เสพสุขจากความจำ

วันนี้ระหว่างดูข่าวตอนบ่าย เขาก็มีโฆษณาว่าจะมีละครยอดฮิต มาให้ดูกันอีก ก็นึกสนใจ เออเนาะ เขาก็ดูกันทั่วบ้านทั่วเมือง ก็ลองดูเขาสรุปหน่อยแล้วกัน

จะดูละครดึกนี่มันต้องอดทนเหมือนกันนะ ดูไปก็ง่วงไป แต่ก็ได้ประโยชน์อยู่เหมือนกัน ละครน่ะไม่มีประโยชน์อะไรหรอก แต่ประโยชน์ที่ได้มันเกิดจากที่เราพิจารณาโทษมั่นนั่นแหละ เรื่องประโยชน์-โทษในตอนนี้ก็ยกไว้ก่อนเดี๋ยวจะยาว

เห็นเขารวมช็อตเด็ดมาให้ คิดว่าเขาคงคัดมาแต่เจ๋ง ๆ ละนะ เราก็ไม่เคยดู ดูไปตอนแรกก็งงว่าทำไมต้องทำมาให้ดูด้วย ก็นั่งพิจารณาไป…

อ๋อ คนเขาเสพติด อะไรที่คนอยากได้อยากดูอยากเสพเขาก็ทำมาให้เสพนั่นแหละ แสดงว่าเขาประเมินแล้วว่าทำแล้วได้กำไรในทางธุรกิจเขาถึงทำ คือมีคนดูนั่นแหละ

กิเลสในด้านความรักที่โหดร้ายและออกยากกกกกกกกกก..สุด ๆ คือการเสพสุขจากอดีตนี่แหละ เอาแค่อดีตก่อน อนาคต กับปัจจุบันก็ร้ายใช่ย่อย ไว้ว่ากันตอนหลัง

เสพสุขจากอดีต คือนึกย้อนไปถึงเรื่องเก่า วันเก่า ๆ แล้วรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ คิดถึง คร่ำครวญถึง อยากให้ได้มีอดีตแบบนั้นมาเสพอีก

บางคนแม้เลิกรากันไปแล้ว ปัจจุบันแม้ไม่มีอาการอะไร แต่ขอให้ได้นึกถึงอดีตก็สุขใจ แบบนี้ก็ใช่ เป็นกิเลส เป็นภพ ก่อให้เกิด ชาติ ชรา มรณะ ฯลฯ คือไม่จบไม่สิ้นนั่นแหละ

พอคนเสพติดอดีต มันก็จะไปหาอนาคตที่เป็นอดีตแบบนั้น จึงกลายเป็นภพเป็นชาติ เป็นคนในฝัน หนุ่มสาวในสเป็ค ชอบนิสัยลีลาท่าทางแบบนั้นแบบนี้ เพราะมันจำมาหลายชาติ อยากได้มาหลายชาติ ฉันชอบแบบนี้ ๆ พอเห็นปุ๊ปก็รักปั๊บเลย นั่นอุปาทานมันทำงานแล้ว

กลับมาที่ละคร นี่ละครเขาจบไปแล้ว เห็นไหมว่าคนไม่ยอมให้จบ มีบางความเห็นอยากให้มีภาคต่อ อันนี้เขาเสพติดแล้ว หลงกลทั้งผู้จัดทำ หลงทั้งกิเลสในเวลาเดียวกัน

เขาเอาอดีตเก่า ๆ (ที่เรื่องจริงก็ยังไม่ใช่) เอามาตัดต่อกันให้ดู ก็ยังสุข ยังอิ่มเอมใจ ยังชอบอยู่ มันก็เสพอดีตอยู่นั่นแหละ

หลงไปเข้าไปแล้วมันออกยาก (มีครอบครัว)

จากกระทู้ : แต่งงานมีสามี มีลูกแล้ว แต่รู้สึกมันไม่ใช่

หลงไปเข้าไปแล้วมันออกยาก…

ผมว่านะ แต่ละคนที่เขามีคู่ มีลูก นี่เขาก็คิดว่ามันจะต้องมีความสุขกันทุกคนนั่นแหละ คืออย่างน้อยก็สุขกว่าที่เป็นอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาไม่ไปมีกันหรอก แบบนี้ก็เป็นความเห็นทั่วไปของคนในโลก

แต่ที่นี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆไง ความสุขมันมี แต่มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สรุปคือมันเกิดแล้วและมันก็ดับไปแล้ว มันเสพสิ่งเดิมๆ มันก็ไม่สุขเหมือนเดิมแล้ว สภาพสุขที่เคยได้เสพมันหมดไปแล้ว

ความสุขที่ว่านี่มันไม่ได้เกิดจากผัว จากเมีย จากลูกนะ มันเกิดจากจิตที่มันมีกิเลส มันอุปทานแล้วได้เสพสมใจมันก็เลยสุข สุขจากกิเลสแบบนี้เรียกว่าสุขลวง มันก็หลอกให้เราหลงไปเสพเท่านั้นแหละ

จริงๆ คือมันไม่เคยมี เราปั้นขึ้นมาเองว่ามันมี ที่นี้พอมันกลับเป็นสภาพจางคลาย แต่เราหลงยึดว่ามันเคยมี เราก็เป็นทุกข์

เหมือนกินขนมที่ชอบน่ะ คำแรกนี่มันสุขแสนสุขเลยนะ แต่คำที่ 10 ที่ 100 นี่มันสุขไม่เท่าคำแรกหรอก อันนี้จิตมันปั้นขึ้นมาเอง ขนมมันก็เป็นของมันแบบนั้น รสชาติมันก็แบบของมันแบบนั้นแต่แรกไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย มีแต่จิตเราที่เปลี่ยนไป

รักให้เป็นสุข รักอย่างไร

พิมพ์บทความเกี่ยวกับความรักกันมาแล้วก็พิมพ์ให้ต่อเนื่องกันหน่อย บทความนี้เกิดจากประโยคสั้นๆสองประโยค คือการทำให้ใครมารักนั้นไม่ยาก แต่การจะรักใครสักคนนั้นยากมาก

ประโยคสองประโยคนี้อ่านโดยทั่วไปอาจจะสับสนและงงๆ ตอนแรกก็พิมพ์ไปแบบนั้นแต่สุดท้ายคิดว่าน่าจะมาขยายเพิ่มจะดีกว่า เพราะการพิมพ์ประโยคสั้นๆนั้นอาจจะสื่อสารได้ไม่ดีพอ ทำให้เข้าใจสาระนั้นๆได้ไม่ครบถ้วน ไม่เต็มที่

บทความนี้เป็นเรื่องของการรักให้เป็นสุข คือรักอย่างไรให้เกิดความสุขแท้และยั่งยืนทั้งฝ่ายผู้ให้รับและผู้รับรัก เป็นความรักในมิติที่สูงกว่าการรักของคนคู่ทั่วไป เป็นรักที่มั่นคงและยืนยาว ข้ามภพข้ามชาติ ลองอ่านกันดู

อ่านต่อได้ที่บทความ : รักให้เป็นสุข

รักให้เป็นสุข

อ่านบทความอื่นๆ แนะนำ ติชม ทักทายกันได้ที่…

Facebook : ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

Blog : Minimal life : Dinh Airawanwat

อัตตา ความยึดมั่นถือมั่นในความดี

บทความนี้จะพามาไขความลับของนรกคนดี ทำไมคนดีจึงอยู่ไม่เป็นสุข กินมังสวิรัติได้ดีแล้วชีวิตน่าจะมีความสุข อายุยืน เจ็บป่วยน้อย แต่ทำไมชีวิตของเรายังไม่สุขเสียที เห็นคนนั้นคนนี้กินเนื้อสัตว์ก็ยังรู้สึกทุกข์ใจขุ่นใจอยู่เรื่อย อยากให้เกิดดีดังใจหมาย อยากให้ทุกคนหันมากินมังสวิรัติ อยากให้คนอื่นได้เลิกเบียดเบียน พอเขาทำไม่ได้ก็ทุกข์ใจ

นี่แหละคือพลังของอัตตาที่จะมาทำลายความสุขของเรา ถ้าเราไม่เรียนรู้เรื่องอัตตาไว้บ้างก็ยากที่จะพบกับความสุขแท้ เพราะอัตตานั้นเป็นกิเลสที่ละเอียด รู้ได้ยาก ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ชื่อแห่งความดี ความติดดี ติดสุข จนเราไม่สามารถที่จะล้างอัตตาได้ จนต้องทนทุกข์ไปอีกหลายต่อหลายชาติ นานตราบเท่าที่จะยินดีแบบอัตตานั้นไว้

อ่านต่อได้ที่บทความ : อัตตา ความยึดมั่นถือมั่นในความดี กรณีศึกษามังสวิรัติ ภาวะเมื่อผ่านพ้นจากความอยากกินเนื้อสัตว์
อัตตา ความยึดมั่นถือมั่นในความดี กรณีศึกษามังสวิรัติ ภาวะเมื่อผ่านพ้นจากความอยากกินเนื้อสัตว์

อ่านบทความอื่นๆ แนะนำ ติชม ทักทายกันได้ที่…

Facebook : ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

Blog : Minimal life : Dinh Airawanwat

อิสรภาพทางการเงิน

เป็นประเด็นที่คนวัยทำงานในยุคนี้ให้ความสนใจ กับคำว่าอิสรภาพทางการเงิน ผ่านการลงทุนหรือหุ้นในกลุ่มธุรกิจต่างๆหลายคนมีนิยามที่แตกต่างกันไปมากมาย แต่มักจะได้ข้อสรุปรวมตรงที่ว่ามีความสบายใจที่จะใช้เงินตามกิเลสของตัวเอง อิสรภาพทางการเงินมีจริงหรือ มีเงินแล้วจะมีความสุขจริงหรือ แล้วความสุขเช่นนั้นจะอยู่อย่างยั่งยืนจริงหรือ?  ผมจึงพิมพ์บทความนี้มาเพื่อให้เพื่อนๆได้ลองพิจารณากันดูนะครับ

อ่านต่อได้ที่บทความ : อิสรภาพทางการเงิน

อิสรภาพทางการเงิน

อ่านบทความอื่นๆ แนะนำ ติชม ทักทายกันได้ที่…

Facebook : ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

Blog : Minimal life : Dinh Airawanwat

จากเริ่ม จนจบที่มังสวิรัติ

แสงยามเช้า

เมื่อปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ผมเองก็ยังเป็นคนทั่วไป กินอยู่อย่างคนทั่วไป มื้ออาหารทุกมื้อประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์เป็นเรื่องปกติทั่วไป ผมใช้ชีวิตแบบทั่วไปแบบนี้มาทั้งชีวิต จนกระทั่งทุกวันนี้ ไม่มีเนื้อสัตว์ในมื้ออาหารของผมมานานหลายเดือนแล้ว…

ชีวิตที่ผ่านมา บอกตรงๆ ว่าไม่เคยสนใจเรื่องมังสวิรัติเลย แม้แต่กินเจก็ไม่เคยกิน ไม่สนใจ ไม่เข้าใจ กินไปทำไม…

จนกระทั่งต้นปี 2556 เพื่อนชวนไปค่ายสุขภาพของหมอเขียว จริงๆก็ไม่ได้สนใจสุขภาพอะไรหรอกนะ พอดีว่าว่าง หาอะไรทำ ก็เลยไปกับเขา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในค่ายมีอะไร ให้ทำอะไร ทำไปเพื่ออะไร จะได้อะไร ก็รู้แค่ว่าดีกว่าอยู่บ้าน

การไปค่ายสุขภาพครั้งนั้นได้ก็นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตผมอย่างรุนแรง ความรู้ที่ได้รับจากค่าย ทำให้ผมเข้าใจทุกข์ โทษ ภัย ผลเสีย ของการที่เรายังอยากกินเนื้อสัตว์ ทั้งต่อสุขภาพในระยะยาว และอื่นๆอีกมากมาย แน่นอนว่าผมไม่อยากเป็นคนแก่ที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล อย่างน้อยที่สุดก็อยากจะสุขภาพดีเท่าที่ทำได้ละนะ

บนยอดเขา

กินมังสวิรัติแล้วดียังไง?

จะว่าไปการกินมังสวิรัติเพื่อสุขภาพก็เป็นเหตุผลรองๆ ที่ผมให้ความสำคัญ แต่ก็ได้รับสิ่งที่เห็นผลของการกินมังสวิรัติได้อย่างชัดเจน นั่นคือน้ำหนักลด ซึ่งโดยปกติแล้ว ผมเองเป็นคนที่ไม่ออกกำลังกาย จะขี้เกียจๆไปออกกำลังกายตามแบบที่เขาทำกันด้วยซ้ำ ดังนั้น น้ำหนักที่ลดจนเป็นหลักฐานให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน มาจากการปรับอาหารล้วนๆ ไม่มีกิจกรรมอื่นใดปนเลย

ลดน้ำหนัก

การปรับอาหารมากินมังสวิรัติ ทำให้น้ำหนักของผมลด จากช่วงที่เกือบจะเลย 100 กิโลกรัม ลงมาเหลือราวๆ 80 ปลายๆ และลดลงมาอีกช่วงใหญ่ๆ เมื่อปรับมื้ออาหารให้พอดี เท่าที่จำเป็นในชีวิตจริงๆ ถ้าจะนับผลของการกินมังสวิรัติที่นำมาซึ่งน้ำหนักที่ลดลงของผม ก็คง ราวๆ 10 กิโลกรัม แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วสำหรับร่างกายที่เบาสบายขึ้น

เป็นการลดน้ำหนักโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน เสียแรง เสียเวลา แถมยังประหยัดเงิน ได้สุขภาพภายในที่ดีขึ้นมาอีก ดีไหมล่ะ

ความยุ่งยากในชีวิตที่ลดลง เป็นอีกหนึ่ง ข้อดี คือไม่ต้องลำบากไปหาเนื้อมากิน ไปสรรหาร้านเนื้ออร่อยๆ ไม่ต้องสนใจว่าร้านนี้จะมี หมู ไก่ เนื้อ หรืออะไรยังไง ไม่ต้องคิดมาก หลายคนอาจจะคิดว่ากินผักยุ่งยาก ซึ่งปกติในชีวิตเราก็กินผักกับเนื้อปนกันอยู่แล้ว อันนี้ก็แค่เลิกกินเนื้อ แต่ผักก็ยังกินปกติอยู่นั่นแหละ แค่ลดจากแบบชาวบ้านทั่วไปลงมา สะดวกกว่าเดิมเยอะ

อาหารพื้นบ้าน

อย่างกรณีที่ได้ลดความยุ่งยากในชีวิต คือ ตอนผมไปเช่าบ้านอยู่ที่ปากช่อง ไม่มีตู้เย็น หากว่ายังติดเนื้อสัตว์อยู่ชีวิตก็คงลำบากแน่ๆ ไหนจะต้องซื้อตู้เย็นมาเป็นภาระอีก แต่การเก็บผักนั้นไม่ยากเลย เอามาวางๆไว้ อย่างมากก็แค่เหี่ยวนิดหน่อย แต่ก็ยังกินได้ ยิ่งกะหล่ำปลีนี่เก็บไว้ได้หลายวันเลย ถือว่าการกินมังสวิรัติช่วยให้ชีวิตผมตอนอยู่ต่างถิ่นมันง่ายและสะดวก คล่องตัวขึ้นมาก

สุขภาพดี เป็นอีกสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน แต่จะเกิดขึ้นจากภายในมากกว่า เพราะร่างกายไม่ต้องลำบากมาย่อยเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก กินแต่ละทีอืดเป็นวันๆ ทำให้เหลือพลังงานในการเอาไปซ่อมแซม บำรุงส่วนที่สึกหรออื่นๆ จนทำให้มีความ สุขสบาย เบากาย มีกำลัง รวมทั้งสบายใจที่ได้จากการลด ละ เลิกการกินเนื้อสัตว์อีกด้วย

เห็ด

กินแล้วมีความสุขไหม?

ผมได้คุยกับคนหลายคน ซึ่งเขามองว่าการกินมังสวิรัติลำบาก ไม่อร่อย ทรมานตัวเอง ยังอยากมีความสุขอยู่ ฯลฯ …จริงๆผมเองก็อยากมีความสุขเหมือนกันนะ…

แต่ก่อน …ผมก็เป็นคนชอบกินเนื้อมาก คอหมูย่าง เนื้อย่าง ไก่ย่าง ยิ่งติดมันหวานๆ นี่ยิ่งชอบ สเต็ก ปลาดิบ ซีฟู้ด อะไรต่างๆนาๆ นี่ของโปรดเลย …แล้วถ้ามันกินแล้วมันเป็นสุขแล้วผมจะเลิกกินทำไม ผมกินไปเรื่อยๆ ก็มีความสุขไปเรื่อยๆ มันน่าจะเป็นอย่างนั้นสิ…

จนกระทั่งวันที่ได้พบกับ ความรู้สึกที่ว่า “ สุขกว่าเสพ ” นี่แหละ ที่ทำให้ผมมั่นใจที่จะเลิกกินเนื้อสัตว์ อย่างน้อยมันก็สุขมากพอที่จะทำให้ผมยอมทิ้งสุขที่เคยได้รับเมื่อตอนกินเนื้อละนะ ความรู้สึกนี้อาจจะยากสักหน่อยที่จะเข้าใจ จนกว่าวันที่ใครสักคนยินดีที่จะละเนื้อสัตว์ด้วยใจที่สบายๆ แม้จะเห็นคนอื่นกินต่อหน้าก็ไม่ได้อยากกิน หรือทุกข์ใจอะไร ก็ตอนนั้นแหละคงจะพอ รู้สึกเองว่า “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

แดดยามเย็น

และสิ่งที่แน่นอน คือ มีความสุข …ความรู้สึกดีๆ นี้เกิดขึ้นได้ หลังจากลด ละ เลิก กินเนื้อสัตว์ เชื่อไหมว่าช่วงที่พยายามจะเลิก ผมรู้สึกผิดทุกครั้งเวลาขับรถไปแล้วเห็นรถขนหมู รถขนวัว ผมรู้ว่าปลายทางของมันจะไปที่ไหน และรู้ตัวดีว่าผมเองคือเหตุหนึ่งที่ผลักดันมันไปสู่ที่นั่น

เมื่อเราเลิกกินเนื้อสัตว์ได้แล้ว การเบียดเบียนจึงไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ผมสามารถมองสัตว์เหล่านั้นด้วยความรู้สึกธรรมดาๆ อย่างที่สัตว์โลกเห็นกันทั่วไป ไม่ต้องรู้สึกผิดเหมือนเคย เป็นความสบายใจที่ได้รับมาจากการเลิกกินเนื้อสัตว์ หรือที่ใครๆเขาเรียกกันว่า “ บุญ

วัวข้างทาง

กินมังสวิรัติแล้วอยู่ได้ยังไง?

หลายๆ คนมักจะมองว่า การกินมังสวิรัติ ทำให้ไม่มีแรง เพลีย อ่อนล้า หิว อะไรก็ว่ากันไป ผมเองทดลองกินมังสวิรัติและกำหนดช่วงเวลาทำงาน คือการใช้แรงงาน รวมถึงงานที่ใช้สมองรวมอยู่ด้วย

ผมตื่นตั้งแต่เช้า ราวๆ  7 โมง ก็ขับรถไปที่ไร่เพื่อทำงาน ซึ่งตอนนั้นเป็นงานขุดแปลงผัก สักประมาณ 11 โมงก็กลับมาทำกับข้าวกิน พักสักครู่ใหญ่ๆ บ่าย 1 ก็ออกไปขุดต่อ ขุดเรื่อยๆเหนื่อยก็พัก ตกเย็นก็กลับบ้าน มาทำงานออกแบบที่ในส่วนของพื้นที่ใช้สอยต่างๆ มุมต่างๆของที่ และนอนเวลา 3 ถึง 5 ทุ่มโดยประมาณ

ต้นอ่อนฟักทอง

ผลการทดลองออกมาก็อยู่ได้ตามปกติ มีแรงทำงาน มีสมองออกแบบ แถมยังฟุ้ง จินตนาการบรรเจิด จนบางทีทำให้นอนดึกกว่าปกติก็มี ทั้งหมดนี้ ผมกินมังสวิรัติ และ กินมื้อเดียว ต่อวัน ไม่ได้ดื่มน้ำผลไม้ หรือนม นอกมื้อดื่มเพียงแค่น้ำเปล่า เท่านั้น

อ่านมาจนถึงตรงนี้ ก็คงจะตอบได้แล้วว่า การกินมังสวิรัติก็สามารถทำให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ เหมือนทั่วๆไปละนะ

วิธีกินมังสวิรัติ

การเปลี่ยนมาสู่การกินมังสวิรัติในทันที ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ ต้องอาศัยพลังในการอดทนและความรู้ในการเข้าถึงประโยชน์ของการกินมังสวิรัติอย่างมาก การเริ่มกินในเบื้องต้นก็ควรจะเริ่มจาก ลด ละ เลิก เนื้อสัตว์ไปตามลำดับ

มังสวิรัติ-ซื้อกิน

แรกๆก็อาจจะเริ่มจากการ ลด ลดปริมาณการกินเนื้อลง จากที่เคยกินเนื้อเยอะๆ ก็ลดปริมาณ แล้วเพิ่มผัก เพิ่มแป้งเข้าไปแทนในอัตราส่วนที่ยังอิ่มสบายอยู่

การ ละ เช่นในหนึ่งอาทิตย์ ก็ลองกินมังสวิรัติ สักมื้อ แล้วค่อยขยับมาเป็นสักวัน หรือสักสัปดาห์ เพิ่มช่วงเวลาที่ ละ เนื้อสัตว์ไปเรื่อยๆ หรือจะละเนื้อสัตว์ใหญ่ กินแต่สัตว์เล็กลงมาเรื่อยจนเหลือ ปลา แล้วค่อยพัฒนาต่อไปก็ได้

เมื่อละได้จนรู้สึกว่ามีพลังพอจะ เลิก ได้ก็ให้ตั้งใจเลิกไปเลย ได้ไม่ได้ ไหวไม่ไหว ก็อีกเรื่องหนึ่ง มันจะมีความคิดมากมายที่คอยฉุดเราไว้ไม่ให้เลิก ในตอนนี้เราต้องสู้กับความคิด หรือกิเลสเหล่านั้น

มังสวิรัติ-ทำเองกินเอง

ข้าวยังเป็นหลัก การกินมังสวิรัติของผม ไม่เคยลดข้าวเลย ลดแต่เนื้อสัตว์ แล้วก็เพิ่มผัก เพิ่มข้าวในปริมาณที่อิ่มสบาย อาจจะขัดกับความรู้ในการรักษาสุขภาพและการลดน้ำหนักทั่วๆไปว่าให้ลดข้าว กินโปรตีน กินผัก แต่นี่ผมก็ยังกินข้าวเต็มๆแบบไม่กลัวอ้วน กินผักเยอะๆ น้ำหนักก็ยังลงได้สบายๆ

อีกทั้งข้าวยังเป็นแหล่งสารอาหารด้วย วิตามินมากมายอยู่ในเมล็ดข้าว ถ้าผมเลือกได้ ผมจะเลือกกินข้าวกล้องซึ่งให้คุณค่าสูงสุดในการเคี้ยวหนึ่งคำข้าว

การหากินอาหารมังสวิรัติในชีวิตประจำวัน ดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับชีวิตคนเมือง แต่จากที่ผมได้ทดลองมา ร้านขายอาหารหลายร้านก็ให้ความร่วมมือดีนะ เข้าร้านก๋วยเตี๋ยว ไปสั่งก๋วยเตี๋ยวเอาแต่เส้นกับผัก เข้าร้านข้าวแกง ก็สั่งเอาแต่ผัก เข้าร้านอาหารตามสั่งก็สั่งเมนูปกติ แต่ใส่ผักแทนเนื้อสัตว์ไป ก็ไม่เห็นมันจะลำบากตรงไหน ยิ่งถ้ายังกินไข่อยู่ก็สามารถหาเมนูได้มากมาย เมื่อเราคุ้นเคยในการสั่งเมนูมังสวิรัติ หรือมีร้านที่เรากินประจำ เมื่อนั้นแหละการกินมังสวิรัติจะง่ายขึ้นมาทันที

หรือถ้ายังกล้าๆ กลัวๆ ในการสั่ง ก็ให้เขี่ยเนื้อสัตว์ออกเอา โดยหลักๆแล้วเนื้อหามันก็มีแค่ว่า “ เราอยากกินเนื้อสัตว์หรือไม่อยากกิน “ แค่นั้นเอง ไม่อยากกินก็เขี่ยออก หรือให้คนอื่นไป ถ้ามันอยากกินมากนักก็เอาเข้าปากไป แล้วค่อยว่ากันใหม่

มังสวิรัติ-แม่ทำ

การซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเอง สมัยนี้คนเมืองสามารถหาซื้อผักที่หลากหลายได้ง่ายๆ ยิ่งผักปลอดสารพิษก็มีขายเยอะขึ้น มีให้เลือกตามสะดวก ราคาก็ไม่แพง เมื่อเทียบกับสุขภาพในระยะยาว ส่วนคนที่อยู่ต่างจังหวัดก็หัดปลูกเองกินเองไป

หิวและไม่อยู่ท้อง เป็นอีกหนึ่งปัญหาของคนกินมังสวิรัติ ค่ายสุขภาพได้สอนมาว่า ปัญหาของคนกินเจเช่น ไม่อยู่ท้อง ไม่มีแรง สามารถแก้ปัญหาด้วยการกินถั่ว ธัญพืชต่างๆ เข้าไปเพิ่ม ผมเองก็ไม่เคยกินเจนะ… แต่จากที่ลองดู ถั่วก็สามารถทำให้อยู่ท้องและมีแรงได้จริงๆ จะรู้ได้เลยว่ากินถั่ว กับไม่กินถั่ว ร่างกายก็จะแสดงอาการต่างกัน

ทุ่งหญ้า

ชีวิตมังสวิรัติ

การที่เราจะหันมากินมังสวิรัติ ก็คงจะได้รับเสียงตอบรับจากสังคมรอบข้างกันไปต่างๆ นาๆ  ถือเป็นความท้าทายหนึ่งในการกินมังสวิรัติ เป็นบททดสอบว่าเราเอาจริงไหม เรามั่นใจว่าสิ่งนั้นดีจริงไหม เรามีกำลังใจมากพอไหม เรามีความรู้เกี่ยวกับการกินมังสวิรัติมากพอไหม

ถ้าเรามั่นใจว่าสิ่งที่เรากำลังทำดีจริง และทำอย่างจริงจัง คนรอบข้างจะค่อยๆเปลี่ยนไปตามเรา อาจจะเข้าใจเรามากขึ้น อาจจะเห็นดีกับเรา หรือกระทั่งอาจจะหันมากินมังสวิรัติตามเราก็เป็นไปได้ ส่วนคนที่เขายังไม่เห็นด้วย ก็ให้เข้าใจเขา เขาจะติดการกินเนื้อ จะเข้าใจว่าการกินเนื้อดี หรือจำเป็นต่อชีวิต ก็เป็นความเข้าใจของเขา เราก็กินของเราไป

ถ้าสิ่งที่เราปฏิบัติมันดีจริง เรามั่นคงจริง มันทำให้สุขภาพดี หน้าตาผ่องใส จิตใจดีขึ้น มีผลมากมายที่เห็นได้ชัดจริงๆ …วันหนึ่ง ถ้าเขาสนใจ เขาก็มาถามเองนั่นแหละ

ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับเมนูมังสวิรัติ บทความมังสวิรัติได้ที่ Veggie kitchen , facebook (Veggie Kitchen)

แดดยามเช้า

เมื่อไม่มีแมว

วันก่อนได้เห็นภาพที่ได้ถูกแบ่งปันกันตามเฟสบุค เป็นภาพที่มีคนอุ้มลูกแมวหลายๆตัวไว้ในอ้อมกอด ดูแล้วก็นึกถึงตอนที่เคยมีแมวตัวใหญ่ๆ สามตัวที่มันยังอยู่รวมกัน หลายครั้งก็ได้อุ้มมันแบบนั้นเหมือนกันนะ

อุ้มแมวสามตัว
อุ้มแมวสามตัว

Continue reading เมื่อไม่มีแมว

มือเย็นปลูกต้นไม้ขึ้น

หลายๆคนคงจะเคยได้ยินคำว่ามือเย็น ที่มักจะใช้กับคนที่ปลูกอะไรก็ขึ้น ปลูกอะไรก็งอกงาม ผมก็เป็นอีกคนที่มักจะถูกเรียกว่าเป็นคนมือเย็น

คนมือเย็น หรือที่มีคนให้คำจำกัดความไว้ว่าใช้เรียกคนที่มักปลูกต้นไม้ได้งอกงามดีว่า “คนมือเย็น” ตรงข้ามกับ “คนมือร้อน” ซึ่งจริงๆก็เป็นคำเรียกละนะครับ เพราะจริงๆแล้วบางทีคนมือเย็นก็อาจจะไม่ได้ปลูกต้นไม้ได้งอกงามอย่างที่เห็นเพราะกว่าจะงอกงามได้อย่างที่เห็นและเรียกกันว่ามือเย็น อาจจะผ่านซากต้นไม้ พรากมาหลายชีวิตแล้วก็เป็นได้

ในทางตรงกันข้าม คนมือร้อน เมื่อพบว่าปลูกต้นไม้แล้วตาย หรือไม่งอกงาม ก็จำกัดความว่าตนเองเป็นคนมือร้อน และจำไว้อย่างนั้น แล้วก็เลิกปลูก ซึ่งจริงๆแล้วอาจจะไม่เป็นอย่างนั้น…

มือเย็นปลูกต้นไม้ขึ้น

(อยากเริ่มต้นเป็นคนมือเย็นให้หัดเพาะต้นที่งอกง่ายๆเช่นถั่วงอก หรือในรูปก็จะเป็นกระถินครับ)

ตัวผมเองบอกตรงๆ ว่าไม่เชื่อในเรื่องของ คนมือเย็นหรือคนมือร้อน ผมเชื่อในความเป็นจริงมากกว่า คือคนเข้าใจในต้นไม้ที่ปลูกหรือไม่ ได้ดูแลต้นไม้ในแบบที่มันต้องการหรือไม่ เพราะจริงๆแล้ว ถ้าให้คนมือเย็นและคนมือร้อนใช้วิธีและดูแลแบบเดียวกัน ผลมันก็คงจะออกมาไม่ต่างกันนัก

สำหรับเรื่องของจิตใจผู้ปลูกนั้นมีผลกับต้นไม้หรือไม่ จากที่เคยรับรู้มาในหลายๆเรื่องราวก็ได้ยินว่ามีผลอยู่ซึ่งอาจจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมก็ได้ เช่นการเปิดเพลงให้ต้นไม้ฟัง(ฟัง?) ก็อาจจะให้ผลทางอ้อมคือคนดูแลอารมณ์ดีทำให้ดูแลต้นไม้ด้วยความละเอียดมากขึ้น ส่วนทางตรงก็น่าจะเป็นคลื่นเสียงมีผลกับการเติบโตของต้นไม้อะไรแบบนี้คงต้องใช้ข้อมูลงานวิจัยมาอ้างอิงละนะ ใครมีเวลาก็ลองค้นๆดูกันแล้วกันนะครับ

หรือกระทั่งเรื่องของคลื่นที่คนปล่อยออกมา ผมไม่แน่ใจในเนื้อหาแต่ก็เคยได้ยินมาว่าเมื่อเรามีความสุขจะส่งคลื่นออกมาแบบหนึ่ง แต่เมื่อเรามีความทุกข์ก็จะส่งคลื่นออกมาอีกแบบหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีผลต่อการงอกงามของต้นไม้ก็เป็นไปได้ (แต่ผลกระทบคงไม่เยอะเท่าได้น้ำและแสงแดด…) เพราะต้นไม้ก็ใช้คลื่นของแสงในการสังเคราะห์พลังงานเหมือนกัน

สรุปว่าบางทีเรื่องมือร้อนมือเย็นนี่ผมคิดว่า คงจะเป็นเรื่องที่เราคิดไปเองเสียมากกว่า เพราะกว่าผมจะโดนเรียกว่าคนมือเย็นนั้น ผมทำต้นไม้ตายไปหลายต้นแล้วครับ…

ความสุขจากการขายของ

หลายวันก่อนในห้องเรียนวิชาเกี่ยวกับ SME ได้มีอาจารย์พิเศษมาสอนให้หัวข้อเกี่ยวกับกฏหมายครับ ซึ่งน่าสนใจมากๆ

แต่สิ่งที่น่าสนใจนั้นไม่ใช่ข้อกฏหมาย แต่เป็นประสบการณ์ที่อาจารย์ได้มาเล่าให้ฟังครับ ซึ่งปกติเขาก็ไม่ได้เป็นอาจารย์ประจำครับ แต่มีความรู้ด้านกฏหมายรวมกับประสบการณ์ทางธุรกิจที่มากมาย จึงเป็นโอกาสที่เราได้มาเจอกัน

บทเรียนในห้องที่น่าสนใจ

เนื้่อหาที่เล่านั้นมีมากมายหลายหลาก การแบ่งปันประสบการณ์ในการเผชิญปัญหา ทางแก้ สิ่งที่ได้รับ มีอยู่ช่วงหนึ่งแกพูดถึงความรู้สึกถึงการประสบความสำเร็จ และมีความสุขเมื่อได้ทำธุรกิจ ซึ่งแต่ก่อนจะมาทำธุรกิจแกได้ทำงานเกี่ยวกับกฏหมาย ซึ่งก็มีรายได้มากอยู่แล้ว แต่มีเหตุการณ์ทำให้ตัดสินใจเปลี่ยนไปทำธุรกิจครับ

โดยแกได้เล่าว่า การทำธุรกิจนั้นทั้งผู้ขายและผู้ซื้อก็มีความสุข คนขาย ขายของได้เงินก็มีความสุข คนซื้อได้ของตามที่หวังก็มีความสุข ผมฟังเนื้อหาเหล่านี้แล้วก็กลับมานึกถึงตัวเองว่าผมเคยมีความรู้สึกเหล่านี้บ้างไหม แล้วมันผ่านมานานแล้วแค่ไหน

เรื่องราวที่ย้อนไปถึงอดีต

ความรู้สึกยินดีและความสุขของผมเริ่มที่มังกีซ์โกรฟ มันเป็นวันที่แดดตอนบ่ายไม่ร้อนจนเกินไป ผมลองไปขายโปสการ์ดที่จตุจักรโดยตั้งแผงง่ายๆ ที่กางออกแล้วขายได้ทันที ซึ่งผมจำได้เลยว่าลูกค้าคนแรกของผมเป็นผู้หญิงวัยกลางคนหน่อยๆ ซื้อโปสการ์ดของผมไปสองใบ สมัยนั้นยังไม่มีชุดการ์ดและแบบการ์ดให้เลือกมากมายเหมือนตอนนี้ แต่ผมเองก็ยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ มันมีความสุขมากๆ

การขายงานศิลปะหรืองานฝีมือนั้น ต่างจากงานรับจ้างต่างๆที่ผมเคยทำมา งานที่มาจ้างผมทำ คือเขาต้องการในแบบของเขาจึงมาจ้างผมทำ แต่การขายงานศิลปะคือผมทำขึ้นมาก่อนแล้วเขาสนใจ เขาจึงซื้อ ความรู้สึกที่มีคนซื้อผลงานของเราโดยที่ไม่รู้จักกันมาก่อน..สำหรับศิลปินด้อยประสบการณ์อย่างผม ถือว่าเป็นความรู้สึกปลาบปลื้มจนยากจะลืม

ปัจจุบันผมไม่ค่อยมีเวลาหรือมีความคิดไปขายตามสถานที่ต่างๆแล้วเพราะเวลาและโอกาสนั้นไม่ค่อยจะอำนวยเท่าไหร่ จึงขายเฉพาะสั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ซึ่งผมก็ยังมีความสุขทุกครั้งที่มีรายการสั่งซื้อเข้ามา จำนวนการสั่งหรือรายได้คงไม่สำคัญเท่า การที่ผลงานของผมนั้นได้อยู่ในมือของคนที่ชอบและเห็นคุณค่าของมัน..

สวัสดี

มองย้อนไปเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา (2553)

เมื่อกี้ผมลองค้นดูรูปเก่าๆเมื่อถ่ายเมื่อปีที่ผ่านมา พบว่าหลายๆเหตุการณ์ดูเหมือนเพิ่งจะเกิดไปเมื่อไม่นาน แต่พอดูวันที่แล้วมันผ่านไปเมื่อปีที่แล้วทั้งนั้น

เขาว่าคนเราเมื่อมีความสุขเวลาจะผ่านไปเร็ว จริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่รู้แน่ๆคือเวลาที่เรามองย้อนกลับไปข้างหลัง มันดูเหมือนจะใกล้กว่าที่คิด ทั้งๆที่มันห่างไปตั้งหนึ่งปี ความทรงจำต่างๆที่เก็บรวบรวมมาไว้ในหนึ่งปีนั้น ถ้าไม่ได้รูปถ่ายช่วยจำไว้ ชีวิตผมก็คงต้องหลงลืมอะไรหลายๆอย่างไปตามทางที่มันควรจะเป็น

การจำหรือระลึกอะไรได้เยอะๆมันก็ดีอย่างตรงได้ทบทวนว่าได้ทำอะไรลงไปบ้างในเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา บางอย่างก็มีความสุข บางช่วงก็ทุกข์บ้าง แต่ไม่มีช่วงไหนเลยที่ไม่ดี เพราะทุกเหตุการณ์นั้นสอนผมอยู่เสมอว่าได้ทำอะไรลงไปแล้วได้ผลอะไรกลับมา

มีอย่างหนึ่งที่มองไปแล้วคิดถึงมากๆ นั่นคือจุ๊บ ผมไล่ดูรูปจุ๊บในปีที่ผ่านๆมา ผมถ่ายรูปมันไว้เยอะมากๆ เพราะมันน่ารัก และเป็นแมวตัวโปรด มันมีนิสัยที่เป็นตัวของตัวเองสูงมาก เดาใจยากสุดๆแต่ก็มีรูปแบบให้พอจะจับทางได้บ้าง และที่สำคัญมันนุ่มมาก ตอนนี้มันหายไปจากบ้านเกือบสองอาทิตย์แล้ว ผมอยากรู้ว่ามันไปไหน อยู่หรือตายไปแล้ว มันอาจจะถูกรถชนก็เป็นได้ ถ้ามันจะไปติดสาวบ้านอื่นก็คงจะยากเพราะมันโดนทำหมันตั้งแต่เด็ก อาการกระหายประจำปีของแมวหนุ่มจึงไม่เคยเกิดขึ้นกับมัน

จุ๊บเป็นแมวที่แทบจะไม่ส่งเสียงร้องเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนวิลลี่แม่ของมัน ผมชอบแมวแบบนี้ เงียบๆ ไม่สงเสียง นอน เดิน ตามใจของมัน แมวที่มายุ่งวุ่นวายมากๆกับร้องมากๆ นั้นส่วนใหญ่ผมจะไม่ค่อยได้ให้ความสนใจกับมันสักเท่าไรนัก

จริงๆคงจะเป็นผมเองก็ได้ที่แปลก จึงอยู่กับแมวแปลก หรือไม่ก็แมวได้ซึมซับสิ่งแปลกๆจากผมมาก็เป็นได้ จนถึงตอนนี้จุ๊บก็ยังไม่กลับบ้าน ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งมันจะกลับมา…

สวัสดี