พายุโพดุล-คาจิกิ ท่วมต่อเนื่อง

ดูข่าวพายุช่วงนี้ แม้ดูเผิน ๆ ว่า พายุเหล่านี้จะไม่แรงมาก แต่ผลกระทบเยอะมาก น้ำท่วมกันหลายพื้นที่ ที่สวนผมก็ได้ผลกระทบเหมือนกัน คือถนนในพื้นที่เป็นโคลน ทำให้เดินทางเข้าออกโดยรถไม่ได้ แต่ก็ยังเดินออกไปทำธุระใกล้ ๆ ได้

เรียกว่าได้รับผลกระทบน้อยมาก เมื่อเทียบกับที่ชาวบ้านเขาโดน ผมเองไม่เคยเจอประสบการณ์น้ำท่วมบ้าน แต่ก็มีญาติที่น้ำท่วมบ้านและเคยบุกเข้าไปช่วยกันอพยพคนมาแล้ว เรียกว่าทุลักทุเลมาก และใช้พลังงานมาก

การช่วยเหลือกันในยามน้ำท่วมนี่เป็นอะไรที่ยากลำบากมาก เพราะเข้าถึงพื้นที่ได้ยาก และอันตรายมาก เพราะเราไม่เห็นว่ามีอะไรใต้น้ำ แถมยังอันตรายเรื่องกระแสไฟฟ้ารั่วอีก ทีเดียวถึงตายได้เลย ก็รู้สึกเห็นใจทั้งผู้ประสบภัยและเจ้าหน้าที่ รวมทั้งจิตอาสาที่ทำงานในพื้นที่

ถ้ามีพายุเข้าอีกลูก ก็เรียกว่าต่อเนื่องกันถึง 3 ลูก ผมว่าบ้านเมืองนี่อัมพาตเลย แม้จะยังไม่มีผลกระทบถึงกรุงเทพมากนัก แต่ถ้าท่วมตรงไหน มันก็ทุกข์ตรงนั้นแหละ ทุกข์นี่มันน่ากลัวจริง ๆ คงต้องเร่งศีกษา และพาตนเองให้พ้นทุกข์ให้ไวที่สุด

สัตบุรุษของฉัน

ก็มีคำถามเข้ามาว่าสัตบุรุษหรือผู้รู้ธรรมในความเห็นของผมคือใคร ก็จะเล่ากันถึงที่มาที่ไปด้วยนะครับ เผื่อจะได้เห็นภาพขึ้น

ช่วงปี 56 ผมค่อนข้างอิ่มตัวกับธรรมะโลก ๆ ที่ส่วนมากพากันทำแต่สมถะ กำหนดรู้ ตั้งสติ อะไรทำนองนั้น คือผมก็ทำได้อย่างเขานั่นแหละ แต่จะให้บอกว่ามันเต็มรอบของมันไหม ผมมองว่ามันไม่ใช่ พุทธมันไม่ใช่แบบนี้ มันต้องดีกว่านี้ ไอ้การทำจิตแบบนี้มันกินพลังมากไป เสียเวลามากไป อันนี้ลัทธิอื่น ๆ ทั่วไปเขาก็ทำได้ ในจิตวิญญาณของผมมันมีคำถามมากมายกับการปฏิบัติทั่วไปในปัจจุบัน ทำได้แล้วไงต่อ? ทำได้แล้วต้องทำยังไงต่อ? มีแต่คำถาม แต่ไม่มีคำตอบที่ดีพอจะเห็นผลที่มากขึ้น

พยายามหาแล้ว แต่ก็ไม่มีคำตอบ ไม่มีคำตอบในโลกมากกว่านี้แล้ว เหมือนติดเพดานบิน มันก็คาไว้แบบนั้น แม้คนที่เขาแสดงตัวว่าเป็นผู้รู้ เขาก็ไม่สามารถอธิบายได้มากกว่านั้น คือก็มีคนอธิบาย แต่มันตื้น มันพื้น ๆ ผมต้องการรายละเอียดของการปฏิบัติมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่ตรรกะคิดเอาว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้

…จนไปเข้าค่ายสุขภาพแพทย์วิถีธรรม ได้ฟังอาจารย์หมอเขียวบรรยาย ซึ่งก็ประหลาดใจมาก จนคิดว่า นี่มันค่ายธรรมะนี่หว่า! แต่เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องนำเฉย ๆ แกนคือธรรมะ และธรรมะสายปัญญาด้วย จากที่ฟังในค่าย จิ๊กซอว์ต่าง ๆ ที่มันหาไม่เจอ มันก็ถูกแปะลงจนเต็ม เห็นเป็นภาพรวมของการปฏิบัติว่า แท้จริงแล้วพุทธปฏิบัติอย่างไร สมถะคืออะไร วิปัสสนาคืออะไร ปฏิบัติอย่างไร ได้ผลต่างกันอย่างไร

พอเริ่มสนใจก็เริ่มนำมาฟังทบทวน รวมถึงเข้าไปซักถามปัญหาต่าง ๆ ก็ทำให้มั่นใจเลยล่ะว่า คนนี้แหละ ที่จะสอนเราให้ปฏิบัติจนพ้นทุกข์ได้ สรุป อาจารย์หมอเขียวนี่แหละ ที่ผมเห็นว่าเป็นสัตบุรุษคนแรก

พอฟังอาจารย์หมอเขียวไป เวลาท่านพูดในค่าย ท่านก็แนะนำให้รู้จักสมณะโพธิรักษ์ เราก็ฟังตาม ก็พบว่าท่านนี้แหละ เฉียบขาด รวดเร็วรุนแรงเหมือนสายฟ้า อีกทั้งยังแม่นยำยิ่งกว่าจับวาง ลองเข้าเรื่องกิเลส เรื่องธรรมะ รู้เลยว่าแม่นยำ จากการแจกแจงธรรมของท่าน เพราะเราเอามาเทียบกับสภาวะที่เราทำได้มันก็ใช่ แล้วมันก็ละเอียดกว่า เป็นลำดับกว่า ลึกซึ้งกว่า

เรียกว่าตรงจริตผมเป็นอย่างยิ่ง ผมไม่ค่อยถูกกับการแสดงธรรมช้า ๆ เนิบ ๆ เป็นรูปแบบสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเร็ว แรง พลิกไปพลิกมาแบบรู้ทันโลกีย์นี่มันสนุก น่าสนใจ กิเลสมันไม่ได้ช้าขนาดนั้น สมัยนี้กิเลสมันแรง จัดจ้าน หน้าด้าน อดทน ถ้าหาธรรมะที่แรงพอกันไม่ได้ เอามันไม่ลงหรอก

ทั้งสองท่านนี้ ผมศึกษามายาวนานพอสมควร อย่างน้อยก็ 5 ปี ก็ใช่ว่าจะเชื่อกันง่าย ๆ เพราะผมก็เปิดพระไตรปิฎกศึกษาอยู่เหมือนกัน หลักฐานมันก็ฟ้องว่าท่านกล่าวตรง และทั้งสองท่านนี้ยิ่งศึกษาตามยิ่งศรัทธา เพราะท่านจะทำให้ดู เราก็ดู พอเราดูเราก็รู้ว่าอันไหนเรายังทำไม่ได้ แต่ท่านทำได้ เราก็พยายามทำตามท่านเท่านั้นเอง แน่นอนว่ามันยาก แต่วิธีทำก็รู้กระบวนการหมดแล้ว เหลือแต่กำลังและความเพียรล่ะทีนี้

ก็เป็นสองท่านที่อยู่นอกพุทธกระแสหลัก แต่อยู่ในหลักกระแสพุทธ และพุทธเข้ม ๆ เลยด้วย อันนี้เป็นความเห็นความเข้าใจของผม ที่เกิดจากการได้พบ ได้ฟัง ได้ปฏิบัติตาม และได้ผลที่น่าพอใจไปเป็นลำดับ ๆ ไป ใครสนใจก็ลองศึกษากันดู ไม่สนใจก็ถือว่าอ่านผ่าน ๆ ไปครับ

รักแล้วไม่ทุกข์ เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น ทำได้จริงหรือ?

รักโดยไม่ทุกข์ เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น” คำความอะไรประมาณนี้ เป็นวาทกรรมที่เขาฮิตกันมานาน เอาเป็นว่าก็เป็นข้ออ้างหนึ่งของกิเลสในการมีคู่นั่นแหละ

จะแปลความข้างต้นให้ไปถูกก็ได้ ให้ผิดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่พอเอาไปใช้จริงมันจะไปทางผิดเสียมากกว่า ดังนั้นจะแปลหรือตีความไปทางไหน สุดท้ายก็อยู่ที่ทุกข์หรือพ้นทุกข์เท่านั้นเอง

ส่วนที่เขาพูด ๆ กันนี่ทำได้จริงไหม ผมมีความเห็นว่า 99.99…% ทำไม่ได้หรอก พอเข้าไปรัก ไปผูกพัน ส่วนมากก็จะหลง สานสัมพันธ์ไปเลยเถิด เหมือนกับว่าหลงไปในเขาวงกตแห่งความสุข สุดท้ายก็ออกไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าเข้ามายังไง ตั้งแต่ตอนไหน จะออกก็กลัวทุกข์ กลัวเสียใจ

เราสามารถพิสูจน์ ความเชื่อดังกล่าว ได้โดยการ เลิก… ก็เลิกทั้ง ๆ ที่รักอยู่นั่นแหละ เชื่อไหมทุกข์เกิดทันที ไม่เกิดฝั่งเรา ก็เกิดฝั่งเขาหรือไม่ก็เกิดทั้งสองฝั่ง

ลองเลิกยึดดู คบกันอยู่ บอกจะเป็นโสดตลอดชีวิต คิดว่าหลังจากที่พูดออกไป ชีวิตจะอยู่เป็นสุขไหม? แค่จินตนาการไปก็ดูเหมือนจะมีแต่ภาพหายนะทั้งนั้น

คนรักกันคบกันอยู่ เขาจะเลิกยึดกันเอาดื้อ ๆ นี่ไม่ง่ายนะ คนนึงจะไปบวชตลอดชีวิต คิดว่าอีกฝั่งจะยินดีกันง่าย ๆ หรือ ถ้าเขาไม่ยอม เขาก็ตามราวีคุณไปเรื่อย ๆ จองเวรไปทุกชาติ แบบนี้เรียกความผาสุกหรืออย่างไร

…ส่วนรักแล้วไม่ทุกข์เพราะไม่ยึดมั่นที่ถูกคือ ปราถนาดีต่อเขา ช่วยเหลือเขาตามสมควร แต่ก็ไม่นำเขาเข้ามาเป็นตัวเราของเรา เป็นความหวัง ความฝัน ความสุข ความมั่นคง หรือเป็นอนาคตของเรา …ส่วนที่หยาบ ๆ อย่างเอาเขามาเคียงคู่ อันนั้นไกลสุดไกลความผาสุกเลย สภาพเละเทะแบบนั้นถ้าจะรักอย่างพ้นทุกข์ก็ไม่ควรเอามา

ปฏิบัติธรรม ยุคไหนก็เหมือนกัน

เรื่องปฏิบัติธรรมนี่ก็เป็นเรื่องที่เหมือนจะใกล้ตัวแต่ก็มักจะไกลตัว มีชาวพุทธจำนวนไม่น้อยที่ยังหลงเข้าใจไปว่าจะไปรอปฏิบัติธรรมกับพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป หรือแม้กระทั่งหลงไปว่าการปฏิบัติธรรมนั้น เป็นกิจกรรมคนแก่ ทั้งๆที่จริงแล้ว การปฏิบัติธรรมหรือการขัดเกลากิเลสนั้น ทำให้เราสามารถพ้นทุกข์จากกิเลสนั้นได้ ลดกิเลสได้ก่อนก็พ้นทุกข์ก่อน ก็เกิดสุขก่อน ได้สุขตั้งแต่วันนี้ มันไม่ดีหรืออย่างไร…

อ่านต่อได้ที่บทความ :  ปฏิบัติธรรม ยุคไหนก็เหมือนกัน

ปฏิบัติธรรม ยุคไหนก็เหมือนกัน

อ่านบทความอื่นๆ แนะนำ ติชม ทักทายกันได้ที่…

Facebook : ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

Blog : Minimal life : Dinh Airawanwat