คนใจเหี้ยมฆ่าสัตว์

คนที่เขาฆ่าสัตว์นี่ใจเขาต้องเหี้ยมมากนะ ศีล เศิล เมตตง เมตตา นี่ไม่ต้องมีกันหรอก คิดอย่างเดียวทำยังไงให้มันตาย ให้มันขายได้ราคาแพง มันจะเจ็บปวดทรมานยังไงเรื่องของมัน

คนมีหิริโอตตัปปะ เขาทำไม่ลงนะ มันทำไม่ได้ เห็นสัตว์เจ็บเขาก็ละอายเกรงกลัวบาปแล้ว ให้เขาร่วมวงด้วยเขาก็ไม่เอา ให้เขายินดีด้วยเขาก็ไม่เอา ให้เขากินด้วยเขาก็ไม่เอา

ส่วนคนโลกๆ ทั่วไปก็ โหดร้ายจัง ไม่อยากดู แต่ถ้าเขาไม่ฆ่า แล้วเราจะมีกินได้อย่างไร… อย่ากระนั้นเลย เราปล่อยวางแล้วกินต่อไปดีกว่า…พวกคิดแบบนี้มันพวกเฉโกชัด ๆ นอกจากจะไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว ยังสนับสนุนให้เขาฆ่าอีก อยู่ไปไม่ได้เกื้อกูลอะไรสัตว์อื่นเล้ย กิน ๆ เสพ ๆ บ้ากาม เมาอัตตา อยู่ๆ อยากๆ แล้วก็ตายไป เสียชาติเกิดจริงๆ

มงคลชีวิต กับเรื่องคู่

ว่ากันด้วยเรื่องมงคลชีวิต ต่อจากเรื่องคู่เมื่อโพสก่อน ใครตกไปก็ตามไปอ่านกันก่อนได้

พระพุทธเจ้าตรัสมงคลชีวิตข้อแรกไว้ว่า “ไม่คบคนพาล” ข้อแรกนี่คือตัวกรองหยาบของศาสนาพุทธเลย เพราะในความจริงแล้วคนพาลมีอยู่เต็มโลก ซึ่งท่านก็ตรัสไว้อีกว่าคนที่จะพ้นทุกข์ได้จริง ๆ เมื่อเปรียบเทียบแล้วมีจำนวนเพียงแค่ฝุ่นปลายเล็บเมื่อเทียบกับดินทั้งแผ่นดิน

คนพาลจึงทำหน้าที่อย่างคนพาล คือมีไว้พรากคนโง่ออกจากความผาสุกที่แท้จริงโดยเฉพาะ คนที่คบคนพาล ก็จะพาไปหาผิด เช่น มีคู่ก็บอกว่าดี หรือไปมีคู่ก็จะพบความสุข พบความเจริญ ก็เฉโกกันไปตามความฉลาดของคนพาลที่จะแสดงอธรรมว่าเป็นธรรม

ในประเด็นเรื่องคู่ พระพุทธเจ้าปิดแทบทุกประตู คือไม่ส่งเสริม และคำตรัสของท่านเกี่ยวกับเรื่องคู่ เรื่องความรักก็มีมากมายเช่น ” บัณฑิตพึงประพฤติตนเป็นโสด ” นั่นหมายถึงคนพาลจะพาไปในทิศทางตรงข้าม ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ แต่ปลายทางคือจะไปมีคู่ให้ได้

หรือไม่คนเขาก็มักอ้างเล่ห์ว่า มีรักแต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือมีรักแต่ไม่ทุกข์ ซึ่งเป็นความฉลาดของคนพาลอีกเช่นกันในการสร้างวาทกรรมนำกิเลส เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ดังเช่นว่า มีรัก ๑ ก็ทุกข์ ๑ หรือที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ มันจะหนีทุกข์ไปไม่ได้หรอก ยกเว้นไม่ฉลาดพอที่จะเห็นทุกข์ ซึ่งการจะเห็นทุกข์นี่มันก็ยาก และคนพาลย่อมไม่เห็นทุกข์ โทษ ภัยของการยินดีในการครองคู่อยู่แล้ว

หรืออีกความเห็นที่ได้ยินได้ฟังกันบ่อยคืออยู่เป็นคู่บารมีส่งเสริมกันทำดี อันนี้เนียนสุด ๆ ดูดี ดูขาวสะอาด แต่กลิ่นฉุนพอสมควร เพราะความจริง ลักษณะของการเป็นคู่บารที่ปรากฎในพุทธประวัตินั้น จะพบว่าแทบจะไม่มีความอยากในการครองคู่เลย พระพุทธเจ้าก็ดี พระมหากัสสัปปะก็ดี ท่านก็ไม่อยากมีคู่ แต่พ่อแม่ก็บังคับบ้าง บริบทของสังคมบังคับบ้าง คือสภาพของคู่บารมีนี่มันไม่ต้องผลักดัน ไม่ต้องพยายาม ถึงพยายามจะผลักไสเขาก็จะมาอยู่ดี และที่สำคัญคือจะดำรงสภาพคู่อยู่ก็ต่อเมื่อยังไม่มีคำสอนในศาสนาพุทธเผยแพร่อยู่ ดังเช่นกรณีของพระมหากัสสัปปะ ซึ่งมีเรื่องราวคล้าย ๆ กับพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่อยากแต่งงาน นอนก็เอาดอกไม้กั้น ไม่แตะเนื้อต้องตัวกัน ถึงเวลาบวช ก็แยกกันไปคนละทาง อันนี้คือลักษณะเด่นของสาวกของพระพุทธเจ้าคือ เมื่อพบธรรมะก็จะหูผึ่ง จะไม่เอาแล้วเรื่องคู่ จะวิ่งหาธรรมอย่างเดียว

ส่วนยุคนี้มีธรรมประกาศอยู่ ซึ่งตามที่ยกมาก็ชัดพอแล้ว สูตรเดียวก็ชัดแล้ว คือมีรักก็ต้องทุกข์ ดังนั้นจะไปรักให้มันทุกข์ทำไม แต่คนพาลจะไม่พูดแบบนั้น จะไม่คิดแบบนั้น จะไม่เชื่อแบบนั้น คนพาลจะไม่ดำรงในธรรม แต่จะดำรงอยู่ในกาม จะฝักใฝ่ในเรื่องคู่ สามารถคิดหาเหตุผลล้านแปดในการให้น้ำหนักในการที่ตนหรือผู้อื่นจะยินดีในการมีคู่

เรียกว่ามาสร้างคู่บารมีผิดยุค ยุคนี้มันต้องโสดปฏิบัติธรรมจึงจะเจริญได้ไว ถ้าจะสร้างบารมีกันก็ยุคที่ไม่มีธรรมของพุทธประกาศอยู่ ถ้ามาหลงยุคสร้างบารมีกันในยุคนี้นี่จะเรียกว่าขัดขวางความเจริญกันซะมากกว่า เพราะยังไงก็ขัดกับคำพระพุทธเจ้าชัด ๆ อยู่แล้ว อย่างน้อยก็ไม่เจริญถึงขั้นเป็นบัณฑิตสักที ดังคำกล่าวว่า ” บัณฑิตพึงประพฤติตนเป็นโสด

คนส่วนมากก็จะไปหลงติดกับธรรมของคนพาลกันมาก ยากนาน ยึดยื้อกันอยู่หลายภพหลายชาติ เพราะเชื่อแล้วมันฝัง กลายเป็นอุปาทาน ทีนี้บวกพลิงกิเลสยิ่งยึดใหญ่ เพราะมันชอบเสพไง มันก็หาคำ หาประโยค หาแนวคิด หาวาทกรรมมาให้ได้เสพสมใจได้หมดนั่นแหละ

ต่อมาที่ข้อคบบัณฑิต ข้อนี้เป็นตัวคัดคนเข้าพุทธเลย ว่าจะทำใจได้รึเปล่า บัณฑิตก็คนที่ทำตามคำสอนพระพุทธเจ้านั่นแหละ ไม่ใช่แค่พูดได้นะ แต่ทำได้จริงด้วย แล้วทำได้อย่างยั่งยืน ยาวนาน ไม่เวียนกลับ ไม่แปรเปลี่ยน คงทนถาวรด้วย ไม่ใช่เข้ามาอาศัยศาสนาศึกษา อาศัย สอนไป สอนไปว่าแล้วก็สึกไปมีเมีย อันนี้ไม่ใช่แล้ว บัณฑิตนี้มันก็ต้องคัดหน่อย จะคัดมันก็ต้องใช้ปัญญา ส่วนข้อ 3 บูชาบุคคลที่ควรบูชาจะเป็นตัวย้ำสัมมาทิฏฐิ ส่วนคนโง่ เขาก็บูชาคนพาลอยู่นั่นแหละ สรรเสริญธรรมของคนพาล ยินดีในธรรมของคนพาล ทิศมันจะกลับกัน

นี่ก็พยายามย่นย่อได้เท่านี้ มงคล 38 ก็เอาแค่ 3 ข้อแบบไม่เต็มก็ดูจะยาวมากแล้ว ก็เอาเท่านี้แล้วกันครับ ใครที่อ่านแล้วก็พิจารณาหาประโยชน์กันไป ไม่ต้องเพ่งหาโทษนะ อันนั้นไม่มีประโยชน์อะไร เสียเวลาเปล่า ๆ

โสดไม่ง่าย


วันนี้มีคนมาเล่าในบล็อกว่าตั้งใจปฏิบัติธรรมมาสักพัก ก็มาหนักเอาเรื่องความอยากมีคู่นี่แหละ เขาบอกประมาณว่าโจทย์ทั่วๆไปพอไหว แต่เรื่องคู่นี่โดนเล่นงานซะทุกข์หนัก

เพื่อนก็บอกว่า การพาคนโสดเป็นเรื่องยาก แม้บทความที่เราเขียนก็ยังยากไปสำหรับคนทั่วไป เรียกว่าตึงมือเลยล่ะ

ใจก็ว่าเขียนอย่างอนุโลมแล้วนะ ยังไม่เคยอัดตรงๆแบบไม่มีทางให้เลี่ยงสักที แค่ยกมาชี้โทษเป็นเรื่องๆ แต่อาจจะเพราะเดิมทีมันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจยากอยู่แล้วด้วยแหละนะ

จากประสบการณ์ผมก็ว่าโจทย์นี้หินสุดๆเลยนะ การประพฤติตนเป็นโสดเนี่ย การไม่กินเนื้อสัตว์นี้เป็นเด็กทารกไปเลย การกินจืดก็เป็นเด็กโตขึ้นมาหน่อย กินมื้อเดียวเป็นเด็กมัธยม ส่วนจะโสดนี่มันโดดมาอีกขั้นหนึ่ง เหมือนไม่ได้ต่อกันมา นี่ถ้าไม่มีบุญเก่ามา ชาตินี้คงไม่รอดต้องจมทุกข์เหมือนชาวบ้านเพราะความอยากมีคู่แน่ๆ

ฐานกินมื้อเดียวได้สบายๆ เจอการประพฤติตนเป็นโสดยังเรียกว่าตึงมือ รบกันก็เสียเลือดบ้าง เสียแขนเสียขาไปบ้าง แต่ก็ยังพอมีโอกาสชนะได้ ดังนั้นฐานต่ำกว่านี้ไม่น่ารอด ถ้าจะรอดก็กดข่มอดทนเอาให้มันผ่านๆไปอีกชาติ

ถ้าถามความหวังผมจากการเขียนบทความเชียร์คนโสดทั้งหลาย ผมไม่หวังอะไรเลยนะ ถึงเขาจะมาถามหรือจะมาปรึกษาก็ไม่หวัง ถ้าวันหนึ่งเขาจะเปลี่ยนใจไปมีคู่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเข้าใจว่ามันยากจริงๆ

แต่เราก็ต้องเขียน ต้องเผยแพร่ ต้องบอกเขานั่นแหละ มันเป็นความรู้ที่ดี ไม่ค่อยมีคนเผยแพร่กันนักหรอก ยังมีคนมาบอกเลยว่าอย่างเราหายาก “บางคนสอนโทษของการมีคู่ แต่ตัวเองก็ดันมีคู่ ไม่น่าศรัทธา

นักเผยแพร่ธรรมะ น้อยคนนักที่จะชี้โทษของการมีคู่ชัดๆ ส่วนใหญ่ก็เหลือช่องน้อยไว้ให้ตัวเองมีคู่ เจาะช่องไว้ให้หาคู่ได้โดยไม่ผิด ธรรมะมันไม่ถึงแก่นมันก็เฉโกไปแบบนี้นั่นแหละ

ก็เลยต้องทำไป ไม่หวังหรอก ทำไปนั่นแหละ มันเป็นสิ่งดี