มงคลชีวิต กับเรื่องคู่

ว่ากันด้วยเรื่องมงคลชีวิต ต่อจากเรื่องคู่เมื่อโพสก่อน ใครตกไปก็ตามไปอ่านกันก่อนได้

พระพุทธเจ้าตรัสมงคลชีวิตข้อแรกไว้ว่า “ไม่คบคนพาล” ข้อแรกนี่คือตัวกรองหยาบของศาสนาพุทธเลย เพราะในความจริงแล้วคนพาลมีอยู่เต็มโลก ซึ่งท่านก็ตรัสไว้อีกว่าคนที่จะพ้นทุกข์ได้จริง ๆ เมื่อเปรียบเทียบแล้วมีจำนวนเพียงแค่ฝุ่นปลายเล็บเมื่อเทียบกับดินทั้งแผ่นดิน

คนพาลจึงทำหน้าที่อย่างคนพาล คือมีไว้พรากคนโง่ออกจากความผาสุกที่แท้จริงโดยเฉพาะ คนที่คบคนพาล ก็จะพาไปหาผิด เช่น มีคู่ก็บอกว่าดี หรือไปมีคู่ก็จะพบความสุข พบความเจริญ ก็เฉโกกันไปตามความฉลาดของคนพาลที่จะแสดงอธรรมว่าเป็นธรรม

ในประเด็นเรื่องคู่ พระพุทธเจ้าปิดแทบทุกประตู คือไม่ส่งเสริม และคำตรัสของท่านเกี่ยวกับเรื่องคู่ เรื่องความรักก็มีมากมายเช่น ” บัณฑิตพึงประพฤติตนเป็นโสด ” นั่นหมายถึงคนพาลจะพาไปในทิศทางตรงข้าม ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ แต่ปลายทางคือจะไปมีคู่ให้ได้

หรือไม่คนเขาก็มักอ้างเล่ห์ว่า มีรักแต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือมีรักแต่ไม่ทุกข์ ซึ่งเป็นความฉลาดของคนพาลอีกเช่นกันในการสร้างวาทกรรมนำกิเลส เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ดังเช่นว่า มีรัก ๑ ก็ทุกข์ ๑ หรือที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ มันจะหนีทุกข์ไปไม่ได้หรอก ยกเว้นไม่ฉลาดพอที่จะเห็นทุกข์ ซึ่งการจะเห็นทุกข์นี่มันก็ยาก และคนพาลย่อมไม่เห็นทุกข์ โทษ ภัยของการยินดีในการครองคู่อยู่แล้ว

หรืออีกความเห็นที่ได้ยินได้ฟังกันบ่อยคืออยู่เป็นคู่บารมีส่งเสริมกันทำดี อันนี้เนียนสุด ๆ ดูดี ดูขาวสะอาด แต่กลิ่นฉุนพอสมควร เพราะความจริง ลักษณะของการเป็นคู่บารที่ปรากฎในพุทธประวัตินั้น จะพบว่าแทบจะไม่มีความอยากในการครองคู่เลย พระพุทธเจ้าก็ดี พระมหากัสสัปปะก็ดี ท่านก็ไม่อยากมีคู่ แต่พ่อแม่ก็บังคับบ้าง บริบทของสังคมบังคับบ้าง คือสภาพของคู่บารมีนี่มันไม่ต้องผลักดัน ไม่ต้องพยายาม ถึงพยายามจะผลักไสเขาก็จะมาอยู่ดี และที่สำคัญคือจะดำรงสภาพคู่อยู่ก็ต่อเมื่อยังไม่มีคำสอนในศาสนาพุทธเผยแพร่อยู่ ดังเช่นกรณีของพระมหากัสสัปปะ ซึ่งมีเรื่องราวคล้าย ๆ กับพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่อยากแต่งงาน นอนก็เอาดอกไม้กั้น ไม่แตะเนื้อต้องตัวกัน ถึงเวลาบวช ก็แยกกันไปคนละทาง อันนี้คือลักษณะเด่นของสาวกของพระพุทธเจ้าคือ เมื่อพบธรรมะก็จะหูผึ่ง จะไม่เอาแล้วเรื่องคู่ จะวิ่งหาธรรมอย่างเดียว

ส่วนยุคนี้มีธรรมประกาศอยู่ ซึ่งตามที่ยกมาก็ชัดพอแล้ว สูตรเดียวก็ชัดแล้ว คือมีรักก็ต้องทุกข์ ดังนั้นจะไปรักให้มันทุกข์ทำไม แต่คนพาลจะไม่พูดแบบนั้น จะไม่คิดแบบนั้น จะไม่เชื่อแบบนั้น คนพาลจะไม่ดำรงในธรรม แต่จะดำรงอยู่ในกาม จะฝักใฝ่ในเรื่องคู่ สามารถคิดหาเหตุผลล้านแปดในการให้น้ำหนักในการที่ตนหรือผู้อื่นจะยินดีในการมีคู่

เรียกว่ามาสร้างคู่บารมีผิดยุค ยุคนี้มันต้องโสดปฏิบัติธรรมจึงจะเจริญได้ไว ถ้าจะสร้างบารมีกันก็ยุคที่ไม่มีธรรมของพุทธประกาศอยู่ ถ้ามาหลงยุคสร้างบารมีกันในยุคนี้นี่จะเรียกว่าขัดขวางความเจริญกันซะมากกว่า เพราะยังไงก็ขัดกับคำพระพุทธเจ้าชัด ๆ อยู่แล้ว อย่างน้อยก็ไม่เจริญถึงขั้นเป็นบัณฑิตสักที ดังคำกล่าวว่า ” บัณฑิตพึงประพฤติตนเป็นโสด

คนส่วนมากก็จะไปหลงติดกับธรรมของคนพาลกันมาก ยากนาน ยึดยื้อกันอยู่หลายภพหลายชาติ เพราะเชื่อแล้วมันฝัง กลายเป็นอุปาทาน ทีนี้บวกพลิงกิเลสยิ่งยึดใหญ่ เพราะมันชอบเสพไง มันก็หาคำ หาประโยค หาแนวคิด หาวาทกรรมมาให้ได้เสพสมใจได้หมดนั่นแหละ

ต่อมาที่ข้อคบบัณฑิต ข้อนี้เป็นตัวคัดคนเข้าพุทธเลย ว่าจะทำใจได้รึเปล่า บัณฑิตก็คนที่ทำตามคำสอนพระพุทธเจ้านั่นแหละ ไม่ใช่แค่พูดได้นะ แต่ทำได้จริงด้วย แล้วทำได้อย่างยั่งยืน ยาวนาน ไม่เวียนกลับ ไม่แปรเปลี่ยน คงทนถาวรด้วย ไม่ใช่เข้ามาอาศัยศาสนาศึกษา อาศัย สอนไป สอนไปว่าแล้วก็สึกไปมีเมีย อันนี้ไม่ใช่แล้ว บัณฑิตนี้มันก็ต้องคัดหน่อย จะคัดมันก็ต้องใช้ปัญญา ส่วนข้อ 3 บูชาบุคคลที่ควรบูชาจะเป็นตัวย้ำสัมมาทิฏฐิ ส่วนคนโง่ เขาก็บูชาคนพาลอยู่นั่นแหละ สรรเสริญธรรมของคนพาล ยินดีในธรรมของคนพาล ทิศมันจะกลับกัน

นี่ก็พยายามย่นย่อได้เท่านี้ มงคล 38 ก็เอาแค่ 3 ข้อแบบไม่เต็มก็ดูจะยาวมากแล้ว ก็เอาเท่านี้แล้วกันครับ ใครที่อ่านแล้วก็พิจารณาหาประโยชน์กันไป ไม่ต้องเพ่งหาโทษนะ อันนั้นไม่มีประโยชน์อะไร เสียเวลาเปล่า ๆ

ช่วยคนอยากมีคู่นี่มันยาก

คนที่เขาอยากมีคู่นี่เขาจะไม่ฟังธรรมที่พาไปโสดเลยนะ ได้ยินก็ปิดใจ ไม่พิจารณา พอความอยากมาก ๆ นี่เปลี่ยนไปฟังธรรมะอื่นเลย ธรรมะที่พาให้รื่นเริง อิ่มเอมใจในการมีคู่ อันนั้นเขาชอบ ถูกใจ เขาฟังได้ แต่ธรรมที่พาไปโสดนี่เขาไม่ยินดี

แต่ก่อนผมก็เคยอยากมีนะคู่ครองนั่นน่ะ มันก็เคยโง่มาก่อนไง แต่ดีที่ผมมีศรัทธาตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวในคำสอนของครูบาอาจารย์ พอดีอาจารย์ที่ผมนับถือท่านสอนประโยชน์และโทษตามจริงของการมีคู่โดยอ้างอิงพระไตรปิฎก เราก็ฝึกพิจารณาตามนั่นแหละ ไม่ฟังธรรมอื่นใด ๆ สำนักไหนเขาจะพูดเรื่องคู่ยังไงเราไม่สน เรามีปัญญาเราก็รู้สิอันไหนมิจฉาทิฏฐิ อันไหนสัมมา ว่ากันตรง ๆ จากที่ผมอ่านมาหลายคนจนถึงวันนี้ผมยังไม่เจอคนที่ผ่านเรื่องคู่กันจริง ๆ เลย นอกจากสายที่ผมปฏิบัติ

พอผ่านได้มันจะรู้เลยว่าความเห็นนี้มิจฉา มันจะพาให้ไปมีคู่ อันไหนอนุโลม อันไหนกิเลส ทิศมันจะต่างกัน องศาต่างกันนิดเดียวมันก็พากันไปคนละทางแล้ว อย่างคนอยากมี ไม่ยินดีมี หรือคนติดคู่ มันจะรู้ได้ กลิ่นมันจะออก เหมือนที่พระพุทธเจ้าว่ากลิ่นศีลย่อมหอมฟุ้งไปไกล เช่นเดียวกับคนอยากมีคู่หรือคนยังหลงในเรื่องคู่ มันจะมีลีลาอาการหรือความเห็นที่บอกอยู่ว่ายังไม่พ้น

ถ้าเขาเขียนเป็นหนังสือนี่ก็ง่ายหน่อย อ่านดูมันก็รู้แล้ว แต่ถ้าเป็นบุคคลทั่วไปนี่ต้องใช้เวลาศึกษาบ้าง แต่ก็รู้ได้ไม่ยาก

ธรรมะปัจจุบันนี่มัน Red ocean ทะเลแดงเดือดที่ฉ่ำไปด้วยกามและอัตตาปนกันอยู่ในนั้น จะกล่าวถึงเรื่องคู่อย่างเดียวแล้วกัน คือธรรมที่พาให้หลงเสพยินดีในการมีคู่ก็เยอะ คืออ่าน ศึกษา ทำใจตามไปแล้วจะรู้สึกว่ามีคู่ได้ มีคู่ก็ดี มีคู่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร อารมณ์ประมาณนี้ ส่วนธรรมที่พาให้หลงติดหลงยึดในในคู่มันก็เยอะอีก เช่นพวกคู่บุญ คู่บารมี อะไรพวก ๆ นี้แหละ

จริง ๆ ถ้าเขารู้ว่ามันเป็นแค่อุปทานเพราะเสพกันมาหลายชาติเขาก็คงจะไม่กล้านำเสนอเรื่องนี้กันมาก คนส่วนใหญ่ก็มีแค่นี้แหละ เสพคบคุ้นกันมาหลายชาติ ของมันเคยไง พอมาเจออีกมันก็ชอบตามที่มันเคยชอบ มันก็จะมีเหตุให้รู้สึกพิเศษ ถึงไม่มีกิเลสมันก็หาให้มีจนได้นั่นแหละ

ถ้ามันไม่ถึงขั้นเขาคลุมถุงชนให้แต่งหรือบริบทของชีวิตบังคับก็ไม่ต้องไปแส่หามันหรอกเรื่องคู่ มีกันทุกคนอยู่แล้ว เรื่องคู่นี่มันเป็นเรื่องต่ำ ๆ เสพกันมาตั้งแต่ยังเป็นสัตว์ ตั้งแต่ยังเป็นเดรัจฉาน มันก็ถูกใจติดใจ สืบภพต่อมาเรื่อย ๆ เป็นคนก็ยังไม่เลิก สร้างนิทาน สร้างตำนานมาหลอกตัวเองซ้อนอีกต่อให้การมีคู่ครอง มีลูกหลานดูเป็นเรื่องปกติ

หลอกตัวเองไม่พอ ยังไปโดนคนอื่นหลอกต่ออีก ไปอยู่ในสังคมที่ยินดีในการมีคู่มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ ยิ่งศรัทธาในคนที่ยินดีในการมีคู่นี่มันไปไม่รอดเลย เวลาสอนมันจะไม่ขาด ไม่ชัด มันจะนัว ๆ และเอนเอียงไปทาง มีคู่มันก็ดีนะ อะไรประมาณนั้น มันจะไม่พาไปทางเลิกเสพ

ทีนี้คนเขาก็มีสิทธิเลือกไง ใครจะไปห้ามได้ ถ้าเขาอยากมีคู่ เขาก็ไปฟังธรรมที่ยินดีในการมีคู่ เขาก็ไปมีคู่ได้อย่าง happy ending (ตามที่เขาคิด) ส่วนธรรมที่พาไปโสดนี่ขายไม่ค่อยออกหรอก พอจะดามใจได้ตอนอกหักได้บ้าง แต่ถ้าไม่เอาจริงเดี๋ยวก็เวียนกลับไปเสพใหม่

เพราะอะไร? ก็เพราะติดมาหลายชาติไง