ท่องเที่ยว ท้าทาย อบายมุข

การท่องเที่ยวนี่ยิ่งท้าท้าย ยิ่งเบียดเบียนมาก อ่านข่าวแล้วเจอเนื้อหาที่ว่าน้ำแข็งบนยอดเขาเอเวอเรสต์ละลายแล้วเจอศพแช่แข็งกว่า 300 ศพ

เขาก็ไปท้าทายกัน ท้าทายไปก็ไม่ได้อะไร ภูเขามันก็อยู่ของมันแบบนั้น การที่จะมีคนไปเหยียบหรือไม่มี ไม่มีผลอะไรกับมันเลย

แต่เขาก็เอาชีวิตไปทิ้งกัน เสี่ยงไหมก็เสี่ยงมาก เขาก็เอาไปเสี่ยงกัน ไปท้าทาย เพราะหลงว่ามันจะดี มันจะสุข มันจะเลิศยอด สุดท้ายก็ตายหายสาปสูญกันไป

เบียดเบียนตัวเองและญาติมิตรไปแล้วยังไม่พอ ยังลำบากคนอื่นอีก เพราะค่ากู้ศพแต่ละศพนั้นมีต้นทุนเป็นหลักล้านในการดำเนินงาน

ก็อย่าไปหลงตามโลกกันนักเลยว่าที่นั่นดี ที่นี่ดี ที่นั่นท้าทาย อร่อย สนุก ฯลฯ มันลองไม่หมดโลกหรอก ทำจนตายก็ลองไม่หมด เหลือทิ้งไว้แต่ปัญหาและตัณหาเท่านั้นแหละ

ท่องเที่ยวทั่วไปก็พอกันนั่นแหละ ไปก็มีแต่กิเลส บำเรอกาม ผ่านการกิน ดู ชม ฟัง ฯลฯ คือทำแล้วกิเลสเพิ่มอย่าไปเลย

แต่ถ้าไปทำอะไรแล้วกิเลสลด อันนี้มันก็น่าลอง แต่คนส่วนใหญ่เขาไม่สนใจหรอก ใครจะไปล่ะ ไม่สนองกิเลส ไปขัดเกลาอัตตา ใครจะไป … ก็มีแต่คนต้องการพ้นทุกข์นั่นแหละ

[7] วิวข้างทาง ระหว่างไปตลาด

diary-0007-วิวข้างทางระหว่างไปตลาด

7. วิวข้างทาง ระหว่างไปตลาด

ผมเห็นหลายคนเขาไปเที่ยว ไปหาประสบการณ์กันต่างถิ่นต่างแดน แต่ผมกลับรู้สึกว่าไม่ต้องไปไหนอีกแล้ว มันพอใจเท่าที่อยู่กันนี่แหละ

เพราะแค่ที่เห็นนี่มันก็ดีอยู่แล้ว มันลงตัวอยู่แล้ว เอาแค่วิวข้างทาง มองไปไกล ๆ ได้ มันก็สบายใจแล้ว ไม่อึดอัด

ส่วนที่เป็นธรรมชาติในบ้านเราก็สร้างของเราขึ้นมาเอง อยากให้สวย ให้ดี ให้มีประโยชน์แบบไหน เราก็สร้างมันขึ้นมาเอง ให้มันใช้งานได้ เป็นประโยชน์ ….วันหนึ่งคนเขาอาจจะคิดว่าที่เราอยู่เป็นสถานทีท่องเที่ยวก็ได้นะ …

ศิลปะในการให้ข้อมูลและวิจารณ์

จากกระทู้ : [อวยไส้แตกแหกไส้ฉีก] อาชีพนักท่องเที่ยว เรื่องงาน เรื่องเที่ยว เรื่องเดียวกัน เรื่องที่เขาไม่เคยบอกคุณ!!?

กระทู้นี้มีศิลปะในการให้ข้อมูลดีครับ ผมว่าแบบนี้ก็เนียนดี ว่าจะหัดอย่างเขาไว้หน่อย

แหม่… ถ้าเราจะแฉใครว่าเขาชั่วเขาไม่ดี ใครเขาจะไปฟัง มันต้องเนียนๆ ให้ข้อมูลกันไปให้คนเขาพิจารณาเอง คนมีปัญญาก็รู้ได้ คนไม่มีปัญญาก็ไม่รู้ บางทีบางเรื่องไปกระทบมันก็เสียหายมาก… จริงๆผมถนัดงานประเภทฟ้าผ่ามากกว่า แบบชี้ขยี้แหกไส้มาดูนี่เก่งนัก แต่ก็ยังไม่กล้าผ่าใคร กลัวเขาตาย…

ส่วนเรื่องในกระทู้นี้ก็เอาไว้ดูเป็นตัวอย่างนะครับ ท่องเที่ยวนี่มันก็เหยียบขาอยู่บนอบายมุขอยู่แล้ว คนปฏิบัติธรรมไม่ต้องไปหมกมุ่นกับมากเนาะ แต่เราก็ศึกษาคนอื่นเขาไป เพราะยุคนี้ท่องเที่ยวเขาแรง

สิ่งใดจะทำลายธรรมชาติได้ดีเท่าการท่องเที่ยว

จากกระทู้ : สุดอึ้ง! ภาพเกาะตาชัย สุสานที่เงียบเชียบ

สิ่งใดจะทำลายธรรมชาติได้ดีเท่าการท่องเที่ยว

เรียกว่าเป็นสภาพที่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันไปถล่มธรรมชาติกันเลยทีเดียว กรณีที่ยกมานี้เป็นข่าวเก่า แต่วงจรนี้ไม่มีวันจบสิ้น

เริ่มจากคนมีกิเลสแสวงหาสถานที่น่าเสพ พอได้เสพก็อยากอวด พออวดคนก็อยากเสพตาม กิเลสมันแพร่พันธุ์ได้ง่ายกว่าเชื้อโรคใดๆในโลกนี้ ว่าแล้วคนที่เกิดความอยากก็จะมุ่งมาเสพตามที่เขาว่าดี คนในพื้นที่ก็ขี้โลภ เห็นประโยชน์ตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ก็ทำลายธรรมชาติเพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัวกันไป

กรณีขุดเหมือง ขุดน้ำมันนี่มันยังเป็นเรื่องของนายทุนใหญ่ ๆ ไม่กี่คน ถ้าคนในชุมชนเข้มแข็ง รัฐบาลทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ชาติ มันก็ไม่มีปัญหา แต่การท่องเที่ยวนี่คือทุกคนต่างมีความต้องการที่จะเสพ แล้วมันห้ามกันไม่ได้ง่ายๆนะ ห้ามนายทุนขุดเหมือนนี่มันยังพอจะทำกันได้ แต่ห้ามคนไม่ให้เข้าไปท่องเที่ยวนี่มันทำไม่ได้ง่ายๆนะ จะไปจำกัดคนไม่ให้เขาเที่ยวเขาไม่ยอมนะ เขาไม่พอใจเขาก็เอาเงินฟาด พอเงินหล่นใส่เจ้าหน้าที่กิเลสหนา ศีลธรรมและความรับผิดชอบก็หล่นตาม แถมรัฐบาลยังส่งเสริมการท่องเที่ยวอีก ไปกันใหญ่

สุดท้ายมันก็พังไปทีละที่นั่นแหละ ที่ไหนมีนักท่องเที่ยวมาก ธรรมชาติก็จะเสื่อมไปเท่านั้น

รุมโทรมธรรมชาติ

จากเนื้อหาในข่าว : เกาะกูด-เกาะช้าง จราจรติดหนึบ คนทยอยกลับหลังหยุดยาว 5 วัน

ผมรู้สึกว่าการไปท่องเที่ยวแบบนี้มันเหมือนพากันไปรุมโทรมสถานที่นั้นยังไงไม่รู้สินะ

จริงอยู่ที่ว่าเขาอาจจะได้เงินกัน แต่คิดๆไปก็เหมือนหญิงสาวที่ยอมให้ชายมาสำรวจท่องเที่ยวและบุกตะลุยร่างกายของเธอเพื่อแลกกับเงิน (พิมพ์ให้มันซอฟๆ ลงนะ คงพอจะรับกันได้)

ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ไปรักษาธรรมชาติหรือศึกษาอะไรกันหรอก ไปเสพสุขกันเสียมากกว่า การรักษาธรรมชาติจริงๆคือการไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวายกับมัน ปล่อยมันให้เป็นไปตามวิถีของมัน

เอานะ ใครที่เห็นโทษแล้วก็ห่างออกมา ส่วนใครกิเลสหนาก็ศึกษากันไป

บอกเล่าข่าวหนีน้ำท่วม

ตอนนี้เนื่องจากเกิดอุทกภัยโดยทั่วไปในประเทศโดยเฉพาะภาคกลางและกำลังหนักหน่วงอยู่ที่กรุงเทพ ทำให้ผมได้หนีน้ำออกจากบ้านมาพักใหญ่ๆแล้วครับ

ที่หนีออกมาก่อนน้ำมานั้นเพราะได้ประสบการณ์จากคนรอบข้างและครอบครัวที่เผชิญกับน้ำท่วมโดยตรงครับ บ้างก็อยู่ดอนเมือง บ้างก็ลำลูกกา หนีน้ำกันมาตั้งแต่ระยะแค่ข้อเท้า จนกระทั่งน้ำมิดหัวก็มีกันมาให้เห็น ที่บอกนี่ญาติสนิทเลยนะครับ นี่แหละที่ทำให้ผมและครอบครัวออกมากันก่อนที่น้ำจะมา ไม่งั้นคงจะโกลาหลและลำบากอย่างแน่นอน

สุดท้ายก็ออกมาท่องเที่ยวไปในตัวระหกระเหินไปในที่ต่างๆหลายที่ ผมเองแยกกับครอบครัวไปเก็บเรื่องราวและถ่ายรูปตามที่ต่างๆมากมาย จนตอนนี้ก็กลับมารวมกับครอบครัวอีกครั้ง น้ำก็ยังมาไม่ถึงบ้านสักที

สำหรับตอนนี้คงจะไม่สะดวกนะที่ต้องพิมพ์เรื่องราวมากมายที่อยู่ในหัวออกมาเพราะอยู่ในระหว่างหนีน้ำท่องเที่ยว (อีกแล้ว) เอาเป็นว่าหลังน้ำลดคงมีเรื่องให้พิมพ์กันเยอะแน่นอน ขอให้ทุกคนดูแลตนเองและครอบครัวของท่านด้วยนะครับ และถ้าอยากดูแลคนอื่นด้วยตอนนี้ก็สามารถเป็นจิตอาสาไปช่วยตามที่ถนัดได้เลยครับ

ขอให้โชคดี

สวัสดี