ชีวิตคือการลงทุน

หลังจากได้เรียนบริหาร ผมก็เข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนมากขึ้น และหลังจากที่ได้รู้จักกับพุทธศาสนา ผมก็เข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนที่ให้ผลเป็นสุขมากขึ้น

เป็นธรรมดาของการลงทุนที่จะมีผู้ร่วมลงทุน มีกิจการที่จะลงทุน แต่ก่อนผมก็เหมือนกับคนอื่นนั่นแหละ คิดว่าการลงทุนกับการมีครอบครัวจะให้ผลเป็นสุข เป็นบวก ได้กำไร ฯลฯ แต่เมื่อได้ศึกษามากขึ้นก็พบว่าการอยู่เป็นครอบครัวนั้นเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ส่วนมากเป็นทุกข์ โดยค่ารวม ๆ ติดลบ

ลงทุนในกรอบแคบ ๆ ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วย เหมือนการเอาความหวังไปฝากไว้กับคู่รัก ลูกหลาน มันก็ต้องผิดหวัง ต้องทุกข์ ต้องหวั่นไหวกับความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา

และใช่ว่าธุรกิจครอบครัวจะไปได้ดี การไว้ใจญาติ บางทีก็ให้ผลเสียอย่างคาดไม่ถึงเหมือนกัน แต่การจะใช้ชีวิตคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องดีอีกเหมือนกัน ดังนั้นเราจึงควรเลือกหน่วยลงทุนที่ให้ความเจริญสูงสุด/เวลา คือเลือกกลุ่มที่ปฏิบัติดี พากันลดโลภ โกรธ หลง แล้วไปลงทุน ลงแรงร่วมกับเขา

ผมไม่เชื่อว่าถ้าผมยังดำเนินกิจกรรมไปตามโลก ไปเป็นพนักงาน หัวหน้า ผู้บริหาร เจ้าของกิจการ ฯลฯ แล้วผมจะรอดพ้นจากทุกข์ไปได้ เพราะจากที่ผมเห็นมาตั้งแต่เกิด คนที่ดูเหมือนประสบความสำเร็จรุ่งเรืองใหญ่โต ก็ไม่เห็นจะพ้นทุกข์ เป็นสุขกันตรงไหน ดูเผิน ๆ เปลือกเขาก็สวยดี แต่ใส้ในก็ไม่เห็นน่าดูกันสักคน

ผมก็เลือกที่จะไม่เดินทางนั้น ก็เลือกมาดำเนินชีวิตทางธรรมดีกว่า ในเบื้องต้นเป็นฆราวาส(ผู้ครองเรือน) ก็มีอาชีพจิตอาสาให้ทำ เงินไม่ได้หรอก แต่เขาไม่ปล่อยให้อดตายแน่ ๆ และรับประกันได้ว่าจะมีงานทำตลอดชีวิต ไม่มีวันตกงาน งานฟรีมีให้ทำเยอะมาก เลือกสาขาได้ตามที่ถนัดเลย

แต่ถ้าเราไม่ขัดเกลากิเลสของเราออกบางส่วนก่อนมันจะไม่คิดแบบนี้นะ มันจะมุ่งไปทางโลก แสวงหาวัตถุลาภยศมาบำเรอตัวเองอย่างเดียวเลย ถ้าให้มาทำจิตอาสาไม่มีเงินเดือนนี่มันไม่เอาเพราะมันไม่ได้เสพดั่งใจ ถ้าทำงานหาเงินนี่อยากได้อะไรก็ไปซื้อ แต่ถ้ามาใช้ชีวิตแบบไร้เงินเดือนนี่มันต้องสังวรระวัง และต้องอดทนอดกลั่นต่อความอยากมาก มันไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ เลย ตรงนี้แหละมันเริ่มจะมีทิศทางไปสู่ความเจริญแล้ว เพราะเรากินน้อยใช้น้อย ทุนที่ลงไปก็ต่ำ เราทำงานมาก ทำดีมาก กำไรเราก็เยอะ รับรองว่าชีวิตทำงานฟรีกินใช้ไม่มีหมด ยังทำไม่ได้ชัด ๆ หรอกนะ แต่ดูจากครูบาอาจารย์เป็นตัวอย่างเอา ที่เหลือก็แค่ทำตามให้ได้

และตอนนี้ก็ทำไม่ได้เต็มตัวหรอก เป็นได้แค่ครึ่งตัว อีกครึ่งตัวก็ต้องให้เป็นไปตามวิบากกรรม แต่ผมเชื่อนะว่าการลงทุนทางธรรมนี่แหละคุ้มค่าที่สุด เอาปริญญาบริหารเป็นประกันเลยเอ้า…

เทวดาร้อนอาสน์

คือสภาพของคนดีที่ทุกข์ร้อนใจ ทนอยู่เฉยไม่ได้ต่อบางสิ่งบางอย่าง

ผมเคยได้ยินคำนี้มาจากครูบาอาจารย์ แต่ก็เพิ่งจะเคยได้เห็นสภาพนี้ในคนทั่วไป คือเมื่อวานไปสนามหลวง และช่วงค่ำจิตอาสาก็ยกทีมกันไปเปิดร้าน ตักถั่วเขียวต้มแจกหน้าเต็นท์รอคอย แบบว่าใครสนใจก็เดินออกมารับได้

ภาพที่จิตอาสามาเสียสละ มาแจกของก็คงจะไม่แปลกอะไร แต่ภาพที่เห็นเมื่อวานนี้คือคนที่เขามารอในเต็นท์รอคอยนี่แหละ เดินมาเสนอตัวว่าจะช่วยเอาถั่วเขียวต้มไปแจกในเต็นท์

…ก็คงจะเป็นสภาพของเทวดาร้อนอาสน์ คือ ไม่ได้ตั้งใจมาช่วยตั้งแต่แรกหรอก แต่เห็นแล้วมันอยากช่วย จะไม่ช่วยใจมันก็ไม่ยอม มันร้อนใจ อยากจะช่วยเขา อยากจะทำดี

จริง ๆ เขาจะนั่งรอคอยอยู่เฉย ๆ ก็ได้ ไม่มีใครว่าอะไร แต่นี่เขายินดีลุกขึ้นมาช่วยไง อันนี้จริง ๆ มันก็ไม่ใช่สิ่งธรรมดาทั่วไปนะ ถ้าใครมีจิตแบบนี้ก็เข้าท่าเลย จิตเทวดานี่แหละ มีจิตที่อยากช่วยเหลือผู้อื่น แบบไม่ต้องมีใครสั่ง จิตมันจะสั่งให้ทำดีของมันเอง ไม่ให้อยู่เฉย

เพราะลึก ๆ แล้วมันเกิดจากปัญญารู้ว่า ทำดีแล้วมีประโยชน์ ถ้าไม่ทำดีจะเสียประโยชน์ ก็เป็นสภาพของจิตรูปแบบหนึ่ง เหมือนกับจิตที่เป็นเดรัจฉาน อสูรกาย เปรต ฯลฯ จริง ๆ ก็เหมือนจิตเทวดานี่แหละ เป็นสภาพในจิต คือแม้ร่างเป็นคนแต่จิตข้างในต่างกัน

จิตเทวดาก็ตามที่เล่ากันไป ส่วนจิตที่เป็นเปรตก็คือความโลภ ร่างเป็นคนแต่จิตเป็นเปรตก็โลภมาก สะสมมาก ไม่รู้จักพอ ของที่เขาไม่ได้ให้ก็อยากได้ ของที่เขาจะให้ก็อยากได้มากกว่าที่เขายินดีให้

เมื่อมีคนมาให้ทานกันมาก ๆ เราก็อาจจะได้พบกับเปรต ทั้งเปรตข้างนอกและเปรตข้างใน เปรตคนอื่นเราก็ยกไว้ก่อน เอาแค่ดูไว้ ศึกษาไว้ ว่า…อ๋อ…นั่นเปรตเขาตัวขนาดนั้น ส่วนเปรตในจิตเรานี่ต้องขัดเกลากันให้หนัก จิตเปรตนี่ไม่ควรเอาไว้ เพราะมีแล้วตนเองก็ทุกข์ คนรอบข้างก็ทุกข์

วิธีปราบเปรตก็คือให้ทานนี่แหละ เห็นจิตอาสาเขามาแจกของ แม้เราไม่มีของเราก็ใช้แรงงานแทนได้ แจกเข้าไป ถ้าเราไม่หวง เราแจกได้ สละได้ ไม่สะสมได้เท่าไหร่ นั่นคือเราปราบเปรตในจิตเราได้เท่านั้นแล้ว

เมื่อปราบเปรตได้จิตก็จะสูงขึ้น วันหนึ่งก็จะสูงถึงขั้นเป็นเทวดา(คนใจสูง) แต่ไม่ต้องรอให้ร้อนอาสน์หรอก เพราะตอนนี้มีโอกาสมากมายให้ได้ทำความดี ก็ทำกันไปตามแต่จะมีกำลัง…

คนเมือง อยากเข้าป่า

หลายปีผ่านมาจนกระทั่งวันนี้ ดูเหมือนจะมีหลายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในความคิดของผม และเป้าหมายในชีวิต ที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง วันนี้ดูเหมือนว่าทิศทางในชีวิตจะค่อนข้างแน่นอนแล้ว เหลือแค่ว่าจะเริ่มออกเดินทางเมื่อไหร่ เท่านั้นเอง

เชื่อไหมว่าทุกอย่างมันเริ่มต้นด้วยความบังเอิญ หรือว่าจริงๆมันไม่บังเอิญก็ไม่อาจจะทราบได้เหมือนกัน ย้อนหลังไปเมื่อปี 2009 หรือประมาณ 3 ปีครึ่ง นับจากเวลานี้

เริ่มตั้งแต่ กลางปี 2009 กับสวนลุงนิล (12-14 มิถุนายน 2009)

สวนลุงนิล
สวนลุงนิล

เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางไปกับทีวีบูรพา ที่สวนลุงนิล เพื่อพบกับลุงนิล เป็นเกษตรพอเพียง โดยใช้แนวคิดไร่นาสวนผสม เป็นปราชญ์ชาวบ้านท่านหนึ่งที่มีความรู้ในการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างเกื้อกูล โดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงจากในหลวง จริงๆแล้วในครั้งนี้คนที่ต้องการเดินทางไปเรียนรู้ และเข้าไปขอร่วมเดินทางกับทีวีบูรพาก็คือคุณแม่ของผม แต่พอมาใกล้่ถึงวันเดินทางก็พบว่าคุณแม่ติดงานด่วนๆ ไปไม่ได้ เลยส่งผมไปแทน??

ผมก็ไปแบบงงๆ เพราะว่าช่วงนั้นก็ว่างอยู่แล้วและไม่ได้รับงานไว้ จึงไปแบบไม่รู้อะไรเลย เขาให้ไปก็ไป ไม่รู้จักทีวีบูรพา ไม่รู้จักสวนลุงนิล ไม่รู้จักลุงนิล อะไรก็ไม่รู้ทั้งนั้น แต่เมื่อไปก็ได้รับความรู้และประสบการณ์มากมายจนทำให้ชีวิตหลังจากกลับมาค่อยๆ เปลี่ยนมุมมองไปทีละนิดละน้อย

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ :  สวนลุงนิล

หว่านข้าวสู่ผืนนา หว่านศรัทธาสู่หัวใจ ( 15-17 มิถุนายน 2012 )

หว่านข้าว

ครั้งที่สองกับทีวีบูรพาอีกครั้ง ซึ่งการไปเครือข่ายชาวนาคุณธรรม จังหวัดยโสธร นี้ถือเป็นครั้งที่สองของกิจกรรมชุดนี้ ในครั้งแรกผมเองไม่ได้ไปแต่คุณแม่ของผมไป พอมาครั้งที่สองก็เลยแนะนำให้ผมได้มารู้จัก และเรียนรู้กับกลุ่มชาวนาคุณธรรม ที่นำพาโดยทีวีบูรพา ครั้งนี้ก็ได้เรียนรู้โลกในอีกมุมหนึ่ง โลกที่หมุนช้ากว่าที่กรุงเทพฯมาก ที่ที่วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าแต่ก็มีคุณค่าในตัวของมัน ผมได้รู้จักวิถีของชาวนาคุณธรรมจากการเดินทางมาในครั้งนี้ และพบว่านี่แหละคือจุดเริ่มต้นแห่งความสมบูรณ์ในชีวิตของผมอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ : หว่านข้าวสู่ผืนนา หว่านศรัทธาสู่หัวใจ

ลงแขกเกี่ยวข้าว รับลมหนาวปลายนา ( 9-11 พฤษจิกายน 2012 )

ลงแขกเกี่ยวข้าว
ลงแขกเกี่ยวข้าว

ลงแขกเกี่ยวข้าวในครั้งนี้่ เป็นการเดินทางไปที่ยโสธร เพื่อพบกับเครือข่ายชาวนาคุณธรรมกันอีกครั้ง ในครั้งนี้เป็นการไปเข้าถึงชาวนาแบบบุกบ้าน ไปนอนบ้านชาวนากันเลย ไปดูชีวิตประจำวัน ดูลูกหลาน ชุมชน สภาพแวดล้อมต่างๆ รวมถึงประเพณีการลงแขกเกี่ยวข้าว ซึ่งมีนัยยะที่เป็นกุศลมากมายซ่อนเร้นอยู่อย่างไม่น่าเชื่อ หากเพียงแค่อ่านฟัง แต่ยังไม่ได้ลองก็คงจะไม่เห็นผล ผมเน้นดำเนินชีวิตตามสุภาษิตที่ว่า ร้อยรู้ไม่สู้หนึ่งทำ จึงได้เดินทางไปอีกครั้ง ครั้งนี้นับเป็นการเดินทางที่ได้เรียนรู้อย่างคุ้มค่าอีกครั้ง

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ : ลงแขกเกี่ยวข้าว รับลมหนาวปลายนา

ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม ( 25 – 31 มกราคม 2013)

ค่ายหมอเขียว
ค่ายหมอเขียว

เป็นอีกครั้งที่ได้เดินทาง ในครั้งนี้ก็จะไปเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ กับแพทย์วิถีธรรม หรือการใช้หลักธรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาและดูแลสุขภาพให้อยู่ในจุดสมดุลคือไม่ดีและไม่ร้าย ให้อยู่กลางๆ ดูๆแล้วอาจจะง่ายแต่จริงๆ นั้นยาก เพราะว่า ยา 9 เม็ด ของหมอเขียวนั้น มีสองเม็ดสุดท้ายคือความพอเพียงและธรรมะ ซึ่งยากง่ายต่างกันไปตามแต่ละคน ซึ่งเป็นตัวที่จะทำให้สุขภาพ ชีวิต และจิตใจ ร้ายดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ หากว่าเราควบคุมได้

เนื้อหาในค่ายส่วนใหญ่ก็จะเป็นการดูแลสุขภาพโดยหลักยา 9 เม็ด พร้อมกับให้ทำกิจกรรมต่างๆ ภายในค่ายให้เกิดการเรียนรู้การดูแลรักษาสุขภาพโดยมีเหล่าจิตอาสาเป็นทั้งพี่เลี้ยงและที่ปรึกษาที่คอยให้ความรู้

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม ( ค่ายหมอเขียว )

คนเมือง อยากเข้าป่า

มาจนถึงตอนนี้ก็สรุปกันเลยแล้วกัน การปลูกต้นไม้หากินก็รู้บ้างแล้ว การแปรรูปก็รู้บ้างแล้ว การทำนาก็รู้บ้างแล้ว การแพทย์วิถีธรรมก็รู้บ้างแล้ว ธรรมะก็รู้บ้างแล้ว โลกก็เข้าใจบ้างแล้ว

ทำให้เกิดความสงสัยว่ามีชีวิตไปทำไม แล้วทำไมต้องมาทำงานงกๆ ในเมื่อสุดท้ายก็ต้องเอาเงินไปซื้อข้าวกินอยู่ดี ปลูกข้าวกินเองเลยไม่ง่ายกว่าหรอ ทำไมชีวิตต้องทำอะไรซับซ้อนด้วย ชื่อเสียงเงินทองก็ไม่ได้อยากได้อะไรมากมายแล้ว ก็แค่พอดำรงชีพได้แค่นั้นเอง สุดท้ายก็เลยมีความคิดแบบคนเมือง อยากเข้าป่า (ไปอยู่บ้านนอก นั่นแหละ)

แน่นอนว่ามันยาก ในการปรับตัวในเบื้องต้นหลายคนคงสงสัยว่าอยู่เมืองดีอยู่แล้วไปทำไม ที่เขาถามเพราะเขายังไม่เห็นทุกข์ในเมืองใหญ่ และยังไม่เห็นความสุขที่บ้านนอก รวมถึงยังไม่เข้าใจความสงบในใจ ไม่แปลกหากอ่านแล้วไม่เข้าใจ เพราะคนที่จะเข้าใจได้ต้องมีประสบการณ์ในการเรียนรู้ผสมผสานทั้งสองด้าน และอื่นๆที่ขอละไว้ในฐานที่อาจจะเข้าใจ

เหตุที่พิมพ์บทความนี้ขึ้นมาอย่างแรกคือต้องการบันทึก สองคือหากเรื่องเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้ใครสักคนได้เจอสิ่งที่ชีวิตตัวเองต้องการอย่างแท้จริงก็คงจะดี แน่นอนว่าชีวิตของเรานั้นค้นหาสิ่งที่ต่างกันตามเหตุและปัจจัย ตามแต่กรรมและกิเลสของแต่ละคน

สวัสดี

ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)

เมื่อช่วงต้นปี 2556 ผมได้เดินทางไปค่ายสุขภาพ ของแพทย์วิถีธรรม หรือ ที่รู้จักกันในชื่อของ ค่ายหมอเขียวมาครับ ซึ่งในตอนที่แล้วผมได้เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงที่ได้รับจากการไปค่ายหมอเขียวมาในบทความ “ชีวิตหลังจากกลับมาจากค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)” ลองอ่านผลกันก่อนก็ได้ สำหรับตอนนี้คือเรื่องเล่าของชีวิตระหว่างอยู่ในค่ายหมอเขียว

ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม
ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม

ออกเดินทาง

ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)
ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)

ผมออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ราวๆ ตีสี่ ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้มีคุณแม่ของเพื่อน ซึ่งเคยเข้าค่ายมาเป็นผู้แนะนำว่าให้ออกเช้า เพราะนอกจากจะหลีกเลี่ยงรถติดแล้วยังจะสามารถหลีกเลี่ยงคนติดได้ด้วย เราเดินทางจากลาดพร้าว ข้ามสะพานพระราม 8 ขึ้นคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี ไปนครปฐม และต่อยาวไปยังกาญจนบุรี ผ่านตัวเมือง ถึงแยกแก่งเสี้ยน ไปทางวัดประดู่ จนกระทั่งถึงโรงเรียนผู้นำ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการเดินทาง นั่นคือค่ายสุขภาพ

บ้านพักโรงเรียนผู้นำ
บ้านพักโรงเรียนผู้นำ

เหตุการณ์ต่อจากนั้นคือการลงทะเบียนเข้าบ้านพัก ฟังคำแนะนำต่างๆ ซึ่งวันแรกก็จะเว้นไว้เพราะกิจกรรมไม่ครบเอาเป็นว่าจะเล่ากิจกรรมในแต่ละวันเลยก็แล้วกัน

เช้าของวันรุ่งขึ้น

เพลงหมอเขียว (ตรึงใจมาก) และเสียงธรรมตามสายจะปลุกเราตั้งแต่ช่วง ตีสามปลายๆ ให้ลุกขึ้นมาทำกิจกรรมส่วนตัว อาบน้ำ ล้างหน้า ธุระต่างๆ แล้วแต่เวลาจะอำนวย เมื่อผ่านไปราว 40 นาที เราก็จะเดินไปยังหอประชุมเพื่อสวดมนต์  ฝึกสมถะ กดจุด โยคะ นั่งสมาธิ หรือเดินเร็ว เป็นกิจกรรมยามเช้าซึ่งหลังจากนั้นก็จะเรียกผู้เข้าร่วมค่ายไปเข้าฐานกิจกรรมตามแต่ละกลุ่มตามที่ได้จัดไว้ กิจกรรมในแต่ละวันก็จะไม่เหมือนกัน เช่นทำน้ำคลอโรฟิลล์ ทำอาหาร แช่มือแช่เท้าในน้ำสมุนไพร ฯลฯ ซึ่งก็จะต่างกันไปตามช่วงเวลาของวัน

สวดมนต์นั่งสมาธิยามเช้า
สวดมนต์นั่งสมาธิยามเช้า

ซึ่งบางกิจกรรมอาจจะทำในช่วงบ่าย สำหรับกิจกรรมเช้า ก็จะจบลงด้วยการไปทานอาหารเช้าแบบจืดๆ เป็นอาหารที่ย่อยง่ายสบายอวัยวะ ที่ดีต่อสุขภาพแน่นอน เพราะไม่ต้องทำงานหนัก หลังจากทานเข้าเช้าก็สามารถกลับไปอาบน้ำ หรือทำธุระได้

ช่วงสายของวัน

หมอเขียวสอนธรรม
หมอเขียวสอนธรรม

ตั้งแต่ช่วงสายถึงเที่ยงก็จะมีการฟังบรรยาย เกี่ยวกับการรักษาสุขภาพกาย สุขภาพใจ ซึ่งเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัยที่ต้องการรักษาสุขภาพกาย และใจตามภูมิธรรมที่ตนมี ก็สามารถศึกษาเพิ่มได้ ในช่วงเที่ยงนี้การกินจะพิเศษกว่ามื้ออื่นๆ นั่นคือให้กินน้ำคลอโรฟิลล์ ผลไม้ ส้มตำผลไม้หรือผัก ตามลำดับก่อนที่จะไปทานข้าวตามมื้อปกติ เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยโดยใช้ลำดับอาหารย่อยง่ายลงไปย่อยให้่ได้พลังงานก่อน แล้วค่อยเติมด้วยอาหารย่อยยากกว่า แต่ก็ยังง่ายอยู่ดีเมื่อเทียบกับอาหารปัจจุบันในชีวิตคนเมืองอย่างเรา

อาหารเช้า สบายท้่อง
อาหารเช้า สบายท้่อง

ในระหว่างที่ให้พักทานข้าว ก็จะมีร้านกองบุญเปิดขึ้น เป็นร้านขายผลิตภัณฑ์ ของกลุ่มหมอเขียว ใครสนใจหนังสือ อุปกรณ์ อะไรก็สามารถซื้อเพิ่มเติมได้ ส่วนใครที่ทานข้าวเสร็จก็จะมานั่งรอฟังความรู้กันต่อในช่วงบ่าย

ช่วงบ่าย

เป็นช่วงที่น่านอนมากๆ ผมมักจะไปนั่งด้านนอกห้่องประชุม เพราะว่าสามารถยืดแข้งยืดขาได้ตามสบาย และยังได้ยินเสียงบรรยายจากหมอเขียวและทีมจิตอาสาได้อย่างชัดเจนอีกด้วย สำหรับในห้่องประชุมก็จะมีเก้าอี้ให้นั่ง

ที่ประจำ ข้างห้องประชุม
ที่ประจำ ข้างห้องประชุม

และพื้นที่โล่งสำหรับนอนนั่งปูเสื่อฟังก็ได้ หรือผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวลำบากก็สามารถนอนฟังอยู่ที่บ้านพักก็ได้ มีลำโพงติดไว้ได้ยินชัดเจนเหมือนกัน ในช่วงบ่ายนี่ก็จะยาวไปถึงเย็น จนถึงมื้อเย็นเลยทีเดียว

ที่นี่มื้อเย็นจะเป็นมื้อสุดท้ายของวัน ไม่มีมื้อค่ำ ดังนั้นคนที่เคยกินมื้อดึกๆอย่างผมก็ต้องกินตุนไว้เยอะหน่อย ที่ค่ายสุขภาพนั้นมีก กฏ กติกา มากมายที่เกื้อหนุนให้เราัได้รักษาสุขภาพกายและใจ ดังนั้นถ้าใครอยากสุขภาพดีก็ต้องอดทนและลองทำตามดู เพราะว่าใช้เวลาอดทนเพียงแค่ 7 วันเท่านั้นเอง

ช่วงเย็น – ค่ำ

เราก็จะทานข้าว มื้่อสุดท้ายของวันตอนเย็นประมาณ 6 โมงได้ จำไม่ได้แน่ชัดเหมือนกัน แต่กินข้าวกันแล้วก็กลับมานั่งฟังบรรยายต่ออีกเหมือนเดิม สำหรับค่ายครั้งนี้มีแต่ความรู้จนกระทั่ง 2-3 ทุ่ม ก็จะเลิกและให้ใช้เวลาที่เหลือไปกับการพักผ่อน

หมอเขียว บรรยาย
หมอเขียว บรรยาย

ชีวิตในแต่ละวันก็จะมีประมาณนี้ ซึ่งโดยลักษณะก็จะเป็นการให้ความรู้และการให้ทดลองทำในลักษณะการให้สุขภาพกายแข็งแรงเป็นหลัก แต่จริงๆจากมุมผมก็จะเห็นว่ามีการบรรยายธรรมะเยอะเหมือนกัน เพราะการทำใจให้โล่งโปร่งสบาย นั้นถือเป็นเหตุหนึ่งของสุขภาพที่ดีด้วย ดังนั้นสุขภาพกายและใจก็มักจะไปด้วยกัน ซึ่งถ้าอยากให้สุขภาพดีก็ต้องรักษาพัฒนากายและใจให้ดียิ่งๆขึ้นด้วย

กิจกรรมพิเศษในโรงเรียนผู้นำ

ภูฝาชี ขี้อ้น
ภูฝาชี ขี้อ้น

สำหรับคนแข็งแรงไม่ป่วย ก็สามารถเดินขึ้น ภูฝาชี ได้ เป็นเขาเตี้่ยๆ ที่สามารถเดินไปได้ในระยะเดินขึ้นเขา 500 เมตร ทางเดินไม่ได้ยากลำบากและชันมากมายนัก เมื่อถึงยอดก็ยอมรับเลยว่าคุ้มค่ากับความพยายาม อันน้อยนิด คือลงทุนไม่มากได้เห็นวิวสวยๆ ทุ่งนา ภูเขา ชุมชน รอบทิศนี้ คุ้มค่ามาก แถมยังได้ทดสอบร่างกายตัวเองที่ผ่านค่ายสุขภาพมาอีกด้วย ดังนั้นกิจกรรมนี้ก็เลยเป็นกิจกรรมพิเศษ สำหรับคนแรงเหลือและว่างงานได้ลองกัน ถ้าสนใจก็ติดตามชมอัลบั้มรูปภาพของผมได้

สรุป

หมอเขียวกับแฟนคลับ
หมอเขียวกับแฟนคลับ

ทั้งหมดทุกอย่างใ้ช้เวลาทั้งหมด ผมเองถือว่าเป็นคนอยู่ไม่เต็มค่าย เพราะว่าต้องกลับมาธุระที่กรุงเทพฯ วันหนึ่งก็เลยยังไม่ได้ลิ้มรสแบบเต็มๆกับเขาสักเท่าไรนัก แต่โดยรวมถือว่าพอใจในความรู้และแนวทางของค่ายสุขภาพกับแพทย์วิถีธรรมมาก หลักยา 9 เม็ด ของหมอเขียวนั้นสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไม่ยากนัก สมควรอย่างยิ่งที่จะได้มาลองเรียนรู้ เพราะเพียงแค่อ่านก็คงจะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ดังภาษิตที่ว่า ร้อยรู้ไม่สู้หนึ่งทำ

ผมเองเป็นคนที่ไม่ได้สนใจในการดูแลสุขภาพนัก แต่หลังกลับจากค่าย ร่างกายกลับรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน จากที่เคยกินมื้อดึกก็จบลงด้วยมื้อเย็น ซึ่งก็ไปหนักในมื้อเช้าแทน ความรู้สึกในร่างกายก็ชัดขึ้น อาจเพราะเราได้รับความรู้ให้รู้จักสังเกตุมากขึ้นตามไปด้วยก็ได้

การเข้าค่ายสุขภาพนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วย คนที่ไม่ป่วยอย่างผมก็สามารถมาเข้าค่ายศึกษาหาความรู้เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและครอบครัวได้ ซึ่งเป็นการเน้นการป้องกันก่อนจะป่วย คือดูแลตัวเองก่อนป่วยดีกว่า ที่จะรอป่วยแล้วค่อยมาดูแลตัวเอง ผมเองเป็นพวกใจร้อน รอป่วยไม่ได้หรอก ต้องดูแลตัวเองก่อนป่วยสิถึงจะทันใจ เห็นไหมว่า เพียงแค่ 7 วัน คนไม่เคยสนใจสุขภาพอย่างผม กลับเปลี่ยนไปซึ่งดูเหมือนจะเปลี่ยนอย่างถาวรนะ

สำหรับค่ายหมอเขียว ถ้าใครสนใจแล้วยังอยากหาข้อมูลก็ ค้นหาในกูเกิ้ลเลย คีเวิร์ด “หมอเขียว” “ใจเพชร กล้าจน” เจอแน่นอน ลองศึกษากันดูนะครับ

สวัสดี

บอกเล่าข่าวหนีน้ำท่วม

ตอนนี้เนื่องจากเกิดอุทกภัยโดยทั่วไปในประเทศโดยเฉพาะภาคกลางและกำลังหนักหน่วงอยู่ที่กรุงเทพ ทำให้ผมได้หนีน้ำออกจากบ้านมาพักใหญ่ๆแล้วครับ

ที่หนีออกมาก่อนน้ำมานั้นเพราะได้ประสบการณ์จากคนรอบข้างและครอบครัวที่เผชิญกับน้ำท่วมโดยตรงครับ บ้างก็อยู่ดอนเมือง บ้างก็ลำลูกกา หนีน้ำกันมาตั้งแต่ระยะแค่ข้อเท้า จนกระทั่งน้ำมิดหัวก็มีกันมาให้เห็น ที่บอกนี่ญาติสนิทเลยนะครับ นี่แหละที่ทำให้ผมและครอบครัวออกมากันก่อนที่น้ำจะมา ไม่งั้นคงจะโกลาหลและลำบากอย่างแน่นอน

สุดท้ายก็ออกมาท่องเที่ยวไปในตัวระหกระเหินไปในที่ต่างๆหลายที่ ผมเองแยกกับครอบครัวไปเก็บเรื่องราวและถ่ายรูปตามที่ต่างๆมากมาย จนตอนนี้ก็กลับมารวมกับครอบครัวอีกครั้ง น้ำก็ยังมาไม่ถึงบ้านสักที

สำหรับตอนนี้คงจะไม่สะดวกนะที่ต้องพิมพ์เรื่องราวมากมายที่อยู่ในหัวออกมาเพราะอยู่ในระหว่างหนีน้ำท่องเที่ยว (อีกแล้ว) เอาเป็นว่าหลังน้ำลดคงมีเรื่องให้พิมพ์กันเยอะแน่นอน ขอให้ทุกคนดูแลตนเองและครอบครัวของท่านด้วยนะครับ และถ้าอยากดูแลคนอื่นด้วยตอนนี้ก็สามารถเป็นจิตอาสาไปช่วยตามที่ถนัดได้เลยครับ

ขอให้โชคดี

สวัสดี