อเจลสูตร

อเจลสูตร

ผมกำลังศึกษาเกี่ยวกับจิตตคฤหบดี และมีสมมติฐานว่าท่านน่าจะเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่พระอนาคามีอย่างที่เขาว่ากัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามีฆราวาสเป็นพระอรหันต์ ซึ่งในส่วนตัวผมก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะเป้าหมายของพุทธนั้นเป็นเรื่องของการหลุดพ้นจากกิเลส ใครก็หลุดพ้นได้ถ้าปฏิบัติจนถึงผล

กลับมาในอเจลสูตร เป็นสูตรที่ผมประทับใจเมื่อได้อ่าน อเจลกัสสปซึ่งเป็นสหายเก่าของจิตตคฤหบดี ที่ไม่ได้เจอกันนาน ไปแสวงหาปฏิบัติธรรมตามที่ตนเข้าใจ

เมื่อจิตตคฤหบดีได้พบก็ทักทายกันทั่วไป สักพักก็เปิดบทสนทนาด้วย เนื้อความประมาณว่า ที่ท่านไปปฏิบัติกว่า 30 ปี นั้นได้มรรคผลอะไรบ้างล่ะ

อเจลกัสสปก็ตอบว่า ไม่ได้อะไรนอกจากเป็นชีเปลือย หัวโล้น สลัดฝุ่น…

ว่าแล้วอเจลกัสสปก็ถามกลับไปว่าแล้วท่านล่ะ จิตตคฤหบดี ก็ตอบไปว่า เราไม่มีกามแล้ว ไม่มีอกุศลแล้ว บรรลุฌาน ๔ พระพุทธเจ้าพยากรว่าท่านไม่มีสังโยชน์ใดที่จะเป็นเหตุให้กลับมายังโลก (โลกียะ) อีกแล้ว (ในส่วนตัวผม แค่เนื้อความตอนนี้ก็มากพอที่จะยืนยันว่าเป็นอรหันต์แล้ว)

ฟังแล้วอเจลกัสสปก็ประทับใจ เกิดอยากบวชขึ้นมาทันที จิตตคฤหบดีก็เลยพาไปพบกับหมู่สงฆ์จนได้บวชและปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ในที่สุด… จบสูตรนี้

…..ชอบสูตรนี้ตรงที่ว่า ๑. เป็นมิตรสหายที่ดีต่อกันแล้วพากันไปเจริญ ในสูตรนี้ไม่ได้มีการพูดข่มใดๆ เลย เพียงแค่รับฟังกันตามความเป็นจริง
๒. ถามกันตรงๆ ว่าปฏิบัติธรรมมานานแล้วมีมรรคผลอะไรนี่แหละ …. ในปัจจุบันยอมรับเลยว่า การจะไปถามใครแบบนี้เขาจะโกรธเอา แต่ในสูตรนี้นี่เพื่อนเก่าไม่ได้เจอกันมานานมาก เรียกว่าห่างไปนาน มาเจอกันก็ยังถามได้ ผมว่ามันดีนะ จริงๆก็อยากถามเหมือนกันว่า แบบที่คุณๆ ปฏิบัติกันอยู่มันมีมรรคผล มีความวิเศษ มีอะไรดีๆ เกิดขึ้น ในชีวิตบ้าง… บางทีก็อยากจะถามไปเหมือนกันว่า ไอ้ที่ปฏิบัติอยู่เนี่ย มันลด โลภ โกรธ หลงอย่างไร? ….แต่ก็คงยาก ไปถามใคร เขาก็คงไม่ชอบใจ 555 (เพราะจะถามเจาะไปเรื่อยๆ) สมัยนี้ก็คงยกไว้แค่คนที่ถือวิสาสะกันจริงๆ เท่านั้น มิตรสหายทั่วๆไป นี่ผมไม่กล้า…

อีกสูตรหนึ่งที่มีน้ำหนักคือ ปุตตสูตร มีเนื้อความประมาณว่า หญิงชาวพุทธวิงวอนขอให้ลูกตัวเองเป็นอย่างจิตตคฤหบดีและหัตถกอาฬวกอุบาสก แต่ถ้าจะบวชก็ให้เป็นอย่างพระโมคคัลลานะ,พระสารีบุตร *ขอให้ลูกจงอย่าเป็นเช่นพระเสขะผู้ยังไม่บรรลุอรหัตผล …. นั่นหมายถึงที่ยกมาก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นอรหันต์ทั้งหมด

ความเสื่อมสลายโดยรูปของศาสนา

ความเสื่อมสลายโดยรูปของศาสนา

อ่านเจอข่าวสถานที่ปฏิบัติธรรมลารุงการ์ในทิเบต กำลังถูกรื้อถอนและจำกัดจำนวนผู้พักอาศัยลดลงมากกว่าครึ่ง

ก็มานั่งคิดว่า ศาสนานี่มันต้องเสื่อมแน่ๆ แต่เพียงแค่มันเสื่อมโดยรูปเท่านั้น นามนั้นยังมีอยู่ แต่นามนั้นเป็นของจริงไม่จริงนั้นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องพุทธในทิเบตก็ยกไว้ก่อน เอาพุทธในไทยนี่แหละ

ช่วงก่อนหน้านี้ก็มีกระแสกล่าวหาว่าพุทธนั้นโดนศาสนาอื่นโจมตี ก็มานั่งนึกอีกว่า เขาจะมากล่าวหา โจมตี สอดไส้สร้างความเสื่อมเสียแล้วมันยังไงหรือ? ถ้าเนื้อแท้มันยังอยู่ มันต้องไปกังวลทำไมเล่า ปัญหาจริงๆ คือตอนนี้มันมีแต่หนังรึเปล่า เนื้อไม่มีแล้ว มีแต่เปลือกๆ มันเลยสั่นคลอน หวั่นไหวได้ง่าย

ประเด็นคือคนที่ไม่รู้จริงก็จะกลัวความเสื่อม วิตกกังวลกันไปใหญ่ ก็พากันขัดขืนบ้าง เร่งสร้างหลักฐานบ้าง ก็เห็นชาวพุทธไทยนี่ชอบสร้างหลักฐานในการมีอยู่ของพุทธกันเหลือเกิน จนมันค่อนไปทางอัตตาเสียมาก คือมีอะไรก็สร้างวัตถุเป็นหลัก ธรรมะก็เน้นวัตถุกันอีก จะส่งต่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานนี่เขาเน้นส่งแต่วัตถุกันนะ แต่จะไปว่าเขาก็ไม่ได้ ก็เขารู้เท่านั้น

ในส่วนตัวผมนะ ว่าจะไม่เน้นวัตถุเลย เอาข้างในให้มันได้จริงๆ ก่อนเถอะ ถึงวันนั้นจะมีวัดไม่มีวัด มีพระไม่มีพระ มีพระไตรปิฎกหรือไม่มี มันก็ไม่ได้สำคัญเท่าไหร่หรอก (จริงๆ มีก็ดี แต่ไม่มีก็ไม่เป็นไร)

อย่างตอนที่พระเถระท่านร่วมกันสร้างพระไตรปิฎกขึ้นมานี่ วัตถุมันไม่ได้มาก่อนนะ มันตามมาทีหลัง มันเป็นมรดกจากความสมบูรณ์ คือพระอรหันต์ 500 รูปมาร่วมกันสร้าง ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์นี่เข้าร่วมไม่ได้นะ

แต่ทุกวันนี้อรหันต์ไม่อรหันต์ไม่รู้แหละ ตะบี้ตะบันสร้างวัตถุกันไป วัดบ้าง ตำราบ้าง ก็เยอะแยะหลากหลาย พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้นะ ให้ทำคุณอันสมควรก่อน จึงพร่ำสอนผู้อื่นภายหลังจักไม่มัวหมอง..

ผมนั่งนึกถึงวันที่พุทธในไทยมันเสื่อมสลายเหมือนกันนะ คือรูปไม่เหลือเลย วัดก็เละเทะ พระก็เละเทะ แล้วมันจะยังไง นึกไปมันก็ไม่ได้ทุกข์อะไร เพราะมันต้องเป็นไปอย่างนั้นอยู่แล้ว และที่สำคัญพุทธก็ไม่ได้สืบทอดกันแบบนั้นเสียหน่อย ศาสนาในปัจจุบันจะเละอย่างไร คนที่มีภูมิเก่าเขาก็สืบทอดสิ่งที่เขามีเขาเป็นมาก่อน แล้วพัฒนาต่อยอดไปเรื่อยๆ พอมีจริงแล้วมันก็เลยไม่กังวลว่าพุทธจะเสื่อมสลายไป เพราะรู้ว่าตนเองนี่แหละมีความเป็นพุทธอยู่ ถึงเหลือคนเดียวในโลกก็ทำไปเท่าที่ทำได้ ตายไปก็เกิดมาศึกษาต่อไปจนกว่าจะหมดกิเลส

พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้อย่ารีบเชื่อ ทั้งตำรา อาจารย์ผู้มีชื่อเสียง เพราะของพวกนี้มันไม่เที่ยง มันหลอกได้ มันปลอมได้ แต่ภาวะในตนนี่มันเป็นของจริง มันรู้แล้วรู้เลย มันแน่นอนกว่า เพราะเกิดจากการปฏิบัติสะสมมาหลายภพหลายชาติ พอไปลองปฏิบัติตามดูก็จะรู้เองว่าทางไหนใช่ ทางไหนไม่ใช่ ดังนั้นความเป็นพุทธจึงไม่หล่นหายไปไหน แม้รูปของศาสนาจะเสื่อมไปโดยสมบูรณ์ก็ตาม คนที่เขาปฏิบัติได้จริงถึงมรรคผลจริง เขาก็มีของเขาอยู่แบบนั้นแหละ

ทีนี้คนไม่รู้จริงเขาก็จะไม่มีความเข้าใจแบบนี้ เขาก็จะกังวล ตื่นตระหนก หากพุทธที่เขารักโดนทำร้ายทำลาย ถูกทำให้เสื่อมลง ส่วนใหญ่ก็จะเร่งสร้างวัตถุ สร้างมวล แต่ไม่ได้สร้างคุณภาพ คือไม่ทำความเห็นของตนให้ถูก เขาก็เลยต้องทุกข์เพราะความผิดหวังจากการพลัดพรากอยู่อย่างนั้น

 

Buddhism Vegetarian มังสวิรัติวิถีพุทธ

Buddhism Vegetarian มังสวิรัติวิถีพุทธ

Buddhism Vegetarian มังสวิรัติวิถีพุทธ

เชิญชวนกันอย่างเป็นทางการในบทความนี้ กับกลุ่มปฏิบัติธรรมที่ใช้แนวทางของการกินมังสวิรัติเข้ามาเป็นโจทย์ในการขัดเกลากิเลส ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้เจอมาและพร้อมจะเป็นเพื่อน เป็นที่ปรึกษาให้กับทุกท่าน

ในการเดินทางของชีวิต การจะเดินไปถึงเป้าหมายที่เรียกว่าความสุขแท้ได้นั้น ชาวพุทธจะเรียกวิธีการนั้นว่าปฏิบัติธรรม แต่ปัญหาที่หลายคนพบเจอคือจะปฏิบัติธรรมอย่างไร ปฏิบัติธรรมคืออะไร ปฏิบัติธรรมต้องเริ่มจากอะไร ปฏิบัติธรรมแล้วจะได้อะไร มรรคผลคืออะไร ทำไมปฏิบัติแล้วกลับไม่มีความสุข ไม่มีคำตอบให้ชีวิต นิสัยก็เหมือนเดิม ชีวิตก็ไม่ดีขึ้น ยิ่งปฏิบัติยิ่งหดหู่ ยิ่งท้อถอย ยิ่งทำยิ่งหลง ยิ่งวน  ยิ่งสงสัย ยิ่งไม่มั่นใจ ยิ่งกลัว ยิ่งกังวล…แล้วก็ทุกข์เหมือนเดิม

เมื่อได้เห็นและพิจารณาดู จึงเห็นว่าควรแล้วที่จะนำความรู้ที่ได้ศึกษามานั้น มาแบ่งปันให้กับเพื่อนมนุษย์ทุกท่าน ให้เป็นไปเพื่อความสุข เป็นไปเพื่อความดับกิเลส ยินดีที่จะไขทุกสภาวธรรมออกมาให้ศึกษากัน เรียนรู้กันทุกอย่างตั้งแต่ทาน ศีล ภาวนา เป็นลำดับขั้นตอนจากง่ายไปหายาก เพื่อให้ผู้มีบุญบารมีทุกฐานะได้ร่วมแบ่งปันและปฏิบัติธรรมในแนวทางนี้

การปฏิบัติที่ผมจะนำมาเสนอนั้นไม่ใช่แนวทางใหม่ เป็นเพียงการจับกิเลสตัวหนึ่งออกมาให้ทุกท่านได้ทดลองปฏิบัติธรรมเพื่อทำลายกิเลสตัวนี้ดู เพราะหากว่าใครที่สามารถเข้าใจกระบวนการฆ่ากิเลสนี้ได้แล้ว เขาจะสามารถนำความรู้ความเข้าใจนี้ไปทำลายกิเลสตัวอื่นๆที่ตนยังติดยังยึดอยู่ได้

การกินมังสวิรัติของกลุ่มนั้นไม่ใช่การกินเพื่อให้ดูสวยงามหรือเพื่อให้ดูดี แต่เปรียบได้กับสงครามที่ต้องสู้รบกับกิเลส มีทั้งซากศพ ความแพ้พ่าย หยาดเหงื่อ และน้ำตาของผู้ที่พ่ายแพ้ต่อกิเลสมามากมายในสมรภูมินี้

จึงขอเชิญชวนผู้ที่ต้องการพบกับความผาสุกของชีวิต และยังไม่รู้ว่าจะปฏิบัติธรรมอย่างไรให้เกิดมรรคผล ได้เข้ามาลองร่วมกลุ่ม เพื่อเป็นพลังพลักดันและขับเคลื่อนด้วยมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี สร้างสังคมที่พากันลดกิเลส พากันทำลายกิเลส เป็นไปเพื่อการดับกิเลส

อ่านบทความอื่นๆ แนะนำ ติชม ทักทายกันได้ที่…

Facebook : ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

Blog : Minimal life : Dinh Airawanwat