โสดดีหรือมีคู่ โสดอย่างมั่นคง มีคู่อย่างพ้นทุกข์

เขียนบทความเกี่ยวกับความรัก การอยู่เป็นโสด ทุกข์ของคนคู่มาสักพัก ตอนนี้มีกุศลวิบากเข้ามา คือ ได้มีโอกาสช่วยกลุ่มแพทย์วิถีธรรม รวบรวมข้อมูลในหมวดหมู่ โสดดีหรือมีคู่ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้สะดวกต่อการค้นหา ซึ่งก็จะรวบรวมเอาความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องคนโสดคนมีคู่มารวมเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งจากหลักฐานในพระไตรปิฎกหรือธรรมะจากครูบาอาจารย์ หรือกระทั่งบทความหรือความเห็นที่มีทิศทางที่พาไปสู่การพ้นทุกข์ หลุดพ้นจากความโลภ โกรธ หลงในมุขของการหลงในความเป็นคู่ เราก็จะเอามารวบรวมลงกันไว้ที่นี่

โครงการ “โสดดีหรือมีคู่” นี้ยังเป็นโครงการที่อยู่ในระหว่างรวบรวมข้อมูลและทดลองเผยแพร่ ซึ่งจะมีการปรับแก้ไขอยู่เป็นระยะตามความเหมาะสม ถ้าใครเห็นประโยชน์ก็สามารถเข้ามาติชมได้ หรือมีข้อมูลที่คิดว่าสำคัญ ต้องการนำเสนอเพื่อที่จะร่วมเผยแพร่ ก็สามารถติดต่อเข้ามาได้ ในส่วนงานวิชาการของแพทย์วิถีธรรมเขาก็จะมีคนประสานงานอยู่ หรือถ้าอ่านจากโพสนี้แล้ว ไม่รู้จะไปติดต่อใคร ก็ติดต่อมาทางผมก็ได้ครับ

สนใจเรื่องความรัก ความโสด การแต่งงาน ก็ลองศึกษาองค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง “โสดดีหรือมีคู่” ที่ร่วมกันรวบรวมข้อมูลโดยจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมกันได้ที่

โสดดีหรือมีคู่

ถ้าผมไม่ได้เป็นโสด

สมัยยังหลง ยังเฉโกอยู่ มันก็เคยหาเหตุจะไปมีคู่เหมือนกัน กิเลสผมมันก็ฉลาดใช่ย่อย แต่ดีที่เราคบบัณฑิต เราเลยรอดมาได้

ผมเคยคิดนะว่า ชีวิตเรามีคู่ไปก็ปฏิบัติธรรมได้ ช่วยเผยแพร่ธรรมได้ แต่ความจริงที่ได้มันจะไม่เป็นแบบนั้นหรอก

นี่ถ้าทุกวันนี้ผมไม่ได้อยู่เป็นโสดนะ ผมไม่มีเวลามานั่งพิมพ์แบบนี้หรอก ก็ต้องเอาเวลาไปบำรุงบำเรอคู่ เอาสมองไปคิดเรื่องคู่ ดีไม่ดีมีลูก ต้องคิดเรื่องครอบครัวอีก ไม่ใช่แค่คิดนะ ต้องทำด้วย เวลาที่เรามีอิสระในการทำประโยชน์อื่น ๆ มันจะเสียไปหมดเลย มันจะไปเทลงที่คนไม่กี่คนนั่นแหละ แทนที่จะทำประโยชน์ได้เยอะ ๆ มันก็ได้แค่นิดเดียว เพราะชีวิตมันจะลำเอียง เทไปด้านที่ตนหลงชอบ

แล้วผมก็จะเสื่อมไปเรื่อย ๆ ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากผมฟังธรรมจากครูบาอาจารย์แล้ว ท่านก็บอกแล้วว่าอย่าไปมี ไม่มีประโยชน์กับความเจริญเลย ทีนี้ถ้าเราจะฝืนไปทิศตรงข้ามนี่มันนรกเลย มันเข้าใกล้ขีดอนันตริยกรรมได้เลย (อัญญสัตถารุทเทส) คือได้ฟังธรรมที่ถูกแล้ว ได้เจอหมู่คนดีที่ถูกแล้ว เรายังหลีกยังหนีออกไปมีคู่ ไปสู่อธรรม มันจะเสื่อมไปเรื่อย ๆ จะเริ่มตกต่ำ ห่างธรรม ธรรมที่เคยมีก็เสื่อมถอย เวียนกลับ ธรรมที่มีก็จะเริ่มบิดเบี้ยว ฯลฯ สุดท้ายก็ต้องทนทุกข์รับวิบากกรรมไป

เพราะมีคู่มีครอบครัว ก็ใช่ว่าเขาจะปล่อยมาทำดีง่าย ๆ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเสียเวลาดูแลเขา ต้องทำหน้าที่ ต้องรับผิดชอบ ถามว่าทำแล้วดีไหม มันก็ดี เป็นสิ่งดี เป็นมงคล แต่ถ้าไม่ต้องทำมันก็ดีกว่า มันมีดีอย่างอื่นที่ดีกว่าเอาเวลาไปดูแลลูกเมียอีกเยอะ

แล้วกิจกรรมกับหมู่กลุ่มคนดีนี่อย่าไปหวัง ต้องเก็บวันหยุดยาวไปเที่ยวกับครอบครัว ถ้าไม่พาไป เขาก็โกรธ ไม่พอใจอีก แถมค่าใช้จ่ายบานเบอะ เขาไม่ได้ทนลำบากกันได้สักเท่าไหร่หรอก รถนี่ต้องมี แถมบางทีก็ต้องขึ้นเครื่องบิน ยิ่งถ้าร้องจะไปเมืองนอกนี่ยิ่งซวยเข้าไปใหญ่

เอาแล้วไง จะมานั่งพิมพ์บทความได้ที่ไหนล่ะ มันต้องเอาเวลาไปหาเงิน เลี้ยงลูก เลี้ยงเมีย บำเรอให้เขาอิ่มกัน อิ่มวันนี้พรุ่งนี้หิวอีก ก็ต้องทำงานกันไป ทุกข์ก็ต้องทนทำ เบื่อก็ต้องทนทำ เวลาฟังธรรมหรออย่าหวังมาก แค่ต้องมาฟังปัญหาร้อยแปดภายในครอบครัวก็หมดเวลาแล้ว ไหนจะพ่อแม่พี่น้อง ไหนจะญาติมิตรเพื่อนสหาย ปัญหาเยอะไปหมด

ถ้าผมไปมีคู่นะ มีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายไปแล้ว มันพลาดตั้งแต่เราเบือนหน้าหนีธรรมอาจารย์นั่นแหละ ท่านสอนทางพ้นทุกข์ เราไม่ทำตามมันก็ไปทางทุกข์เท่านั้นเอง แล้วจะหวังอะไรกับทางทุกข์ มันคนละทางกับทางพ้นทุกข์ มันยิ่งไปมันยิ่งทุกข์ มันไม่พ้นอยู่แล้ว นั่นหมายถึงผมก็มีโอกาสจะเสียชาตินี้ไปอีกชาติ ถึงจะเก่งก็เก่งขึ้นไม่ได้มากกว่าภาวะคนคู่ เพราะชาตินี้มันสอบตก มันล้างไม่ทัน จะไปเบื่อตอนแก่มันก็ไม่ทัน ผัสสะมันไม่เหมือนเดิม เหตุปัจจัยมันหมดแล้ว มันมีจังหวะเดียวให้ชีวิตผลิกก็แค่ตอนจะตัดสินใจมีหรือไม่มีนั่นแหละ

ส่วนจะหวังบรรลุหรือหลุดพ้นเพราะคบกันนี่ผมบอกเลยว่า ยากกกกกกกก… เพราะกว่าจะถึงเวลานั้น คุณร่วมกันทำบาป ทำตามกิเลสกันมาเท่าไหร่ ทุ่มเทบำเรอกาม บำรุงอัตตากันมาเท่าไหร่ มันมีผลนะ มันบันทึกเป็นกรรมไม่พอ มันยังฝังเป็นอุปาทานด้วย ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วเป็นไปไม่ได้ จะมีเฉพาะบางกรณีพิเศษเท่านั้น ซึ่งก็อย่าไปหวังเลยว่าเราจะเป็นกรณีพ้นได้แบบง่าย ๆ

ขอให้ยินดีในความโสดเถอะครับ อย่างน้อยมันก็ยังทำให้เราได้มีเวลาแบ่งปันศึกษาเรียนรู้ร่วมกัน

มิจฉาธรรมในเรื่องคนคู่

เป็นเรื่องที่มีภัยต่อสังคมค่อนข้างมาก พอ ๆ กับพระอลัชชีเลยทีเดียว แต่มันละเอียดแนบเนียนกว่ามาก

มีผู้ตั้งตนเป็นผู้รู้หลายคน กล่าวถึงเรื่องความรัก แต่ก็มักจะไม่พ้นการวนเวียนอยู่ในภพคนคู่ คือสื่อสารออกมาแล้วสื่อในลักษณะที่ไม่ทำให้คลายกำหนัด ไม่ทำให้ปล่อยวางความอยากมีคู่ ซ้ำยังไปเพิ่มอุปาทานว่าต้องเลือกคู่ดีแบบนั้นแบบนี้จึงจะดี มีคู่แบบนั้นแบบนี้มีได้ ไม่ผิด อะไรแนว ๆ นี้

ผมจะขีดเส้นแบ่งชัด ๆ ให้ คือ พูดให้คนเลิกหลงอยากมีคู่ กับพูดให้คนหลงอยู่ในการมีคู่ ซึ่งมันจะเป็นสัมมาทางหนึ่ง มิจฉาทางหนึ่ง แต่ในส่วนสัมมานั้นจะมีอนุโลมอยู่ คือถ้ามันจะไปมีให้ได้ มันหื่นกระหายใคร่อยากจนทนไม่ไหวแล้ว อกมันจะแตกตายแล้ว ก็ให้เลือกคู่ที่ชั่วน้อยที่สุด คือมีศีลเป็นคุณสมบัติหลัก คือแพ้กิเลสอย่างไรให้เจ็บน้อยที่สุด จะไม่มีมาเชิดหน้าชูตาอวดคู่หรอก จะอาย จะหลบ จะไม่แสดงตัวตนมากนัก อันนี้คือหิริ ของผู้ที่มีความเห็นถูกอยู่บ้าง ส่วนพวกเห็นผิดนี่ปฏิบัติธรรมหาคู่แล้วเอามาโชว์กันออกหน้าออกตาเฉยเลย

ผมเห็นหลายคนเขาแสดงธรรมที่ผิดเหล่านี้แล้วก็สงสาร จริง ๆ เห็นมานานแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคิดว่ากรรมใครกรรมมัน แต่ตอนนี้มันชักจะไม่ไหว ผมว่าถ้าปล่อยไปมันจะดึงคนดีให้หลงไปหมด มันจะมีแต่คนทุกข์ เขาไม่ได้สร้างความฉิบหายให้ตนเองคนเดียว เขายังลากคนอื่นไปเห็นผิดอย่างเขาด้วย

ซึ่งก็เคยมีประสบการณ์ตรงเหมือนกัน คือเพื่อนที่ศึกษาด้วยกันมาเขาจะไปมีคู่ แต่ตอนที่เขาจะไปมีคู่ คือไปแต่งงานนั่นแหละ เขาไม่ปรึกษาเราสักคำ เขาไปปรึกษานักบวชที่เขาศรัทธา แล้วไงล่ะ สุดท้ายก็ไปแต่งงาน มันก็หล่น ก็เสื่อมไปแบบนั้น ราศีหมดเลยนะ พระพุทธเจ้าตรัสเล่าไว้เกี่ยวกับต้นกำเกิดของคนว่า จากที่เคยมีจิตบริสุทธิ์ผ่องใส แต่พอหลงไปกินง้วนดินเท่านั้นแหละ ราศีหายเลย แล้วไปมีคู่นี่ไม่ต้องห่วง หนักหนากว่ากินง้วนดินเยอะ

นี่ถ้าเขาเกาะกลุ่มกันไปเขาจะรอด แต่เขาไม่เลือกทางนี้ เขาเลือกทางอื่น เขาเลือกที่จะไปฟังธรรมที่ไม่ฉุดรั้งเขา ไม่ขัดเกลาเขา ส่งเสริมกิเลสเขา เขาก็เลยได้ไปสู่คติที่เขาอยากไป ไปอยู่ในภพที่เขาอยากอยู่

ผมเห็นแบบนี้แล้วก็เสียดายคนดี ทั้ง ๆ ที่มีภูมิธรรมเก่ามาเป็นทุนอยู่แล้ว แต่กลับต้องเสียเวลาหลงทางไปอีกชาติ อาจจะเป็นเพราะผมปล่อยวางมากไปก็ได้ อาจจะเป็นเพราะผมไม่เอาภาระก็ได้ อาจจะเป็นเพราะผมห่วงตัวเองมากไปก็ได้

เพราะการที่ผมจะเอาภาระตรงนี้ มันจะเกิดการกระทบมาก เอาง่าย ๆ คือมีศัตรูมากขึ้น เพราะธรรมมันจะขัดกันอย่างชัดเจน แล้วมันก็จำเป็นต้องชี้แจงว่าเขาผิดอย่างไร นั่นหมายถึงมีโอกาสที่เขาจะไม่พอใจ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้อยากมีศัตรูหรอกนะ แต่ก็เห็นใจคนที่กำลังหลงในมิจฉาธรรมในเรื่องคู่ เรื่องอื่นผมอาจจะไม่เก่ง แต่เรื่องคนคุ่หรือความรักนั้นผมมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะตีแผ่ความจริงว่าสิ่งไหนผิด สิ่งไหนถูกได้

อย่าพึ่งรีบเชื่อใคร อย่าพึ่งรีบเชื่อผมเช่นกัน ให้ลองศึกษาและพิจารณาเปรียบเทียบเอา ก่อนที่ท่านจะพลาดพลั้งไป เพราะถ้าพลาดเรื่องคู่แล้ว มันอาจจะล็อกไปทั้งชาติเลย มันออกยาก ดีไม่ดีหลงไปอีกหลายชาติเลย

อันที่จริง ผมก็อยากให้คนที่เผยแพร่มิจฉาธรรมในเรื่องความรักเขาหยุดเผยแพร่นั่นแหละ จะขยันสร้าง content ไปมันก็จะยิ่งหลง เป็นวิบากบาปเท่านั้น แต่จะไปบอกเขาอย่างไรได้ ในเมื่อเขาสำคัญตนว่าเป็นผู้รู้ ผมก็เลยคิดว่าสุดท้ายผมก็ต้องนั่งพิมพ์แก้ไขความเห็นเหล่านั้นแล้วเผยแพร่ให้คนพิจารณาเองนั่นแหละ

ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็คงไม่สำคัญ เพราะถ้าผมได้ทำแล้วมันก็ดีแล้ว คนมีภูมิธรรมเขาอ่านแล้วเขาน่าจะเอาประโยชน์ได้ มันช่วยไม่ได้ทุกคนหรอก แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าที่ผมรู้แล้วไม่ได้เอาความรู้นั้นไปทำประโยชน์ให้ใคร (ทั้ง ๆ ที่สามารถทำได้)

จนกว่าจะสาแก่ใจ

คุยกับเพื่อนเกี่ยวกับการออกจากนรกคนคู่ (ที่คนทั่วไปมักจะเห็นเป็นสวรรค์) ว่าคนเรานี้จะออกได้ตอนไหน เพื่อนก็พูดคำประมาณว่า “จนกว่าจะสาแก่ใจ” คือให้ทุกข์จนกว่าจะสาสมใจนั่นแหละ ทุกข์ให้มันสะใจไปเลย ถึงตอนนั้นเดี๋ยวเขาก็อยากออกเอง

ถ้ายังรู้สึกสุขกับการมีคู่อยู่ นั่นคือกำลังอยู่บนสวรรค์ลวง ก็วิ่งเล่นเพลิดเพลินไปตามประสาคนไร้เดียงสา ค่อย ๆ สะสมอกุศลกรรม ปั้นแต่งวิบากบาปมุมนั้นมุมนี้ สร้างนรกที่ไม่ได้ฝันไว้ให้ตัวเองอย่างช้า ๆ (บางทีก็เร็ว)

คนจะพ้นทุกข์ได้นี่ประตูแรกต้องรู้จักกับทุกข์เสียก่อน ต้องรู้ว่าสิ่งที่เข้าไปเสพนั้นเป็นทุกข์อย่างไร ถ้ายังมีความเห็นว่ามันเป็นสุขมันจะไม่อยากออก แบบนี้ยังไม่ต้องคุยธรรมะกันให้เสียเวลา ก็ให้ไปลองพิสูจน์ดูจนกว่าจะสาแก่ใจ

บางคนแค่คบหาเป็นแฟนก็รู้จักทุกข์มากพอที่จะออกแล้ว แต่ส่วนใหญ่ต้องมากกว่านั้น ต้องแต่งงาน ต้องมีลูก ต้องโดนทอดทิ้ง ทำร้าย หักหลัก ฯลฯ มันถึงจะสาแก่ใจ …จะว่าไปก็เหมือนพวกมาโซคิสม์ ที่เจ็บแล้วสุข เขาทำร้ายแล้วก็สุข มันก็สุขแบบวิปริตตามประสาคนหลง เช่น ทะเลาะกัน ด่าว่ากัน ตบตีกัน ทำร้ายกันแต่ก็ยังยินดีอยู่ด้วยกัน เพราะมันมีสุขลวงซ้อนอยู่ในทุกข์ ถ้ามีแต่ทุกข์ ไม่มีสุขลวง ไม่มีใครเขามีคู่กันหรอก

จริง ๆ คู่รักมันก็ไม่มีอะไรมากกว่าหาผลประโยชน์(เสพกิเลส)ร่วมกัน ฉันได้จากเธอ เธอได้จากฉัน เราต้องมีกันและกัน เป็นอัตตาก้อนหนึ่ง มัดสองคนรวมกันไว้ ไม่เป็นอิสระ ต้องพึ่งอีกฝ่าย ไม่ตั้งอยู่บนหลัก “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” แต่จะว่าไป…เขาก็ไม่คิดจะพึ่งตนเองตั้งแต่คิดจะไปมีคู่นั่นแหละนะ

ส่วนใครที่แค่เห็นคนอื่นมีคู่แล้วเห็นทุกข์ ก็ยินดีด้วย บางเรื่องไม่ต้องลงไปเล่นเองให้เสียเวลา แต่ถ้าใครอยากเล่นละครครอบครัวพ่อแม่(ลูก) ก็เชิญจนกว่าจะทุกข์จนสาแก่ใจ

ไฟรักมันร้อน…

จากข่าว : สามีโมโหใช้ทินเนอร์ราดภรรยาย่างสดคารถ กลางซอยสุขุมวิท 22

ไฟราคะที่เผาใจว่าร้อนแล้ว ยังจุดไฟเผากันให้ร้อนยิ่งไปอีก พอเป็นคนคู่กันนี่มันจะเสพกิเลสกันสุด ๆ เลยนะ จะรักก็รักที่สุด จะชังก็เกลียดที่สุด ไอ้ที่พอดีไม่มีหรอก ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่กันมันก็ลำเอียงแล้ว ถ้าพอดี ตรงกลาง มันจะไม่มาเป็นคู่กัน มันจะเป็นอิสระต่อกัน

คนคู่นี่เป็นภพที่จองเวรจองกรรมกันได้ละเอียดล้ำลึกที่สุด มีขอบเขตในการทำชั่วมากกว่าสถานะอื่น ๆ คือชั่วโดยไม่รู้ตัว ชั่วโดยไม่รู้ว่าชั่ว เขามาชวนทำชั่วยังคิดว่าเขาทำดี แล้วมันจะพาหลงไปอีกหลายต่อหลายชาติเลย

ก็หลงรักหลงชังกันไปนั่นแหละ พอเขาทำดีหน่อยก็รักเขา แต่พอเขาทำไม่ถูกใจก็โกรธเขา คนเรานี่มันก็บ้าบอ ใครก็ไม่รู้ พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ไม่ใช่ จะไปจริงจังกันทำไมนักหนา ไปสวมหัวโขนว่านี่แฟน นี่ผัว นี่เมีย แล้วก็เล่นละครพ่อแม่ลูกจริงจังยังกับจะชิงตุ๊กตาทอง ยิ่งอยู่ไปมันไม่ได้หรอกสวรรค์นิพพาน มันจะได้แต่นรกนี่แหละ

อยู่กันเป็นคู่ร้อนยัง Fire … :)