ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)

เมื่อช่วงต้นปี 2556 ผมได้เดินทางไปค่ายสุขภาพ ของแพทย์วิถีธรรม หรือ ที่รู้จักกันในชื่อของ ค่ายหมอเขียวมาครับ ซึ่งในตอนที่แล้วผมได้เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงที่ได้รับจากการไปค่ายหมอเขียวมาในบทความ “ชีวิตหลังจากกลับมาจากค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)” ลองอ่านผลกันก่อนก็ได้ สำหรับตอนนี้คือเรื่องเล่าของชีวิตระหว่างอยู่ในค่ายหมอเขียว

ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม
ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม

ออกเดินทาง

ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)
ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)

ผมออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ราวๆ ตีสี่ ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้มีคุณแม่ของเพื่อน ซึ่งเคยเข้าค่ายมาเป็นผู้แนะนำว่าให้ออกเช้า เพราะนอกจากจะหลีกเลี่ยงรถติดแล้วยังจะสามารถหลีกเลี่ยงคนติดได้ด้วย เราเดินทางจากลาดพร้าว ข้ามสะพานพระราม 8 ขึ้นคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี ไปนครปฐม และต่อยาวไปยังกาญจนบุรี ผ่านตัวเมือง ถึงแยกแก่งเสี้ยน ไปทางวัดประดู่ จนกระทั่งถึงโรงเรียนผู้นำ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการเดินทาง นั่นคือค่ายสุขภาพ

บ้านพักโรงเรียนผู้นำ
บ้านพักโรงเรียนผู้นำ

เหตุการณ์ต่อจากนั้นคือการลงทะเบียนเข้าบ้านพัก ฟังคำแนะนำต่างๆ ซึ่งวันแรกก็จะเว้นไว้เพราะกิจกรรมไม่ครบเอาเป็นว่าจะเล่ากิจกรรมในแต่ละวันเลยก็แล้วกัน

เช้าของวันรุ่งขึ้น

เพลงหมอเขียว (ตรึงใจมาก) และเสียงธรรมตามสายจะปลุกเราตั้งแต่ช่วง ตีสามปลายๆ ให้ลุกขึ้นมาทำกิจกรรมส่วนตัว อาบน้ำ ล้างหน้า ธุระต่างๆ แล้วแต่เวลาจะอำนวย เมื่อผ่านไปราว 40 นาที เราก็จะเดินไปยังหอประชุมเพื่อสวดมนต์  ฝึกสมถะ กดจุด โยคะ นั่งสมาธิ หรือเดินเร็ว เป็นกิจกรรมยามเช้าซึ่งหลังจากนั้นก็จะเรียกผู้เข้าร่วมค่ายไปเข้าฐานกิจกรรมตามแต่ละกลุ่มตามที่ได้จัดไว้ กิจกรรมในแต่ละวันก็จะไม่เหมือนกัน เช่นทำน้ำคลอโรฟิลล์ ทำอาหาร แช่มือแช่เท้าในน้ำสมุนไพร ฯลฯ ซึ่งก็จะต่างกันไปตามช่วงเวลาของวัน

สวดมนต์นั่งสมาธิยามเช้า
สวดมนต์นั่งสมาธิยามเช้า

ซึ่งบางกิจกรรมอาจจะทำในช่วงบ่าย สำหรับกิจกรรมเช้า ก็จะจบลงด้วยการไปทานอาหารเช้าแบบจืดๆ เป็นอาหารที่ย่อยง่ายสบายอวัยวะ ที่ดีต่อสุขภาพแน่นอน เพราะไม่ต้องทำงานหนัก หลังจากทานเข้าเช้าก็สามารถกลับไปอาบน้ำ หรือทำธุระได้

ช่วงสายของวัน

หมอเขียวสอนธรรม
หมอเขียวสอนธรรม

ตั้งแต่ช่วงสายถึงเที่ยงก็จะมีการฟังบรรยาย เกี่ยวกับการรักษาสุขภาพกาย สุขภาพใจ ซึ่งเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัยที่ต้องการรักษาสุขภาพกาย และใจตามภูมิธรรมที่ตนมี ก็สามารถศึกษาเพิ่มได้ ในช่วงเที่ยงนี้การกินจะพิเศษกว่ามื้ออื่นๆ นั่นคือให้กินน้ำคลอโรฟิลล์ ผลไม้ ส้มตำผลไม้หรือผัก ตามลำดับก่อนที่จะไปทานข้าวตามมื้อปกติ เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยโดยใช้ลำดับอาหารย่อยง่ายลงไปย่อยให้่ได้พลังงานก่อน แล้วค่อยเติมด้วยอาหารย่อยยากกว่า แต่ก็ยังง่ายอยู่ดีเมื่อเทียบกับอาหารปัจจุบันในชีวิตคนเมืองอย่างเรา

อาหารเช้า สบายท้่อง
อาหารเช้า สบายท้่อง

ในระหว่างที่ให้พักทานข้าว ก็จะมีร้านกองบุญเปิดขึ้น เป็นร้านขายผลิตภัณฑ์ ของกลุ่มหมอเขียว ใครสนใจหนังสือ อุปกรณ์ อะไรก็สามารถซื้อเพิ่มเติมได้ ส่วนใครที่ทานข้าวเสร็จก็จะมานั่งรอฟังความรู้กันต่อในช่วงบ่าย

ช่วงบ่าย

เป็นช่วงที่น่านอนมากๆ ผมมักจะไปนั่งด้านนอกห้่องประชุม เพราะว่าสามารถยืดแข้งยืดขาได้ตามสบาย และยังได้ยินเสียงบรรยายจากหมอเขียวและทีมจิตอาสาได้อย่างชัดเจนอีกด้วย สำหรับในห้่องประชุมก็จะมีเก้าอี้ให้นั่ง

ที่ประจำ ข้างห้องประชุม
ที่ประจำ ข้างห้องประชุม

และพื้นที่โล่งสำหรับนอนนั่งปูเสื่อฟังก็ได้ หรือผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวลำบากก็สามารถนอนฟังอยู่ที่บ้านพักก็ได้ มีลำโพงติดไว้ได้ยินชัดเจนเหมือนกัน ในช่วงบ่ายนี่ก็จะยาวไปถึงเย็น จนถึงมื้อเย็นเลยทีเดียว

ที่นี่มื้อเย็นจะเป็นมื้อสุดท้ายของวัน ไม่มีมื้อค่ำ ดังนั้นคนที่เคยกินมื้อดึกๆอย่างผมก็ต้องกินตุนไว้เยอะหน่อย ที่ค่ายสุขภาพนั้นมีก กฏ กติกา มากมายที่เกื้อหนุนให้เราัได้รักษาสุขภาพกายและใจ ดังนั้นถ้าใครอยากสุขภาพดีก็ต้องอดทนและลองทำตามดู เพราะว่าใช้เวลาอดทนเพียงแค่ 7 วันเท่านั้นเอง

ช่วงเย็น – ค่ำ

เราก็จะทานข้าว มื้่อสุดท้ายของวันตอนเย็นประมาณ 6 โมงได้ จำไม่ได้แน่ชัดเหมือนกัน แต่กินข้าวกันแล้วก็กลับมานั่งฟังบรรยายต่ออีกเหมือนเดิม สำหรับค่ายครั้งนี้มีแต่ความรู้จนกระทั่ง 2-3 ทุ่ม ก็จะเลิกและให้ใช้เวลาที่เหลือไปกับการพักผ่อน

หมอเขียว บรรยาย
หมอเขียว บรรยาย

ชีวิตในแต่ละวันก็จะมีประมาณนี้ ซึ่งโดยลักษณะก็จะเป็นการให้ความรู้และการให้ทดลองทำในลักษณะการให้สุขภาพกายแข็งแรงเป็นหลัก แต่จริงๆจากมุมผมก็จะเห็นว่ามีการบรรยายธรรมะเยอะเหมือนกัน เพราะการทำใจให้โล่งโปร่งสบาย นั้นถือเป็นเหตุหนึ่งของสุขภาพที่ดีด้วย ดังนั้นสุขภาพกายและใจก็มักจะไปด้วยกัน ซึ่งถ้าอยากให้สุขภาพดีก็ต้องรักษาพัฒนากายและใจให้ดียิ่งๆขึ้นด้วย

กิจกรรมพิเศษในโรงเรียนผู้นำ

ภูฝาชี ขี้อ้น
ภูฝาชี ขี้อ้น

สำหรับคนแข็งแรงไม่ป่วย ก็สามารถเดินขึ้น ภูฝาชี ได้ เป็นเขาเตี้่ยๆ ที่สามารถเดินไปได้ในระยะเดินขึ้นเขา 500 เมตร ทางเดินไม่ได้ยากลำบากและชันมากมายนัก เมื่อถึงยอดก็ยอมรับเลยว่าคุ้มค่ากับความพยายาม อันน้อยนิด คือลงทุนไม่มากได้เห็นวิวสวยๆ ทุ่งนา ภูเขา ชุมชน รอบทิศนี้ คุ้มค่ามาก แถมยังได้ทดสอบร่างกายตัวเองที่ผ่านค่ายสุขภาพมาอีกด้วย ดังนั้นกิจกรรมนี้ก็เลยเป็นกิจกรรมพิเศษ สำหรับคนแรงเหลือและว่างงานได้ลองกัน ถ้าสนใจก็ติดตามชมอัลบั้มรูปภาพของผมได้

สรุป

หมอเขียวกับแฟนคลับ
หมอเขียวกับแฟนคลับ

ทั้งหมดทุกอย่างใ้ช้เวลาทั้งหมด ผมเองถือว่าเป็นคนอยู่ไม่เต็มค่าย เพราะว่าต้องกลับมาธุระที่กรุงเทพฯ วันหนึ่งก็เลยยังไม่ได้ลิ้มรสแบบเต็มๆกับเขาสักเท่าไรนัก แต่โดยรวมถือว่าพอใจในความรู้และแนวทางของค่ายสุขภาพกับแพทย์วิถีธรรมมาก หลักยา 9 เม็ด ของหมอเขียวนั้นสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไม่ยากนัก สมควรอย่างยิ่งที่จะได้มาลองเรียนรู้ เพราะเพียงแค่อ่านก็คงจะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ดังภาษิตที่ว่า ร้อยรู้ไม่สู้หนึ่งทำ

ผมเองเป็นคนที่ไม่ได้สนใจในการดูแลสุขภาพนัก แต่หลังกลับจากค่าย ร่างกายกลับรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน จากที่เคยกินมื้อดึกก็จบลงด้วยมื้อเย็น ซึ่งก็ไปหนักในมื้อเช้าแทน ความรู้สึกในร่างกายก็ชัดขึ้น อาจเพราะเราได้รับความรู้ให้รู้จักสังเกตุมากขึ้นตามไปด้วยก็ได้

การเข้าค่ายสุขภาพนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วย คนที่ไม่ป่วยอย่างผมก็สามารถมาเข้าค่ายศึกษาหาความรู้เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและครอบครัวได้ ซึ่งเป็นการเน้นการป้องกันก่อนจะป่วย คือดูแลตัวเองก่อนป่วยดีกว่า ที่จะรอป่วยแล้วค่อยมาดูแลตัวเอง ผมเองเป็นพวกใจร้อน รอป่วยไม่ได้หรอก ต้องดูแลตัวเองก่อนป่วยสิถึงจะทันใจ เห็นไหมว่า เพียงแค่ 7 วัน คนไม่เคยสนใจสุขภาพอย่างผม กลับเปลี่ยนไปซึ่งดูเหมือนจะเปลี่ยนอย่างถาวรนะ

สำหรับค่ายหมอเขียว ถ้าใครสนใจแล้วยังอยากหาข้อมูลก็ ค้นหาในกูเกิ้ลเลย คีเวิร์ด “หมอเขียว” “ใจเพชร กล้าจน” เจอแน่นอน ลองศึกษากันดูนะครับ

สวัสดี