สัตบุรุษของฉัน

ก็มีคำถามเข้ามาว่าสัตบุรุษหรือผู้รู้ธรรมในความเห็นของผมคือใคร ก็จะเล่ากันถึงที่มาที่ไปด้วยนะครับ เผื่อจะได้เห็นภาพขึ้น

ช่วงปี 56 ผมค่อนข้างอิ่มตัวกับธรรมะโลก ๆ ที่ส่วนมากพากันทำแต่สมถะ กำหนดรู้ ตั้งสติ อะไรทำนองนั้น คือผมก็ทำได้อย่างเขานั่นแหละ แต่จะให้บอกว่ามันเต็มรอบของมันไหม ผมมองว่ามันไม่ใช่ พุทธมันไม่ใช่แบบนี้ มันต้องดีกว่านี้ ไอ้การทำจิตแบบนี้มันกินพลังมากไป เสียเวลามากไป อันนี้ลัทธิอื่น ๆ ทั่วไปเขาก็ทำได้ ในจิตวิญญาณของผมมันมีคำถามมากมายกับการปฏิบัติทั่วไปในปัจจุบัน ทำได้แล้วไงต่อ? ทำได้แล้วต้องทำยังไงต่อ? มีแต่คำถาม แต่ไม่มีคำตอบที่ดีพอจะเห็นผลที่มากขึ้น

พยายามหาแล้ว แต่ก็ไม่มีคำตอบ ไม่มีคำตอบในโลกมากกว่านี้แล้ว เหมือนติดเพดานบิน มันก็คาไว้แบบนั้น แม้คนที่เขาแสดงตัวว่าเป็นผู้รู้ เขาก็ไม่สามารถอธิบายได้มากกว่านั้น คือก็มีคนอธิบาย แต่มันตื้น มันพื้น ๆ ผมต้องการรายละเอียดของการปฏิบัติมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่ตรรกะคิดเอาว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้

…จนไปเข้าค่ายสุขภาพแพทย์วิถีธรรม ได้ฟังอาจารย์หมอเขียวบรรยาย ซึ่งก็ประหลาดใจมาก จนคิดว่า นี่มันค่ายธรรมะนี่หว่า! แต่เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องนำเฉย ๆ แกนคือธรรมะ และธรรมะสายปัญญาด้วย จากที่ฟังในค่าย จิ๊กซอว์ต่าง ๆ ที่มันหาไม่เจอ มันก็ถูกแปะลงจนเต็ม เห็นเป็นภาพรวมของการปฏิบัติว่า แท้จริงแล้วพุทธปฏิบัติอย่างไร สมถะคืออะไร วิปัสสนาคืออะไร ปฏิบัติอย่างไร ได้ผลต่างกันอย่างไร

พอเริ่มสนใจก็เริ่มนำมาฟังทบทวน รวมถึงเข้าไปซักถามปัญหาต่าง ๆ ก็ทำให้มั่นใจเลยล่ะว่า คนนี้แหละ ที่จะสอนเราให้ปฏิบัติจนพ้นทุกข์ได้ สรุป อาจารย์หมอเขียวนี่แหละ ที่ผมเห็นว่าเป็นสัตบุรุษคนแรก

พอฟังอาจารย์หมอเขียวไป เวลาท่านพูดในค่าย ท่านก็แนะนำให้รู้จักสมณะโพธิรักษ์ เราก็ฟังตาม ก็พบว่าท่านนี้แหละ เฉียบขาด รวดเร็วรุนแรงเหมือนสายฟ้า อีกทั้งยังแม่นยำยิ่งกว่าจับวาง ลองเข้าเรื่องกิเลส เรื่องธรรมะ รู้เลยว่าแม่นยำ จากการแจกแจงธรรมของท่าน เพราะเราเอามาเทียบกับสภาวะที่เราทำได้มันก็ใช่ แล้วมันก็ละเอียดกว่า เป็นลำดับกว่า ลึกซึ้งกว่า

เรียกว่าตรงจริตผมเป็นอย่างยิ่ง ผมไม่ค่อยถูกกับการแสดงธรรมช้า ๆ เนิบ ๆ เป็นรูปแบบสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเร็ว แรง พลิกไปพลิกมาแบบรู้ทันโลกีย์นี่มันสนุก น่าสนใจ กิเลสมันไม่ได้ช้าขนาดนั้น สมัยนี้กิเลสมันแรง จัดจ้าน หน้าด้าน อดทน ถ้าหาธรรมะที่แรงพอกันไม่ได้ เอามันไม่ลงหรอก

ทั้งสองท่านนี้ ผมศึกษามายาวนานพอสมควร อย่างน้อยก็ 5 ปี ก็ใช่ว่าจะเชื่อกันง่าย ๆ เพราะผมก็เปิดพระไตรปิฎกศึกษาอยู่เหมือนกัน หลักฐานมันก็ฟ้องว่าท่านกล่าวตรง และทั้งสองท่านนี้ยิ่งศึกษาตามยิ่งศรัทธา เพราะท่านจะทำให้ดู เราก็ดู พอเราดูเราก็รู้ว่าอันไหนเรายังทำไม่ได้ แต่ท่านทำได้ เราก็พยายามทำตามท่านเท่านั้นเอง แน่นอนว่ามันยาก แต่วิธีทำก็รู้กระบวนการหมดแล้ว เหลือแต่กำลังและความเพียรล่ะทีนี้

ก็เป็นสองท่านที่อยู่นอกพุทธกระแสหลัก แต่อยู่ในหลักกระแสพุทธ และพุทธเข้ม ๆ เลยด้วย อันนี้เป็นความเห็นความเข้าใจของผม ที่เกิดจากการได้พบ ได้ฟัง ได้ปฏิบัติตาม และได้ผลที่น่าพอใจไปเป็นลำดับ ๆ ไป ใครสนใจก็ลองศึกษากันดู ไม่สนใจก็ถือว่าอ่านผ่าน ๆ ไปครับ

สังคมที่ไม่กินเนื้อสัตว์ ฯลฯ

พูดในรายการที่ได้เผยแพร่ไปก่อนหน้านี้ ที่ว่าการจะเลิกกินเนื้อสัตว์ได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน ยาวนาน และผาสุก* นั้น จำเป็นต้องมีหมู่มิตรดีเป็นองค์ประกอบ

ก็มีผู้สนใจถามมาว่า จะเริ่มต้นที่ไหน ในประสบการณ์ของผมมีความเห็นว่า น่าจะเริ่มที่ค่ายสุขภาพแพทย์วิถีธรรม เพราะมีองค์ประกอบครบพร้อมในการศึกษา ยิ่งเป็นค่าย 5 วันขึ้นไปแล้ว ผู้เข้าร่วมจะได้พบกับประสบการณ์จริงด้วยตนเอง คือไม่กินเนื้อสัตว์ตั้งหลายวันก็ยังแข็งแรงมีกำลังอยู่ได้ ไม่ตาย และหลายคนเขาก็ทำได้ ไม่เห็นจะแปลกอะไร ซึ่งมันก็เป็นพลังที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้น

หรือถ้าไม่มีเวลามากนัก ผมคิดว่าชุมชนในเครือข่ายอโศกน่าจะตอบโจทย์ได้ดี เช่นที่สันติอโศก (ถ.นวมินทร์) เขาจะมีตลาดนัดทุกวันเสาร์-อาทิตย์ จริง ๆ แล้วย่านนั้นก็มีอาหารมังสวิรัติขายประจำนั่นแหละ แต่เสาร์อาทิตย์ก็จะค่อนข้างคึกคักกว่า

สิ่งที่จะได้รับจากที่นี่คืออาหารมังสวิรัติราคาถูกและอร่อยตามมาตราฐานคนไทย ซึ่งต่างจากค่ายสุขภาพแพทย์วิถีธรรมที่ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ

ร้านขายอาหารมังสวิรัติในย่านสันติอโศก มีหลายร้าน สามารถเลือกซื้อเลือกกินได้ตามที่สนใจ โดยจะมีร้านหลักของชุมชน ชื่อว่าชมรมมังสวิรัติฯ สันติอโศก อยู่ติดถนน ตอนนี้อยู่หน้าปากซอยนวมินทร์ 48

ส่วนผู้ที่สนใจหาความรู้สามารถสอบถามที่ชมรมมังสวิรัติชั้น 2 จะมีหนังสือเกี่ยวกับการไม่กินเนื้อสัตว์จำหน่ายอยู่ ซึ่งเป็นแนวทาง ความเห็น ที่หาศึกษาได้ยากในปัจจุบัน

ผมขอแนะนำเพียงแค่ 2 องค์กรนี้เท่านั้น เพราะเท่าที่ศึกษา ผมมั่นใจว่าถ้าใครได้เข้าไปคบคุ้น ศึกษา พากเพียรปฏิบัติตาม ก็จะนำความผาสุกที่ยั่งยืนมาให้

จากเริ่ม จนจบที่มังสวิรัติ

แสงยามเช้า

เมื่อปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ผมเองก็ยังเป็นคนทั่วไป กินอยู่อย่างคนทั่วไป มื้ออาหารทุกมื้อประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์เป็นเรื่องปกติทั่วไป ผมใช้ชีวิตแบบทั่วไปแบบนี้มาทั้งชีวิต จนกระทั่งทุกวันนี้ ไม่มีเนื้อสัตว์ในมื้ออาหารของผมมานานหลายเดือนแล้ว…

ชีวิตที่ผ่านมา บอกตรงๆ ว่าไม่เคยสนใจเรื่องมังสวิรัติเลย แม้แต่กินเจก็ไม่เคยกิน ไม่สนใจ ไม่เข้าใจ กินไปทำไม…

จนกระทั่งต้นปี 2556 เพื่อนชวนไปค่ายสุขภาพของหมอเขียว จริงๆก็ไม่ได้สนใจสุขภาพอะไรหรอกนะ พอดีว่าว่าง หาอะไรทำ ก็เลยไปกับเขา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในค่ายมีอะไร ให้ทำอะไร ทำไปเพื่ออะไร จะได้อะไร ก็รู้แค่ว่าดีกว่าอยู่บ้าน

การไปค่ายสุขภาพครั้งนั้นได้ก็นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตผมอย่างรุนแรง ความรู้ที่ได้รับจากค่าย ทำให้ผมเข้าใจทุกข์ โทษ ภัย ผลเสีย ของการที่เรายังอยากกินเนื้อสัตว์ ทั้งต่อสุขภาพในระยะยาว และอื่นๆอีกมากมาย แน่นอนว่าผมไม่อยากเป็นคนแก่ที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล อย่างน้อยที่สุดก็อยากจะสุขภาพดีเท่าที่ทำได้ละนะ

บนยอดเขา

กินมังสวิรัติแล้วดียังไง?

จะว่าไปการกินมังสวิรัติเพื่อสุขภาพก็เป็นเหตุผลรองๆ ที่ผมให้ความสำคัญ แต่ก็ได้รับสิ่งที่เห็นผลของการกินมังสวิรัติได้อย่างชัดเจน นั่นคือน้ำหนักลด ซึ่งโดยปกติแล้ว ผมเองเป็นคนที่ไม่ออกกำลังกาย จะขี้เกียจๆไปออกกำลังกายตามแบบที่เขาทำกันด้วยซ้ำ ดังนั้น น้ำหนักที่ลดจนเป็นหลักฐานให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน มาจากการปรับอาหารล้วนๆ ไม่มีกิจกรรมอื่นใดปนเลย

ลดน้ำหนัก

การปรับอาหารมากินมังสวิรัติ ทำให้น้ำหนักของผมลด จากช่วงที่เกือบจะเลย 100 กิโลกรัม ลงมาเหลือราวๆ 80 ปลายๆ และลดลงมาอีกช่วงใหญ่ๆ เมื่อปรับมื้ออาหารให้พอดี เท่าที่จำเป็นในชีวิตจริงๆ ถ้าจะนับผลของการกินมังสวิรัติที่นำมาซึ่งน้ำหนักที่ลดลงของผม ก็คง ราวๆ 10 กิโลกรัม แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วสำหรับร่างกายที่เบาสบายขึ้น

เป็นการลดน้ำหนักโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน เสียแรง เสียเวลา แถมยังประหยัดเงิน ได้สุขภาพภายในที่ดีขึ้นมาอีก ดีไหมล่ะ

ความยุ่งยากในชีวิตที่ลดลง เป็นอีกหนึ่ง ข้อดี คือไม่ต้องลำบากไปหาเนื้อมากิน ไปสรรหาร้านเนื้ออร่อยๆ ไม่ต้องสนใจว่าร้านนี้จะมี หมู ไก่ เนื้อ หรืออะไรยังไง ไม่ต้องคิดมาก หลายคนอาจจะคิดว่ากินผักยุ่งยาก ซึ่งปกติในชีวิตเราก็กินผักกับเนื้อปนกันอยู่แล้ว อันนี้ก็แค่เลิกกินเนื้อ แต่ผักก็ยังกินปกติอยู่นั่นแหละ แค่ลดจากแบบชาวบ้านทั่วไปลงมา สะดวกกว่าเดิมเยอะ

อาหารพื้นบ้าน

อย่างกรณีที่ได้ลดความยุ่งยากในชีวิต คือ ตอนผมไปเช่าบ้านอยู่ที่ปากช่อง ไม่มีตู้เย็น หากว่ายังติดเนื้อสัตว์อยู่ชีวิตก็คงลำบากแน่ๆ ไหนจะต้องซื้อตู้เย็นมาเป็นภาระอีก แต่การเก็บผักนั้นไม่ยากเลย เอามาวางๆไว้ อย่างมากก็แค่เหี่ยวนิดหน่อย แต่ก็ยังกินได้ ยิ่งกะหล่ำปลีนี่เก็บไว้ได้หลายวันเลย ถือว่าการกินมังสวิรัติช่วยให้ชีวิตผมตอนอยู่ต่างถิ่นมันง่ายและสะดวก คล่องตัวขึ้นมาก

สุขภาพดี เป็นอีกสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน แต่จะเกิดขึ้นจากภายในมากกว่า เพราะร่างกายไม่ต้องลำบากมาย่อยเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก กินแต่ละทีอืดเป็นวันๆ ทำให้เหลือพลังงานในการเอาไปซ่อมแซม บำรุงส่วนที่สึกหรออื่นๆ จนทำให้มีความ สุขสบาย เบากาย มีกำลัง รวมทั้งสบายใจที่ได้จากการลด ละ เลิกการกินเนื้อสัตว์อีกด้วย

เห็ด

กินแล้วมีความสุขไหม?

ผมได้คุยกับคนหลายคน ซึ่งเขามองว่าการกินมังสวิรัติลำบาก ไม่อร่อย ทรมานตัวเอง ยังอยากมีความสุขอยู่ ฯลฯ …จริงๆผมเองก็อยากมีความสุขเหมือนกันนะ…

แต่ก่อน …ผมก็เป็นคนชอบกินเนื้อมาก คอหมูย่าง เนื้อย่าง ไก่ย่าง ยิ่งติดมันหวานๆ นี่ยิ่งชอบ สเต็ก ปลาดิบ ซีฟู้ด อะไรต่างๆนาๆ นี่ของโปรดเลย …แล้วถ้ามันกินแล้วมันเป็นสุขแล้วผมจะเลิกกินทำไม ผมกินไปเรื่อยๆ ก็มีความสุขไปเรื่อยๆ มันน่าจะเป็นอย่างนั้นสิ…

จนกระทั่งวันที่ได้พบกับ ความรู้สึกที่ว่า “ สุขกว่าเสพ ” นี่แหละ ที่ทำให้ผมมั่นใจที่จะเลิกกินเนื้อสัตว์ อย่างน้อยมันก็สุขมากพอที่จะทำให้ผมยอมทิ้งสุขที่เคยได้รับเมื่อตอนกินเนื้อละนะ ความรู้สึกนี้อาจจะยากสักหน่อยที่จะเข้าใจ จนกว่าวันที่ใครสักคนยินดีที่จะละเนื้อสัตว์ด้วยใจที่สบายๆ แม้จะเห็นคนอื่นกินต่อหน้าก็ไม่ได้อยากกิน หรือทุกข์ใจอะไร ก็ตอนนั้นแหละคงจะพอ รู้สึกเองว่า “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

แดดยามเย็น

และสิ่งที่แน่นอน คือ มีความสุข …ความรู้สึกดีๆ นี้เกิดขึ้นได้ หลังจากลด ละ เลิก กินเนื้อสัตว์ เชื่อไหมว่าช่วงที่พยายามจะเลิก ผมรู้สึกผิดทุกครั้งเวลาขับรถไปแล้วเห็นรถขนหมู รถขนวัว ผมรู้ว่าปลายทางของมันจะไปที่ไหน และรู้ตัวดีว่าผมเองคือเหตุหนึ่งที่ผลักดันมันไปสู่ที่นั่น

เมื่อเราเลิกกินเนื้อสัตว์ได้แล้ว การเบียดเบียนจึงไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ผมสามารถมองสัตว์เหล่านั้นด้วยความรู้สึกธรรมดาๆ อย่างที่สัตว์โลกเห็นกันทั่วไป ไม่ต้องรู้สึกผิดเหมือนเคย เป็นความสบายใจที่ได้รับมาจากการเลิกกินเนื้อสัตว์ หรือที่ใครๆเขาเรียกกันว่า “ บุญ

วัวข้างทาง

กินมังสวิรัติแล้วอยู่ได้ยังไง?

หลายๆ คนมักจะมองว่า การกินมังสวิรัติ ทำให้ไม่มีแรง เพลีย อ่อนล้า หิว อะไรก็ว่ากันไป ผมเองทดลองกินมังสวิรัติและกำหนดช่วงเวลาทำงาน คือการใช้แรงงาน รวมถึงงานที่ใช้สมองรวมอยู่ด้วย

ผมตื่นตั้งแต่เช้า ราวๆ  7 โมง ก็ขับรถไปที่ไร่เพื่อทำงาน ซึ่งตอนนั้นเป็นงานขุดแปลงผัก สักประมาณ 11 โมงก็กลับมาทำกับข้าวกิน พักสักครู่ใหญ่ๆ บ่าย 1 ก็ออกไปขุดต่อ ขุดเรื่อยๆเหนื่อยก็พัก ตกเย็นก็กลับบ้าน มาทำงานออกแบบที่ในส่วนของพื้นที่ใช้สอยต่างๆ มุมต่างๆของที่ และนอนเวลา 3 ถึง 5 ทุ่มโดยประมาณ

ต้นอ่อนฟักทอง

ผลการทดลองออกมาก็อยู่ได้ตามปกติ มีแรงทำงาน มีสมองออกแบบ แถมยังฟุ้ง จินตนาการบรรเจิด จนบางทีทำให้นอนดึกกว่าปกติก็มี ทั้งหมดนี้ ผมกินมังสวิรัติ และ กินมื้อเดียว ต่อวัน ไม่ได้ดื่มน้ำผลไม้ หรือนม นอกมื้อดื่มเพียงแค่น้ำเปล่า เท่านั้น

อ่านมาจนถึงตรงนี้ ก็คงจะตอบได้แล้วว่า การกินมังสวิรัติก็สามารถทำให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ เหมือนทั่วๆไปละนะ

วิธีกินมังสวิรัติ

การเปลี่ยนมาสู่การกินมังสวิรัติในทันที ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ ต้องอาศัยพลังในการอดทนและความรู้ในการเข้าถึงประโยชน์ของการกินมังสวิรัติอย่างมาก การเริ่มกินในเบื้องต้นก็ควรจะเริ่มจาก ลด ละ เลิก เนื้อสัตว์ไปตามลำดับ

มังสวิรัติ-ซื้อกิน

แรกๆก็อาจจะเริ่มจากการ ลด ลดปริมาณการกินเนื้อลง จากที่เคยกินเนื้อเยอะๆ ก็ลดปริมาณ แล้วเพิ่มผัก เพิ่มแป้งเข้าไปแทนในอัตราส่วนที่ยังอิ่มสบายอยู่

การ ละ เช่นในหนึ่งอาทิตย์ ก็ลองกินมังสวิรัติ สักมื้อ แล้วค่อยขยับมาเป็นสักวัน หรือสักสัปดาห์ เพิ่มช่วงเวลาที่ ละ เนื้อสัตว์ไปเรื่อยๆ หรือจะละเนื้อสัตว์ใหญ่ กินแต่สัตว์เล็กลงมาเรื่อยจนเหลือ ปลา แล้วค่อยพัฒนาต่อไปก็ได้

เมื่อละได้จนรู้สึกว่ามีพลังพอจะ เลิก ได้ก็ให้ตั้งใจเลิกไปเลย ได้ไม่ได้ ไหวไม่ไหว ก็อีกเรื่องหนึ่ง มันจะมีความคิดมากมายที่คอยฉุดเราไว้ไม่ให้เลิก ในตอนนี้เราต้องสู้กับความคิด หรือกิเลสเหล่านั้น

มังสวิรัติ-ทำเองกินเอง

ข้าวยังเป็นหลัก การกินมังสวิรัติของผม ไม่เคยลดข้าวเลย ลดแต่เนื้อสัตว์ แล้วก็เพิ่มผัก เพิ่มข้าวในปริมาณที่อิ่มสบาย อาจจะขัดกับความรู้ในการรักษาสุขภาพและการลดน้ำหนักทั่วๆไปว่าให้ลดข้าว กินโปรตีน กินผัก แต่นี่ผมก็ยังกินข้าวเต็มๆแบบไม่กลัวอ้วน กินผักเยอะๆ น้ำหนักก็ยังลงได้สบายๆ

อีกทั้งข้าวยังเป็นแหล่งสารอาหารด้วย วิตามินมากมายอยู่ในเมล็ดข้าว ถ้าผมเลือกได้ ผมจะเลือกกินข้าวกล้องซึ่งให้คุณค่าสูงสุดในการเคี้ยวหนึ่งคำข้าว

การหากินอาหารมังสวิรัติในชีวิตประจำวัน ดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับชีวิตคนเมือง แต่จากที่ผมได้ทดลองมา ร้านขายอาหารหลายร้านก็ให้ความร่วมมือดีนะ เข้าร้านก๋วยเตี๋ยว ไปสั่งก๋วยเตี๋ยวเอาแต่เส้นกับผัก เข้าร้านข้าวแกง ก็สั่งเอาแต่ผัก เข้าร้านอาหารตามสั่งก็สั่งเมนูปกติ แต่ใส่ผักแทนเนื้อสัตว์ไป ก็ไม่เห็นมันจะลำบากตรงไหน ยิ่งถ้ายังกินไข่อยู่ก็สามารถหาเมนูได้มากมาย เมื่อเราคุ้นเคยในการสั่งเมนูมังสวิรัติ หรือมีร้านที่เรากินประจำ เมื่อนั้นแหละการกินมังสวิรัติจะง่ายขึ้นมาทันที

หรือถ้ายังกล้าๆ กลัวๆ ในการสั่ง ก็ให้เขี่ยเนื้อสัตว์ออกเอา โดยหลักๆแล้วเนื้อหามันก็มีแค่ว่า “ เราอยากกินเนื้อสัตว์หรือไม่อยากกิน “ แค่นั้นเอง ไม่อยากกินก็เขี่ยออก หรือให้คนอื่นไป ถ้ามันอยากกินมากนักก็เอาเข้าปากไป แล้วค่อยว่ากันใหม่

มังสวิรัติ-แม่ทำ

การซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเอง สมัยนี้คนเมืองสามารถหาซื้อผักที่หลากหลายได้ง่ายๆ ยิ่งผักปลอดสารพิษก็มีขายเยอะขึ้น มีให้เลือกตามสะดวก ราคาก็ไม่แพง เมื่อเทียบกับสุขภาพในระยะยาว ส่วนคนที่อยู่ต่างจังหวัดก็หัดปลูกเองกินเองไป

หิวและไม่อยู่ท้อง เป็นอีกหนึ่งปัญหาของคนกินมังสวิรัติ ค่ายสุขภาพได้สอนมาว่า ปัญหาของคนกินเจเช่น ไม่อยู่ท้อง ไม่มีแรง สามารถแก้ปัญหาด้วยการกินถั่ว ธัญพืชต่างๆ เข้าไปเพิ่ม ผมเองก็ไม่เคยกินเจนะ… แต่จากที่ลองดู ถั่วก็สามารถทำให้อยู่ท้องและมีแรงได้จริงๆ จะรู้ได้เลยว่ากินถั่ว กับไม่กินถั่ว ร่างกายก็จะแสดงอาการต่างกัน

ทุ่งหญ้า

ชีวิตมังสวิรัติ

การที่เราจะหันมากินมังสวิรัติ ก็คงจะได้รับเสียงตอบรับจากสังคมรอบข้างกันไปต่างๆ นาๆ  ถือเป็นความท้าทายหนึ่งในการกินมังสวิรัติ เป็นบททดสอบว่าเราเอาจริงไหม เรามั่นใจว่าสิ่งนั้นดีจริงไหม เรามีกำลังใจมากพอไหม เรามีความรู้เกี่ยวกับการกินมังสวิรัติมากพอไหม

ถ้าเรามั่นใจว่าสิ่งที่เรากำลังทำดีจริง และทำอย่างจริงจัง คนรอบข้างจะค่อยๆเปลี่ยนไปตามเรา อาจจะเข้าใจเรามากขึ้น อาจจะเห็นดีกับเรา หรือกระทั่งอาจจะหันมากินมังสวิรัติตามเราก็เป็นไปได้ ส่วนคนที่เขายังไม่เห็นด้วย ก็ให้เข้าใจเขา เขาจะติดการกินเนื้อ จะเข้าใจว่าการกินเนื้อดี หรือจำเป็นต่อชีวิต ก็เป็นความเข้าใจของเขา เราก็กินของเราไป

ถ้าสิ่งที่เราปฏิบัติมันดีจริง เรามั่นคงจริง มันทำให้สุขภาพดี หน้าตาผ่องใส จิตใจดีขึ้น มีผลมากมายที่เห็นได้ชัดจริงๆ …วันหนึ่ง ถ้าเขาสนใจ เขาก็มาถามเองนั่นแหละ

ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับเมนูมังสวิรัติ บทความมังสวิรัติได้ที่ Veggie kitchen , facebook (Veggie Kitchen)

แดดยามเช้า

คนเมือง อยากเข้าป่า

หลายปีผ่านมาจนกระทั่งวันนี้ ดูเหมือนจะมีหลายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในความคิดของผม และเป้าหมายในชีวิต ที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง วันนี้ดูเหมือนว่าทิศทางในชีวิตจะค่อนข้างแน่นอนแล้ว เหลือแค่ว่าจะเริ่มออกเดินทางเมื่อไหร่ เท่านั้นเอง

เชื่อไหมว่าทุกอย่างมันเริ่มต้นด้วยความบังเอิญ หรือว่าจริงๆมันไม่บังเอิญก็ไม่อาจจะทราบได้เหมือนกัน ย้อนหลังไปเมื่อปี 2009 หรือประมาณ 3 ปีครึ่ง นับจากเวลานี้

เริ่มตั้งแต่ กลางปี 2009 กับสวนลุงนิล (12-14 มิถุนายน 2009)

สวนลุงนิล
สวนลุงนิล

เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางไปกับทีวีบูรพา ที่สวนลุงนิล เพื่อพบกับลุงนิล เป็นเกษตรพอเพียง โดยใช้แนวคิดไร่นาสวนผสม เป็นปราชญ์ชาวบ้านท่านหนึ่งที่มีความรู้ในการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างเกื้อกูล โดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงจากในหลวง จริงๆแล้วในครั้งนี้คนที่ต้องการเดินทางไปเรียนรู้ และเข้าไปขอร่วมเดินทางกับทีวีบูรพาก็คือคุณแม่ของผม แต่พอมาใกล้่ถึงวันเดินทางก็พบว่าคุณแม่ติดงานด่วนๆ ไปไม่ได้ เลยส่งผมไปแทน??

ผมก็ไปแบบงงๆ เพราะว่าช่วงนั้นก็ว่างอยู่แล้วและไม่ได้รับงานไว้ จึงไปแบบไม่รู้อะไรเลย เขาให้ไปก็ไป ไม่รู้จักทีวีบูรพา ไม่รู้จักสวนลุงนิล ไม่รู้จักลุงนิล อะไรก็ไม่รู้ทั้งนั้น แต่เมื่อไปก็ได้รับความรู้และประสบการณ์มากมายจนทำให้ชีวิตหลังจากกลับมาค่อยๆ เปลี่ยนมุมมองไปทีละนิดละน้อย

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ :  สวนลุงนิล

หว่านข้าวสู่ผืนนา หว่านศรัทธาสู่หัวใจ ( 15-17 มิถุนายน 2012 )

หว่านข้าว

ครั้งที่สองกับทีวีบูรพาอีกครั้ง ซึ่งการไปเครือข่ายชาวนาคุณธรรม จังหวัดยโสธร นี้ถือเป็นครั้งที่สองของกิจกรรมชุดนี้ ในครั้งแรกผมเองไม่ได้ไปแต่คุณแม่ของผมไป พอมาครั้งที่สองก็เลยแนะนำให้ผมได้มารู้จัก และเรียนรู้กับกลุ่มชาวนาคุณธรรม ที่นำพาโดยทีวีบูรพา ครั้งนี้ก็ได้เรียนรู้โลกในอีกมุมหนึ่ง โลกที่หมุนช้ากว่าที่กรุงเทพฯมาก ที่ที่วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าแต่ก็มีคุณค่าในตัวของมัน ผมได้รู้จักวิถีของชาวนาคุณธรรมจากการเดินทางมาในครั้งนี้ และพบว่านี่แหละคือจุดเริ่มต้นแห่งความสมบูรณ์ในชีวิตของผมอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ : หว่านข้าวสู่ผืนนา หว่านศรัทธาสู่หัวใจ

ลงแขกเกี่ยวข้าว รับลมหนาวปลายนา ( 9-11 พฤษจิกายน 2012 )

ลงแขกเกี่ยวข้าว
ลงแขกเกี่ยวข้าว

ลงแขกเกี่ยวข้าวในครั้งนี้่ เป็นการเดินทางไปที่ยโสธร เพื่อพบกับเครือข่ายชาวนาคุณธรรมกันอีกครั้ง ในครั้งนี้เป็นการไปเข้าถึงชาวนาแบบบุกบ้าน ไปนอนบ้านชาวนากันเลย ไปดูชีวิตประจำวัน ดูลูกหลาน ชุมชน สภาพแวดล้อมต่างๆ รวมถึงประเพณีการลงแขกเกี่ยวข้าว ซึ่งมีนัยยะที่เป็นกุศลมากมายซ่อนเร้นอยู่อย่างไม่น่าเชื่อ หากเพียงแค่อ่านฟัง แต่ยังไม่ได้ลองก็คงจะไม่เห็นผล ผมเน้นดำเนินชีวิตตามสุภาษิตที่ว่า ร้อยรู้ไม่สู้หนึ่งทำ จึงได้เดินทางไปอีกครั้ง ครั้งนี้นับเป็นการเดินทางที่ได้เรียนรู้อย่างคุ้มค่าอีกครั้ง

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ : ลงแขกเกี่ยวข้าว รับลมหนาวปลายนา

ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม ( 25 – 31 มกราคม 2013)

ค่ายหมอเขียว
ค่ายหมอเขียว

เป็นอีกครั้งที่ได้เดินทาง ในครั้งนี้ก็จะไปเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ กับแพทย์วิถีธรรม หรือการใช้หลักธรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาและดูแลสุขภาพให้อยู่ในจุดสมดุลคือไม่ดีและไม่ร้าย ให้อยู่กลางๆ ดูๆแล้วอาจจะง่ายแต่จริงๆ นั้นยาก เพราะว่า ยา 9 เม็ด ของหมอเขียวนั้น มีสองเม็ดสุดท้ายคือความพอเพียงและธรรมะ ซึ่งยากง่ายต่างกันไปตามแต่ละคน ซึ่งเป็นตัวที่จะทำให้สุขภาพ ชีวิต และจิตใจ ร้ายดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ หากว่าเราควบคุมได้

เนื้อหาในค่ายส่วนใหญ่ก็จะเป็นการดูแลสุขภาพโดยหลักยา 9 เม็ด พร้อมกับให้ทำกิจกรรมต่างๆ ภายในค่ายให้เกิดการเรียนรู้การดูแลรักษาสุขภาพโดยมีเหล่าจิตอาสาเป็นทั้งพี่เลี้ยงและที่ปรึกษาที่คอยให้ความรู้

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม ( ค่ายหมอเขียว )

คนเมือง อยากเข้าป่า

มาจนถึงตอนนี้ก็สรุปกันเลยแล้วกัน การปลูกต้นไม้หากินก็รู้บ้างแล้ว การแปรรูปก็รู้บ้างแล้ว การทำนาก็รู้บ้างแล้ว การแพทย์วิถีธรรมก็รู้บ้างแล้ว ธรรมะก็รู้บ้างแล้ว โลกก็เข้าใจบ้างแล้ว

ทำให้เกิดความสงสัยว่ามีชีวิตไปทำไม แล้วทำไมต้องมาทำงานงกๆ ในเมื่อสุดท้ายก็ต้องเอาเงินไปซื้อข้าวกินอยู่ดี ปลูกข้าวกินเองเลยไม่ง่ายกว่าหรอ ทำไมชีวิตต้องทำอะไรซับซ้อนด้วย ชื่อเสียงเงินทองก็ไม่ได้อยากได้อะไรมากมายแล้ว ก็แค่พอดำรงชีพได้แค่นั้นเอง สุดท้ายก็เลยมีความคิดแบบคนเมือง อยากเข้าป่า (ไปอยู่บ้านนอก นั่นแหละ)

แน่นอนว่ามันยาก ในการปรับตัวในเบื้องต้นหลายคนคงสงสัยว่าอยู่เมืองดีอยู่แล้วไปทำไม ที่เขาถามเพราะเขายังไม่เห็นทุกข์ในเมืองใหญ่ และยังไม่เห็นความสุขที่บ้านนอก รวมถึงยังไม่เข้าใจความสงบในใจ ไม่แปลกหากอ่านแล้วไม่เข้าใจ เพราะคนที่จะเข้าใจได้ต้องมีประสบการณ์ในการเรียนรู้ผสมผสานทั้งสองด้าน และอื่นๆที่ขอละไว้ในฐานที่อาจจะเข้าใจ

เหตุที่พิมพ์บทความนี้ขึ้นมาอย่างแรกคือต้องการบันทึก สองคือหากเรื่องเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้ใครสักคนได้เจอสิ่งที่ชีวิตตัวเองต้องการอย่างแท้จริงก็คงจะดี แน่นอนว่าชีวิตของเรานั้นค้นหาสิ่งที่ต่างกันตามเหตุและปัจจัย ตามแต่กรรมและกิเลสของแต่ละคน

สวัสดี

ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)

เมื่อช่วงต้นปี 2556 ผมได้เดินทางไปค่ายสุขภาพ ของแพทย์วิถีธรรม หรือ ที่รู้จักกันในชื่อของ ค่ายหมอเขียวมาครับ ซึ่งในตอนที่แล้วผมได้เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงที่ได้รับจากการไปค่ายหมอเขียวมาในบทความ “ชีวิตหลังจากกลับมาจากค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)” ลองอ่านผลกันก่อนก็ได้ สำหรับตอนนี้คือเรื่องเล่าของชีวิตระหว่างอยู่ในค่ายหมอเขียว

ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม
ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม

ออกเดินทาง

ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)
ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)

ผมออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ราวๆ ตีสี่ ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้มีคุณแม่ของเพื่อน ซึ่งเคยเข้าค่ายมาเป็นผู้แนะนำว่าให้ออกเช้า เพราะนอกจากจะหลีกเลี่ยงรถติดแล้วยังจะสามารถหลีกเลี่ยงคนติดได้ด้วย เราเดินทางจากลาดพร้าว ข้ามสะพานพระราม 8 ขึ้นคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี ไปนครปฐม และต่อยาวไปยังกาญจนบุรี ผ่านตัวเมือง ถึงแยกแก่งเสี้ยน ไปทางวัดประดู่ จนกระทั่งถึงโรงเรียนผู้นำ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการเดินทาง นั่นคือค่ายสุขภาพ

บ้านพักโรงเรียนผู้นำ
บ้านพักโรงเรียนผู้นำ

เหตุการณ์ต่อจากนั้นคือการลงทะเบียนเข้าบ้านพัก ฟังคำแนะนำต่างๆ ซึ่งวันแรกก็จะเว้นไว้เพราะกิจกรรมไม่ครบเอาเป็นว่าจะเล่ากิจกรรมในแต่ละวันเลยก็แล้วกัน

เช้าของวันรุ่งขึ้น

เพลงหมอเขียว (ตรึงใจมาก) และเสียงธรรมตามสายจะปลุกเราตั้งแต่ช่วง ตีสามปลายๆ ให้ลุกขึ้นมาทำกิจกรรมส่วนตัว อาบน้ำ ล้างหน้า ธุระต่างๆ แล้วแต่เวลาจะอำนวย เมื่อผ่านไปราว 40 นาที เราก็จะเดินไปยังหอประชุมเพื่อสวดมนต์  ฝึกสมถะ กดจุด โยคะ นั่งสมาธิ หรือเดินเร็ว เป็นกิจกรรมยามเช้าซึ่งหลังจากนั้นก็จะเรียกผู้เข้าร่วมค่ายไปเข้าฐานกิจกรรมตามแต่ละกลุ่มตามที่ได้จัดไว้ กิจกรรมในแต่ละวันก็จะไม่เหมือนกัน เช่นทำน้ำคลอโรฟิลล์ ทำอาหาร แช่มือแช่เท้าในน้ำสมุนไพร ฯลฯ ซึ่งก็จะต่างกันไปตามช่วงเวลาของวัน

สวดมนต์นั่งสมาธิยามเช้า
สวดมนต์นั่งสมาธิยามเช้า

ซึ่งบางกิจกรรมอาจจะทำในช่วงบ่าย สำหรับกิจกรรมเช้า ก็จะจบลงด้วยการไปทานอาหารเช้าแบบจืดๆ เป็นอาหารที่ย่อยง่ายสบายอวัยวะ ที่ดีต่อสุขภาพแน่นอน เพราะไม่ต้องทำงานหนัก หลังจากทานเข้าเช้าก็สามารถกลับไปอาบน้ำ หรือทำธุระได้

ช่วงสายของวัน

หมอเขียวสอนธรรม
หมอเขียวสอนธรรม

ตั้งแต่ช่วงสายถึงเที่ยงก็จะมีการฟังบรรยาย เกี่ยวกับการรักษาสุขภาพกาย สุขภาพใจ ซึ่งเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัยที่ต้องการรักษาสุขภาพกาย และใจตามภูมิธรรมที่ตนมี ก็สามารถศึกษาเพิ่มได้ ในช่วงเที่ยงนี้การกินจะพิเศษกว่ามื้ออื่นๆ นั่นคือให้กินน้ำคลอโรฟิลล์ ผลไม้ ส้มตำผลไม้หรือผัก ตามลำดับก่อนที่จะไปทานข้าวตามมื้อปกติ เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยโดยใช้ลำดับอาหารย่อยง่ายลงไปย่อยให้่ได้พลังงานก่อน แล้วค่อยเติมด้วยอาหารย่อยยากกว่า แต่ก็ยังง่ายอยู่ดีเมื่อเทียบกับอาหารปัจจุบันในชีวิตคนเมืองอย่างเรา

อาหารเช้า สบายท้่อง
อาหารเช้า สบายท้่อง

ในระหว่างที่ให้พักทานข้าว ก็จะมีร้านกองบุญเปิดขึ้น เป็นร้านขายผลิตภัณฑ์ ของกลุ่มหมอเขียว ใครสนใจหนังสือ อุปกรณ์ อะไรก็สามารถซื้อเพิ่มเติมได้ ส่วนใครที่ทานข้าวเสร็จก็จะมานั่งรอฟังความรู้กันต่อในช่วงบ่าย

ช่วงบ่าย

เป็นช่วงที่น่านอนมากๆ ผมมักจะไปนั่งด้านนอกห้่องประชุม เพราะว่าสามารถยืดแข้งยืดขาได้ตามสบาย และยังได้ยินเสียงบรรยายจากหมอเขียวและทีมจิตอาสาได้อย่างชัดเจนอีกด้วย สำหรับในห้่องประชุมก็จะมีเก้าอี้ให้นั่ง

ที่ประจำ ข้างห้องประชุม
ที่ประจำ ข้างห้องประชุม

และพื้นที่โล่งสำหรับนอนนั่งปูเสื่อฟังก็ได้ หรือผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวลำบากก็สามารถนอนฟังอยู่ที่บ้านพักก็ได้ มีลำโพงติดไว้ได้ยินชัดเจนเหมือนกัน ในช่วงบ่ายนี่ก็จะยาวไปถึงเย็น จนถึงมื้อเย็นเลยทีเดียว

ที่นี่มื้อเย็นจะเป็นมื้อสุดท้ายของวัน ไม่มีมื้อค่ำ ดังนั้นคนที่เคยกินมื้อดึกๆอย่างผมก็ต้องกินตุนไว้เยอะหน่อย ที่ค่ายสุขภาพนั้นมีก กฏ กติกา มากมายที่เกื้อหนุนให้เราัได้รักษาสุขภาพกายและใจ ดังนั้นถ้าใครอยากสุขภาพดีก็ต้องอดทนและลองทำตามดู เพราะว่าใช้เวลาอดทนเพียงแค่ 7 วันเท่านั้นเอง

ช่วงเย็น – ค่ำ

เราก็จะทานข้าว มื้่อสุดท้ายของวันตอนเย็นประมาณ 6 โมงได้ จำไม่ได้แน่ชัดเหมือนกัน แต่กินข้าวกันแล้วก็กลับมานั่งฟังบรรยายต่ออีกเหมือนเดิม สำหรับค่ายครั้งนี้มีแต่ความรู้จนกระทั่ง 2-3 ทุ่ม ก็จะเลิกและให้ใช้เวลาที่เหลือไปกับการพักผ่อน

หมอเขียว บรรยาย
หมอเขียว บรรยาย

ชีวิตในแต่ละวันก็จะมีประมาณนี้ ซึ่งโดยลักษณะก็จะเป็นการให้ความรู้และการให้ทดลองทำในลักษณะการให้สุขภาพกายแข็งแรงเป็นหลัก แต่จริงๆจากมุมผมก็จะเห็นว่ามีการบรรยายธรรมะเยอะเหมือนกัน เพราะการทำใจให้โล่งโปร่งสบาย นั้นถือเป็นเหตุหนึ่งของสุขภาพที่ดีด้วย ดังนั้นสุขภาพกายและใจก็มักจะไปด้วยกัน ซึ่งถ้าอยากให้สุขภาพดีก็ต้องรักษาพัฒนากายและใจให้ดียิ่งๆขึ้นด้วย

กิจกรรมพิเศษในโรงเรียนผู้นำ

ภูฝาชี ขี้อ้น
ภูฝาชี ขี้อ้น

สำหรับคนแข็งแรงไม่ป่วย ก็สามารถเดินขึ้น ภูฝาชี ได้ เป็นเขาเตี้่ยๆ ที่สามารถเดินไปได้ในระยะเดินขึ้นเขา 500 เมตร ทางเดินไม่ได้ยากลำบากและชันมากมายนัก เมื่อถึงยอดก็ยอมรับเลยว่าคุ้มค่ากับความพยายาม อันน้อยนิด คือลงทุนไม่มากได้เห็นวิวสวยๆ ทุ่งนา ภูเขา ชุมชน รอบทิศนี้ คุ้มค่ามาก แถมยังได้ทดสอบร่างกายตัวเองที่ผ่านค่ายสุขภาพมาอีกด้วย ดังนั้นกิจกรรมนี้ก็เลยเป็นกิจกรรมพิเศษ สำหรับคนแรงเหลือและว่างงานได้ลองกัน ถ้าสนใจก็ติดตามชมอัลบั้มรูปภาพของผมได้

สรุป

หมอเขียวกับแฟนคลับ
หมอเขียวกับแฟนคลับ

ทั้งหมดทุกอย่างใ้ช้เวลาทั้งหมด ผมเองถือว่าเป็นคนอยู่ไม่เต็มค่าย เพราะว่าต้องกลับมาธุระที่กรุงเทพฯ วันหนึ่งก็เลยยังไม่ได้ลิ้มรสแบบเต็มๆกับเขาสักเท่าไรนัก แต่โดยรวมถือว่าพอใจในความรู้และแนวทางของค่ายสุขภาพกับแพทย์วิถีธรรมมาก หลักยา 9 เม็ด ของหมอเขียวนั้นสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไม่ยากนัก สมควรอย่างยิ่งที่จะได้มาลองเรียนรู้ เพราะเพียงแค่อ่านก็คงจะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ดังภาษิตที่ว่า ร้อยรู้ไม่สู้หนึ่งทำ

ผมเองเป็นคนที่ไม่ได้สนใจในการดูแลสุขภาพนัก แต่หลังกลับจากค่าย ร่างกายกลับรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน จากที่เคยกินมื้อดึกก็จบลงด้วยมื้อเย็น ซึ่งก็ไปหนักในมื้อเช้าแทน ความรู้สึกในร่างกายก็ชัดขึ้น อาจเพราะเราได้รับความรู้ให้รู้จักสังเกตุมากขึ้นตามไปด้วยก็ได้

การเข้าค่ายสุขภาพนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วย คนที่ไม่ป่วยอย่างผมก็สามารถมาเข้าค่ายศึกษาหาความรู้เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและครอบครัวได้ ซึ่งเป็นการเน้นการป้องกันก่อนจะป่วย คือดูแลตัวเองก่อนป่วยดีกว่า ที่จะรอป่วยแล้วค่อยมาดูแลตัวเอง ผมเองเป็นพวกใจร้อน รอป่วยไม่ได้หรอก ต้องดูแลตัวเองก่อนป่วยสิถึงจะทันใจ เห็นไหมว่า เพียงแค่ 7 วัน คนไม่เคยสนใจสุขภาพอย่างผม กลับเปลี่ยนไปซึ่งดูเหมือนจะเปลี่ยนอย่างถาวรนะ

สำหรับค่ายหมอเขียว ถ้าใครสนใจแล้วยังอยากหาข้อมูลก็ ค้นหาในกูเกิ้ลเลย คีเวิร์ด “หมอเขียว” “ใจเพชร กล้าจน” เจอแน่นอน ลองศึกษากันดูนะครับ

สวัสดี

ชีวิตหลังจากกลับมาจากค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)

แทบจะไม่เชื่อตัวเองเลยว่า จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ถึงขนาดนี้ กับเวลาเพียงแค่อาทิตย์เดียวซึ่งจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตอย่างแน่นอน

เมื่อปลายเดือนมกราคม 2556 ที่ผ่านมา ผมได้ไปศึกษาวิธีดูแลสุขภาพ กับค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว) ซึ่งเนื้อหาเกี่ยวกับที่ได้รับมาจากค่ายสุขภาพก็จะนำมาพิมพ์กันให้อ่านในภายหลัง พอดีว่ายังไม่มีเวลาเรียบเรียง เอาเป็นว่ามารู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงกันก่อนดีกว่า

การเปลี่ยนแปลงด้านอาหารการกิน

เชื่อไหมว่าความรู้สึกต้องการกินเนื้อสัตว์ ปลา หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ นอกจากพืช มันเบาบางและเหมือนจะจางหายไป มันไม่ต้องการเหมือนเคย แม้ว่าจะกินไปแล้วก็ไม่รู้สึกว่าอร่อยติดใจ อาจจะเพราะผมเองให้ความหมายของการกินเพียงแค่หนึ่งอิ่มเท่านั้นเอง แต่ลึกๆในใจนั้นกลับติดใจอาหารในค่ายสุขภาพ อาหารที่หลายคนเบือนหน้าหนี เพราะว่ามันจืดและกินยากมากๆ แต่เชื่อไหมว่า ผมอยากกินอีก…

อาหารประจำวันในค่ายสุขภาพ
อาหารประจำวันในค่ายสุขภาพ

ในวันหลังๆในค่าย (1 สัปดาห์) ผมสามารถกินอาหารจืดๆในค่ายสุขภาพได้อย่างปกติ แทบจะไม่มีการปรุงรส สำหรับเนื้อสัตว์นี่ไม่มีแน่นอน มีแต่ผัก ผลไม้ ข้าว และถั่ว เป็นอาหารที่สามารถให้พลังงานที่เพียงพอได้ในแต่ละวันทีเดียวล่ะ จบเรื่องอาหารไว้เท่านี้ก่อนเพราะประโยชน์มันเยอะเดี๋ยวค่อยไว้ต่อตอนหน้า

ระบบขับถ่าย

ระบบขับถ่ายเป็นอะไรที่เกิดขึ้นทุกวัน ใครที่ระบบดำเนินไปไม่ปกติย่อมส่งผลกระทบต่อสุขภาพและอารมณ์อย่างแน่นอน สำหรับช่วงเวลาที่อยู่ในค่ายหมอเขียวนั้น กินแต่ข้าว ผัก ถั่ว ผลไม้ บอกได้เลยว่าสบายท้องมาก กินไปก็ไม่ร้อนท้อง ทุกอย่างสบายหมด กลับมาบ้านกินเหมือนเดิมๆ ที่กินมาเกือบทั้งชีวิต รู้สึกอย่างชัดเจนว่าของกินในชีวิตประจำวันนี่เอง ทำให้ชีวิตและสุขภาพของเราลำบาก

นี่เป็นเพียงประโยชน์เล็กน้อยที่หยิบยกนำมากล่าว จากประสบการณ์และความรู้มากมายที่ผมได้รับมาจากค่ายสุขภาพ แำพทย์วิถีธรรม หรือค่ายหมอเขียว เพียงแค่สองเรื่องนี้ก็เพียงพอจะทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไปได้แล้ว ปรับหางเสือเพียงเล็กน้อย  ปลายทางของเป้าหมายในชีวิตที่แสนจะห่างไกล ก็คงจะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแน่นอน

สวัสดี

ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับการลดเนื้อสัตว์ มากินผักได้ที่ Veggie kitchen , facebook (Veggie Kitchen)