การไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับการฆ่าและคนบาป ทำไมจึงไม่เลิกกินเสียล่ะ?

บุรุษผู้เป็นบัณฑิต พึงละเว้นบาปทั้งหลายในสัตว์โลก เหมือนบุรุษผู้มีจักษุ เมื่อทางอื่นที่จะก้าวไปมีอยู่ ย่อมหลีกที่อันไม่ราบเรียบเสียฉะนั้น ฯ (พระไตรปิฎก เล่ม 25 สุปปพุทธกุฏฐิสูตร ข้อ 112)

อ่านเจอพระสูตรนี้คิดว่าน่าจะช่วยให้หลายคนทำใจในใจได้ ถ้าอยากเจริญ อยากบรรลุธรรม อยากเป็นประโยชน์ต่อสัตว์โลก … ต่อให้ไม่อยากก็ได้ แค่ใช้ชีวิตไม่ให้ไม่เป็นโทษภัยต่อสัตว์อื่นก็พอ

พระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้เราละเว้นบาป เหมือนคนมีปัญญา รู้เห็นอยู่ว่าสิ่งที่กำลังจะกินอยู่นั้น มันก่อบาป ก่อโรค เป็นทั้งห่วงโซ่อุปทานในวงจรบาป เป็นทั้งอาหารก่อโรคภัยในตนเอง บัณฑิตเห็นดังนั้นแล้ว ก็ไม่ไปทำอย่างนั้นให้มันลำบากหรอก ก็เหมือนมันมีทางให้เลือกเดิน ทางรกกับทางเรียบ ๆ เราก็ไปทางเรียบสิ จะไปทางรกทำไมให้มันลำบาก

ทางอื่นในการดำรงชีวิตนอกจากกินเนื้อสัตว์ยังมีอยู่ แล้วจะไปกินทำไมให้มันลำบากตัวเอง เบียดเบียนสัตว์อื่น

บัณฑิตหรือผู้รู้นี่เขาเห็นแล้วว่ามีทางเลือกที่ดีกว่ากินเนื้อสัตว์ เขาก็เลิกไปเท่านั้นเอง เพราะไอ้บาป เวร ภัย นี่มันชัด ๆ อยู่แล้ว เป็นการเบียดเบียนหยาบ ๆ ที่แม้แต่คนทั่วไป ศาสนาใดเขาก็รับรู้ได้ จริง ๆ ถ้าไม่ฉลาด ก็ไม่น่าจะมั่นใจว่าตนเป็นพุทธนะ ศาสนาพุทธนี่เป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาแห่งการรู้แจ้ง ไม่ใช่ศาสนาไม่รู้ มั่ว ๆ เดา ๆ กรรมดี กรรมชั่ว กรรมใดเบียดเบียน กรรมใดไม่เบียดเบียน อันนี้มันก็หาศึกษาไม่ได้ยากในยุคอินเตอร์เน็ตเข้าถึงแบบนี้นะ

คนที่เห็นทางที่ดีกว่า สบายกว่า เบียดเบียนน้อยกว่า แล้วยังไม่ไป ก็ไม่แปลก ก็เขาไม่ใช่บัณฑิตไง …ตรงข้ามกับบัณฑิตก็มีแต่คนพาลเท่านั้นแหละ

ประกาศิตสั่งตาย!

เอาเป็นชิ้น ๆ” คำพูดของคน ๆ หนึ่งดังขึ้นมาหน้าร้านขายปลา แม่ค้าหยิบปลาดุกที่ยังเป็น ๆ ยังดิ้นไปดิ้นมา วางบนเขียง
 
ผมยืนมองชะตากรรมของปลาตัวนั้นว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป..
 
เมื่อปลาถูกจับวางลงบนเขียง มีดอีโต้เล่มหนาถูกยกขึ้นมาและสับ! ลงไปที่โคนหาง..เว้นต่อมาอีกประมาณ 1 นิ้วก็หั่นไปอีกที และหั่นต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงหัว แล้วก็หั่นหัวอีก 2 ที
 
(สมัยก่อนเขาประหารคนแบบตัดหัวนี่ก็ว่าโหดแล้ว ถ้าเขาตัดจากขาขึ้นไปทีละท่อน ทีละท่อนจนถึงหัว…คงจะโหดยิ่งกว่า)
 
…จบงานรับจ้างฆ่า รับเงินนายจ้าง แลกกับปลาที่ตนได้ฆ่า
 
เป็นการสั่งฆ่ารูปแบบหนึ่ง คือใช้ปากสั่ง มันก็ดูจะบาปชัด ๆ หน่อย แต่ถ้าไม่สั่งเขาก็ไม่ฆ่า ฆ่าทิ้งไว้เดี๋ยวมันไม่สด คนก็ไม่ซื้อ เก็บก็ยาก ตลาดชุมชนต่างจังหวัดก็แบบนี้แหละ
 
เทียบกับในเมืองหรือในห้างนี่ไม่ต้องใช้ปากสั่งแล้ว ส่วนมากเดินหยิบชิ้นส่วนที่ต้องการไปจ่ายเงินได้เลย ถือว่าลดขั้นตอนไปได้หนึ่งขั้น สะดวกกว่าเดิม แต่ก็บาปเหมือนเดิมนั่นแหละ เพราะเงินที่เราจ่ายไปนั่นแหละคือตัวแทนคำสั่งให้ฆ่าเขา
 
…เขาขายได้ เขาก็จับมา แล้วก็ฆ่ามาขายเรื่อย ๆ เขาก็ฆ่ามาเพื่อแลกกับความต้องการของคุณลูกค้า(นายจ้าง)ทั้งหลายนั้นแหละ

ศึกษาเรื่องผี

วันนี้ลุยศึกษาเรื่องผีทั้งวัน

..ก็ศึกษาจากพันทิพเหมือนเดิม ตามที่เขาเล่ามา จริงไม่จริงไม่รู้ แต่ก็กลับมาตรวจสอบตัวเองนะว่า เออป่านนี้เราก็พัฒนาจากคนที่บาปมากๆ มาจนทุกวันนี้เชื่อว่าได้สร้างบุญชำระบาปไปพอสมควรแล้ว ผมมั่นใจว่าผมมีบุญและกุศล(ความดี) มากพอสมควรเชียวล่ะ

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีนี่จะมาขอส่วนบุญคนมีบุญ ผมก็มีเยอะนะ แต่จนทุกวันนี้ยังไม่มีมาเลย มีแต่คนที่ยังมีความเป็นผีนี่แหละ ที่มาขอวิธีทำบุญ (ชำระกิเลส) กับผม ก็ช่วยๆกันไปแบบเพื่อนร่วมหนทางธรรม

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีมาขอส่วนบุญ จริงๆ ตามหลักพุทธนี่ เรามีกรรมเป็นของของตนนะ ไอ้บุญ กุศลอะไรนี่ก็เป็นสิทธิที่คนทำพึงได้ คนไม่ทำก็ไม่ได้ แล้วมันจะโอนกันยังไงหว่า นี่ผมก็ยังงงตรรกะนี้ ไม่รู้แนวคิดนี้มาจากไหนเหมือนกัน

ก็คนเขามักบอกกันว่า ต้องพกพระขลังๆ ผมนี่ไม่เคยพก ไม่เคยห้อยพระอะไรเลย และผมยังชัดเจนในใจว่า พระไหนจะยิ่งใหญ่สู้พระพุทธเจ้าอีก ไม่มีหรอกในโลกนี้ แค่พกความเป็นพุทธะไปก็พอแล้ว ไม่มีอะไรเหนือกว่านี้แล้ว ไม่ต้องไปหาให้มันเมื่อย ทำให้เกิดในตนนั่นแหละ เกิดมากเกิดน้อยก็แล้วแต่จะเพียรสร้าง

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีที่มาหลอกนั้นคือวิญญาณที่ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ซึ่งผมก็เข้าใจว่าผมเองก็มีวิญญาณเหมือนกัน ไม่เห็นมันจะแสดงอำนาจอะไรประหลาดๆ ถ้าตอนเป็นมันไม่มีอำนาจนั้น ตอนตายมันจะมีอำนาจนั้นได้อย่างไร ที่สำคัญคือเรื่องผีไม่ใช่เรื่องอจินไตย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ ไม่ใช่เรื่องที่คิดแล้วเป็นบ้า ไม่มีวันจบสิ้น แต่เป็นเรื่องที่มีจุดจบ มีคำตอบ เพียงแต่ต้องศึกษากันอย่างลึกซึ้งเท่านั้นเอง

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีมักจะมาหลอกตอนกลางคืน จริงมันก็ตลกดีตรงมีวันเวลาทำงานที่ชัดเจนขนาดนั้น ผมอ่านความเห็นนี้ก็มานั่งคิด ว่า เออ ทำไมมันต้องกลางคืน ทำไมต้องตอนนอน ทำไมต้องตอนกลัว …ผมเข้าใจสภาวะของจิตที่สติไม่ครบ เช่น ตอนง่วง หรือช่วงตอนตื่นนอน ผมมักจะใช้ช่วงเวลานั้นปรุงแต่งเรื่องบางเรื่องที่ต้องการศึกษาเพราะมันจะขยายได้มากกว่าปกติ นั่นเพราะไม่มีสติเป็นตัวจำกัด ดังนั้น “เรื่อง” จึงขยายได้ไม่มีจำกัด สภาพของจิตที่ตกร่องระหว่างจะหลับก็ไม่ใช่จะตื่นก็ไม่เชิงนี่แหละ ที่คนเขาว่ากันว่าเป็นภาวะของคนถูกผีอำ ซึ่งผมก็เห็นตามนั้นเพราะตอนนั้นปรุงอะไรมันก็ได้อย่างนั้นจริงๆ

ก็คนเขามักบอกกันว่า คนเห็นผีนั้นเป็นคนมีสัมผัสที่หก ผมยังเห็นว่าน่าจะเกิดจากอัตตามากกว่า เป็นอัตตาชนิดมโนมยอัตตา คือสร้างภาพขึ้นมาเอง ผมเข้าใจสภาพนี้เพราะมันสามารถปรุงมาได้ครบรสเลย คือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เขาว่าเจอผมก็เคยเจอบ้าง แต่ผมก็เข้าใจว่ามันเกิดเพราะอะไร มันมีเหตุจากอะไร จากสัญญาเก่าบ้าง มาเป็นนิมิตบ้าง หรือเป็นมโนมยอัตตาบ้าง อันนี้ต้องแยกให้ดี ผมเชื่อว่าถ้าผมยังเห็นผีอยู่ นั่นแหละผมยังมีกิเลสหนาที่ยังปั้นพลังงานสร้างผีขึ้นมาได้ ซึ่งเรียกว่าเสียของมากๆ แทนที่จะเอาพลังงานสร้างสิ่งที่มีประโยชน์กลับปั้นผีขึ้นมา จึงสรุปว่าคนเห็นผีนี่แหละยังเป็นคนที่มีภาระเยอะ วิบากกรรมก็เยอะเช่นกัน เพราะต้องมาเห็นอะไรที่ไม่ใช่ความจริงที่เป็นประโยชน์

….แต่ผมเองก็ยังไม่มีปัญญาพอจะอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ได้ คือยังไม่มีปัญญารู้แจ้งเหตุทั้งหมดของการเกิด “ผี” ก็คงต้องอาศัยศึกษาจากผู้รู้กันต่อไป

จริงๆ ผีมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก กิเลสเรานี่ร้ายกว่าผีเยอะ ผีนี่อย่างเก่งก็ทำให้เรากลัว ให้เราทุกข์ แม้จะทำให้เราตายได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะมันเป็นผลจากเหตุ แต่ถ้ากิเลสนี่มันเป็นเหตุที่ทำให้เกิดผล ถ้ายังเลี้ยงกิเลสไว้อยู่ มันก็ยังเป็นตัวที่สร้างผีอยู่นั่นเอง

ตบยุง จะดีไหม?

ช่วงหลังๆนี้ผมเริ่มมีปัญหากับยุงเยอะขึ้น เพราะนอกจากฝนจะตกบ่อยแล้ว ยังมีสารพัดไม้น้ำ และกระถางที่แม่ตั้งไว้เลี้ยงลูกน้ำเล่นๆอีกมากมาย

ยุงกับน้ำขังนี่เป็นของคู่กันจริงๆครับ ซึ่งปกติก็จะโรยทรายกันยุงครับ แต่ว่่าพอให้โรยทุกสามเดือน บางทีมันก็ลืมเหมือนกันครับ วิธีกำจัดยุงที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการกำจัดมันจากแหล่งกำเนิดเลย นั่นคือไม่มีที่ให้มันเกิดก็จะไม่มียุงแล้วครับ หรือถ้ามีก็คงมีน้อย เพราะอย่างน้อยมันก็ต้องบินมาไกลกว่าจะได้กัดเรา มันคงอ่อนแรงพอควรเลย

ตบยุงจะดีไหม
ตบยุงจะดีไหม

เป็นรูปของวันก่อนที่ตบยุงระหว่างทำงานได้หนึ่งตัว สภาพของมันเละคามือเลยครับ ผมเคยคิดว่าตบยุงนั้นบาปหรือไม่ เป็นการฆ่าสัตว์หรือไม่ จริงๆมันก็เป็นอย่างนั้นครับ เพราะก่อนจะตบ จิตใจของเรามีความพยายามในการฆ่าอยู่ครับ ดังนั้นควรจะฝึกอดทนให้ชินครับ ซึ่งผมเองชินกับการตบยุงมากกว่าการอดทนไม่ตบครับ บางทีก็ทำไปแบบอัตโนมัติเลยครับ เพราะความเคยชินมานั่งคิดๆดูมันก็ไม่ดีละนะ

ดีนะที่ยังเป็นยุงตัวเล็กๆ ลองคิดดูว่าคนที่ฆ่าสัตว์จนเคยชิน จะเป็นอย่างไร ก็ลองขยายภาพจินตนาการตอนตบยุงดูนะครับ

สวัสดี