรื่องความรักก็เช่นกัน การที่คนเอาความรักไปลงกับคนคนเดียว ก็เหมือนคนมีที่กว้างใหญ่ แต่ปลูกข้าวโพดต้นเดียวนั่นแหละ..

ระเบิดรบจะต้องลดจากเบียดเบียนมากไปสู่การไม่เบียดเบียนเลย ส่วนระเบิดรักนั้นจะต้องลดความเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่บุคคลอันเป็นที่รักไปสู่การเมตตาเกื้อกูลหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง จึงจะเป็นสิ่งที่ดี เป็นประโยชน์แก่ทุกชีวิต

เลิกรัก หักทวง

ได้อ่านข่าวช่วงก่อนหน้านี้ เห็นว่ามีพฤติกรรมการทวงของคืนเมื่อจบความสัมพันธ์ตั้งแต่ในระดับการจีบจนไปถึงแต่งงานแล้ว

ของที่ทวงก็มักจะเป็นเงินที่ได้จ่ายไป บ้างก็เป็นค่าอาหาร ค่าสิ่งบันเทิง ค่านิยมอะไรแนว ๆ นั้น ซึ่งจากข่าวผู้ชายก็มักจะเป็นคนทวงผู้หญิง

ผมจะวิจารณ์เรื่องนี้แบบย่อ ๆ กับสังคมไทยที่ผู้หญิงมักจะหลงว่าตนต้องเป็นผู้ได้รับสิ่งของและการดูแลเสมอ

คือเขาให้ของอะไรมาเนี่ย เขาไม่ได้ให้เพื่อที่จะให้ แต่เขาให้เพื่อที่จะได้ เพื่อที่จะรับ การดูแลหรือทรัพย์สินเงินทองใด ๆ ก็ตาม เขาให้เพื่อที่จะมาแลกเปลี่ยนกับบางสิ่งบางอย่าง คนมีกิเลสมันต้องมีเหตุในการให้ที่เป็นมิจฉาอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อผู้ให้ไม่บริสุทธิ์ ก็อย่าไปหวังเลยว่ารับมาแล้วชีวิตมันจะเป็นอยู่ผาสุก

ในสังคมไทยผู้หญิงเคยชินกับการได้รับ ก็รับ รับ รับมาจนไม่ประมาณเลยว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นโทษภัยแก่ตน เห็นเขาให้ก็รับไว้ ไม่ว่าจะด้วยรับในน้ำใจ รับเพราะไร้เดียงสา หรือรับเพราะโลภก็ตามที ให้ทำความเข้าใจไว้เลยว่าคุณรับของเขามา เขาทวงคืนทั้งหมดแน่ ๆ ไม่หมดชาตินี้เขาก็ตามไปทวงต่อในชาติหน้า คุณจะต้องเสียอะไรให้เขาอีกมาก เสียเงิน เสียเวลา เสียตัว เสียอะไรต่อมิอะไรเท่าที่คุณได้รับมา

แน่นอนเขาไม่ได้ให้เปล่า ๆ เขามีดอกเบี้ยด้วย เขาให้คุณ 100 เขาไม่หวังจะได้จากคุณคืน 100 อยู่แล้ว จะเป็น 110 120 หรือ 1,000 มันก็แล้วแต่ความโลภของเขา ดังนั้นคุณไปรับของเขามา คุณก็ต้องเตรียมรับชะตากรรม

อย่าไปโดนภาพของคู่รักหรืออะไรมันหลอกเอา มันไม่มีหรอกคนที่แสนดีจะมาดูแลกันทั้งชีวิต ถ้าเขาดีจริงเขาจะเอาเวลาและทรัพยากรไปดูแลผู้มีพระคุณของเขา เขาไม่มาเสียเวลากับคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานหรอก ที่เขาทำเป็นแสนดี ดูแลเอาใจ นั่นเขาจะลงทุนเพื่อหวังกำไรจากตัวคุณนั่นแหละ วันใดวันหนึ่งที่คุณไม่สามารถทำให้เขาสาสมใจ วันนั้นแหละ รู้กัน

อยากฆ่าใครให้รักคนนั้น

จากที่อ่านข่าว : ศาลสั่งประหาร”หมอนิ่ม” จ้างฆ่า”เอ็กซ์-จักรกฤษณ์

ถ้าอยากทำร้ายใคร ฆ่าใคร จองเวรจองกรรมกับใคร ก็ให้รักคนนั้น แต่งงานร่วมชีวิตกับคนนั้นไปเลยครับ ท่านจะได้สิทธิ์จองเวรจองกรรมข้ามภพข้ามชาติ รวมถึงอกุศลวิบากนานานับประการเป็นโบนัสพิเศษ โปรโมชั่นนี้สามารถรับได้ทุกช่วงเวลา ไปตราบชั่วนิรันดร์

รักใครมากก็เกลียดคนนั้นมากครับ ชาติแรก ๆ มันอาจจะไม่จัดจ้าน แต่ยิ่งสะสมวิบากร่วมกัน กิเลสมันจะจัดจ้านไปเรื่อย ๆ มันจะหลงมากขึ้น จนรักได้ถึงขนาดฆ่ากัน และเกลียดกันได้ถึงขนาดฆ่ากัน สองขั้วนี้เหวี่ยงไปมาไม่มีวันจบสิ้น รักก็ทุกข์ ชังก็ทุกข์

แล้วจะหนีก็หนีไม่ได้ด้วย วิบากมันลากมาเจอกัน และมันมีอุปาทานว่าฉันชอบแบบนี้ ก็เลยต้องมาร่วมหอลงโลงกันซ้ำไปซ้ำมา ทุกชาติ แรก ๆ มันก็ดีทุกคู่นั่นแหละครับ หลัง ๆ นี่จบไม่สวยทุกคู่ ยังไงก็ต้องทุกข์ แต่ไม่ใช่ว่าทุกข์น้อยแล้วจะไปเห็นประโยชน์มันนะ แบบว่า..ทุกข์นิดหน่อยพอรักต่อไปได้ แบบนี้มันก็เหยื่อของกิเลสดี ๆ นี่เอง มันไม่ได้มีชาตินี้ชาติเดียว มันมีต่อไปอีกไม่รู้จบ

ความผูกจากกรรมนี่มันไม่เท่าไหร่ หมดผลกรรมชุดนั้น ๆ ก็ยังพอหลุดกันได้ แต่ความผูกด้วยกิเลสนี่มันหมดหนทางรอดเลย คุณไปยึดว่าสิ่งนั้นดี คุณก็คว้ามันไว้ทุกชาติ แล้วอย่าคิดว่าจะปล่อยกันได้ง่าย ๆ นะ สำหรับเรื่องคู่ ถึงจะบวชเป็นพระก็เอาไม่อยู่ เจอตัวเวรตัวกรรมลากลงนรกมาเยอะแล้ว จะไปสู่ความเจริญก็มาดักตีหัวลากลงนรก สรุปชีวิตเกิดมาก็ต้องมาเป็นทาสรักทุกชาติ

ไปไหนไกลกว่านี้ไม่ได้ เพราะติดเรื่องคู่ ติดผัว ติดเมีย พอติดแล้วก็ยาวไปเลย ไม่มีหรอกเวลาศึกษาธรรมะ หรือเวลาที่จะใช้ทำดีเท่าคนโสด เพราะต้องหมกตัวสร้างวิบากบาปกับคู่ครองที่หลงว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญ คือเห็นกงจักรเป็นดอกบัวนั่นแหละ ก็เลยเอาเวลาไปทำบาปต่อกันซะเยอะ ชวนกันทำดีนิดหน่อยพอเป็นพิธี สร้างภาพให้ดูดีไปงั้น ๆ

สุดท้ายก็ต้องมารับผลวิบาก คือวนเวียนพบกับคู่เป็นหลักทุกชาติ แล้วทีนี้เวลาอกุศลวิบากจะออก มันก็ออกผลตอนครองคู่กันนี่แหละ ต่างฝ่ายจะต่างทำชั่วต่อกัน ทำร้ายกันโดยดูเหมือนไม่มีสาเหตุอันควร จะทำร้ายกันมากกว่าคนอื่น ก็เพราะมันสั่งสมวิบากร้ายต่อกันมามากนั่นเอง

สรุปคือ ไม่มีความสัมพันธ์รูปแบบไหนทำร้ายกันได้มากเท่ากับคู่ครองอีกแล้ว

ชังก็ช้า รักก็ช้า

วันนี้ออกไปเดินออกกำลังกายตอนเช้า หลังจากที่ไม่ได้เดินมานาน ระยะทางก็ไม่ไกล ไปกลับ 2 กิโลเมตร พอให้ได้ตื่นตัว

ผมเคยเดินแล้วเจอหมาบ้าง สนใจเราบ้าง ไม่สนใจเราบ้าง มันไม่สนใจเราก็ดี เราก็เดินต่อไป แต่ถ้ามันมาสนใจเรานี่สิ…

หมาที่เข้ามาขู่เรา มาเห่าเรา นี่ผมเคยเจอมาก่อนหน้านี้นิดหน่อย มันก็ตามเห่าเราอยู่นั่นแหละ ที่หนักกว่าคือวิ่งมาดักหน้า 3-4 ตัวแล้วรุมกันเห่า กันไม่ให้เราเดินไปต่อ ซึ่งไม่นานเจ้าของเขาก็มาไล่หมาไป แต่แบบวิ่งมากัดนี่ไม่เคยโดน

วันนี้เจอแบบใหม่ กระดิกหางมาแต่ไกล รู้เลยว่าแบบนี้ไม่กัด ไม่เอา ทำหน้าตาซื่อๆ เดินมาดมเท้าเรา เราก็ลดความเร็วลงเดินช้าๆ จะได้ไม่เตะมัน สักพักมันนึกคึก กระโดดๆ เล่นกับเราต่อ เราก็ไปไม่ได้ เพราะมันก็ดักหน้าเราไว้อีก ก็ต้องหยุดเดินกันนิดหนึ่งรอสบโอกาสแล้วค่อยเดินต่อ

พอเดินต่อไปไม่กี่ก้าว มันเรียกเพื่อนมาอีก เพื่อนมันก็สั่นหางตามมาเลย เรารู้แล้วว่าถ้าเดินช้านี่มันเล่นไม่หยุดแน่ เลยเดินเร็วหนีออกจากมันไป เพราะรู้แล้วว่ามันไม่กัดแน่ๆ

เดินไปก็คิดไป เออเนาะ มีคนชังเรามากเขาก็ดึงให้เราช้า มีคนรักเรามากเขาก็ดึงให้เราช้า ไอ้ชังก็ทนๆไป แต่รักนี่สิ มันมองเห็นยากนะ บางทีเราจะไปติดเมตตาเขามากจนเกินไป จนไม่ทันกิเลสตัวเองก็มี

เพราะชังนี่อาการมันชัด สังเกตุได้ง่าย แต่รักนี่มันเบากว่าบางกว่า แต่มันกัดกินแบบซึมลึก

เช้านี้ก็ได้มาเท่านี้ล่ะครับ

รักให้เป็นสุข รักอย่างไร

พิมพ์บทความเกี่ยวกับความรักกันมาแล้วก็พิมพ์ให้ต่อเนื่องกันหน่อย บทความนี้เกิดจากประโยคสั้นๆสองประโยค คือการทำให้ใครมารักนั้นไม่ยาก แต่การจะรักใครสักคนนั้นยากมาก

ประโยคสองประโยคนี้อ่านโดยทั่วไปอาจจะสับสนและงงๆ ตอนแรกก็พิมพ์ไปแบบนั้นแต่สุดท้ายคิดว่าน่าจะมาขยายเพิ่มจะดีกว่า เพราะการพิมพ์ประโยคสั้นๆนั้นอาจจะสื่อสารได้ไม่ดีพอ ทำให้เข้าใจสาระนั้นๆได้ไม่ครบถ้วน ไม่เต็มที่

บทความนี้เป็นเรื่องของการรักให้เป็นสุข คือรักอย่างไรให้เกิดความสุขแท้และยั่งยืนทั้งฝ่ายผู้ให้รับและผู้รับรัก เป็นความรักในมิติที่สูงกว่าการรักของคนคู่ทั่วไป เป็นรักที่มั่นคงและยืนยาว ข้ามภพข้ามชาติ ลองอ่านกันดู

อ่านต่อได้ที่บทความ : รักให้เป็นสุข

รักให้เป็นสุข

อ่านบทความอื่นๆ แนะนำ ติชม ทักทายกันได้ที่…

Facebook : ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

Blog : Minimal life : Dinh Airawanwat