เรื่องลวงโลกอะไรบ้างที่เข้าใจผิดกันมานาน

จากกระทู้ : เรื่องลวงโลกอะไรบ้างที่เป็นที่เข้าใจผิดกันมาเป็นเวลานาน

ชอบกระทู้แบบนี้นะ เปิดประเด็นมาดี แต่ถ้าเราไปตอบมันจะหลุดโลกไปเลย 55

เรื่องที่เราลวงโลกอยู่นี่ก็พยายามจะลดๆลงไป ส่วนเรื่องที่โลกลวงเรานี่ก็เยอะเลย ยิ่งถ้าได้มาศึกษาพุทธนี่ยิ่งแบบ… อธิบายเป็นคำก็ยาก

เอาเรื่องเด็ดๆ แล้วกัน เช่น เราต้องมีคู่!, เราต้องกินเนื้อสัตว์!, เราต้องรวย!, เราต้องประสบความสำเร็จ(แบบโลกๆ)! จึงจะมีความสุขอะไรแบบนั้น

วันนี้นึกหัวข้อได้เรื่องหนึ่งตอนบ่ายๆ คือ “เราไม่จำเป็นต้องมีคู่ครอง” กะว่าจะเอาไปใส่ในหมวดคู่มือคนโสดในเพจละนะ…

ที่คิดจะพิมพ์เรื่องนี้เพราะมันลวงจริงๆ โลกเขาลวงให้เราหลงว่ามันเป็นสิ่งควรมีควรได้ควรแสวงหา ไอ้เราก็หลงเมาตามเขาอยู่กว่า 30 ปี กว่าจะโงหัวขึ้นมาได้

ในฐานความรู้ที่ผมมีตอนนี้มันก็สุดแค่นี้แหละ จะไปพิมพ์เรื่องที่มันยากกว่านี้มันก็เกินฐานะไป เอาเรื่องที่ตัวเองเข้าใจและมั่นใจที่สุดก็เรื่องโสดเรื่องคู่นี่แหละ ตอนนี้กลายเป็นเรื่องเด่นที่ถนัดแล้ว

ส่วนตัวแค่คิดว่าเรื่องกิเลสในคู่ครองนี่ก็เรียกได้ว่าพอใช้ความรู้นี้แบ่งปันได้ชั่วชีวิตแล้ว เพราะคงยากที่จะมีคนพ้นด่านนี้มาได้ (พวกหมดโควต้านี่ไม่นับว่าผ่านนะ)

แต่ก็ยังรู้สึกไม่พอใจ มันตันอยู่ฐานนี้นานละ เดี๋ยวจะพยายามพัฒนาไปเรื่อยๆ ให้มีความรู้ใหม่มาพิมพ์บทความกัน แค่คิดก็น่าสนุกแล้ว…แต่ล้างกิเลสนี่ไม่สนุกเลย~ ทุกข์สุดทุกข์ กว่าจะสุขก็นู่นนนนน หมดกิเลสในเรื่องนั้นๆ ไกลจัง~

เว็บบอร์ดธรรมะ

เมื่อประมาณสองปีก่อนสมัยเพิ่งรู้จักการปฏิบัติธรรมที่ลดกิเลสได้จริง มันก็คันไม้คันมือตามประสามือใหม่ แต่ก็ไม่ได้คันขนาดที่ว่าไปแสดงความคิดเห็นอะไรมั่วไปหมด

เพียงแต่มีความคิดว่า ควรหรือไม่ที่เราจะร่วมเข้าไปเล่นเว็บบอร์ด ไปตอบคำถามที่มีคนตั้งคำถาม ซึ่งหลายๆ คำถามนี่ก็น่าสนใจ น่าตอบมากเลยนะ ถ้าตอบไปเขาคงจะได้ประโยชน์มาก ตอนนั้นก็ยังคิดแบบนั้น

แต่ก็ยั้งใจไว้ มาถามครูบาอาจารย์ก่อนว่ามันเหมาะไหม มันควรหรือไม่ ท่านก็ตอบประมาณว่า ถ้ามันชั่วมากก็ไม่ควร (ผมจำได้ประมาณนี้นะ แต่ประโยคจริงๆ ก็จำไม่ได้)

ผมก็เข้าใจในตนเองเลยนะว่าจริงๆ แล้วเราควรจะไปร่วมกับมิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี กลุ่มที่เขายังไม่ค่อยดีเราก็ยังไม่ควรเข้าไปยุ่ง มันจะทะเลาะกันเปล่าๆ เพราะความเห็นมันไม่ตรงกัน ทิฏฐิไม่เสมอสมานกัน ศีลไม่เสมอกัน หลายๆ อย่างไม่ตรงกัน และที่สำคัญเรายังอนุโลมไม่เก่ง จะไปเล่นมันก็จะทำตัวเองให้เสียเวลาไปเปล่าๆ ดีไม่ดีไปขุ่นใจทะเลาะกับเขาอีก

ดังนั้นตั้งแต่ศึกษาธรรมะมาก็เลยไม่ได้เล่นเว็บบอร์ดธรรมะใดๆ เลย ทั้งที่เป็นคนที่โตมากับยุคอินเตอร์เน็ตและการเล่นเว็บบอร์ด

จริงๆ แล้ว ใครจะเล่นหรือจะตอบก็เป็นสิทธิของแต่ละคน ถ้าเข้าไปแล้วมันไม่ชั่ว คือตัวเองไม่เกิดความชั่วขึ้นแล้วไม่ทำให้คนอื่นเกิดความชั่วตาม ผมคิดว่ามันก็ไม่มีปัญหา ก็ใช้ศิลปะในการนำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์กันไป

แต่โดยส่วนตัวนั้นผมคิดว่า ลึกๆ มันก็ไม่เหมาะอยู่ดี เพราะลักษณะของพุทธนั้นไม่น่าจะเริ่มต้นด้วยการที่จะเอาคนมานั่งสุมหัวคุยกัน แต่เป็นการแสวงหาบุคคลผู้มีธรรมะ หรือที่เรียกว่า “สัตบุรุษ” แล้วเข้าไปรับฟังธรรมของท่านเหล่านั้น แล้วนำมาปฏิบัติจะตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสมากกว่า ส่วนการสุมหัวคุยนั้นน่าจะเหมาะสำหรับคนที่ปฏิบัติตรงแล้วเป็นส่วนใหญ่มากกว่า เพราะถ้าปฏิบัติผิด ยิ่งสุมหัวก็จะยิ่งทะเลาะกัน

และจากที่ผมทดลองโดยส่วนตัว คือเอาตัวเองลงไปในกลุ่มต่างๆ แล้วทดสอบดู จึงรู้ว่าเป็นการยากที่จะทำให้คนอื่นๆ รับฟังความเห็นที่แตกต่าง แม้จะมีคนที่ถูกจริงอยู่ในกลุ่มสนทนานั้นก็ตาม แต่ความเห็นของเขาจะถูกกลบลงไปตามน้ำหนักของความเห็นทางโลก (อันนี้ผมอาจจะไม่เก่งเองก็ได้)

แม้ว่าผมจะเป็นคนที่พิมพ์บทความเกี่ยวกับธรรมะที่ตนเองศึกษาไว้ค่อนข้างมาก แต่จะให้ผมสอนใคร หรือแนะนำใคร หรือไปทักใครว่าเขาผิดเขาถูกอย่างนั้น ผมจะไม่ทำ เว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นเขาได้บอกกล่าว หรือร้องขอให้เราบอกเขา ซึ่งก็จะพิจารณาอีกทีว่าจะไม่ตอบเขาหรือตอบเขาอย่างไร

เพราะลึกๆ ผมรู้สึกว่าการตอบคำถามหรือแนะนำกันในอินเตอร์เน็ตนั้นอันตราย เพราะไม่รู้อาการของฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นจึงประมาณได้ยาก ไม่เหมือนเจอกัน พูดคุยกัน อันนี้มันประมาณได้ง่ายกว่า ผิดพลาดน้อยกว่า เสี่ยงน้อยกว่า ซึ่งดูๆ แล้วการนิ่งไว้ก่อนจะเป็นกุศลมากกว่าที่จะเสี่ยงไปแนะนำหรือไปตอบอะไรมั่วๆซั่วๆ

อรหันต์ในรูปของฆราวาส

อรหันต์ในรูปของฆราวาส

จากตอนก่อนที่ผมยกเรื่องจิตตคฤหบดีน่าจะเป็นอรหันต์มาด้วยหลักฐาน ๒ สูตรนั่นคือ อเจลสูตร (เล่ม ๑๘ ข้อ ๕๘๐)และปุตตสูตร (เล่ม ๑๖ ข้อ ๕๗๐) นั้น ต่อมาได้มีเพื่อนได้แสดงความเห็นต่างว่า จิตตคฤหบดีน่าจะเป็นพระอนาคามีตามที่เขาได้ศึกษามา และได้เสนอความเห็นมาดังนี้

(1) พระอนาคามีจะไม่ต้องมาเกิดในกามวจรภูมิอีก แม้บรรลุธรรมขั้นต่ำๆ จะเกิดในพรหมโลกเท่านั้น และบางท่านก็จะสามารถบรรลุนิพพานได้ในพรหมโลกเลย ตามแต่กรรมและความเพียรที่ทำมา

(2) หากฆราวาสบรรลุอรหันต์แล้ว จะต้องบวชทันที โดยวิสัยของพระอรหันต์ หรือไม่ก็จะสิ้นอายุทันที

ผมจะยืนยันในสิ่งที่ผมพบตามหลักฐานในพระไตรปิฎกดังนี้ครับ จากนี้ก็ขอให้ท่านพิจารณาข้อความที่ยกมาโดยแยบคาย โดยยกสัญญาหรือสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้มาวางไว้ก่อน แล้วเรียนรู้กันตามหลักฐานที่ปรากฏกัน

(ตอบ 1) ในข้อนี้เขาให้ความเห็นฟันธงลงไปแล้วว่าจิตตคฤหบดีน่าจะเป็นพระอนาคามี จากนั้นจึงได้บรรยายองค์ประกอบของพระอนาคามีตามสมมุติสัจจะที่ได้เรียนรู้กันโดยทั่วไป ซึ่งผมมีความเห็นต่าง ตรงที่ผมประเมินว่าจิตตคฤหบดีเป็นพระอรหันต์จากเหตุปัจจัย ในอเจลสูตร และปุตตสูตรดังนี้

ในอเจลสูตร จิตตคฤหบดี ได้ตอบเพื่อนที่ถามถึงมรรคผลว่าปฏิบัติแล้วได้อะไรบ้าง ดังนี้ “จิตต. ท่านผู้เจริญ แม้คฤหัสถ์ก็พึงมีธรรมเช่นนั้นได้ เพราะข้าพเจ้าย่อมจำนงหวังได้ทีเดียวว่า เราสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม” มาวิเคราะห์ท่อนนี้กันก่อน

แม้คฤหัสถ์ก็พึงมีธรรมเช่นนั้นได้” จากประโยคนี้ก็บอกอยู่แล้วว่า แม้ฆราวาสก็มีธรรมเช่นนั้นได้ คือนักบวชเขาเป็นอรหันต์กันได้ เราก็เป็นกันได้เช่นกัน

เพราะข้าพเจ้าย่อมจำนงหวังได้ทีเดียวว่า” ประโยคนี้สื่อว่า ท่านทำสิ่งนั้นได้จริง หวังได้คือมันเป็นไปได้ ถ้าคนปฏิบัติยังไม่ถึงผลจริงๆ นี่มันยังหวังไม่ได้ชัดเจนนะ มันจะมัวๆ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะถึง เรียกว่าแค่ “ได้หวัง” แต่ที่ท่านย่อมหวังได้เพราะท่านทำได้จริง

“เราสงัดจากกาม” ความที่ว่าสงัดจากกามนั้น ต่างจากไม่เสพกาม การไม่เสพกามนั้นอาจจะเป็นเพียงผู้ที่กดข่ม หรือผู้ที่ข้ามกามภพ แต่สงัดจากกามหรือสงบจากกามนี่ หมายถึงผู้ที่ข้ามกามทั้งหมด ถ้าเราเอาสังโยชน์ มาอธิบาย กามจะมีอยู่ทั้งในสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ และสังโยชน์เบื้องสูง ๕ กามฉันทะจะอยู่ในสังโยชน์เบื้องต่ำ ส่วนรูปราคะ และอรูปราคะอยู่ในสังโยชน์เบื้องสูง พระอนาคามีนั้นดับกามภพหรือกามฉันทะได้หมดสิ้นเกลี้ยงแล้ว นั่นจึงไม่กลับไปเกิดในภามภูมิอีก ไม่ไปเสพกามอีก แต่ทีนี้มันจะเหลือรูปราคะ และอรูปราคะ คือความติดใจในรูปเป็นอารมณ์ ก็คืออยากเสพนั่นแหละ แล้วคำว่ากามในพุทธนี่กินความกว้างมาก หมายถึงความอยากเสพทั้งหมด รวมทั้งรูปและอรูปเลย นั่นหมายถึงผู้ที่สงัดจากกามอย่างแท้จริงนั้น จะต้องดับ รูปราคะและอรูปราคะด้วย และผู้ที่ดับสังโยชน์เบื้องสูงทั้งสองนั้นได้ ก็มีแต่พระอรหันต์ เพราะพระอนาคามีนั้นยังมีสังโยชน์เบื้องสูงทั้ง ๕ อยู่ นั่นคือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา

“สงัดจากอกุศลธรรม” คำนี้ยิ่งย้ำยืนยันความเป็นอรหันต์ ถ้าคนไม่หมดกิเลสนี่พูดคำนี้ไม่ได้นะ ผิดสัจจะ เพราะการที่ยังมีกิเลสอยู่นั้นหมายถึงยังมีอกุศลธรรมอยู่ แม้จะเหลือแค่อวิชชา อวิชชานั้นก็ยังเป็นอกุศลธรรม ไม่ใช่สิ่งดีงามเลย คนจะหมดอกุศลธรรมได้อย่างแท้จริงก็มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น

จากนั้นท่านก็บอกว่าท่านเข้าฌาน ๑ ๒ ๒ ๔ เป็นอันหวังได้สำหรับท่าน ก็คือท่านทำได้ทั้งหมดนั่นเอง จบประโยคชุดนี้ด้วย “ก็แหละข้าพเจ้าพึงพยากรณ์ก่อนพระผู้มีพระภาคไซร้ ก็จะไม่เป็นการน่าอัศจรรย์ สำหรับข้อที่พระผู้มีพระภาคจะพึงทรงพยากรณ์ ข้าพเจ้าว่า ไม่มีสังโยชน์ที่จิตตคฤหบดีประกอบแล้ว (มีแล้ว)จะพึงเป็นเหตุให้กลับมาสู่โลกนี้อีก ฯ”

จากสูตรนี้ผมสังเกตว่า จิตตคฤหบดี เป็นผู้นอบน้อมถ่อมตน มีปัญญามาก รู้ประมาณว่าสิ่งใดควรไม่ควร ท่านรู้นะว่าตัวท่านเองบรรลุธรรม แต่จะบอกคนอื่นก่อนมันก็ไม่งาม นี่ท่านรู้ในตนอยู่แล้ว ท่านก็เลยให้พระพุทธเจ้าเป็นผู้บอกว่าท่านบรรลุธรรม

ประโยคที่พระพุทธเจ้าพยากรว่า” ไม่มีสังโยชน์ที่จิตตคฤหบดีประกอบแล้ว (มีแล้ว)จะพึงเป็นเหตุให้กลับมาสู่โลกนี้อีก ฯ” สำหรับประโยคนี้จะยกปฏิจสมุปปบาทมา ดังที่เรารู้กันดีว่าอวิชชานั้นเป็นเหตุให้เกิดภพ ชาติ ชรา มรณะ … ดังนั้นหากไม่ดับอวิชชา ก็ถือว่าไม่ดับเหตุแห่งการเกิด มันจะต้องมีเหตุให้เกิดได้ในวันใดก็วันหนึ่ง เพราะการดับอวิชชาเท่านั้นจึงเป็นการดับที่สิ้นเกลี้ยง ไม่เวียนกลับ ไม่ถดถอย แต่ถ้าดับไม่ถึงขั้นนั้น ก็จะเวียนกลับมาตกต่ำได้ ดังนั้นถ้าไม่ดับอวิชชา การกลับมาสู่โลกนี้ ก็เป็นอันหวังได้ เพราะพระอนาคามีนั้นยังมี รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชาอยู่ แม้จะไม่เสพกามแล้ว แต่ลาภ ยศ สรรเสริญทั้งหลายนั้นยังเป็นภัยต่อพระอนาคามี ยังเป็นสิ่งที่ฉุดพระอนาคามีให้ลงมาเสพได้ ดังจะขยายในสูตรต่อไป

ปุตตสูตร สูตรนี้กล่าวถึงอันตรายอันเผ็ดร้อนของลาภสักการะ เนื้อความเต็มของสูตรนี้มีดังนี้ [๕๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสิกาผู้มีศรัทธาเมื่อวิงวอนบุตรคนเดียวซึ่งเป็นที่รัก เป็นที่โปรดปราน โดยชอบ พึงวิงวอนอย่างนี้ว่า ขอพ่อจงเป็นเช่นจิตตคฤหบดี แลหัตถกอาฬวกอุบาสกเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาอุบาสกผู้เป็นสาวกของเรา จิตตคฤหบดีและหัตถกอาฬวกอุบาสก เป็นดุลเป็นประมาณเช่นนี้ ถ้าพ่อออกบวช ก็ขอจงเป็นเช่นพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะเถิดดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา สารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นดุลเป็นประมาณเช่นนี้ ขอพ่อจงอย่าเป็นเช่นพระเสขะผู้ยังไม่บรรลุอรหัตผล ถูกลาภสักการะแลชื่อเสียงครอบงำ ถ้าลาภสักการะแลชื่อเสียงครอบงำภิกษุผู้เป็นพระเสขะไม่บรรลุอรหัตผลไซร้ ก็ย่อมเป็นอันตรายแก่เธอ ลาภสักการะแลชื่อเสียง ทารุณ ฯลฯ อย่างนี้แล เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ

สูตรนี้กล่าวถึงหญิงชาวพุทธวิงวอนลูกชายคนเดียวที่เธอรัก ว่าให้ลูกจงเป็นอย่าง จิตตคฤหบดี* แต่ถ้าจะบวชก็ขอให้เป็นอย่างอัครสาวกทั้งสอง ขอให้ลูกอย่าได้เป็นเพียงพระอริยะที่ยังไม่บรรลุอรหัตผลเลย เพราะลากสักการะจะเป็นอันตรายแก่พระอริยะที่ต่ำกว่าพระอรหันต์ (ในพระสูตรอื่น กล่าวว่า แม้ลาภสักการะ ก็ยังเป็นอันตรายแก่พระอรหันต์เช่นกัน แต่ก็ถือว่าอันตรายน้อยที่สุด)

นี่แม่สมัยก่อนเขาไม่ได้อยากให้ลูกดัง มีชื่อเสียง ร่ำรวย หรือเป็น ซีอีโอ อะไรแบบนั้นนะ เขาอยากให้ลูกเป็นพระอรหันต์ ลูกจะได้ไม่ต้องประสบภัยจากลากสักการะทั้งหลาย พระอริยะขั้นอื่นๆ นี่แม่เขาไม่เอาเลยนะ แม้จะสูงส่งกว่าปุถุชนแม่ก็ไม่เอา จะให้ลูกเป็นอรหันต์อย่างเดียว

ทีนี้แม่ที่หวังจะให้ลูกเป็นอรหันต์จะแนะนำให้ลูกเป็น พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามีหรือไม่? ก็ต้องไม่ใช่ไหม ดังนั้นการที่แม่จะแนะนำให้ลูกเป็นอย่างจิตตคฤหบดี นั่นหมายความว่า ถ้าจะดำรงอยู่ในรูปฆราวาสก็ต้องเป็นอรหันต์ พระสูตรนี้มีสมการที่ค่อนข้างลงตัวอย่างนี้

๐. แม่อยากให้ลูกเป็นอรหันต์

๐. แม่ไม่ยินดีให้ลูกเป็นอริยะที่ต่ำกว่าพระอรหันต์

๐. แม่แนะนำให้ลูกเป็นอย่างจิตตคฤหบดี

๐. ดังนั้นจิตตคฤหบดี ต้องเป็นพระอรหันต์

จบการตอบข้อคิดเห็นข้อแรกเพียงเท่านี้ครับ นี้เป็นหลักฐานที่ผมได้จากสองสูตรนี้ ท่านผู้อ่านก็ลองพิจารณากันดู ซึ่งอ่านแล้วจะเห็นต่างก็เป็นสิทธิของแต่ละท่าน เพียงแต่ผมชี้ให้เห็นว่า ผมเข้าใจว่าจิตตคฤหบดีเป็นอรหันต์ด้วยเหตุดังนี้

(ตอบ 2.) จากโจทย์ (2) หากฆราวาสบรรลุอรหันต์แล้ว จะต้องบวชทันที โดยวิสัยของพระอรหันต์ หรือไม่ก็จะสิ้นอายุทันที

ผมเข้าใจว่าข้อคิดเห็นเหล่านี้เป็นสิ่งที่เชื่อตามๆ กันมา เพราะปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานใดที่ชี้ชัดเป็นข้อกำหนดว่าฆราวาสบรรลุอรหันต์แล้วถ้าไม่บวชจะสิ้นอายุภายในวันนั้นวันนี้ แม้ในสมัยพุทธกาล ฆราวาสที่เป็นพระอรหันต์จะสิ้นอายุก็เพราะกรรมของท่านเหล่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเป็นพระอรหันต์เลย

ในกาลามสูตร พระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสบอกว่า อย่าเพิ่งรีบเชื่อเพราะเหตุหลายๆ ประการเช่น เขาเล่าสืบต่อกันมา เขาเชื่อกันโดยมาก มีครูบาอาจารย์บอกมา มีหลักฐานตามตำราหรือหนังสือ ทั้งหมดนั้นจะไปรีบเชื่อก็ไม่ควร เพราะอาจจะเป็นเรื่องหลอกก็ได้ วิธีพิสูจน์คือทำตัวเองให้เข้าถึงภาวะนั้นๆ แล้วจะรู้เองว่าสิ่งใดเป็นโทษ สิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดเชื่อแล้วดี สิ่งใดเชื่อแล้วไม่ดี

ความเชื่อว่า ฆราวาสเป็นอรหันต์ถ้าไม่บวชจะตายภายใน ๗ วันนั้นมีมานานแล้วในเมืองไทย แต่ผมมองว่าเป็นเรื่องไสยศาสตร์ เป็นเรื่องดำมืด เป็นเรื่องของคนไม่รู้ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีหลักฐาน ไม่มีที่อ้าง ทำเหมือนเป็นเรื่องลี้ลับ ทำให้เหมือนเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ ทั้งๆที่ หลักของศาสนาพุทธนั้นเป็นเรื่องของความรู้แจ้ง ชัดเจน พิสูจน์ได้

ผมยังให้ข้อสังเกตเพิ่มว่า อาจจะเป็นการแบ่งชั้นวรรณะของคน ว่านี่พระนะ ถ้าจะเป็นอรหันต์ต้องเป็นพระ นี่ฆราวาสนะ ไม่มีทางสูงกว่าพระได้หรอก จากที่ผมศึกษามาหลายๆครั้ง แนวโน้มของความเห็นคนจะไปในแนวทางนี้เป็นส่วนมาก ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ไม่เคยตรัสไว้อย่างนี้นะ หาอ่านที่ไหนก็ไม่เจอ หลักฐานก็ไม่มี มีแต่เรื่องแต่ง เรื่องเล่า เป็นนิทาน เป็นนิยายกันมาทั้งนั้น

เรื่องนี้จึงเป็นอุปทานหมู่ที่ฝังใจคนไทยมานานแสนนาน เป็นเรื่องลี้ลับที่ไร้การพิสูจน์ เพราะไม่รู้จะไปหาพระอรหันต์มาจากไหน ถึงมีก็ไม่รู้อีกว่าอรหันต์จริงอรหันต์เก๊ หรือถึงจะยืนอยู่ตรงหน้า คนไม่มีปัญญาก็ไม่รู้อยู่ดีว่านั่นเป็นพระอรหันต์ ดังที่มีพราหมณ์เคยแลบลิ้นใส่พระพุทธเจ้า เพราะไม่เชื่อว่าท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้เองโดยไม่ต้องมีอาจารย์

ดังนั้นผมจึงให้ความเห็นในเรื่อง ความเชื่อที่ว่า ถ้าฆราวาสเป็นพระอรหันต์แล้วไม่บวชภายในวันนั้นวันนี้ก็จะตาย เป็นความเชื่อที่เบาหวิว ไม่มีหลักฐานที่อ้างใดๆ และถ้าเอาจริงๆ จะฟันว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ไม่แรงเกินไปนัก เพราะความเชื่อนี้ขัดกับหลักของกรรมและผลของกรรมอย่างรุนแรง เพราะการเป็นพระอรหันต์นี่มันดีนะ ดีที่สุดในโลกเลย เป็นมหากุศล แต่ทีนี้มีคนไปบอกว่าเป็นแล้วต้องตาย อ้าวนี่มันขัดกันนะ ทำไมดีที่สุดในโลกกลับต้องรับผลกรรมที่ทำให้ต้องตาย มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย กรรมดีก็ต้องให้ผลดีเป็นอยู่ผาสุกสิ กรรมชั่วก็ต้องให้ผลเป็นทุกข์ อันนี้สิถึงจะตรง เอาเรื่องกรรมมาวิเคราะห์กันประเด็นนี้ก็ตกเป็นมิจฉาทิฏฐิไปแล้ว เว้นแต่เขามีความเห็นอุปทานไปในเชิงไสยศาสตร์นั่นแหละ เขาเลยเข้าใจแบบนั้น แต่ถ้าทางพุทธศาสตร์ที่สัมมาทิฏฐินี่ไปเข้าใจแบบนั้นไม่ได้หรอก เพราะมันจะขัดสัจจะไปหมดเลย

สรุปข้อสองนี้ ผมให้ความเห็นว่าท่านลองพิสูจน์กันเองเลยดีกว่า ทำตัวให้เป็นอรหันต์แล้วลองไม่บวชดู จะตายไม่ตายมันไม่ใช่ปัญหาของพระอรหันต์อยู่แล้ว ถ้าตายก็ตายพิสูจน์สัจจะไปว่า เออที่เขาว่ามันจริง แต่ถ้าไม่ตายก็อยู่ช่วยโลกไป ก็ไม่มีใครเสียประโยชน์ แถมได้ความรู้อีกต่างหาก

ศิลปะในการให้ข้อมูลและวิจารณ์

จากกระทู้ : [อวยไส้แตกแหกไส้ฉีก] อาชีพนักท่องเที่ยว เรื่องงาน เรื่องเที่ยว เรื่องเดียวกัน เรื่องที่เขาไม่เคยบอกคุณ!!?

กระทู้นี้มีศิลปะในการให้ข้อมูลดีครับ ผมว่าแบบนี้ก็เนียนดี ว่าจะหัดอย่างเขาไว้หน่อย

แหม่… ถ้าเราจะแฉใครว่าเขาชั่วเขาไม่ดี ใครเขาจะไปฟัง มันต้องเนียนๆ ให้ข้อมูลกันไปให้คนเขาพิจารณาเอง คนมีปัญญาก็รู้ได้ คนไม่มีปัญญาก็ไม่รู้ บางทีบางเรื่องไปกระทบมันก็เสียหายมาก… จริงๆผมถนัดงานประเภทฟ้าผ่ามากกว่า แบบชี้ขยี้แหกไส้มาดูนี่เก่งนัก แต่ก็ยังไม่กล้าผ่าใคร กลัวเขาตาย…

ส่วนเรื่องในกระทู้นี้ก็เอาไว้ดูเป็นตัวอย่างนะครับ ท่องเที่ยวนี่มันก็เหยียบขาอยู่บนอบายมุขอยู่แล้ว คนปฏิบัติธรรมไม่ต้องไปหมกมุ่นกับมากเนาะ แต่เราก็ศึกษาคนอื่นเขาไป เพราะยุคนี้ท่องเที่ยวเขาแรง

ความเสื่อมสลายโดยรูปของศาสนา

ความเสื่อมสลายโดยรูปของศาสนา

อ่านเจอข่าวสถานที่ปฏิบัติธรรมลารุงการ์ในทิเบต กำลังถูกรื้อถอนและจำกัดจำนวนผู้พักอาศัยลดลงมากกว่าครึ่ง

ก็มานั่งคิดว่า ศาสนานี่มันต้องเสื่อมแน่ๆ แต่เพียงแค่มันเสื่อมโดยรูปเท่านั้น นามนั้นยังมีอยู่ แต่นามนั้นเป็นของจริงไม่จริงนั้นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องพุทธในทิเบตก็ยกไว้ก่อน เอาพุทธในไทยนี่แหละ

ช่วงก่อนหน้านี้ก็มีกระแสกล่าวหาว่าพุทธนั้นโดนศาสนาอื่นโจมตี ก็มานั่งนึกอีกว่า เขาจะมากล่าวหา โจมตี สอดไส้สร้างความเสื่อมเสียแล้วมันยังไงหรือ? ถ้าเนื้อแท้มันยังอยู่ มันต้องไปกังวลทำไมเล่า ปัญหาจริงๆ คือตอนนี้มันมีแต่หนังรึเปล่า เนื้อไม่มีแล้ว มีแต่เปลือกๆ มันเลยสั่นคลอน หวั่นไหวได้ง่าย

ประเด็นคือคนที่ไม่รู้จริงก็จะกลัวความเสื่อม วิตกกังวลกันไปใหญ่ ก็พากันขัดขืนบ้าง เร่งสร้างหลักฐานบ้าง ก็เห็นชาวพุทธไทยนี่ชอบสร้างหลักฐานในการมีอยู่ของพุทธกันเหลือเกิน จนมันค่อนไปทางอัตตาเสียมาก คือมีอะไรก็สร้างวัตถุเป็นหลัก ธรรมะก็เน้นวัตถุกันอีก จะส่งต่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานนี่เขาเน้นส่งแต่วัตถุกันนะ แต่จะไปว่าเขาก็ไม่ได้ ก็เขารู้เท่านั้น

ในส่วนตัวผมนะ ว่าจะไม่เน้นวัตถุเลย เอาข้างในให้มันได้จริงๆ ก่อนเถอะ ถึงวันนั้นจะมีวัดไม่มีวัด มีพระไม่มีพระ มีพระไตรปิฎกหรือไม่มี มันก็ไม่ได้สำคัญเท่าไหร่หรอก (จริงๆ มีก็ดี แต่ไม่มีก็ไม่เป็นไร)

อย่างตอนที่พระเถระท่านร่วมกันสร้างพระไตรปิฎกขึ้นมานี่ วัตถุมันไม่ได้มาก่อนนะ มันตามมาทีหลัง มันเป็นมรดกจากความสมบูรณ์ คือพระอรหันต์ 500 รูปมาร่วมกันสร้าง ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์นี่เข้าร่วมไม่ได้นะ

แต่ทุกวันนี้อรหันต์ไม่อรหันต์ไม่รู้แหละ ตะบี้ตะบันสร้างวัตถุกันไป วัดบ้าง ตำราบ้าง ก็เยอะแยะหลากหลาย พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้นะ ให้ทำคุณอันสมควรก่อน จึงพร่ำสอนผู้อื่นภายหลังจักไม่มัวหมอง..

ผมนั่งนึกถึงวันที่พุทธในไทยมันเสื่อมสลายเหมือนกันนะ คือรูปไม่เหลือเลย วัดก็เละเทะ พระก็เละเทะ แล้วมันจะยังไง นึกไปมันก็ไม่ได้ทุกข์อะไร เพราะมันต้องเป็นไปอย่างนั้นอยู่แล้ว และที่สำคัญพุทธก็ไม่ได้สืบทอดกันแบบนั้นเสียหน่อย ศาสนาในปัจจุบันจะเละอย่างไร คนที่มีภูมิเก่าเขาก็สืบทอดสิ่งที่เขามีเขาเป็นมาก่อน แล้วพัฒนาต่อยอดไปเรื่อยๆ พอมีจริงแล้วมันก็เลยไม่กังวลว่าพุทธจะเสื่อมสลายไป เพราะรู้ว่าตนเองนี่แหละมีความเป็นพุทธอยู่ ถึงเหลือคนเดียวในโลกก็ทำไปเท่าที่ทำได้ ตายไปก็เกิดมาศึกษาต่อไปจนกว่าจะหมดกิเลส

พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้อย่ารีบเชื่อ ทั้งตำรา อาจารย์ผู้มีชื่อเสียง เพราะของพวกนี้มันไม่เที่ยง มันหลอกได้ มันปลอมได้ แต่ภาวะในตนนี่มันเป็นของจริง มันรู้แล้วรู้เลย มันแน่นอนกว่า เพราะเกิดจากการปฏิบัติสะสมมาหลายภพหลายชาติ พอไปลองปฏิบัติตามดูก็จะรู้เองว่าทางไหนใช่ ทางไหนไม่ใช่ ดังนั้นความเป็นพุทธจึงไม่หล่นหายไปไหน แม้รูปของศาสนาจะเสื่อมไปโดยสมบูรณ์ก็ตาม คนที่เขาปฏิบัติได้จริงถึงมรรคผลจริง เขาก็มีของเขาอยู่แบบนั้นแหละ

ทีนี้คนไม่รู้จริงเขาก็จะไม่มีความเข้าใจแบบนี้ เขาก็จะกังวล ตื่นตระหนก หากพุทธที่เขารักโดนทำร้ายทำลาย ถูกทำให้เสื่อมลง ส่วนใหญ่ก็จะเร่งสร้างวัตถุ สร้างมวล แต่ไม่ได้สร้างคุณภาพ คือไม่ทำความเห็นของตนให้ถูก เขาก็เลยต้องทุกข์เพราะความผิดหวังจากการพลัดพรากอยู่อย่างนั้น

 

อย่ายึดมั่นถือมั่น

อย่ายึดมั่นถือมั่น…

ผมได้อ่านประโยคเหล่านี้บ่อย เมื่อได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับความเห็นจากการศึกษาศาสนาพุทธต่อการไม่กินเนื้อสัตว์ คนเขาก็ว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่น, การเลือกกินมันยึดมั่นถือมั่น ฯลฯ

ผมมาเห็นรูปนี้แล้วก็นึกได้ … เออเนาะ คนเรานี่ก็หลอกตัวเองได้เยอะเลย ยึดมั่นถือมั่นเอาเองว่ามันเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ตามใจตน เช่น สิ่งนี้คือแกะ แกะกินได้ แกะอร่อย ฯลฯ

ไอ้ “สิ่งนี้คือแกะ” นี่ก็สมมุติทั่วไป คือการตั้งสัญญาให้ตรงกัน ไม่ได้เบียดเบียนอะไรแกะ ถึงมันจะถูกเรียกว่า แกะ แอะ แมะ ฯลฯ ก็ไม่ได้กระทบอะไรมัน แต่ที่ไปกำหนดว่ามันกินได้นี่สิ มันเริ่มจะไปเบียดเบียนมันแล้ว ส่วนที่ไปฆ่าเขาแล้วซื้อมากินกันนี่เบียดเบียนเต็มๆ

ทีนี้คนที่ยึดมั่นถือมั่นนี่เขาจะไม่ปล่อยไม่คลายเลยนะ เขาว่าแกะกินได้ หมูกินได้ เขาก็จะกินอยู่นั่นแหละ เขาจะไม่ยอมคลายออกเลย เขาจะยึดอยู่แบบนั้น นี่แหละคือความยึดมั่นถือมั่นในสัญญาของคนที่ติดเนื้อสัตว์

กลายเป็นเอาเนื้อสัตว์เป็นตัวเป็นตน (อัตตา) เหมาเอาว่าเนื้อแกะชิ้นนี้ เป็นของฉัน ฉันซื้อมา อันนี้มันเมาสมมุติทั้งนั้น เหมือนเด็กเล่นขายของแล้วจริงจัง จริงๆ แกะมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการซื้อขายของเราหรอกนะ เราสมมุติขึ้นมาเอง แล้วยึดสิ่งเหล่านั้นเป็นความดีความชอบของเรา

อย่ายึดมั่นถือมั่น…ในสิ่งที่จะไปเบียดเบียนผู้อื่นเลย วางเสียทีเถิด ยึดถือสิ่งที่เบียดเบียนสัตว์อื่นเพื่อประโยชน์ตนอยู่นั่นแหละ(เห็นแก่ตัว) ไม่รู้จักวางเสียที


ผู้ที่เข้าใจอย่างแท้จริงว่า “สัญญาไม่เที่ยง” จะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดเลย แต่จะเหลือเพียงหลักพิจารณาประโยชน์และโทษให้เป็นไปตามจริง (ตามข้อมูลและความรู้ที่มี ณ ขณะนั้นๆ)

เช่นความรู้เดิมคือเนื้อสัตว์กินได้ แต่พอได้ความรู้ใหม่ว่า เขาต้องฆ่ามาถึงจะได้เนื้อมากินนะ ก็จะพิจารณาเอาประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่น จึงเลือกไม่กินเนื้อสัตว์เพราะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเบียดเบียนผู้อื่นและไม่สร้างบ่วงกรรมที่เกี่ยวข้องด้วยเวรนั้นทับถมให้เป็นทุกข์แก่ตน

แมวที่ถูกโยน อธิบายเรื่องกรรมและผลของกรรม

จากกระทู้ : อยากให้ผู้ปกครองดูแลลูกหลานหน่อยเพราะลูกคุณอาจเป็นฆาตกรไม่รู้ตัว

วันก่อนมีโยนบกปลาวันนี้โยนแมว… จริงๆ มันก็เหมือนกันละนะ เจตนาโยนแมวนี่ไม่รู้ แต่เจตนาโยนบกปลานี่ต้องการให้มันตายแน่ๆ (ก็เขาว่ามาอย่างนั้น)

เรื่องก็มีอยู่ว่ามีเด็กเอาแมวไปรังแก โดยโยนลงมาจากที่สูงจนแมวบาดเจ็บ

อ่านเจอประโยคนึงเลยหยิบมาวิเคราะห์กัน คือ “มันทำอะไรผิดเหรอ? ทำไมถึงต้องมาทำกับมันขนาดนี้ถ้าเราแบบนี้กับมนุษย์ใจบาปบ้างล่ะ?

ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็เป็นกรรมของแมวตัวนั้นละนะ ที่ต้องรับไว้ มันทำมามันก็ต้องได้รับของมันตามสัจจะ เป็นของของมันอย่างแน่แท้ทีเดียว

ทีนี้ได้รับแล้วผลของกรรมชุดนั้นก็หมดไป ไม่มีอะไร ได้ใช้กรรม ได้ใช้หนี้มันก็ดีแล้ว ไม่เห็นต้องไปทุกข์อะไร เจ้าของก็รักษาไปตามอาการ ช่วยได้ก็ช่วยเท่าที่ทำได้ ถ้ามันจะตายก็เป็นไปตามกรรมของมัน ส่วนการที่เราไปจองเวรคนอื่นนั้นเป็นกรรมใหม่ของเราที่จะไปผูกพันเราไว้กับคนที่เราเกลียด

กฎแห่งกรรมเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก ยากจะอธิบาย เป็นหนึ่งในสัมมาทิฏฐิ ผู้ที่มีความเห็นถูกตรงจริงๆ จะเข้าใจในเรื่องกรรมโดยไม่สงสัยว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร

ไม่ได้ตั้งใจวิจารณ์ จขกท นะ ที่เขามาเล่านี่ก็ดี ทำให้เห็นว่าสังคมเราก็มีแบบนี้ด้วย แต่ที่มาพิมพ์นี่ตั้งใจให้พิจารณาเรื่องกรรมกันให้ดีๆ ผลของกรรมหรือปัจจุบันที่แสดงให้เห็นอยู่ในโลกนี้แหละ คือสิ่งที่สมควรและสมเหตุสมผลอยู่ทุกวินาที …. แม้มันจะดูไม่เหมาะไม่ควรและไม่สมเหตุสมผลก็ตามที

เลือกที่รัก มักที่ชัง กรณีการข่มเหงสัตว์

ผมรู้สึกแปลกใจว่า เรามีทั้งนักปกป้องมนุษชน มีคนสำนึกดีมากมายที่คอยติเตียนคนที่ทำร้ายผู้อื่น และมีทั้งคนที่โกรธแค้นอาฆาต เมื่อมีคนทำร้ายผู้คน เมื่อมีข่าวฆ่ากันตายหรือข่มขืน เราก็จะออกมาเรียกร้องหาศีลธรรมกันยกใหญ่

การฆ่ากัน ทำร้ายกัน ข่มขืนกัน ก็เป็นการข่มเหงรังแกกัน ด้วยกำลังอำนาจที่มากกว่า ถ้าสิ่งนี้เป็นที่น่ารังเกียจจริงแล้วล่ะก็…

…ทำไมเรายังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับการฆ่าสัตว์ การกินเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามา การสั่งฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารของเรา ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว มันก็เป็นการข่มเหงรังแกกันด้วยกำลังอำนาจเหมือนกัน

แค่เราเป็นมนุษย์ เราจึงมีสิทธิเหนือสัตว์อื่นอย่างนั้นหรือ คนรังแกคนนั้นผิด แต่คนรังแกสัตว์ไม่ผิดอย่างนั้นหรือ ทำไมจิตใจช่างมีความลำเอียงกันได้ถึงเพียงนี้ จะเหลือช่องเว้นว่างไว้ให้ตนเองได้มีพื้นที่เบียดเบียนสัตว์อื่นอยู่ทำไม แม้สิ่งนั้นโลกจะสมมุติกันว่าไม่ผิด แต่ตามสัจจะแล้วมันก็ไปเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นมาอยู่ดีนั่นแหละ

ถ้าสงสัยว่ามันเบียดเบียนอย่างไร สื่อที่เขามีเกี่ยวกับการได้มาซึ่งเนื้อสัตว์ในปัจจุบันนั้นมีเผยแพร่อยู่มากมาย ส่วนมากก็เรียกว่าโหดถึงระดับไม่อยากจะดูกันเลย แต่นั่นแหละคือความจริงของการเบียดเบียน

ปลาซัคเกอร์เป็นภัยต่อระบบนิเวศน์?

จากกระทู้ : พบข่าว เจอปลาซัคเกอร์ ให้โยนบกให้ตาย เพื่อช่วยระบบนิเวศน์ เราไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้เหรอคะ

ช่วงนี้เจอข่าวปลาซัคเกอร์เป็นภัยต่อระบบนิเวศน์ ก็มีหลายคนที่ออกมาให้ความเห็นว่า ฆ่าได้ เพื่อรักษาปลาชนิดอื่น…

ผมว่ามันก็ชี้ให้เห็นถึงความตกต่ำของศีลธรรมในตัวคนนะ คืออะไรที่จะเกิดความเดือดร้อนต่อสิ่งที่ตนเองยึดว่าดี ก็เลยกำจัดสิ่งนั้น ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุจริงๆ

ในส่วนตัวผมไม่เห็นว่าการที่ปลาซักเกอร์จะเต็มแม่น้ำแล้วมันจะเกิดผลกระทบอะไรกับผมเลย แม้ปลาอื่นๆหมดไปก็ยังไม่เกิด เพราะจากนี้ไปจนถึงกลียุค คนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็ไปหาผักหาหญ้ากิน ดังนั้นจะมีหรือไม่มีปลาอะไรในแม่น้ำมันก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่

ถ้าเราไม่มองเรื่องกินเรามองเรื่องสิ่งแวดล้อมล่ะ จริงๆแล้ว คนนี่แหละไปทำให้ระบบวิเวศน์มันพัง ปลามันก็อยู่ของมันดีๆ ไปจับมันมากิน มันก็ลดจำนวนลงทุกวันๆ อันนี้ไม่เป็นศัตรูต่อระบบนิเวศน์ที่น่ากำจัดกว่าหรือ หรือไม่ก็โรงงานที่ปลอยสารพิษ การเกษตรที่ใช้สารเคมี ทำให้แหล่งน้ำและระบบนิเวศน์เสียหายกว่าเยอะเลย มันมีสิ่งที่มีพลังทำลายมากกว่าปลาซัคเกอร์อีกมาก

โดยธรรมชาติแล้ว มันไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้นานหรอก แม้ปลาซัคเกอร์ก็ตาม วันหนึ่งจะมีบางอย่างเกิดขึ้นมาทำลายปลาซักเกอร์เอง จะเป็นสัตว์อื่นก็ได้หรือจะเป็นคนก็ได้ โลกนี้หมุนไปบนความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ไม่มีวันที่ปลาซัคเกอร์จะครองแม่น้ำในไทยได้ทั้งหมดตลอดไป แต่วันที่คนบาปจะครองโลกนั้นมีอยู่ แต่ถึงกระนั้นสิ่งนั้นก็ไม่ได้ตั้งอยู่ถาวร สุดท้ายคนบาปที่ไร้ศีลธรรมก็ฆ่ากันตายจนหมดโลก แล้วคนดีที่แอบซ่อนอยู่ก็ค่อยๆ ออกมาฟื้นฟูโลกให้กลับมาสดใสงดงามอีกที หลังผ่านกลียุคไปแล้ว (อ้างอิงจากเหตุการณ์ในกลียุคที่พระพุทธเจ้าทำนายไว้)

ปัญหาที่ควรแก้จริงๆ ไม่ใช่ปลาซัคเกอร์หรอก แต่เป็นความตกต่ำของศีลธรรมในตนที่เห็นว่าการฆ่านั้นดี แม้จะให้เหตุผลใดๆ ก็ตามที (บางทีพูดยกตนเหมือนเสียสละ) แก้ปัญหานี้ก่อนจะดีกว่า เพราะสุดท้ายปลาซัคเกอร์ก็มีกรรมของมัน แต่คนที่ไปฆ่ามันก็ต้องรับกรรมที่ไปฆ่านั้นเอง ก็เลือกพิจารณากันไปว่าจะรับกรรมแบบไหน

ปล. แม้มีความยินดีในการฆ่าก็เป็นกรรมนะ :)

การไม่กินเนื้อสัตว์ตั้งแต่เด็ก

จากกระทู้ : ลูก 11 เดือน ให้กินมังสวิรัติตั้งแต่เกิดเลย ดีไหม?

ถ้าเป็นไปได้ ในส่วนตัวของผมนี่ถ้าให้กินมาตั้งแต่เกิดเลยก็ดี ถ้าผมพูดกับพ่อแม่ได้ตอนนั้นผมก็จะบอกเช่นนั้นละนะ 55

แต่ตามสัจจะมันเป็นแบบนั้นได้ยากในยุคนี้ละนะ เพราะสังคมและโลกเขาก็มอมเมาว่าเนื้อสัตว์นั้นดี ยึดเนื้อสัตว์เป็นตัวตนกันจนกลืนไปกับวิถีชีวิตแล้ว เป็นอุปาทานที่ยึดแน่นมั่นจนยากจะแยกออก

ครูบาอาจารย์เคยบอกว่า เด็กบางคนจะสังเคราะห์มาตั้งแต่อยู่ในท้องเลย คือแม่จะไม่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้ หรือมีอาการแพ้ กินได้แต่พืช ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ออกมาก็เมาไปตามโลกกว่า 30 ปีแน่ะ พอได้ความรู้ก็จบ แต่ก่อนไม่มีคนให้ความรู้เรา เราก็หลงไปนานเหมือนกัน

แต่ก็น่าจะเคยได้ยินว่าตอนแม่บางคนแพ้ท้องก็อยากกินเนื้อสด ลาบเลือดอะไรแบบนี้ ก็ตามนั้นแหละครับ วิบากของเขาก็สังเคราะห์ขึ้นมาเป็นอาการเช่นนั้น กรณีในสมัยพุทธกาลก็มีพระนางเวเทหิ ตอนท้องพระเจ้าอชาตศัตรูก็อยากกินเลือดสามี สุดท้ายลูกก็ฆ่าพ่อ บางอย่างมันมีสัญญาณมาก่อน

ก็เล่ากันไปไกล … ในความเห็นส่วนตัวของผมกับเรื่องเด็กกินมังฯ นี่ ก็กินไปเถอะ ถ้าเขาทรมานมากเดี๋ยวเขาก็หนีหรือแอบไปกินเนื้อสัตว์เอง จริงๆถามเขาก็ได้ว่าไหวไหม ชอบไหม เป็นสุขดีไหม ถ้าเขามีปัญญาถึง เขาจะไม่ทุกข์ แต่ถ้าเขาไม่ไหวเราก็อนุโลมไป ทั้งนี้การกินมังฯทั้งชีวิตไม่ได้มีผลเสียอะไรเลย นอกจากจะทำให้อายุยืนและมีโรคน้อย อย่างเช่นเผ่าฮันซาเป็นต้น ที่เขาอายุ 90 กว่าแล้วยังเต้นรำกันได้อยู่เลย แถมยังแก่ตายกันตามธรรมชาติอีกด้วย

ปล. การที่เราหยิบยื่นสิ่งที่เราคิดว่าดีให้คนที่เรารักมันไม่ได้ผิดอะไรมากมายหรอก มันก็เป็นไปตามความรู้ของเรา เรารู้แค่ไหนเราก็ให้สิ่งดีได้เท่านั้น เช่นพ่อแม่ที่เห็นว่าอาหารขยะเช่นเบอร์เกอร์ มันทอดเป็นของมีคุณค่า เขาก็ซื้อให้ลูกกิน เช่นเดียวกับคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์แล้วเข้าใจว่าสิ่งนั้นคือคุณค่า เขาก็ให้ลูกกินมังฯตาม มันก็เป็นคุณค่าตามที่แต่ละคนเข้าใจ เป็นไปตามความรู้ของแต่ละคนไป สุดท้ายถ้ามันเกิดทุกข์กับร่างกายมันก็แค่ความรู้นั้นผิดเท่านั้นเอง ก็เรียนรู้กันไป