บัณฑิต บนเส้นทางธรรม

การที่เราจะดำเนินชีวิตไปสู่ความผาสุกนั้นได้นั้น จะต้องดำรงชีวิตอย่างบัณฑิต(ผู้รู้ทันกิเลส จนชำระได้โดยลำดับ) แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะยินดีเป็น…บัณฑิต

พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า บัณฑิตพึงประพฤติตนเป็นโสด ส่วนคนโง่ ฝักใฝ่ในเรื่องคู่ ย่อมเศร้าหมอง

ถ้าผมจะเอาเกณนี้มาวัด ผมเชื่อว่าน้อยคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผมจะเป็นบัณฑิต แน่นอนว่ามีอยู่ส่วนหนึ่งที่เขายินดีประพฤติตนเป็นโสด แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

พวกที่ตั้งใจชัดเจนมันก็ชัดดี ส่วนพวกที่เลือกไปมีคู่เลยมันก็ไปทางนรกชัดเจนดี พวกลูกผีลูกคนนี่ดูยาก เหมือนจะตั้งใจ เหมือนจะเข้าใจ เหมือนจะจริงใจ เหมือนจะเอาธรรมะ เอานิพพานเป็นตัวตั้ง แต่สุดท้ายมักจะ…”เละเทะ” กว่าจำพวกที่เลือกไปมีคู่แต่แรกอีก

มีนักปฏิบัติธรรมหลายคนอยู่เป็นโสด แต่หลายคนก็ไม่ใช่จะเป็นโสดเพราะธรรมะ นั่นเพราะเขาหาที่ถูกใจไม่ได้สักที เขาไม่ได้เข้าใจโทษของกิเลส ไม่ได้เข้าใจวิบากกรรม ไม่ได้เห็นวัฏสงสารที่วนเวียนหลงสุข หลงทุกข์ หลงชอบ หลงชัง มายาวนาน

เป็นการเสแสร้งแกล้งทำ เป็นมารยาของกิเลสที่กดอาการไว้ แสร้งว่าเป็นบัณฑิต เพราะเป็นโสดแล้วเพื่อนนักปฏิบัติธรรมต่างยินดี แล้วทีนี้ปฏิบัติธรรมไปแต่ไม่ได้ลดกิเลส ปฏิบัติธรรมไม่สัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติมิจฉาธรรม ไม่คบสัตบุรุต คบคนพาล กามมันก็โต ความอยากมันจัด สุดท้ายมันไม่เอาแล้วโสดเสิด.. เอาคู่นี่แหละสุขกว่า มันกว่า…

วิบากกรรมของคนที่ศึกษาและปฏิบัติแล้วไปมีคู่จะหนักกว่าคนทั่วไปที่เขายังไม่ปฏิบัติธรรม ถ้าเป็นนักบวชในพุทธศาสนาก็ปาราชิก เปรียบได้กับชาตินี้เกิดมาเป็นโมฆะ เกิดแล้วตายไปเปล่า ๆ ฟรี ๆ เหมือนคนหาเงินหลายร้อยล้านมาแล้วเอาไปเผาเล่น เพื่อเสพสุขจากความอบอุ่นของไฟนั้น

ในมุมของฆารวาสแม้จะไม่มีโทษทางวินัยระบุไว้ แต่โดยสัจจะก็เรียกว่าร่วงกันไปยาว ๆ ชาตินี้คงไม่หวังจะมาเจอกันอีก เพราะรู้แล้วว่าบัณฑิตควรปฏิบัติตนให้เป็นไปเพื่อความโสด แต่จะไปเอาอีกทาง ไปเอาทางตรงข้าม ไปเอาคู่ครอง ไปเอาอย่างคนโง่ มันก็คือการดูถูกธรรมะของพระพุทธเจ้านั่นแหละ

ดูถูกอย่างไร? ก็ดูถูกว่าการมีคู่นั้นสุขกว่าการอยู่เป็นโสดยังไงล่ะ… เพราะความจริง พระพุทธเจ้าตรัสสอนแต่เรื่องทำให้พ้นทุกข์ ให้เป็นอยู่ผาสุก ให้เกิดปัญญา ท่านชี้ให้ว่าถ้าจะเจริญ ให้ทำตนเป็นดั่งบัณฑิต ต้องดำเนินไปแบบนี้ แล้วคนที่ศึกษาและปฏิบัติธรรม รู้ธรรมแล้ว แล้วยังจะไปเอาทางตรงข้าม สรุปก็คือเห็นการมีคู่ดีกว่าธรรมะพระพุทธเจ้านั่นแหละ มันก็ห่างไกลความผาสุก ห่างไกลนิพพานไปเรื่อย ๆ

ผมจะตัดขีดพวกที่รู้ว่าดีแล้ว ทางนี้ดีที่สุดแล้ว แต่ไม่เอา ไปเอาอีกทาง ว่าเป็นพวกทำกรรมที่หนัก ถึงจะวนกลับมาก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก วิบากกรรมของการดูถูกธรรมมันหนัก ขนาดตอนแรกเขายังอยู่เป็นโสด ยังมีโอกาสได้ศึกษาสิ่งที่ดี เขายังเอาตัวให้รอดไม่ได้ แล้วตอนหลังจะมาเอาดี ยาก!! สภาพเหมือนไปตกบ่อขี้มา ขนาดยืนบนพื้นดินธรรมดายังเดินต่อไม่ได้ อยู่ในบ่อขี้บ่อกามมันยิ่งขึ้นยาก จะให้พ้นทุกข์ พ้นชั่ว พ้นโง่ มันไม่ง่าย

พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ให้ห่างไกลคนพาล (คนที่เอาแต่เสพตามกิเลส) คบหาบัณฑิต … ผมว่านะ จากประสบการณ์ ถ้าจะเอาให้ชีวิตเจริญและมีเรื่องปวดหัวน้อย ผมคบแต่บัณฑิตดีกว่า พวกอยากมีคู่ หมกมุ่นกับเรื่องหาคู่มาบำบัดอาการอยากนี่ไม่ไหวล่ะ ให้เขาทุกข์กับความกระสันใคร่อยากของเขาให้พอเถอะ

การตรวจใจในความโสดอย่างยั่งยืน

การอยู่เป็นโสดโดยทั่วไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเขายินดีในการเป็นโสด ก็อาจจะเป็นเพียงแค่โสดรอเสพ โสดหวังสูง โสดค่าตัวแพง ฯลฯ อะไรประมาณนี้

ก็อย่างที่รู้กันว่าการอยู่เป็นโสดแบบโลกีย์นั้นคือโสดแบบมีภพ มีกิเลสอาศัยอยู่ เพียงแต่มันนอนก้น ตกตะกอน ไม่แสดงตัว แต่ถ้ามีสิ่งที่หวัง ที่ฝันไว้ เช่นคนหน้าตาดี คนมีตัง คนอบอุ่น คนเป็นที่พึ่ง คนที่เข้าใจ คนมีธรรม คนในอุดมคติ ฯลฯ โผล่เข้ามาก็อาจจะใจแตกได้

คงจะมีแค่ส่วนน้อยในสังคมเท่านั้นที่สอนให้ยินดีในความโสด และในส่วนน้อยนั้นก็ยังมีวิธีที่แตกต่างกันออกไป ถูกบ้าง ผิดบ้างไปตามปัญญาของแต่ละท่าน แต่ก็ยังสามารถใช้หลักของพระพุทธเจ้ามาตรวจสอบได้ว่าที่เป็นอยู่ ที่เข้าใจอยู่ ที่เชื่ออยู่นั้นถูกต้องมั่นคงถาวรไม่เวียนกลับ ไม่แปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยหรือกาลเวลาใด ๆ

เราสามารถประยุกต์หลักของพระพุทธเจ้าได้จากเวฬุทวารสูตร (เล่ม 19 ข้อ 1459) โดยเนื้อความของพระสูตรนี้เป็นเรื่องของการเบียดเบียน ซึ่งการมีสละโสดไปมีคู่นั้น ก็อยู่ในหมวดของการเบียดเบียนด้วยเช่นกัน

โดยสรุปแล้ว หลัก 3 อย่างที่จะประกันความโสดได้คือ 1.ตนเองต้องยินดีในความโสด 2.ชักชวนให้ผู้อื่นเป็นโสด 3.ยินดีในธรรมที่พาให้เป็นโสด

จิตของคนที่พ้นจากความอยากมีคู่ ยินดีในความโสด จะมีองค์ประกอบ 3 อย่างนี้โดยธรรมชาติ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องปรุงว่าเราจะต้องทำตาม 3 หลักนี้ มันจะเป็นไปเองอย่างนั้น ซึ่งนี้คือสภาพผลของการปฏิบัติที่ถูกตรงเท่านั้น ถ้าไม่ถูก จิตมันจะไม่มีสภาพ 3 อย่างนี้

บางคนดูเหมือนยินดีในความโสด แต่พอจะชักชวนคนอื่น หรือยินดีในธรรมที่เป็นโสดกลับไม่เข้าใจ ปรับใจตามไม่ได้ หรือบางคนยินดีในการเป็นโสด แต่พอไปร่วมงานแต่งงานกลับยินดีในธรรมฝ่ายตรงข้าม คือไปยินดีที่เขาแต่งงานกัน มีอาการชอบ ปลื้มใจ แบบนี้มันก็ไปคนละทิศ หรือจะตรวจง่าย ๆ ก็ดูคนรักกันทั่วไปก็ได้ จะรักกันจริงหรือในละคร พอเห็นแล้ว ถ้ามันชอบใจ ถูกใจก็ยังไม่พ้น

การปฏิบัติธรรมกับการหมั่นตรวจมรรคผลเป็นของคู่กัน ถ้าทำแล้วไม่มีการตรวจ ไม่มีการชี้วัด จากหลักฐานเช่นพระไตรปิฎกหรือผู้รู้จริงทั้งหลาย ก็อาจจะทำให้หลงเข้าใจผิดไปได้ว่าตนเองผ่านโจทย์นั้น ๆ

สภาพหลงบรรลุธรรมจะปิดกั้นการเรียนรู้ใหม่ในทุกกรณี เพราะสำคัญว่าตนเองผ่านแล้ว ได้แล้ว สำเร็จแล้ว จึงเสียโอกาสในการเรียนรู้เพิ่ม พลาดโอกาสในการตรวจสอบจุดพร่อง หรืออาจจะนำมาซึ่งเหตุเภทภัยอื่น ๆ จากความประมาณตนผิด

ถ้าผมไม่ได้เป็นโสด

สมัยยังหลง ยังเฉโกอยู่ มันก็เคยหาเหตุจะไปมีคู่เหมือนกัน กิเลสผมมันก็ฉลาดใช่ย่อย แต่ดีที่เราคบบัณฑิต เราเลยรอดมาได้

ผมเคยคิดนะว่า ชีวิตเรามีคู่ไปก็ปฏิบัติธรรมได้ ช่วยเผยแพร่ธรรมได้ แต่ความจริงที่ได้มันจะไม่เป็นแบบนั้นหรอก

นี่ถ้าทุกวันนี้ผมไม่ได้อยู่เป็นโสดนะ ผมไม่มีเวลามานั่งพิมพ์แบบนี้หรอก ก็ต้องเอาเวลาไปบำรุงบำเรอคู่ เอาสมองไปคิดเรื่องคู่ ดีไม่ดีมีลูก ต้องคิดเรื่องครอบครัวอีก ไม่ใช่แค่คิดนะ ต้องทำด้วย เวลาที่เรามีอิสระในการทำประโยชน์อื่น ๆ มันจะเสียไปหมดเลย มันจะไปเทลงที่คนไม่กี่คนนั่นแหละ แทนที่จะทำประโยชน์ได้เยอะ ๆ มันก็ได้แค่นิดเดียว เพราะชีวิตมันจะลำเอียง เทไปด้านที่ตนหลงชอบ

แล้วผมก็จะเสื่อมไปเรื่อย ๆ ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากผมฟังธรรมจากครูบาอาจารย์แล้ว ท่านก็บอกแล้วว่าอย่าไปมี ไม่มีประโยชน์กับความเจริญเลย ทีนี้ถ้าเราจะฝืนไปทิศตรงข้ามนี่มันนรกเลย มันเข้าใกล้ขีดอนันตริยกรรมได้เลย (อัญญสัตถารุทเทส) คือได้ฟังธรรมที่ถูกแล้ว ได้เจอหมู่คนดีที่ถูกแล้ว เรายังหลีกยังหนีออกไปมีคู่ ไปสู่อธรรม มันจะเสื่อมไปเรื่อย ๆ จะเริ่มตกต่ำ ห่างธรรม ธรรมที่เคยมีก็เสื่อมถอย เวียนกลับ ธรรมที่มีก็จะเริ่มบิดเบี้ยว ฯลฯ สุดท้ายก็ต้องทนทุกข์รับวิบากกรรมไป

เพราะมีคู่มีครอบครัว ก็ใช่ว่าเขาจะปล่อยมาทำดีง่าย ๆ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเสียเวลาดูแลเขา ต้องทำหน้าที่ ต้องรับผิดชอบ ถามว่าทำแล้วดีไหม มันก็ดี เป็นสิ่งดี เป็นมงคล แต่ถ้าไม่ต้องทำมันก็ดีกว่า มันมีดีอย่างอื่นที่ดีกว่าเอาเวลาไปดูแลลูกเมียอีกเยอะ

แล้วกิจกรรมกับหมู่กลุ่มคนดีนี่อย่าไปหวัง ต้องเก็บวันหยุดยาวไปเที่ยวกับครอบครัว ถ้าไม่พาไป เขาก็โกรธ ไม่พอใจอีก แถมค่าใช้จ่ายบานเบอะ เขาไม่ได้ทนลำบากกันได้สักเท่าไหร่หรอก รถนี่ต้องมี แถมบางทีก็ต้องขึ้นเครื่องบิน ยิ่งถ้าร้องจะไปเมืองนอกนี่ยิ่งซวยเข้าไปใหญ่

เอาแล้วไง จะมานั่งพิมพ์บทความได้ที่ไหนล่ะ มันต้องเอาเวลาไปหาเงิน เลี้ยงลูก เลี้ยงเมีย บำเรอให้เขาอิ่มกัน อิ่มวันนี้พรุ่งนี้หิวอีก ก็ต้องทำงานกันไป ทุกข์ก็ต้องทนทำ เบื่อก็ต้องทนทำ เวลาฟังธรรมหรออย่าหวังมาก แค่ต้องมาฟังปัญหาร้อยแปดภายในครอบครัวก็หมดเวลาแล้ว ไหนจะพ่อแม่พี่น้อง ไหนจะญาติมิตรเพื่อนสหาย ปัญหาเยอะไปหมด

ถ้าผมไปมีคู่นะ มีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายไปแล้ว มันพลาดตั้งแต่เราเบือนหน้าหนีธรรมอาจารย์นั่นแหละ ท่านสอนทางพ้นทุกข์ เราไม่ทำตามมันก็ไปทางทุกข์เท่านั้นเอง แล้วจะหวังอะไรกับทางทุกข์ มันคนละทางกับทางพ้นทุกข์ มันยิ่งไปมันยิ่งทุกข์ มันไม่พ้นอยู่แล้ว นั่นหมายถึงผมก็มีโอกาสจะเสียชาตินี้ไปอีกชาติ ถึงจะเก่งก็เก่งขึ้นไม่ได้มากกว่าภาวะคนคู่ เพราะชาตินี้มันสอบตก มันล้างไม่ทัน จะไปเบื่อตอนแก่มันก็ไม่ทัน ผัสสะมันไม่เหมือนเดิม เหตุปัจจัยมันหมดแล้ว มันมีจังหวะเดียวให้ชีวิตผลิกก็แค่ตอนจะตัดสินใจมีหรือไม่มีนั่นแหละ

ส่วนจะหวังบรรลุหรือหลุดพ้นเพราะคบกันนี่ผมบอกเลยว่า ยากกกกกกกก… เพราะกว่าจะถึงเวลานั้น คุณร่วมกันทำบาป ทำตามกิเลสกันมาเท่าไหร่ ทุ่มเทบำเรอกาม บำรุงอัตตากันมาเท่าไหร่ มันมีผลนะ มันบันทึกเป็นกรรมไม่พอ มันยังฝังเป็นอุปาทานด้วย ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วเป็นไปไม่ได้ จะมีเฉพาะบางกรณีพิเศษเท่านั้น ซึ่งก็อย่าไปหวังเลยว่าเราจะเป็นกรณีพ้นได้แบบง่าย ๆ

ขอให้ยินดีในความโสดเถอะครับ อย่างน้อยมันก็ยังทำให้เราได้มีเวลาแบ่งปันศึกษาเรียนรู้ร่วมกัน

ช่วยคนอยากมีคู่นี่มันยาก

คนที่เขาอยากมีคู่นี่เขาจะไม่ฟังธรรมที่พาไปโสดเลยนะ ได้ยินก็ปิดใจ ไม่พิจารณา พอความอยากมาก ๆ นี่เปลี่ยนไปฟังธรรมะอื่นเลย ธรรมะที่พาให้รื่นเริง อิ่มเอมใจในการมีคู่ อันนั้นเขาชอบ ถูกใจ เขาฟังได้ แต่ธรรมที่พาไปโสดนี่เขาไม่ยินดี

แต่ก่อนผมก็เคยอยากมีนะคู่ครองนั่นน่ะ มันก็เคยโง่มาก่อนไง แต่ดีที่ผมมีศรัทธาตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวในคำสอนของครูบาอาจารย์ พอดีอาจารย์ที่ผมนับถือท่านสอนประโยชน์และโทษตามจริงของการมีคู่โดยอ้างอิงพระไตรปิฎก เราก็ฝึกพิจารณาตามนั่นแหละ ไม่ฟังธรรมอื่นใด ๆ สำนักไหนเขาจะพูดเรื่องคู่ยังไงเราไม่สน เรามีปัญญาเราก็รู้สิอันไหนมิจฉาทิฏฐิ อันไหนสัมมา ว่ากันตรง ๆ จากที่ผมอ่านมาหลายคนจนถึงวันนี้ผมยังไม่เจอคนที่ผ่านเรื่องคู่กันจริง ๆ เลย นอกจากสายที่ผมปฏิบัติ

พอผ่านได้มันจะรู้เลยว่าความเห็นนี้มิจฉา มันจะพาให้ไปมีคู่ อันไหนอนุโลม อันไหนกิเลส ทิศมันจะต่างกัน องศาต่างกันนิดเดียวมันก็พากันไปคนละทางแล้ว อย่างคนอยากมี ไม่ยินดีมี หรือคนติดคู่ มันจะรู้ได้ กลิ่นมันจะออก เหมือนที่พระพุทธเจ้าว่ากลิ่นศีลย่อมหอมฟุ้งไปไกล เช่นเดียวกับคนอยากมีคู่หรือคนยังหลงในเรื่องคู่ มันจะมีลีลาอาการหรือความเห็นที่บอกอยู่ว่ายังไม่พ้น

ถ้าเขาเขียนเป็นหนังสือนี่ก็ง่ายหน่อย อ่านดูมันก็รู้แล้ว แต่ถ้าเป็นบุคคลทั่วไปนี่ต้องใช้เวลาศึกษาบ้าง แต่ก็รู้ได้ไม่ยาก

ธรรมะปัจจุบันนี่มัน Red ocean ทะเลแดงเดือดที่ฉ่ำไปด้วยกามและอัตตาปนกันอยู่ในนั้น จะกล่าวถึงเรื่องคู่อย่างเดียวแล้วกัน คือธรรมที่พาให้หลงเสพยินดีในการมีคู่ก็เยอะ คืออ่าน ศึกษา ทำใจตามไปแล้วจะรู้สึกว่ามีคู่ได้ มีคู่ก็ดี มีคู่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร อารมณ์ประมาณนี้ ส่วนธรรมที่พาให้หลงติดหลงยึดในในคู่มันก็เยอะอีก เช่นพวกคู่บุญ คู่บารมี อะไรพวก ๆ นี้แหละ

จริง ๆ ถ้าเขารู้ว่ามันเป็นแค่อุปทานเพราะเสพกันมาหลายชาติเขาก็คงจะไม่กล้านำเสนอเรื่องนี้กันมาก คนส่วนใหญ่ก็มีแค่นี้แหละ เสพคบคุ้นกันมาหลายชาติ ของมันเคยไง พอมาเจออีกมันก็ชอบตามที่มันเคยชอบ มันก็จะมีเหตุให้รู้สึกพิเศษ ถึงไม่มีกิเลสมันก็หาให้มีจนได้นั่นแหละ

ถ้ามันไม่ถึงขั้นเขาคลุมถุงชนให้แต่งหรือบริบทของชีวิตบังคับก็ไม่ต้องไปแส่หามันหรอกเรื่องคู่ มีกันทุกคนอยู่แล้ว เรื่องคู่นี่มันเป็นเรื่องต่ำ ๆ เสพกันมาตั้งแต่ยังเป็นสัตว์ ตั้งแต่ยังเป็นเดรัจฉาน มันก็ถูกใจติดใจ สืบภพต่อมาเรื่อย ๆ เป็นคนก็ยังไม่เลิก สร้างนิทาน สร้างตำนานมาหลอกตัวเองซ้อนอีกต่อให้การมีคู่ครอง มีลูกหลานดูเป็นเรื่องปกติ

หลอกตัวเองไม่พอ ยังไปโดนคนอื่นหลอกต่ออีก ไปอยู่ในสังคมที่ยินดีในการมีคู่มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ ยิ่งศรัทธาในคนที่ยินดีในการมีคู่นี่มันไปไม่รอดเลย เวลาสอนมันจะไม่ขาด ไม่ชัด มันจะนัว ๆ และเอนเอียงไปทาง มีคู่มันก็ดีนะ อะไรประมาณนั้น มันจะไม่พาไปทางเลิกเสพ

ทีนี้คนเขาก็มีสิทธิเลือกไง ใครจะไปห้ามได้ ถ้าเขาอยากมีคู่ เขาก็ไปฟังธรรมที่ยินดีในการมีคู่ เขาก็ไปมีคู่ได้อย่าง happy ending (ตามที่เขาคิด) ส่วนธรรมที่พาไปโสดนี่ขายไม่ค่อยออกหรอก พอจะดามใจได้ตอนอกหักได้บ้าง แต่ถ้าไม่เอาจริงเดี๋ยวก็เวียนกลับไปเสพใหม่

เพราะอะไร? ก็เพราะติดมาหลายชาติไง

นารีพิฆาต

สรุปหลังจากดูละครอีกประเด็นก็คือเรื่องผู้หญิงนี่แหละ ปกติในเพจ ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ จะพิมพ์ในมุมที่บอกกับผู้หญิงเป็นหลักเพราะ คนที่กดไลค์ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง

นั่งดูไปก็…เออ เนาะ เป็นผู้ชายนี่มันลำบากจริง ๆ

จะผ่านด่านมาจนถึงโสดได้ คุณต้องสู้กับด่านมหาหิน

คือเจอคู่ปรับ น่ะเจอแน่ ต้องเจออาการหญิง ๆ ที่ประดังเข้ามา ทั้งเขิน ง้อ งอน อ้อน เอาแต่ใจ ลีลา สายตา สารพัดมารยา ตามแต่วิบากจะปรุงแต่งมา ใครทำชั่วมามากก็โดนมากนั่นแหละ

พอนึกไปมันก็ขำ โอ้โห! นี่มันฝันร้ายของชายชาตินักรบแท้ ๆ เกิดเป็นชายสุดท้ายต้องมาตายด้วยมารยาหญิง แล้วจะหนีก็หนียาก ดีไม่ดีเขาตามมาอีก หนีเข้าป่าก็ใช่ว่าจะรอด รอดชาติหน้า ชาติหน้าเขาก็รออยู่หน้าประตูบ้านก็มี

เกิดมาเป็นชาย ชาตินักรบ(กับกิเลส) แน่นอนว่าสุดท้ายมันก็ต้องสู้ แต่เรื่องรักเรื่องคู่นี่สู้เดี่ยว ๆ เดี๋ยวสาวจะลากไปกิน ทำเก็กทำเก่งไปสู้ ว่าจะโสด ว่าจะโสด ดีไม่ดีเจอเขายิ้มให้ทีเดียวเลิกโสดเลยก็ได้

อย่างน้อยมันก็ต้องหาเพื่อนร่วมรบ หาครูฝึก หาพี่เลี้ยงกันหน่อย ปราบหญิงนี่มันปราบไม่ง่าย เรียกว่าหืดขึ้นคอเลย ไม่ง่ายที่จะรอดจากสมรภูมิออกมาสวย ๆ ต้องมีแขนขาดขาขาดกันบ้าง ยกเว้นแต่สะสมบารมีมาหลายชาติอันนี้ก็เป็นของส่วนตัวกันไป

ถ้าคุณล้างกิเลสเรื่องอยากมีคู่ออกไปได้นะ มันจะเห็นความจริงเลยว่าอาการที่เธอเหล่านั้นแสดงออกไม่ว่าจะเป็นอาการ เขิน อาย งอน ง้อ ส่งสายตา ลีลาท่าที ทำเปิ่นทำโก๊ะ ดูน่ารัก น่าเอ็นดูทั้งหลาย ส่วนใหญ่แล้วมารยาทั้งนั้น บางทีเป็นสิ่งปรุงแต่งที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัว คือปรุงกิเลสจนมันเป็นบุคลิกอย่างนั้นไปแล้ว

จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากใช้คำนี้หรอกนะ คือจะให้มันชัด ๆ คือคุณจะเข้าใจว่าจริง ๆ น่ะสิ่งเหล่านั้นน่ะ คือ “ความตอแหล” มันไม่จริง มันถูกสร้างขึ้นมา ต้นกำเนิดมันมาจากกิเลส แม้ดูเผิน ๆ มันจะดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่รากมันเน่า มันเหม็น กลิ่นอุปาทานนี่มันเหม็น

ก็ลองดูสิ ละครเขายังปรุงแต่งลีลาอาการให้เราหลงชอบได้ ความจริงคนก็เป็นอย่างนั้นแหละ เขาก็ปรุงแต่งกันไปว่าทำแบบนั้นแบบนี้จะดูดี จะมีคนรัก ทำแบบนี้จะมีผู้ชายโง่ ๆ มาหลงรัก เหมือนเป็นสัญชาติญาณไปแล้ว เป็นสัญชาติญาณแบบสัตว์ที่ยังต้องหาคู่ ต้องเกี้ยวพาราสีกัน ไปลองดูสารคดีชีวิตสัตว์ก็ได้ แบบเดียวกันนั่นแหละ คือมีการสื่อสารอย่างใดอย่างหนึ่งให้อีกฝ่ายสนใจ

ผมดูเขาทำท่าทางแบบนั้นในละคร ดูไปก็ขำตัวเองไป แต่ก่อนเจอแบบนี้เราก็คงหลงไปเหมือนกันเนาะ มาคิดถึงตอนนี้มันหลงไปลง ใครมาทำมันก็หลงไม่ลง มันเห็นกลลวงแล้วกับเรื่องรักนี่ เหมือนเรารู้ทริคมายากล รู้เสร็จมันก็เท่านั้น มันก็น่าเบื่อ ถ้ายังไม่รู้จริง เขามาแหกตามันก็ตื่นเต้นดีใจตามเขาไปเรื่อยนั่นแหละ

คู่รัก คู่ร้าย

พิมพ์เรื่องลูกไปแล้ว (วิบากกรรมโหดร้ายจนไม่กล้ามีลูก) มันก็ติดลม มาต่อกันด้วย เรื่องที่พิมพ์กันบ่อย ๆ อีกทีดีกว่า พิมพ์ไป ทบทวนธรรมไป เกลาพยัญชนะไป มันก็จะเก่งขึ้น ทีละหน่อย ๆ

การมีคู่รักหรือคนรัก นี่มันมาพร้อมความหวังนะ คือหวังอยากให้เขาดีดั่งใจ คือดีให้เท่าที่เป็นหรือมากกว่านี้ไปเรื่อย ๆ ก็คนมีคู่ใครเขาจะหวังให้ความรักมันเสื่อมเล่า เขาก็หวังให้มันเจริญงอกงามกันทั้งนั้นแหละ

แต่ความรักในรูปแบบของการมีคู่กับธรรมะ นี่มันสวนทางกัน ธรรมะว่า “ยิ่งรักยิ่งทุกข์” แต่ความรักกลับบอกว่า “ยิ่งรักยิ่งสุข” ซึ่งกล่าวกันตรง ๆ ก็อยู่คนละข้างกับธรรมะ หรือเป็น อธรรมนั่นเอง

เพราะความจริงแล้ว ยิ่งรักมากก็ยิ่งหวังมาก และยิ่งหวังในทางเจริญทางธรรมเท่าไหร่ ก็จะยิ่งผิดหวังมากเท่านั้น (ทางโลกก็เจริญ กันไปตามกิเลสนั่นแหละ)

เพราะหนึ่งในเหตุที่พากันเจริญทางธรรมยาก ก็คือพากันเจริญในอธรรมกันมามาก พากันกิน พากันเที่ยว พากันแต่งงาน พากัน…ฯลฯ มากันเท่าไหร่ ทีนี้พอจะไปทางเจริญมันจะโดนขัดขาเพราะวิบากพวกนี้ด้วยนี่แหละ

มันจะเป็นการพากันเจริญที่ยากแสนยาก ใครบอกว่ามีคู่เพื่อพากันเจริญทางธรรมนี่อย่าเพิ่งไปเชื่อเขา เขากล้าเปิดเผยบัญชีบุญบาป(กิจกรรมในชีวิต) ไหมล่ะ มันจะได้เห็นชัด ๆ เลยว่ากิจกรรมฝั่งกุศล อกุศล ฝั่งไหนมันมากกว่ากัน

ทีนี้คุณจะทุกข์หนักเวลาคนรักไม่เอาดีอย่างใจหมายนี่แหละ ส่วนใหญ่มันจะเจริญพร้อมกันได้ยาก มันจะมีคนใดคนหนึ่งที่เจริญขึ้นก่อน ด้วยความรักมันจะพยายามลากอีกคนขึ้นไปด้วย คุณจะรู้สึกถึงความหนัก ดึงยังไงก็ไม่ไป เว้นเสียแต่เขามีบารมีมากพอ กรณีนั้นก็ยกไว้

เอาแบบส่วนใหญ่แล้วกัน ส่วนใหญ่ลากไม่ไปหรอก อย่างเราไม่กินเนื้อสัตว์ เกิดเราไปรักไปชอบกับคนที่กินเนื้อสัตว์ คิดว่าเขาจะมาเลิกกินอย่างเราได้ไหม ยิ่งถ้าคุณถือศีลกินมื้อเดียว คิดว่าจะชวนเขามากินมื้อเดียวเหมือนกันได้ไหม มันจะยั่งยืนไหม มันจะชวนกันรุ่งหรือชวนกันร่วง ดีไม่ดีพากันเสื่อมกว่าเดิมอีก จากไม่กินเนื้อสัตว์มาตั้งนาน ไปมีคู่สุดท้ายเวียนกลับไปกินเนื้อสัตว์ก็เป็นไปได้

ยิ่งเราฝึกปฏิบัติศีลสูงขึ้นมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งเห็นความต่าง จะเริ่มเห็นความไม่เสมอกัน อินทรีย์พละคนไม่เท่ากันหรอก และไม่มีทางที่จะเท่ากัน ศีล ศรัทธา จาคะ ปัญญา ก็เช่นกัน มันไม่เท่ากันหรอก จะมีเท่ากันก็เวลาเดียว ก็คือเวลาที่เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะเท่ากันทุกอย่าง

นอกนั้นมันก็แปรเปลี่ยนไปตามหลักอนิจจังทั้งนั้น วันนั้นใกล้เคียง วันนี้ต่างกันไป ถึงจะเจริญก็ใช่ว่าจะเจริญในทางเดียวกันเสมอไป มันอาจจะเด่นไปคนละด้านก็ได้

ยกอีกตัวอย่างกันให้ชัด กับฐานก้าวกระโดด คือคุณจะพาเจริญกันถึงขั้นเป็นโสดกันทั้งสองฝ่ายได้ไหมล่ะ มันไม่ง่ายนะ ที่จะไปได้พร้อม ๆ กัน แค่ตัวเองยังเอาตัวรอดยากเลย ซึ่งมันมักจะมีฝ่ายหนึ่งตามหลังอยู่ แล้วคุณจะทำใจได้ไหม ถ้าเขาไม่มาด้วยกับคุณ เขาไม่ยอมอยู่เป็นโสด คุณกล้ากระโดดออกมากไหม แล้วเขาอยากมีคู่ สุดท้ายเขาก็ไปมีคู่ของเขา คุณทำใจได้ไหมล่ะ

คนผ่านแล้วเขาก็เฉย ๆ คนยังไม่ผ่านนี่ยื้อกันช่วงนี้อยู่นานเลย ทุกข์ทั้งนั้น แล้วใช่ว่าเราจะอยู่เป็นโสดเขาจะยอมง่าย ๆ ที่ไหนล่ะ ก็สารพัดลีลามารยาที่เขาจะเอามาใช้กักเราไว้ให้อยู่กับเขานั่นแหละ เราใจไม่แข็ง เราก็ติดอยู่แบบนั้นแหละ มันก็นาน มันก็ช้า เขาไม่ยอมให้ออก เราก็ไม่มีแรงจะออกเพราะทนเห็นเขาทุกข์ไม่ได้ มันก็ติดกันไปแบบนี้

ส่วนตัวผมเห็นว่า ในด้านความเจริญทางธรรม การตั้งตนอยู่เป็นโสดนี่มันเพิ่งตีนเขาเองนะ อีกไกลกว่าจะถึงยอดเขา การมีคู่รักมันก็รั้งเราไว้นั่นแหละ ไม่ให้เจริญไปมากกว่านั้น มันร้ายลึกก็ตรงนี้

เพราะมันร้ายลึก มันก็เลยรู้ยาก เข้าใจยาก คนก็สงสัยว่ามันทุกข์ยังไงหว่า? ทุกข์ร้ายแสนสาหัสยังไงหว่า? นี่แหละอริยสัจถึงเข้าใจยากอย่างนี้ ถ้ายังไม่เห็นทุกข์ในการมีคู่ ก็ยังไปไหนต่อไม่ได้หรอก

คนโสด กับคนที่ประพฤติตนเป็นโสด ไม่เหมือนกันนะ

ถ้าคนโสดเฉย ๆ นี่มันไม่แน่ชัดเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าปลายทางจะยังโสดอยู่หรือจะหลงไปมีคู่

แต่คนที่ประพฤติตนเป็นโสด นี่ปลายทางคือมุ่งไปสู่ความโสดอย่างผาสุกแน่นอน เพราะอย่างน้อยก็รู้แล้วว่าการอยู่เป็นโสดนั้นดีกว่ามีคู่เป็นไหน ๆ ส่วนจะล้มลุกคลุกคลานพ่ายแพ้ให้กับกิเลสตกหลุมพรางคนคู่ไป นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

การจะบอกว่าคนโสดมีบุญ หรืออะไรต่อมิอะไรนั้น มันต้องมีความประพฤติที่เป็นไปเพื่อความโสดด้วย มันถึงจะเรียกว่าคนมีบุญได้ ส่วนโสดไปวัน ๆ โสดรอเสพ โสดโหยหวน โสดพวกนี้เรียกโสดมีบาป คือยังมีกิเลสอยู่ ยังมีอุปาทานยึดว่า การมีคู่ครองนั้นดี

สรุปจะโสดแบบพ้นทุกข์ต้องสร้างองค์ประกอบเพื่อให้ตัวเองได้โสด ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ผู้ตั้งใจประพฤติตนเป็นคนโสด เขารู้กันว่าเป็นบัณฑิต ส่วนคนโง่ฝักไฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง.(พุทฺธ) ขุ. สุ. ๒๕/๔๙๔., ขุ. มหา. ๒๙/๑๘๖.

โสดไม่ง่าย


วันนี้มีคนมาเล่าในบล็อกว่าตั้งใจปฏิบัติธรรมมาสักพัก ก็มาหนักเอาเรื่องความอยากมีคู่นี่แหละ เขาบอกประมาณว่าโจทย์ทั่วๆไปพอไหว แต่เรื่องคู่นี่โดนเล่นงานซะทุกข์หนัก

เพื่อนก็บอกว่า การพาคนโสดเป็นเรื่องยาก แม้บทความที่เราเขียนก็ยังยากไปสำหรับคนทั่วไป เรียกว่าตึงมือเลยล่ะ

ใจก็ว่าเขียนอย่างอนุโลมแล้วนะ ยังไม่เคยอัดตรงๆแบบไม่มีทางให้เลี่ยงสักที แค่ยกมาชี้โทษเป็นเรื่องๆ แต่อาจจะเพราะเดิมทีมันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจยากอยู่แล้วด้วยแหละนะ

จากประสบการณ์ผมก็ว่าโจทย์นี้หินสุดๆเลยนะ การประพฤติตนเป็นโสดเนี่ย การไม่กินเนื้อสัตว์นี้เป็นเด็กทารกไปเลย การกินจืดก็เป็นเด็กโตขึ้นมาหน่อย กินมื้อเดียวเป็นเด็กมัธยม ส่วนจะโสดนี่มันโดดมาอีกขั้นหนึ่ง เหมือนไม่ได้ต่อกันมา นี่ถ้าไม่มีบุญเก่ามา ชาตินี้คงไม่รอดต้องจมทุกข์เหมือนชาวบ้านเพราะความอยากมีคู่แน่ๆ

ฐานกินมื้อเดียวได้สบายๆ เจอการประพฤติตนเป็นโสดยังเรียกว่าตึงมือ รบกันก็เสียเลือดบ้าง เสียแขนเสียขาไปบ้าง แต่ก็ยังพอมีโอกาสชนะได้ ดังนั้นฐานต่ำกว่านี้ไม่น่ารอด ถ้าจะรอดก็กดข่มอดทนเอาให้มันผ่านๆไปอีกชาติ

ถ้าถามความหวังผมจากการเขียนบทความเชียร์คนโสดทั้งหลาย ผมไม่หวังอะไรเลยนะ ถึงเขาจะมาถามหรือจะมาปรึกษาก็ไม่หวัง ถ้าวันหนึ่งเขาจะเปลี่ยนใจไปมีคู่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเข้าใจว่ามันยากจริงๆ

แต่เราก็ต้องเขียน ต้องเผยแพร่ ต้องบอกเขานั่นแหละ มันเป็นความรู้ที่ดี ไม่ค่อยมีคนเผยแพร่กันนักหรอก ยังมีคนมาบอกเลยว่าอย่างเราหายาก “บางคนสอนโทษของการมีคู่ แต่ตัวเองก็ดันมีคู่ ไม่น่าศรัทธา

นักเผยแพร่ธรรมะ น้อยคนนักที่จะชี้โทษของการมีคู่ชัดๆ ส่วนใหญ่ก็เหลือช่องน้อยไว้ให้ตัวเองมีคู่ เจาะช่องไว้ให้หาคู่ได้โดยไม่ผิด ธรรมะมันไม่ถึงแก่นมันก็เฉโกไปแบบนี้นั่นแหละ

ก็เลยต้องทำไป ไม่หวังหรอก ทำไปนั่นแหละ มันเป็นสิ่งดี