Cyber bully กรณีศึกษา กระแสน้ำปัสสาวะรักษาโรค

เคยได้ยินคำนี้มาสักพัก จากในเฟสบุคนี่แหละ ก็มีเพจดัง ๆ ที่เขาพากันต่อต้านเจ้า Cyber bully หรือการไปขยี้ ขยำ ย่ำ เหยียดผู้ที่ตนเห็นว่าจะสามารถข่มได้

ผู้ที่โดน Cyber bully มักจะเป็นผู้ที่ตกเป็นข่าว หรือเรื่องที่ตกเป็นข่าว แม้เป็นถึงระดับคนใหญ่คนโตของประเทศก็หนีไม่พ้น

Cyber bully เป็นสภาพที่แสดงความตกต่ำของจิตวิญญาณแบบหนึ่ง ซึ่งโดยปกติในชีวิตแล้ว การที่ใครสักคนหนึ่งจะไปแสดงอาการ ท่าทาง วาจาที่ไม่ดีตีต่ออีกฝ่ายนั้น มักจะไม่เกิดบ่อยนัก แต่ในโลก social สังคมแคบลง การสื่อสารไวขึ้น ทำให้เกิดการแสดงออกบ่อยขึ้น คือปกติกิเลสเหล่านั้นก็มีอยู่แล้ว แต่พอมีช่องทางให้แสดงออก ให้ปล่อยออก มันก็ไหลออกมาโดยธรรมชาติของกิเลสที่จะแส่หาสิ่งใด ๆ มาเสพ ในกรณี ของ Cyber bully ภาพรวมก็คือความสะใจที่ได้ข่ม ได้แสดงออก ได้แสดงตัวตน ได้อวดความรู้ ได้แสดงตนว่าเป็นผู้ปราบมาร เป็นต้น.

Cyber bully มักจะเกิดจากสาเหตุหนึ่ง คือความเห็นต่าง และมีองค์ประกอบ คือมีผู้นำที่จะถล่ม ความเห็นต่างนั้น ๆ เชื่อไหมว่าตัวตั้งตัวตี ที่เคยเห็นว่าไม่สนับสนุน Cyber bully กลับเป็นตัวตั้งตัวตีที่มีส่วนในการโน้มน้าวผู้ที่เห็นต่าง ให้มาแสดงพฤติกรรม Cyber bully

จากกรณี กระแสน้ำปัสสาวะรักษาโรค ซึ่งผมก็อยู่ในห้อง มหัศจรรย์น้ำปัสสาวะบำบัดฯ ตามที่เป็นข่าวและรู้กันโดยมากว่านี้คือห้องที่รวบรวมผู้ใช้น้ำปัสสาวะบำบัดมาแลกเปลี่ยนความรู้กัน

แต่เมื่อเกิดกระแสข่าวในสังคมขึ้นมา สมาชิกใหม่จำนวนมาก ก็สมัครเข้ามาในกลุ่ม แต่เขาไม่ได้สมัครเข้ามาเพื่อจะศึกษา จากที่สังเกตุดูมาระยะหนึ่ง โดยมากจะเข้ามาเพื่อแสดงทัศนคติที่แตกต่างของคน ซึ่งจะมีน้ำหนักไปที่การเหยียดหยาม ดูถูก ชิงชัง รังเกียจ หรือนั่นก็คือลักษณะหนึ่งของ Cyber bully

ซึ่งจริง ๆ แล้ว การเห็นต่างไม่ได้หมายความว่าต้องมาทำการ Cyber bully หรือต้องไปขยำ ขยี้ผู้ที่เห็นต่าง แต่อย่างใด พระพุทธเจ้าตรัสว่าบัณฑิตมีการไม่เพ่งโทษเป็นกำลัง เมื่อบัณฑิตหรือผู้มีปัญญา รับทราบถึงความแตกต่าง ย่อมไม่เพ่งโทษ ถือสา หรือเบียดเบียนทำร้ายใคร

ต่างจากคนพาลซึ่งมีการเพ่งโทษเป็นกำลัง หมายถึง เมื่อคนพาลได้ที คือเข้าใจว่าตนดีกว่า ตนเหนือกว่า ซึ่งอาจจะเป็นความเข้าใจที่ถูกหรือผิดก็ตาม คนพาลจะเพ่งโทษความเห็นอื่น ๆ ที่แตกต่างจากตน พาลน้อยก็เพ่งโทษในจิต พาลมากก็ออกทางวาจา ในกรณีของ Cyber bully ก็เป็นขีดพาลมาก และพาลที่สุดคือทางกาย คือทำร้ายร่างกายกัน

ในกรณีของผู้ที่ทำการเสี้ยม หรือทำสื่อให้คนอาการอยากจะขยี้ ขยำฝ่ายอื่นด้วย กาย วาจา ใจ เช่น ถ่ายคลิปออกมาเพื่อที่จะแสดงความถูกต้อง และข่มผู้อื่นในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะถูกหรือจะผิดในเชิงของความรู้ แต่ถ้าทำให้คนเกิดอคติ ความเกลียด ความชัง หรือทะเลาะกัน ก็เป็นบาป ผู้ที่ทำสื่อ ก็เป็นผู้นำคนทำบาป วิบากบาปก็จะมาก เพราะเป็นเหตุในการเบียดเบียนที่มาก

ในการแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกใด ๆ ก็ต้องตรวจตัวเองดี ๆ ว่ามีผลดีกับใคร ทำไปแล้วเกิดผลยังไง ลดโลภ โกรธ หลง รึเปล่า หรือยิ่งเพิ่มความโลภ โกรธ หลง เข้าไปอีก

ความหลงเบียดเบียนอย่างไร ความหลงยึดว่าฉันถูก แกผิดนี่แหละ คือเหตุเบื้องต้นของ Cyber bully เพราะถ้าหลงว่าตนถูกเมื่อไหร่ คนที่เห็นต่างเป็นผู้ร้ายทันที ตัวเองกลายเป็นพระเอกทันที ทีนี้ผีเข้าแล้ว เหมือนผีไปสิงให้ไปปราบผู้ร้าย แต่ที่จริงตัวเองเป็นผู้ร้ายไปเบียดเบียนเขาก็ยังไม่รู้ตัว อันนี้มันก็น่าเห็นใจ ความหลงตัวหลงตนนี่มันเป็นภัยจริง

ในฝ่ายที่ถูก Cyber bully นั้น ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก ก็รับวิบากกรรมที่เคยทำมาด้วยใจผาสุกให้ได้ ก็ต้องเห็นใจเขา ถ้าเขามีปัญญารู้ว่าสิ่งใดเบียดเบียน เป็นโทษต่อตนเองและผู้อื่น เขาก็จะไม่ทำ เหมือนกับเราที่เคยไปทำอย่างนี้แหละ มาหลายต่อหลายชาติ ชาติที่เราไม่มีปัญญา ไม่รู้อะไรลึกซึ้ง ก็แห่ไปตามกระแสอย่างนี้แหละ แบบนี้แหละวัฏสงสาร มันน่าสงสารไหมล่ะ หลงทำบาปวนเวียน ขอทุกท่านจงเห็นใจ และวางใจ

การไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับการฆ่าและคนบาป ทำไมจึงไม่เลิกกินเสียล่ะ?

บุรุษผู้เป็นบัณฑิต พึงละเว้นบาปทั้งหลายในสัตว์โลก เหมือนบุรุษผู้มีจักษุ เมื่อทางอื่นที่จะก้าวไปมีอยู่ ย่อมหลีกที่อันไม่ราบเรียบเสียฉะนั้น ฯ (พระไตรปิฎก เล่ม 25 สุปปพุทธกุฏฐิสูตร ข้อ 112)

อ่านเจอพระสูตรนี้คิดว่าน่าจะช่วยให้หลายคนทำใจในใจได้ ถ้าอยากเจริญ อยากบรรลุธรรม อยากเป็นประโยชน์ต่อสัตว์โลก … ต่อให้ไม่อยากก็ได้ แค่ใช้ชีวิตไม่ให้ไม่เป็นโทษภัยต่อสัตว์อื่นก็พอ

พระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้เราละเว้นบาป เหมือนคนมีปัญญา รู้เห็นอยู่ว่าสิ่งที่กำลังจะกินอยู่นั้น มันก่อบาป ก่อโรค เป็นทั้งห่วงโซ่อุปทานในวงจรบาป เป็นทั้งอาหารก่อโรคภัยในตนเอง บัณฑิตเห็นดังนั้นแล้ว ก็ไม่ไปทำอย่างนั้นให้มันลำบากหรอก ก็เหมือนมันมีทางให้เลือกเดิน ทางรกกับทางเรียบ ๆ เราก็ไปทางเรียบสิ จะไปทางรกทำไมให้มันลำบาก

ทางอื่นในการดำรงชีวิตนอกจากกินเนื้อสัตว์ยังมีอยู่ แล้วจะไปกินทำไมให้มันลำบากตัวเอง เบียดเบียนสัตว์อื่น

บัณฑิตหรือผู้รู้นี่เขาเห็นแล้วว่ามีทางเลือกที่ดีกว่ากินเนื้อสัตว์ เขาก็เลิกไปเท่านั้นเอง เพราะไอ้บาป เวร ภัย นี่มันชัด ๆ อยู่แล้ว เป็นการเบียดเบียนหยาบ ๆ ที่แม้แต่คนทั่วไป ศาสนาใดเขาก็รับรู้ได้ จริง ๆ ถ้าไม่ฉลาด ก็ไม่น่าจะมั่นใจว่าตนเป็นพุทธนะ ศาสนาพุทธนี่เป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาแห่งการรู้แจ้ง ไม่ใช่ศาสนาไม่รู้ มั่ว ๆ เดา ๆ กรรมดี กรรมชั่ว กรรมใดเบียดเบียน กรรมใดไม่เบียดเบียน อันนี้มันก็หาศึกษาไม่ได้ยากในยุคอินเตอร์เน็ตเข้าถึงแบบนี้นะ

คนที่เห็นทางที่ดีกว่า สบายกว่า เบียดเบียนน้อยกว่า แล้วยังไม่ไป ก็ไม่แปลก ก็เขาไม่ใช่บัณฑิตไง …ตรงข้ามกับบัณฑิตก็มีแต่คนพาลเท่านั้นแหละ

พุดโถ่ พุดถัง เขาจะกินเนื้อสัตว์กันมันก็เป็นเรื่องธรรมดา

ถ้าเราจะแบ่งความเห็นออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่ยินดีในการเบียดเบียน อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่ไม่ยินดีในการเบียดเบียน

เชื่อไหมว่าน้ำหนัก หรือปริมาณของคนที่จะตกไปในกลุ่มแรกนั้นมีมากมายมหาศาล ตั้งแต่คนเลี้ยงสัตว์ คนฆ่าสัตว์ คนขายเนื้อสัตว์ คนกินเนื้อสัตว์ ยืนสนับสนุนความเห็นของกันและกัน แต่ละคนก็ต่างอ้างว่าตนถูก ตามเหตุและผลประโยชน์ของตน

คนที่กินเนื้อสัตว์เขาจะออกไปยืนฝ่ายตรงข้ามกับคนเลี้ยง คนฆ่า คนขายไม่ได้หรอก เพราะเขาเป็นหุ้นส่วนกัน

ส่วนคนที่ไม่ยินดีในการเบียดเบียนเขาก็จะหาวิธีลดละเลิกการเบียดเบียน ไปสู่การไม่กิน ไม่ฆ่า ไม่ส่งเสริมให้เลี้ยง ฆ่า ขาย ซื้อ ไม่ยินดีในการเลี้ยง ฆ่า ขาย ซื้อ

…พุทธในไทยทุกวันนี้เรียกได้ว่าแทบอวสานไปแล้ว ชื่อน่ะเป็นพุทธเหมือนเดิม แต่เนื้อแท้หายไปแล้ว เหมือนร่างกายที่มีเซลล์ แต่เซลล์เหล่านั้นกลายเป็นเซลล์มะเร็งไปหมดแล้ว พร้อมที่จะกัดกินและทำลายเนื้อดีและชีวิตอย่างต่อเนื่อง

ทั้ง ๆ ที่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่เบียดเบียด เมื่อธรรมนั้นเผยแพร่ไปที่ไหน การฆ่า การขายสัตว์ทั้งที่มีชีวิตและเนื้อสัตว์ย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนั้นในแผ่นดินพุทธ การจะหาเนื้อสัตว์กิน จึงเป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะต้องรอมันตายของมันเอง และนาน ๆ มันจะตายสักที

ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ดูเหมือนกลับไม่เหมือน สิ่งที่ดูใช่กลับไม่ใช่ เพราะธรรมกลายเป็นอธรรม ผู้ไม่เบียดเบียน กลายเป็นผู้เบียดเบียน แม้ปากจะพูดสอนธรรมมากสักเพียงใด แต่ถ้ากาย วาจา ใจ ยังไม่ยินดีในความเมตตา ความกรุณา ความไม่เบียดเบียนกัน ยังไม่เลิกสนับสนุนธรรมที่พาเบียดเบียน ก็ยากจะเข้าถึงความผาสุกที่แท้จริงได้

เทศกาลเจ ศึกมารเทวดา

ใกล้เทศกาลเจ บทความเกี่ยวกับการลดละเลิกเนื้อสัตว์ ก็จะได้รับการแชร์มากเป็นพิเศษ ก็จะมีคนเข้ามาให้ความเห็น ส่วนจะเห็นอย่างไรก็ลองตาม ๆ ศึกษากันดู

สิ่งที่ผมเห็นก็คือ มีคนเสนอ และมีคนค้าน ฝ่ายเสนอก็คือการชวนเลิกกินเนื้อสัตว์นี่แหละ ส่วนฝ่ายค้านก็คือผู้ที่จะไม่เลิก และชักชวนให้ไม่ต้องเลิกกินเนื้อสัตว์ และยินดีในการไม่เลิกกินเนื้อสัตว์

ถ้าจะสรุปจากที่เคยพิมพ์มา ๆ ก็จะให้ความเห็นก่อนเลยว่าการค้านแย้งในประเด็นนี้ไม่ได้ทำให้ลดการเบียดเบียน แถมยังชักชวนให้ยินดีและส่งเสริมการเบียดเบียนต่อไป สรุปคือมันก็ไปทางตรงข้ามกับหลักปฏิบัติของพุทธนั่นแหละ เหตุผลจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ต้องดูทิศ ดูที่ไปของผลของกรรมด้วย ไม่เบียดเบียนก็ไปทางนึงนะ เบียดเบียนก็ไปอีกทางหนึ่งนะ ไปคนละทางกัน มันเป็นเหตุเป็นผลที่ต่างกัน ก็ทำใจยอมรับ ๆ กันหน่อย

ส่วนใครจะไปทิศไหน ภพภูมิไหน อันนี้ก็คงไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะตราบโลกแตกมันก็ต้องมีคนเห็นต่างกันอยู่แล้ว และโดยมากก็จะไปชั่วเป็นธรรมดาเสียด้วย เรื่องนั้นเราอย่าไปใส่ใจนักเลย

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เวลาที่เราได้ “ปะทะ” ,”กระทบ”,”ได้ยินได้ฟัง” ความเห็นที่แตกต่างแล้วเราทำใจในใจอย่างไร เรายอมรับฟังได้ไหม เราพิจารณาได้ไหมว่าแบบไหนมันดีกว่า มันเป็นประโยชน์กับตนเองและผู้อื่นมากกว่า หรือเราจะเอาแต่ของเรา ของที่เราเคยเรียนรู้ ของที่เราเคยยึดมั่นถือมั่น หรือ ความคิดของฉันถูกที่สุด อะไรประมาณนี้

ประโยชน์ของการเสนอกับการค้าน ในเชิงลึกมันก็มีอยู่ในด้านการตรวจจับจิตมาร-เทวดา ในใจตัวเอง ไม่ต้องไปตรวจคนอื่นหรอก เอาตัวเองนี่แหละว่าเป็นมาร เป็นเทวดา หรือเป็นมารในคราบเทวดา

ถ้าเราฟังความเห็นต่าง ฟังข้อมูลต่างแล้วลองเอาไปปฏิบัติดู จนเห็นผลว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่เขาว่ามานั้น มีประโยชน์/ไม่มีประโยชน์ อย่างไร พอเห็นอย่างนั้นจริง หรือระลึกเท่าที่เคยทำมา หรือศึกษาจากกลุ่มที่เขาปฏิบัติ แล้วชัดเจนในผลนั้น จึงตัดสินใจ ปรับเปลี่ยน ปรับปรุง หรือคงสภาพเดิมก็แล้วแต่ประโยชน์ที่พึงเกิดแต่ตนและผู้อื่น

ยกตัวอย่างเช่น อย่างที่ผมปฏิบัติ เลิกกินเนื้อสัตว์แล้วน้ำหนักลด สุขภาพดีขึ้น ประหยัด เรียบง่าย พึ่งตนได้ ยกตัวอย่างเพียงเท่านี้ผมก็มั่นใจว่า “ผล” ที่ได้รับนั้นควรค่าแก่การเลิกแล้ว

หรืออีกตัวอย่าง ที่เขาแนะนำกันมาเช่น กินเป็นธาตุบ้าง กินด้วยจิตว่างบ้าง ผมก็ลองนะ ลองฟังเขา แต่พิจารณาดูแล้วธาตุมันก็มีธาตุดีกับธาตุเลวด้วยนะ จะเอาอะไรเข้าปากมันก็ต้องมีประโยชน์ มันก็ต้องใช้ปัญญาบ้าง พระพุทธเจ้าท่านให้กินของที่ย่อยง่ายและไม่เป็นโทษจึงจะดีต่อชีวิต พืชผักนี่แหละย่อยง่าย โทษก็น้อย ยิ่งปลูกเองยิ่งปลอดภัย ประหยัด เนื้อสัตว์นี่เสี่ยงโรคและยาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แถมชาวพุทธเขาก็ไม่ค่อยอยากคบคนผิดศีลกันสักเท่าไหร่หรอก จะให้คบค้าสมาคมกับคนที่เขาฆ่าสัตว์ขายนี่ผมทำไม่ได้ ไม่อยากยุ่ง ไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนผิดศีลโดยไม่จำเป็น แถมแพงก็แพง เก็บก็ยาก ต้องมีตู้เย็น ผักนี่ไม่มีตู้เย็นก็เก็บได้ ประเด็นนี้ชนะขาดกันแบบเห็น ๆ

ส่วนกินด้วยจิตว่างนี่มันยังไง ก็คนมันมีปัญญาเนาะ มันก็รู้ประโยชน์และโทษสิ จิตนี่มันว่าง มันไม่ได้อยากกินหรอกเนื้อสัตว์ มันก็ไม่ต้องไปกินให้มันลำบากสิ ที่ยังแสวงหากินอยู่นี่มันจิตไม่ว่าง ยังอยู่ในกามภพ ยังหลงกินอยู่ กินด้วยจิตว่างนี่มันจะหลับหูหลับตากินไม่ได้นะ จิตมันว่างจากกิเลส มันก็เลยมีปัญญา ไม่ใช่ว่างจากปัญญาก็เลยกินไม่คิด พุทธนี่มีการคิดที่ถูกที่ควรเป็นมรรค ในระดับโลก ๆ เอาแค่คิดว่ากินสิ่งใดเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นก็พอแล้ว แต่ผมก็ไม่รู้คนอื่นเขาทำยังไงนะ ที่เขาว่าว่างมันว่างแบบเดียวกันรึเปล่าหรือมันว่างแบบบื้อ ๆ หรือมันแค่พูดดีว่าว่าง สุดท้ายคุณกินเข้าไปคุณก็รู้เองนั่นแหละ เรื่องกิเลสมันโกหกตนเองไม่ได้หรอก จิตมันจะยินดีที่ได้เสพเนื้อสัตว์ ยินดีที่ชักชวนกันเสพเนื้อสัตว์ ยินดีที่มีคนส่งเสริมการเสพเนื้อสัตว์

อาการ 3 อย่างนี้ เป็นอาการของอสัตบุรุษ หรือคนพาล หรือ… ก็แล้วแต่จะเรียกกันไป ส่วนใครมั่นใจว่าทำได้อย่างที่ว่า คือยินดีในการกินเนื้อสัตว์ด้วยความเห็นต่าง ๆ แล้วยังสามารถเบิกบาน ผาสุก สุขภาพดี ไร้ทุกข์ ไร้กังวลในชีวิตได้ ก็ทำไป …ส่วนตัวผมไม่เชื่อคนหนึ่งล่ะ

ก็สรุปบทความสั้น ๆ (?) นี้ลงตรงที่ว่า อย่าไปเอาประโยชน์จากการเถียงกันเลย ให้เอาประโยชน์จากการเถียงมารในใจตัวเองดีกว่า คนอื่นเขาอยู่กับเราไม่นานเดี๋ยวเขาก็ไป กิเลสมารในใจเราอยู่ด้วยกันมาหลายล้านชาติ สิงเรามานานแล้ว ยังไปสู้ผิดคนผิดเป้าอีก

ปลามันก็อยู่ของมันดี ๆ

คลิปล่าปลา

นั่งดูคลิปนี้แล้วก็นึก คนเรานี่ก็ชอบเบียดเบียนเนาะ แสวงหาวิธีเบียดเบียน ปลามันก็อุตส่าหนีไปมุด ซุก แอบ มันก็คิดว่าจะปลอดภัย เจอคนนี่ร้ายสุด ๆ ฉลาดสุด ๆ ยังหาวิธีไปล่ามันได้

ก็คิดกลับมาเรื่องกรรม ก็คงเหมือนชีวิตเรานี่แหละ ก็ขยันทำดีอยู่ดี ๆ ไม่อยากเจอสิ่งชั่วในชีวิต แต่แล้ววิบากกรรมมันก็ซัดเข้า เหมือนฉมวกที่เขาแทงปลาในซอกหินนั่นแหละ เราอุตส่าแอบในดีแล้วมันยังหาเจอ ทำดีมานานหลายต่อหลายชาติก็คิดว่าจะหลบพ้น สุดท้ายวิบากกรรมเขาก็ตามเจอ เจอแล้วก็แทงเข้าให้

ใครที่คิดว่าชาตินี้ฉันก็ทำดีเป็นส่วนมาก ทำไมยังเจอชั่ว ก็ชั่วที่เคยทำมันตามมาหลอกหลอนไง อย่าคิดว่าชาตินี้ไม่ฆ่าไม่กินสัตว์แล้วจะพ้นวิบากนะ เพราะชาติชั่ว มันเยอะกว่าชาติที่ทำดีแน่ ๆ มันมาแน่ ๆ หนีเข้าวัด(ซอกหิน) ก็โดน

จากเริ่ม จนจบที่มังสวิรัติ

แสงยามเช้า

เมื่อปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ผมเองก็ยังเป็นคนทั่วไป กินอยู่อย่างคนทั่วไป มื้ออาหารทุกมื้อประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์เป็นเรื่องปกติทั่วไป ผมใช้ชีวิตแบบทั่วไปแบบนี้มาทั้งชีวิต จนกระทั่งทุกวันนี้ ไม่มีเนื้อสัตว์ในมื้ออาหารของผมมานานหลายเดือนแล้ว…

ชีวิตที่ผ่านมา บอกตรงๆ ว่าไม่เคยสนใจเรื่องมังสวิรัติเลย แม้แต่กินเจก็ไม่เคยกิน ไม่สนใจ ไม่เข้าใจ กินไปทำไม…

จนกระทั่งต้นปี 2556 เพื่อนชวนไปค่ายสุขภาพของหมอเขียว จริงๆก็ไม่ได้สนใจสุขภาพอะไรหรอกนะ พอดีว่าว่าง หาอะไรทำ ก็เลยไปกับเขา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในค่ายมีอะไร ให้ทำอะไร ทำไปเพื่ออะไร จะได้อะไร ก็รู้แค่ว่าดีกว่าอยู่บ้าน

การไปค่ายสุขภาพครั้งนั้นได้ก็นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตผมอย่างรุนแรง ความรู้ที่ได้รับจากค่าย ทำให้ผมเข้าใจทุกข์ โทษ ภัย ผลเสีย ของการที่เรายังอยากกินเนื้อสัตว์ ทั้งต่อสุขภาพในระยะยาว และอื่นๆอีกมากมาย แน่นอนว่าผมไม่อยากเป็นคนแก่ที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล อย่างน้อยที่สุดก็อยากจะสุขภาพดีเท่าที่ทำได้ละนะ

บนยอดเขา

กินมังสวิรัติแล้วดียังไง?

จะว่าไปการกินมังสวิรัติเพื่อสุขภาพก็เป็นเหตุผลรองๆ ที่ผมให้ความสำคัญ แต่ก็ได้รับสิ่งที่เห็นผลของการกินมังสวิรัติได้อย่างชัดเจน นั่นคือน้ำหนักลด ซึ่งโดยปกติแล้ว ผมเองเป็นคนที่ไม่ออกกำลังกาย จะขี้เกียจๆไปออกกำลังกายตามแบบที่เขาทำกันด้วยซ้ำ ดังนั้น น้ำหนักที่ลดจนเป็นหลักฐานให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน มาจากการปรับอาหารล้วนๆ ไม่มีกิจกรรมอื่นใดปนเลย

ลดน้ำหนัก

การปรับอาหารมากินมังสวิรัติ ทำให้น้ำหนักของผมลด จากช่วงที่เกือบจะเลย 100 กิโลกรัม ลงมาเหลือราวๆ 80 ปลายๆ และลดลงมาอีกช่วงใหญ่ๆ เมื่อปรับมื้ออาหารให้พอดี เท่าที่จำเป็นในชีวิตจริงๆ ถ้าจะนับผลของการกินมังสวิรัติที่นำมาซึ่งน้ำหนักที่ลดลงของผม ก็คง ราวๆ 10 กิโลกรัม แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วสำหรับร่างกายที่เบาสบายขึ้น

เป็นการลดน้ำหนักโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน เสียแรง เสียเวลา แถมยังประหยัดเงิน ได้สุขภาพภายในที่ดีขึ้นมาอีก ดีไหมล่ะ

ความยุ่งยากในชีวิตที่ลดลง เป็นอีกหนึ่ง ข้อดี คือไม่ต้องลำบากไปหาเนื้อมากิน ไปสรรหาร้านเนื้ออร่อยๆ ไม่ต้องสนใจว่าร้านนี้จะมี หมู ไก่ เนื้อ หรืออะไรยังไง ไม่ต้องคิดมาก หลายคนอาจจะคิดว่ากินผักยุ่งยาก ซึ่งปกติในชีวิตเราก็กินผักกับเนื้อปนกันอยู่แล้ว อันนี้ก็แค่เลิกกินเนื้อ แต่ผักก็ยังกินปกติอยู่นั่นแหละ แค่ลดจากแบบชาวบ้านทั่วไปลงมา สะดวกกว่าเดิมเยอะ

อาหารพื้นบ้าน

อย่างกรณีที่ได้ลดความยุ่งยากในชีวิต คือ ตอนผมไปเช่าบ้านอยู่ที่ปากช่อง ไม่มีตู้เย็น หากว่ายังติดเนื้อสัตว์อยู่ชีวิตก็คงลำบากแน่ๆ ไหนจะต้องซื้อตู้เย็นมาเป็นภาระอีก แต่การเก็บผักนั้นไม่ยากเลย เอามาวางๆไว้ อย่างมากก็แค่เหี่ยวนิดหน่อย แต่ก็ยังกินได้ ยิ่งกะหล่ำปลีนี่เก็บไว้ได้หลายวันเลย ถือว่าการกินมังสวิรัติช่วยให้ชีวิตผมตอนอยู่ต่างถิ่นมันง่ายและสะดวก คล่องตัวขึ้นมาก

สุขภาพดี เป็นอีกสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน แต่จะเกิดขึ้นจากภายในมากกว่า เพราะร่างกายไม่ต้องลำบากมาย่อยเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก กินแต่ละทีอืดเป็นวันๆ ทำให้เหลือพลังงานในการเอาไปซ่อมแซม บำรุงส่วนที่สึกหรออื่นๆ จนทำให้มีความ สุขสบาย เบากาย มีกำลัง รวมทั้งสบายใจที่ได้จากการลด ละ เลิกการกินเนื้อสัตว์อีกด้วย

เห็ด

กินแล้วมีความสุขไหม?

ผมได้คุยกับคนหลายคน ซึ่งเขามองว่าการกินมังสวิรัติลำบาก ไม่อร่อย ทรมานตัวเอง ยังอยากมีความสุขอยู่ ฯลฯ …จริงๆผมเองก็อยากมีความสุขเหมือนกันนะ…

แต่ก่อน …ผมก็เป็นคนชอบกินเนื้อมาก คอหมูย่าง เนื้อย่าง ไก่ย่าง ยิ่งติดมันหวานๆ นี่ยิ่งชอบ สเต็ก ปลาดิบ ซีฟู้ด อะไรต่างๆนาๆ นี่ของโปรดเลย …แล้วถ้ามันกินแล้วมันเป็นสุขแล้วผมจะเลิกกินทำไม ผมกินไปเรื่อยๆ ก็มีความสุขไปเรื่อยๆ มันน่าจะเป็นอย่างนั้นสิ…

จนกระทั่งวันที่ได้พบกับ ความรู้สึกที่ว่า “ สุขกว่าเสพ ” นี่แหละ ที่ทำให้ผมมั่นใจที่จะเลิกกินเนื้อสัตว์ อย่างน้อยมันก็สุขมากพอที่จะทำให้ผมยอมทิ้งสุขที่เคยได้รับเมื่อตอนกินเนื้อละนะ ความรู้สึกนี้อาจจะยากสักหน่อยที่จะเข้าใจ จนกว่าวันที่ใครสักคนยินดีที่จะละเนื้อสัตว์ด้วยใจที่สบายๆ แม้จะเห็นคนอื่นกินต่อหน้าก็ไม่ได้อยากกิน หรือทุกข์ใจอะไร ก็ตอนนั้นแหละคงจะพอ รู้สึกเองว่า “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

แดดยามเย็น

และสิ่งที่แน่นอน คือ มีความสุข …ความรู้สึกดีๆ นี้เกิดขึ้นได้ หลังจากลด ละ เลิก กินเนื้อสัตว์ เชื่อไหมว่าช่วงที่พยายามจะเลิก ผมรู้สึกผิดทุกครั้งเวลาขับรถไปแล้วเห็นรถขนหมู รถขนวัว ผมรู้ว่าปลายทางของมันจะไปที่ไหน และรู้ตัวดีว่าผมเองคือเหตุหนึ่งที่ผลักดันมันไปสู่ที่นั่น

เมื่อเราเลิกกินเนื้อสัตว์ได้แล้ว การเบียดเบียนจึงไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ผมสามารถมองสัตว์เหล่านั้นด้วยความรู้สึกธรรมดาๆ อย่างที่สัตว์โลกเห็นกันทั่วไป ไม่ต้องรู้สึกผิดเหมือนเคย เป็นความสบายใจที่ได้รับมาจากการเลิกกินเนื้อสัตว์ หรือที่ใครๆเขาเรียกกันว่า “ บุญ

วัวข้างทาง

กินมังสวิรัติแล้วอยู่ได้ยังไง?

หลายๆ คนมักจะมองว่า การกินมังสวิรัติ ทำให้ไม่มีแรง เพลีย อ่อนล้า หิว อะไรก็ว่ากันไป ผมเองทดลองกินมังสวิรัติและกำหนดช่วงเวลาทำงาน คือการใช้แรงงาน รวมถึงงานที่ใช้สมองรวมอยู่ด้วย

ผมตื่นตั้งแต่เช้า ราวๆ  7 โมง ก็ขับรถไปที่ไร่เพื่อทำงาน ซึ่งตอนนั้นเป็นงานขุดแปลงผัก สักประมาณ 11 โมงก็กลับมาทำกับข้าวกิน พักสักครู่ใหญ่ๆ บ่าย 1 ก็ออกไปขุดต่อ ขุดเรื่อยๆเหนื่อยก็พัก ตกเย็นก็กลับบ้าน มาทำงานออกแบบที่ในส่วนของพื้นที่ใช้สอยต่างๆ มุมต่างๆของที่ และนอนเวลา 3 ถึง 5 ทุ่มโดยประมาณ

ต้นอ่อนฟักทอง

ผลการทดลองออกมาก็อยู่ได้ตามปกติ มีแรงทำงาน มีสมองออกแบบ แถมยังฟุ้ง จินตนาการบรรเจิด จนบางทีทำให้นอนดึกกว่าปกติก็มี ทั้งหมดนี้ ผมกินมังสวิรัติ และ กินมื้อเดียว ต่อวัน ไม่ได้ดื่มน้ำผลไม้ หรือนม นอกมื้อดื่มเพียงแค่น้ำเปล่า เท่านั้น

อ่านมาจนถึงตรงนี้ ก็คงจะตอบได้แล้วว่า การกินมังสวิรัติก็สามารถทำให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ เหมือนทั่วๆไปละนะ

วิธีกินมังสวิรัติ

การเปลี่ยนมาสู่การกินมังสวิรัติในทันที ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ ต้องอาศัยพลังในการอดทนและความรู้ในการเข้าถึงประโยชน์ของการกินมังสวิรัติอย่างมาก การเริ่มกินในเบื้องต้นก็ควรจะเริ่มจาก ลด ละ เลิก เนื้อสัตว์ไปตามลำดับ

มังสวิรัติ-ซื้อกิน

แรกๆก็อาจจะเริ่มจากการ ลด ลดปริมาณการกินเนื้อลง จากที่เคยกินเนื้อเยอะๆ ก็ลดปริมาณ แล้วเพิ่มผัก เพิ่มแป้งเข้าไปแทนในอัตราส่วนที่ยังอิ่มสบายอยู่

การ ละ เช่นในหนึ่งอาทิตย์ ก็ลองกินมังสวิรัติ สักมื้อ แล้วค่อยขยับมาเป็นสักวัน หรือสักสัปดาห์ เพิ่มช่วงเวลาที่ ละ เนื้อสัตว์ไปเรื่อยๆ หรือจะละเนื้อสัตว์ใหญ่ กินแต่สัตว์เล็กลงมาเรื่อยจนเหลือ ปลา แล้วค่อยพัฒนาต่อไปก็ได้

เมื่อละได้จนรู้สึกว่ามีพลังพอจะ เลิก ได้ก็ให้ตั้งใจเลิกไปเลย ได้ไม่ได้ ไหวไม่ไหว ก็อีกเรื่องหนึ่ง มันจะมีความคิดมากมายที่คอยฉุดเราไว้ไม่ให้เลิก ในตอนนี้เราต้องสู้กับความคิด หรือกิเลสเหล่านั้น

มังสวิรัติ-ทำเองกินเอง

ข้าวยังเป็นหลัก การกินมังสวิรัติของผม ไม่เคยลดข้าวเลย ลดแต่เนื้อสัตว์ แล้วก็เพิ่มผัก เพิ่มข้าวในปริมาณที่อิ่มสบาย อาจจะขัดกับความรู้ในการรักษาสุขภาพและการลดน้ำหนักทั่วๆไปว่าให้ลดข้าว กินโปรตีน กินผัก แต่นี่ผมก็ยังกินข้าวเต็มๆแบบไม่กลัวอ้วน กินผักเยอะๆ น้ำหนักก็ยังลงได้สบายๆ

อีกทั้งข้าวยังเป็นแหล่งสารอาหารด้วย วิตามินมากมายอยู่ในเมล็ดข้าว ถ้าผมเลือกได้ ผมจะเลือกกินข้าวกล้องซึ่งให้คุณค่าสูงสุดในการเคี้ยวหนึ่งคำข้าว

การหากินอาหารมังสวิรัติในชีวิตประจำวัน ดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับชีวิตคนเมือง แต่จากที่ผมได้ทดลองมา ร้านขายอาหารหลายร้านก็ให้ความร่วมมือดีนะ เข้าร้านก๋วยเตี๋ยว ไปสั่งก๋วยเตี๋ยวเอาแต่เส้นกับผัก เข้าร้านข้าวแกง ก็สั่งเอาแต่ผัก เข้าร้านอาหารตามสั่งก็สั่งเมนูปกติ แต่ใส่ผักแทนเนื้อสัตว์ไป ก็ไม่เห็นมันจะลำบากตรงไหน ยิ่งถ้ายังกินไข่อยู่ก็สามารถหาเมนูได้มากมาย เมื่อเราคุ้นเคยในการสั่งเมนูมังสวิรัติ หรือมีร้านที่เรากินประจำ เมื่อนั้นแหละการกินมังสวิรัติจะง่ายขึ้นมาทันที

หรือถ้ายังกล้าๆ กลัวๆ ในการสั่ง ก็ให้เขี่ยเนื้อสัตว์ออกเอา โดยหลักๆแล้วเนื้อหามันก็มีแค่ว่า “ เราอยากกินเนื้อสัตว์หรือไม่อยากกิน “ แค่นั้นเอง ไม่อยากกินก็เขี่ยออก หรือให้คนอื่นไป ถ้ามันอยากกินมากนักก็เอาเข้าปากไป แล้วค่อยว่ากันใหม่

มังสวิรัติ-แม่ทำ

การซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเอง สมัยนี้คนเมืองสามารถหาซื้อผักที่หลากหลายได้ง่ายๆ ยิ่งผักปลอดสารพิษก็มีขายเยอะขึ้น มีให้เลือกตามสะดวก ราคาก็ไม่แพง เมื่อเทียบกับสุขภาพในระยะยาว ส่วนคนที่อยู่ต่างจังหวัดก็หัดปลูกเองกินเองไป

หิวและไม่อยู่ท้อง เป็นอีกหนึ่งปัญหาของคนกินมังสวิรัติ ค่ายสุขภาพได้สอนมาว่า ปัญหาของคนกินเจเช่น ไม่อยู่ท้อง ไม่มีแรง สามารถแก้ปัญหาด้วยการกินถั่ว ธัญพืชต่างๆ เข้าไปเพิ่ม ผมเองก็ไม่เคยกินเจนะ… แต่จากที่ลองดู ถั่วก็สามารถทำให้อยู่ท้องและมีแรงได้จริงๆ จะรู้ได้เลยว่ากินถั่ว กับไม่กินถั่ว ร่างกายก็จะแสดงอาการต่างกัน

ทุ่งหญ้า

ชีวิตมังสวิรัติ

การที่เราจะหันมากินมังสวิรัติ ก็คงจะได้รับเสียงตอบรับจากสังคมรอบข้างกันไปต่างๆ นาๆ  ถือเป็นความท้าทายหนึ่งในการกินมังสวิรัติ เป็นบททดสอบว่าเราเอาจริงไหม เรามั่นใจว่าสิ่งนั้นดีจริงไหม เรามีกำลังใจมากพอไหม เรามีความรู้เกี่ยวกับการกินมังสวิรัติมากพอไหม

ถ้าเรามั่นใจว่าสิ่งที่เรากำลังทำดีจริง และทำอย่างจริงจัง คนรอบข้างจะค่อยๆเปลี่ยนไปตามเรา อาจจะเข้าใจเรามากขึ้น อาจจะเห็นดีกับเรา หรือกระทั่งอาจจะหันมากินมังสวิรัติตามเราก็เป็นไปได้ ส่วนคนที่เขายังไม่เห็นด้วย ก็ให้เข้าใจเขา เขาจะติดการกินเนื้อ จะเข้าใจว่าการกินเนื้อดี หรือจำเป็นต่อชีวิต ก็เป็นความเข้าใจของเขา เราก็กินของเราไป

ถ้าสิ่งที่เราปฏิบัติมันดีจริง เรามั่นคงจริง มันทำให้สุขภาพดี หน้าตาผ่องใส จิตใจดีขึ้น มีผลมากมายที่เห็นได้ชัดจริงๆ …วันหนึ่ง ถ้าเขาสนใจ เขาก็มาถามเองนั่นแหละ

ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับเมนูมังสวิรัติ บทความมังสวิรัติได้ที่ Veggie kitchen , facebook (Veggie Kitchen)

แดดยามเช้า