คู่รัก คู่ร้าย

พิมพ์เรื่องลูกไปแล้ว (วิบากกรรมโหดร้ายจนไม่กล้ามีลูก) มันก็ติดลม มาต่อกันด้วย เรื่องที่พิมพ์กันบ่อย ๆ อีกทีดีกว่า พิมพ์ไป ทบทวนธรรมไป เกลาพยัญชนะไป มันก็จะเก่งขึ้น ทีละหน่อย ๆ

การมีคู่รักหรือคนรัก นี่มันมาพร้อมความหวังนะ คือหวังอยากให้เขาดีดั่งใจ คือดีให้เท่าที่เป็นหรือมากกว่านี้ไปเรื่อย ๆ ก็คนมีคู่ใครเขาจะหวังให้ความรักมันเสื่อมเล่า เขาก็หวังให้มันเจริญงอกงามกันทั้งนั้นแหละ

แต่ความรักในรูปแบบของการมีคู่กับธรรมะ นี่มันสวนทางกัน ธรรมะว่า “ยิ่งรักยิ่งทุกข์” แต่ความรักกลับบอกว่า “ยิ่งรักยิ่งสุข” ซึ่งกล่าวกันตรง ๆ ก็อยู่คนละข้างกับธรรมะ หรือเป็น อธรรมนั่นเอง

เพราะความจริงแล้ว ยิ่งรักมากก็ยิ่งหวังมาก และยิ่งหวังในทางเจริญทางธรรมเท่าไหร่ ก็จะยิ่งผิดหวังมากเท่านั้น (ทางโลกก็เจริญ กันไปตามกิเลสนั่นแหละ)

เพราะหนึ่งในเหตุที่พากันเจริญทางธรรมยาก ก็คือพากันเจริญในอธรรมกันมามาก พากันกิน พากันเที่ยว พากันแต่งงาน พากัน…ฯลฯ มากันเท่าไหร่ ทีนี้พอจะไปทางเจริญมันจะโดนขัดขาเพราะวิบากพวกนี้ด้วยนี่แหละ

มันจะเป็นการพากันเจริญที่ยากแสนยาก ใครบอกว่ามีคู่เพื่อพากันเจริญทางธรรมนี่อย่าเพิ่งไปเชื่อเขา เขากล้าเปิดเผยบัญชีบุญบาป(กิจกรรมในชีวิต) ไหมล่ะ มันจะได้เห็นชัด ๆ เลยว่ากิจกรรมฝั่งกุศล อกุศล ฝั่งไหนมันมากกว่ากัน

ทีนี้คุณจะทุกข์หนักเวลาคนรักไม่เอาดีอย่างใจหมายนี่แหละ ส่วนใหญ่มันจะเจริญพร้อมกันได้ยาก มันจะมีคนใดคนหนึ่งที่เจริญขึ้นก่อน ด้วยความรักมันจะพยายามลากอีกคนขึ้นไปด้วย คุณจะรู้สึกถึงความหนัก ดึงยังไงก็ไม่ไป เว้นเสียแต่เขามีบารมีมากพอ กรณีนั้นก็ยกไว้

เอาแบบส่วนใหญ่แล้วกัน ส่วนใหญ่ลากไม่ไปหรอก อย่างเราไม่กินเนื้อสัตว์ เกิดเราไปรักไปชอบกับคนที่กินเนื้อสัตว์ คิดว่าเขาจะมาเลิกกินอย่างเราได้ไหม ยิ่งถ้าคุณถือศีลกินมื้อเดียว คิดว่าจะชวนเขามากินมื้อเดียวเหมือนกันได้ไหม มันจะยั่งยืนไหม มันจะชวนกันรุ่งหรือชวนกันร่วง ดีไม่ดีพากันเสื่อมกว่าเดิมอีก จากไม่กินเนื้อสัตว์มาตั้งนาน ไปมีคู่สุดท้ายเวียนกลับไปกินเนื้อสัตว์ก็เป็นไปได้

ยิ่งเราฝึกปฏิบัติศีลสูงขึ้นมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งเห็นความต่าง จะเริ่มเห็นความไม่เสมอกัน อินทรีย์พละคนไม่เท่ากันหรอก และไม่มีทางที่จะเท่ากัน ศีล ศรัทธา จาคะ ปัญญา ก็เช่นกัน มันไม่เท่ากันหรอก จะมีเท่ากันก็เวลาเดียว ก็คือเวลาที่เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะเท่ากันทุกอย่าง

นอกนั้นมันก็แปรเปลี่ยนไปตามหลักอนิจจังทั้งนั้น วันนั้นใกล้เคียง วันนี้ต่างกันไป ถึงจะเจริญก็ใช่ว่าจะเจริญในทางเดียวกันเสมอไป มันอาจจะเด่นไปคนละด้านก็ได้

ยกอีกตัวอย่างกันให้ชัด กับฐานก้าวกระโดด คือคุณจะพาเจริญกันถึงขั้นเป็นโสดกันทั้งสองฝ่ายได้ไหมล่ะ มันไม่ง่ายนะ ที่จะไปได้พร้อม ๆ กัน แค่ตัวเองยังเอาตัวรอดยากเลย ซึ่งมันมักจะมีฝ่ายหนึ่งตามหลังอยู่ แล้วคุณจะทำใจได้ไหม ถ้าเขาไม่มาด้วยกับคุณ เขาไม่ยอมอยู่เป็นโสด คุณกล้ากระโดดออกมากไหม แล้วเขาอยากมีคู่ สุดท้ายเขาก็ไปมีคู่ของเขา คุณทำใจได้ไหมล่ะ

คนผ่านแล้วเขาก็เฉย ๆ คนยังไม่ผ่านนี่ยื้อกันช่วงนี้อยู่นานเลย ทุกข์ทั้งนั้น แล้วใช่ว่าเราจะอยู่เป็นโสดเขาจะยอมง่าย ๆ ที่ไหนล่ะ ก็สารพัดลีลามารยาที่เขาจะเอามาใช้กักเราไว้ให้อยู่กับเขานั่นแหละ เราใจไม่แข็ง เราก็ติดอยู่แบบนั้นแหละ มันก็นาน มันก็ช้า เขาไม่ยอมให้ออก เราก็ไม่มีแรงจะออกเพราะทนเห็นเขาทุกข์ไม่ได้ มันก็ติดกันไปแบบนี้

ส่วนตัวผมเห็นว่า ในด้านความเจริญทางธรรม การตั้งตนอยู่เป็นโสดนี่มันเพิ่งตีนเขาเองนะ อีกไกลกว่าจะถึงยอดเขา การมีคู่รักมันก็รั้งเราไว้นั่นแหละ ไม่ให้เจริญไปมากกว่านั้น มันร้ายลึกก็ตรงนี้

เพราะมันร้ายลึก มันก็เลยรู้ยาก เข้าใจยาก คนก็สงสัยว่ามันทุกข์ยังไงหว่า? ทุกข์ร้ายแสนสาหัสยังไงหว่า? นี่แหละอริยสัจถึงเข้าใจยากอย่างนี้ ถ้ายังไม่เห็นทุกข์ในการมีคู่ ก็ยังไปไหนต่อไม่ได้หรอก