เทศกาลเจ ศึกมารเทวดา

ใกล้เทศกาลเจ บทความเกี่ยวกับการลดละเลิกเนื้อสัตว์ ก็จะได้รับการแชร์มากเป็นพิเศษ ก็จะมีคนเข้ามาให้ความเห็น ส่วนจะเห็นอย่างไรก็ลองตาม ๆ ศึกษากันดู

สิ่งที่ผมเห็นก็คือ มีคนเสนอ และมีคนค้าน ฝ่ายเสนอก็คือการชวนเลิกกินเนื้อสัตว์นี่แหละ ส่วนฝ่ายค้านก็คือผู้ที่จะไม่เลิก และชักชวนให้ไม่ต้องเลิกกินเนื้อสัตว์ และยินดีในการไม่เลิกกินเนื้อสัตว์

ถ้าจะสรุปจากที่เคยพิมพ์มา ๆ ก็จะให้ความเห็นก่อนเลยว่าการค้านแย้งในประเด็นนี้ไม่ได้ทำให้ลดการเบียดเบียน แถมยังชักชวนให้ยินดีและส่งเสริมการเบียดเบียนต่อไป สรุปคือมันก็ไปทางตรงข้ามกับหลักปฏิบัติของพุทธนั่นแหละ เหตุผลจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ต้องดูทิศ ดูที่ไปของผลของกรรมด้วย ไม่เบียดเบียนก็ไปทางนึงนะ เบียดเบียนก็ไปอีกทางหนึ่งนะ ไปคนละทางกัน มันเป็นเหตุเป็นผลที่ต่างกัน ก็ทำใจยอมรับ ๆ กันหน่อย

ส่วนใครจะไปทิศไหน ภพภูมิไหน อันนี้ก็คงไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะตราบโลกแตกมันก็ต้องมีคนเห็นต่างกันอยู่แล้ว และโดยมากก็จะไปชั่วเป็นธรรมดาเสียด้วย เรื่องนั้นเราอย่าไปใส่ใจนักเลย

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เวลาที่เราได้ “ปะทะ” ,”กระทบ”,”ได้ยินได้ฟัง” ความเห็นที่แตกต่างแล้วเราทำใจในใจอย่างไร เรายอมรับฟังได้ไหม เราพิจารณาได้ไหมว่าแบบไหนมันดีกว่า มันเป็นประโยชน์กับตนเองและผู้อื่นมากกว่า หรือเราจะเอาแต่ของเรา ของที่เราเคยเรียนรู้ ของที่เราเคยยึดมั่นถือมั่น หรือ ความคิดของฉันถูกที่สุด อะไรประมาณนี้

ประโยชน์ของการเสนอกับการค้าน ในเชิงลึกมันก็มีอยู่ในด้านการตรวจจับจิตมาร-เทวดา ในใจตัวเอง ไม่ต้องไปตรวจคนอื่นหรอก เอาตัวเองนี่แหละว่าเป็นมาร เป็นเทวดา หรือเป็นมารในคราบเทวดา

ถ้าเราฟังความเห็นต่าง ฟังข้อมูลต่างแล้วลองเอาไปปฏิบัติดู จนเห็นผลว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่เขาว่ามานั้น มีประโยชน์/ไม่มีประโยชน์ อย่างไร พอเห็นอย่างนั้นจริง หรือระลึกเท่าที่เคยทำมา หรือศึกษาจากกลุ่มที่เขาปฏิบัติ แล้วชัดเจนในผลนั้น จึงตัดสินใจ ปรับเปลี่ยน ปรับปรุง หรือคงสภาพเดิมก็แล้วแต่ประโยชน์ที่พึงเกิดแต่ตนและผู้อื่น

ยกตัวอย่างเช่น อย่างที่ผมปฏิบัติ เลิกกินเนื้อสัตว์แล้วน้ำหนักลด สุขภาพดีขึ้น ประหยัด เรียบง่าย พึ่งตนได้ ยกตัวอย่างเพียงเท่านี้ผมก็มั่นใจว่า “ผล” ที่ได้รับนั้นควรค่าแก่การเลิกแล้ว

หรืออีกตัวอย่าง ที่เขาแนะนำกันมาเช่น กินเป็นธาตุบ้าง กินด้วยจิตว่างบ้าง ผมก็ลองนะ ลองฟังเขา แต่พิจารณาดูแล้วธาตุมันก็มีธาตุดีกับธาตุเลวด้วยนะ จะเอาอะไรเข้าปากมันก็ต้องมีประโยชน์ มันก็ต้องใช้ปัญญาบ้าง พระพุทธเจ้าท่านให้กินของที่ย่อยง่ายและไม่เป็นโทษจึงจะดีต่อชีวิต พืชผักนี่แหละย่อยง่าย โทษก็น้อย ยิ่งปลูกเองยิ่งปลอดภัย ประหยัด เนื้อสัตว์นี่เสี่ยงโรคและยาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แถมชาวพุทธเขาก็ไม่ค่อยอยากคบคนผิดศีลกันสักเท่าไหร่หรอก จะให้คบค้าสมาคมกับคนที่เขาฆ่าสัตว์ขายนี่ผมทำไม่ได้ ไม่อยากยุ่ง ไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนผิดศีลโดยไม่จำเป็น แถมแพงก็แพง เก็บก็ยาก ต้องมีตู้เย็น ผักนี่ไม่มีตู้เย็นก็เก็บได้ ประเด็นนี้ชนะขาดกันแบบเห็น ๆ

ส่วนกินด้วยจิตว่างนี่มันยังไง ก็คนมันมีปัญญาเนาะ มันก็รู้ประโยชน์และโทษสิ จิตนี่มันว่าง มันไม่ได้อยากกินหรอกเนื้อสัตว์ มันก็ไม่ต้องไปกินให้มันลำบากสิ ที่ยังแสวงหากินอยู่นี่มันจิตไม่ว่าง ยังอยู่ในกามภพ ยังหลงกินอยู่ กินด้วยจิตว่างนี่มันจะหลับหูหลับตากินไม่ได้นะ จิตมันว่างจากกิเลส มันก็เลยมีปัญญา ไม่ใช่ว่างจากปัญญาก็เลยกินไม่คิด พุทธนี่มีการคิดที่ถูกที่ควรเป็นมรรค ในระดับโลก ๆ เอาแค่คิดว่ากินสิ่งใดเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นก็พอแล้ว แต่ผมก็ไม่รู้คนอื่นเขาทำยังไงนะ ที่เขาว่าว่างมันว่างแบบเดียวกันรึเปล่าหรือมันว่างแบบบื้อ ๆ หรือมันแค่พูดดีว่าว่าง สุดท้ายคุณกินเข้าไปคุณก็รู้เองนั่นแหละ เรื่องกิเลสมันโกหกตนเองไม่ได้หรอก จิตมันจะยินดีที่ได้เสพเนื้อสัตว์ ยินดีที่ชักชวนกันเสพเนื้อสัตว์ ยินดีที่มีคนส่งเสริมการเสพเนื้อสัตว์

อาการ 3 อย่างนี้ เป็นอาการของอสัตบุรุษ หรือคนพาล หรือ… ก็แล้วแต่จะเรียกกันไป ส่วนใครมั่นใจว่าทำได้อย่างที่ว่า คือยินดีในการกินเนื้อสัตว์ด้วยความเห็นต่าง ๆ แล้วยังสามารถเบิกบาน ผาสุก สุขภาพดี ไร้ทุกข์ ไร้กังวลในชีวิตได้ ก็ทำไป …ส่วนตัวผมไม่เชื่อคนหนึ่งล่ะ

ก็สรุปบทความสั้น ๆ (?) นี้ลงตรงที่ว่า อย่าไปเอาประโยชน์จากการเถียงกันเลย ให้เอาประโยชน์จากการเถียงมารในใจตัวเองดีกว่า คนอื่นเขาอยู่กับเราไม่นานเดี๋ยวเขาก็ไป กิเลสมารในใจเราอยู่ด้วยกันมาหลายล้านชาติ สิงเรามานานแล้ว ยังไปสู้ผิดคนผิดเป้าอีก

คนทุกคนย่อมมีที่อาศัย…

ประโยคจริงเป็นอย่างไรก็จำไม่ได้ แต่ได้ยินเนื้อหาประมาณนี้ จากอาจารย์หมอเขียวช่วงทำบำเพ็ญอยู่โรงทานสนามหลวงปีก่อน

ฟังตอนนั้นก็เข้าใจระดับหนึ่ง มาถึงวันนี้ก็เข้าใจลึกขึ้นอีกส่วนหนึ่ง คือเขาก็ต้องอาศัยสภาพนั้น ๆ อยู่ไปนั่นแหละ

เอาง่าย ๆ เขาก็ต้องเป็นอยู่ของเขาไปอย่างนั้น เขาก็อาศัยที่ของเขาไปในแบบของเขา ซึ่งมันก็เป็นที่ของเขา เป็นส่วนของเขา ไม่ใช่ของเรา

หมายรวมถึงแม้เขาจะใช้ชีวิตจมกับกิเลส เขาจะเผยแพร่มิจฉาทิฏฐิ เขาจะมุ่งล่าโลกธรรม เขาจะปฏิบัติบิดเบี้ยวผิดเพี้ยน มันก็เป็นที่อาศัยของเขา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเองและผู้อื่นหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง

นั่นหมายถึงว่าเขาก็จะทำแบบนั้นไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ จนกว่าเขาจะเลิกทำ แล้วหันมาอาศัยพึ่งพาเรา จึงค่อยเป็นหน้าที่ของเราที่จะจัดสรรค์องค์ประกอบให้เกิดบุญกุศลขึ้น

ในกรณีที่การมีอยู่ของเขา จุดยืนของเขา สภาพที่เขาอาศัยนั้นไม่ได้เบียดเบียนผู้อื่นนัก ก็คงจะไม่ใช่หน้าที่ใด ๆ ที่เราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ถ้ามันเบียดเบียนสังคมมากก็อาจจะต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างเพื่อช่วยเขาและผู้อื่นก็ได้

ผมพอจะเข้าใจอารมณ์ของนักปฏิบัติธรรมเมื่อเข้ามาศึกษาใหม่ ๆ คือ “ความหนักของความยึดดี” มันหนักเพราะมันยึดว่าเกิดดีจึงจะดีที่สุด และพยายามทำให้เกิดสิ่งดีนั้นด้วยความยึดมั่นถือมั่น หรือจะเรียกว่าทำดีอย่างหน้ามืดตามัว ไม่รู้จักประมาณ อ่านสถานการณ์ไม่ออก

หลาย ๆ ครั้งมันจะเกิน คือทำเกินเป็นส่วนมาก เกินกว่าที่ควรจะเป็น สุดท้ายพอไม่เกิดดีดังใจหวังมันก็ขุ่นใจ เป็นความหนักที่จิตต้องแบกไว้ วางไม่ได้

ซึ่งโดยมากคนยึดดีก็จะไม่ได้แค่ยึดกับตัวเอง ส่วนมากก็จะไปยึดให้คนอื่นดีด้วย มันก็ลำบากตรงนี้ ถ้าเราปรับใจ พยายามเข้าใจจุดยืนว่า เขาก็อยู่ตรงนั้น เขาก็มีที่ยืนของเขา มีที่อาศัยของเขา เขาก็อาศัยชั่วนั่นแหละดำรงชีวิต ถ้าทำความเข้าใจได้ วางดีได้ มันก็เบา ก็ยอมให้เขาอาศัยชั่วนั้นแหละดำรงชีวิตไปตามแบบของเขา

วันก่อนผมขุดดิน ไปเจอไส้เดือน ก็หวังดี จะดึงมันออก จะได้ขุดต่อ และมันก็จะไม่ได้รับอันตราย(จากการขุดครั้งต่อไป) โดยไม่ได้ดูว่าตัวมันมีแผลจากจอบแรกอยู่ พอดึงเริ่มตึงเข้า ตัวมันก็ขาด อ้าว…บาดเจ็บกันไปใหญ่ เคสนี้ก็คล้าย ๆ กัน บางทีการทำดีของเรามันจะไปทำลายจุดยืนของคนอื่นก็ให้ระวัง จุดอาศัยของไส้เดือนก็คือตัวมันที่บาดเจ็บอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ เราก็ดูดี ๆ ก่อน แล้วก็เปลี่ยนไปขุดที่อื่นก็พอ จอบแรกนี่มันไม่มีเจตนา มันก็ไม่มีอะไร แต่ไปดึงตัวมันด้วยความหวังดีที่ไม่ได้ดูนี่มันเจตนา มันบันทึกเป็นกรรม มันจะไม่คุ้มเอา

ที่เล่ายกตัวอย่างมาคือจะสื่อว่า จะช่วยน่ะช่วยได้ แต่ให้ดูด้วย บางทีการช่วยที่ดีที่สุดก็คือการไม่ยุ่งกับมัน ซึ่งก็อย่างเดียวกันกับการใช้ชีวิต เราก็ไม่ต้องไปเสนอตัวช่วยใครมาก เสนอไปแต่ความรู้ความสามารถก็พอ ใครเขามาอาศัยเรา เราก็ช่วย ใครเขาไม่มาอาศัย ก็ไม่ใช่หน้าที่ของเรา เราก็ไม่ต้องแบก ไม่ต้องเป็นภาระ เราก็เอาแต่ขอบเขตที่เราช่วยไหว ไม่ต้องโลภ ไม่ต้องเอาดีเกินจริง

ถ้าเราไปแบกอะไรที่เขาไม่ยินดี ไม่ใช่หน้าที่ของเรามันจะหนักเป็นพิเศษ มันจะแตกร้าวได้

แต่ถ้าเราไปเอาภาระคนที่เขายินดีให้ช่วย แม้มันจะหนัก แต่มันก็มีโอกาสที่มันจะเจริญ จะเกิดบุญกุศล มันก็พอจะเป็นไปได้

พระพุทธเจ้าเก่งที่สุดในโลกยังช่วยคนไม่ได้ทุกคนเลย นับประสาอะไรกับเด็กน้อยอย่างเรา … ว่าแล้วก็อาศัยดีที่ทำได้จริงอยู่ต่อไป (อจ. ท่านว่า ให้ทำดีที่ฟ้าเปิด (ทำดีเท่าที่เขาให้โอกาสที่จะทำ))

สรุปสมการออกมาก็น่าจะเป็น… MAXดี(ดีที่เกิดสูงสุด) = MAXโอกาส(ความเป็นไปได้สูงสุด ที่จะเป็นบุญ กุศล ไม่ผิดศีล ไม่ทะเลาะ ไม่เพ่งโทษ ไม่แตกร้าว ไม่จองเวรจองกรรม ฯลฯ) ,ไม่ใช่ MAXดี = MAXความยึดดี

รักกันจนตาย…เกือบทุกวัน

ทุกวันนี้แม้จะมีข่าวฆ่ากันตายด้วยเหตุแห่งรัก? มากมายแค่ไหน แต่ผู้คนก็ยังดิ้นรนแสวงหามัน เสพสุขจากมัน ไม่ยอมพรากจากมัน

ไอ้รักแบบนี้นี่มัน… จะเรียกว่าขยะ ขยะมันก็ยังเอามาปรับปรุงใช้ประโยชน์ได้ แต่ความรักที่เต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง นี่มันไม่มีค่าอะไรเลย คือไม่มีน่ะดี มีขึ้นมาก็ไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งตนเองและผู้อื่น สรุปมันต่ำกว่าขยะอีก

คนเขาก็หลงดม หลงเก็บ หลงกอดกันไว้ เพิ่มเจ้ากรรมนายเวรกันไป ในวิถีของโลกีย์ มันจะวนดิ่งลงไปสู่ความต่ำเรื่อย ๆ ความน่ากลัวของมันคือชั่วช้านาน คือมันจะเป็นบาปที่กัดกินใจอย่างช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่เห็นโทษชัดเจนในเบื้องต้น ทุกข์หนักนานแสนสาหัสในเบื้องปลาย ซึ่งก็ตามที่เห็นตาย ๆ กันมาเยอะแยะ

ความยินดีในการมีคู่ จึงเป็นสภาพที่น่าสงสาร ไม่ต่างกับเป็นโรค เป็นเหตุที่ทำให้บาดเจ็บได้ ทำให้ตายได้

หลายคนประมาท ก็หลงเข้าใจว่าเขาควบคุมมันได้ จริง ๆ เรื่องพวกนี้มันคุมไม่ได้ ทุกอย่างมันจะเปลี่ยนแปลงไป คนยึดมั่นถือมั่นก็พยายามจะกอดมันไว้ ดึงมันไว้ ไม่ยอมปล่อย ไม่ตัวเองตัวขาดตาย ก็ไปดึงคนอื่นให้ตัวขาดตาย หรือไม่ก็พากันตายไปตาม ๆ กัน

ถ้าเก่งเหนือรักโลกีย์ ก็แค่ไม่ต้องไปแตะไปเสพมัน ปล่อยมันไว้แบบนั้นแหละ เขาไม่ใช่ของของเรา ปล่อย ๆ ไปเดี๋ยวเขาก็ไปมีชีวิตของเขา ไม่จำเป็นต้องเอาใครมาผูกไว้ ให้คอยจองเวรจองกรรมกันไปอีกหลายชาติ

เลือกรักใครก็เลือกจองเวรจองกรรมคนนั้นนั่นแหละ แล้วก็เลือกให้เขามาจองเวรจองกรรมกับเราเช่นกัน สนุกตรงไหนล่ะนี่?

ลาภลอย ภัยมืดที่พาทุกข์พาหลง

การที่คนเราได้ลาภ สักการะ ชื่อเสียง ยศถาบรรดาศักดิ์ บริวาร ฯลฯ ใด ๆ มาก็ตามมันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปตามโลกธรรม แต่แม้มันจะเป็นไปอย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องที่ต้องระวังอย่างมาก

เราย่อมกล่าวถึงลาภสักการะและชื่อเสียงว่า เป็นอันตรายแม้แก่ภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ“(ภิกขุสูตร,16/580)

ดูกรภิกษุทั้งหลายลาภสักการะและชื่อเสียง เกิดแก่เทวทัต เพื่อฆ่าตนเอง เพื่อความเสื่อม ฯ” (ปักกันตสูตร,16/586)

ที่ยกมานั้นเป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องลาภสักการะ แม้เกิดในคนดีที่สุดอย่างพระอรหันต์ก็เป็นภัยได้ แล้วเกิดในคนชั่วที่สุดไฉนจะไม่เกิดภัย

นั่นหมายความว่าลาภสักการะมันเป็นภัยสำหรับทุกคนนั่นแหละ จะดีจะเลวก็เป็นภัย โดยเฉพาะลาภลอย พวกก้อนที่มาใหญ่ ๆ แบบไม่คิดไม่ฝัน ได้มาแบบไม่มีเหตุ แบบงง ๆ ลาภพวกนี้ยิ่งจะทำให้คนประมาท

เหมือนคนถูกหวย เขาได้มาเพราะเขาเชื่อว่าเขาโชคดี แต่ความจริงแล้วเขาก็เบิกบัญชีกุศลกรรมของเขามาเอง แต่ภาพมันออกมาเป็นลาภลอย เขาไม่ต้องพยายาม เขาคิดว่าเขาแค่ใช้ “โชค?” เขาเลยเกิดความประมาทในเรื่องของกรรม ถ้าคนเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับคือสิ่งที่ทำมา เขาจะไม่ประมาท แต่มันไม่ง่ายที่จะเข้าใจแบบนั้น วิบากจะลวงให้หลง ให้ประบาท ให้เข้าใจผิด ให้ไม่เข้าใจในเรื่องกรรม ดังนั้นคนที่ปฏิบัติธรรมจึงไม่เล่นหวย เพราะมันก็แค่เบิกของที่เคยทำ เอามาใช้เท่านั้นเอง แถมไปเบิกโดยไม่ลงทุน มันก็เท่ากับกรรมดีหมดไปเรื่อย ๆ

เกริ่นมาพอสมควร มาเข้าเรื่องกัน ผมติดตามข่าวช่วยเหลือทีมหมูป่าติดถ้ำมาสักระยะ รู้สึกเห็นใจกับสภาพที่เกิดขึ้น ในส่วนของการช่วยเหลือกันนั้นก็ดี ก็ยกไว้ก่อน แต่ในส่วนที่จะให้ข้อสังเกตคือมันเกิดสภาพของดีที่ล้นทะลัก ดีที่เยอะเกินพอดี ดีที่เกิดโดยไม่มีเหตุอันสมควร

คือลาภสักการะที่ทีมหมูป่าได้ตอนนี้นี่เรียกว่ามหาศาล ได้มายังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จะขอลองวิจารณ์ว่าหมู่ป่านี่เป็นจำเลยสังคม เมื่อสังคมมันต่ำมันเสื่อม พอมันเกิดเหตุแบบนี้มันก็เกิดภาพที่มันน่าชมคือทุกคนช่วยเหลือกัน คนในสังคมทุกคนเขาก็อยากให้เกิดสิ่งดี ๆ ขึ้นในชีวิตนั่นแหละ แล้วนี่เป็นสิ่งดีสิ่งเดียวที่มันเกิด เขาก็พยายามทุ่มเทดีลงไป ยัดดีลงไปมหาศาล ยัดไปตั้งแต่ยังไม่เจอทีมหมูป่าเลยด้วยซ้ำ ว่าจะให้อย่างนั้นอย่างนี้ เจ้าตัวเขายังไม่รู้เรื่องเลยว่าลาภนี้มันมารออยู่ที่ปากถ้ำแล้ว ผมมองว่านี่คือตัวอย่างหนึ่งของสภาพดีที่ล้น

ผมมานั่งระรึกเพิ่ม บ้านไหนเมืองไหนเขาก็ไม่เห็นจะมีเลยที่จะเอื้อเฟื้อผู้ประสบภัยแบบนี้ อย่างดีก็ให้ที่อยู่ให้การรักษาก็เยียวยากันไป แต่จะให้กันจนเรียกว่าผลิกชีวิตกันแบบนี้มันไม่มีนะ

นี่คือสภาพลาภลอยที่ทีมหมูป่ากำลังได้รับอยู่ ซึ่งส่วนตัวผมมองว่ามันหนักมาก เยอะมาก อันนี้ก็ต้องเข้าใจก่อนว่ามันเป็นผลกรรมที่เขาควรได้ แต่เขาก็มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้เช่นกัน

ที่น่าเป็นห่วงคือสังคมตอนนี้มีสภาพของการเสพดีอย่างหมกมุ่น ผมขอวิจารณ์เช่นนี้ตรง ๆ จริง ๆ ก็เรียกได้ว่ารอมานานกว่ากระแสมันจะลงบ้าง คลื่นกิเลสนี่มันไม่ธรรมดานะ จะไปแตะไม่ได้ ความติดดีคนมีมากนี่แตะไม่ได้ คิดต่างไม่ได้เลย มันจะทะเลาะกันไปหมด จะอวยมันก็ยิ่งจะลอย มันจะฟูไปกันใหญ่ อัตตามันก็โตขึ้นอีก เป็นสถานการณ์ที่ได้แต่ดูเงียบ ๆ ไป

ส่วนตัวผมนี่เข้าใจมาก ๆ เลยเวลาลาภเยอะ ๆ แล้วมันเลี่ยงไม่ออกนี่มันทุกข์ยังไง คือมันมากเกินความจำเป็น เราไม่อยากได้ มันเป็นภาระ มันหนัก นี่ขนาดไม่อยากได้ลาภนั้นยังทุกข์ยังลำบากเลย

แล้วเกิดคนอยากได้ลาภลอยนี่มันยิ่งไปกันใหญ่ คือลาภลอยมาแล้วอยากได้ เข้าไปคว้า มันก็จะพาหลงเลยทีนี้ มันจะพลาดเสียคนกันก็ตรงนี้นี่แหละ (คือได้ลาภ แต่ไม่รู้เหตุเกิดของลาภ คือได้สิ่งดี แต่ไม่รู้ว่าทำดีอะไรถึงได้ลาภนี้ อาจจะทำให้เข้าใจผิดได้ว่าสิ่งที่ทำหรือเคยทำนั้นเป็นเหตุ)

ตอนนี้มีกระแสคืนความปกติสุขให้ทีมหมูป่า คือให้เขากลับเป็นเด็กธรรมดาตามวิถีของเขา ซึ่งตามแนวคิดผมก็เห็นด้วยนั่นแหละ แต่ก็เข้าใจว่ามันเป็นไปได้ยาก กระแสมันติดลมบนไปแล้ว นี่ขนาดช่วยออกมาได้แล้วยังมีข่าวทุกวัน มันจะเสพอะไรกันนักกันหนา ช่วยออกมาแล้วก็จบแล้วนี่ แต่คนเขาไม่จบไง เหมือนดูละครก็ไม่อยากให้จบ วนเสพสุขอยู่นั่นแหละ เสพดีที่จบไปแล้ว มันดีก็จริงที่คนช่วยกันแต่มันก็จบไปแล้วไง

ผมมองว่าตอนนี้สังคมกำลังกระหายความดีอยู่ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ จึงเกิดดีที่ไม่ประมาณ ล้นทะลักเกินอย่างเห็นได้ชัด ความซวยจึงตกอยู่ที่จำเลยสังคมอย่างทีมหมูป่า

ติดถ้ำก็ว่าซวยแล้ว ติดโลกธรรมนี่ซวยกว่าติดถ้ำอีกนะ…

การประสบความสำเร็จในชีวิต

อ่านกระทู้เกี่ยวกับความหมายของการประสบความสำเร็จในชีวิต โดยมากก็หมายถึงการมีกินมีใช้อย่างมั่นคง ซึ่งในความหมายทางโลก คือ รวย นั่นแหละ

แต่ในมุมของผม ก็มีส่วนคล้ายกับเขาอยู่บ้าง คือมีกินมีใช้อย่างมั่นคง แต่ต่างกันตรงที่ผมจะปฏิบัติไปในทิศทางที่ “จน” คือเป็นคนจนที่มีกินมีใช้ไม่มีวันหมด(อาจจะขาดพร่องบ้างในบางช่วง แต่ค่ารวม ๆ โอเค) แต่แค่มีกินมีใช้ไม่มีวันหมดก็ไม่อาจเรียกได้เลยว่า ประสบความสำเร็จในชีวิต

ผมรู้สึกว่าความรวยด้วยทรัพย์ บริวาร(สามี ภรรยา ลูกหลาน ญาติมิตร สหาย) นั้นไม่มั่นคง อาจจะเพราะเป็นมุมมองที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็ก ความรวยต้องพยายามสร้าง บริวารต้องพยายามประคอง ผมว่ามันเหนื่อย สร้างความมั่นคงในความจนนี่มันง่ายกว่า จะเหนื่อยก็เหนื่อยแค่ใจ เพราะต้องปฏิบัติไปเพื่อการสละ ลด ละ เลิก สิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย จนพัฒนากลายเป็นคนจนที่กินน้อยใช้น้อยแต่ทำงานให้สังคมมาก สละออกมาก เอามาให้กับตัวน้อย ก็เป็นคนที่มีกำไร บุญกุศลที่ได้ทำ ก็ส่งผลให้มีกินมีใช้ไม่หมดตามผลกรรมของมันเอง

ลาภ สักการะ บริวาร ก็มีไว้เพียงเพื่อดำเนินกิจกรรมกุศล ไม่จำเป็นต้องพยายามสร้างหรือรับมาจนล้น จนเป็นภัยแก่ตนเอง แต่คนในโลกส่วนใหญ่เขาไม่เป็นเช่นนั้น เขาไม่พอเพียง เขาต้องรวยมาก ๆ โด่งดังมาก ๆ มีตำแหน่งสูง ๆ มีบริวารเยอะ ๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าต้องเสพอีกเท่าไหร่ถึงจะทุกข์จนพอใจ เพราะความจริงโลกธรรมนี่มันพาทุกข์นะ ได้มากก็ทุกข์ ได้น้อยก็ทุกข์ ถ้าปล่อยตัวปล่อยใจหมุนวนไปกับโลกธรรมนี่ยังไงมันก็ต้องทุกข์ สู้พยายามปฏิบัติให้อยู่เหนือโลกธรรมไม่ได้ อันนั้นมั่นคงกว่า ยั่งยืนกว่า สุขกว่า

ส่วนในเรื่องการประสบความสำเร็จในชีวิต ผมมองว่าถ้าเราสามารถเป็นคนที่ไม่ต้องประสบความสำเร็จอะไรเลย แม้เกิดเหตุการณ์ที่ทำอะไรไปก็ล้มเหลว ไม่เป็นที่นิยม พัง ไม่ยั่งยืน เจอแต่ปัญหาแล้วใจไม่ทุกข์ นี่ก็เรียกว่าประสบความสำเร็จแล้วล่ะ เพราะเป้าหมายในชีวิตผมคือฝึกใจไม่ให้ทุกข์ ถ้าใจเป็นสุขเมื่อได้ดั่งใจ เป็นที่นิยม สมหวัง เจริญรุ่งเรือง ฯลฯ มันจะไปยากอะไร มันไม่ต้องฝึกด้วยซ้ำ คนเขาก็เป็นกันไปทั่ว

ในวันนี้ก็ยังไม่เป็นคนที่ประสบความสำเร็จตามที่หวังเท่าไหร่ ซึ่งมันก็ยากและมันก็ไกล จินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่าถึงตอนนั้นมันจะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่มันก็เป็นเป้าหมายหนึ่งที่น่าตั้งจิตไว้พิชิตมัน

สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ

อ่านข่าวบ้านเมืองวันนี้ก็ทำให้เข้าใจคำนี้ลึกซึ้งขึ้น ในมุมที่ว่า จริง ๆ แล้วอาจจะไม่ได้มีวีรบุรุษอะไรหรอก แต่พอมีคนชั่วมาก คนที่เขาทำดีแม้เพียงน้อยก็โดดเด่นขึ้นมาได้ทันที

คนโง่ก็ขยันโง่ คนชั่วก็ขยันชั่ว คนดีก็ขยันทำดีไป ระยะห่างมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในจังหวะที่เหมาะสม คนโง่ คนชั่ว คนดี มาบรรจบกัน จะเกิดสถานการณ์สร้างวีรบุรุษขึ้นเองตามธรรมชาติ เหมือนกับเรากำลังเดินอยู่แล้วแผ่นดินมันข้าง ๆ มันยุบ มันก็เลยเหมือนเราสูงเด่นกว่าระดับแผ่นดินที่ยุบ จริง ๆ เราก็สูงเท่าเดิมนั่นแหละ

เหมือนคนดี เขาก็ดีเท่าดีที่เขาทำได้ แต่พอมีคนโง่คนชั่วมากระทบ มันจะมีการเปรียบเทียบโดยธรรมชาติ โลกจะเปรียบเทียบ โลกธรรมจะหมุนเวียน สรรเสริญและนินทาจะเกิดขึ้น เป็นสภาพไม่เรียบ ไม่เสมอกัน กลายเป็นฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ร้าย ฝ่ายหนึ่งเป็นวีรบุรุษ

ดังนั้นเราจึงไม่ควรจะไปโกรธ ขุ่นเคือง หมองใจกับคนโง่คนชั่ว เพราะเขาก็จำเป็นต้องทำหน้าที่ของเขา คือแสดงความโง่ความชั่วให้โลกได้เห็น เพื่อขับให้ความดีโดดเด่นขึ้น ให้มันตัดกันแรงขึ้น(contrast)

พอผมเข้าใจเรื่องนี้เพิ่ม ก็เข้าใจอีกหลายเรื่องเพิ่มเลยนะ เราเข้าใจเลยว่าไอ้ที่เขาแสดงมิจฉาธรรมกันเป็นอันมากทุกวันนี้ เพื่อให้เราได้ฝึกทำใจไม่ให้โกรธ ขุ่นเคืองคับข้องใจ(1) เพื่อที่จะทำให้มันชัดเจนขึ้น(2) เขาก็กำลังใช้กรรมของเขา(3) มันก็เป็นไปตามธรรมดาของโลกที่จะต้องมีคนชั่วมากกว่าคนดีอยู่แล้ว(4) ดังนั้นธรรมที่แสดงอยู่โดยมาก แม้เป็นอธรรมก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และมันก็เป็นไปของมันอย่างนั้นเอง(5)

สรุปก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปใส่ใจอะไรมากนัก ก็รับรู้ไปตามเรื่องตามราว ช่วยอะไรได้ก็ช่วย แต่อย่าไปช่วยให้เขาเกลียด เขาโกรธกันมากกว่าเดิม คือช่วยให้เขาเมตตากัน เข้าใจกัน อภัยกัน

เมื่อเราเพียรทำดีไปเรื่อย ๆ โดยไม่ไปเสียเวลาร่วมทำชั่วไปกับความชั่วที่มายั่วให้เราหลงโกรธ เกลียด ชัง แช่ง ดีที่เราทำก็จะยิ่งชัดขึ้นไปเรื่อย ๆ ที่เหลือก็เป็นเรื่องของผลของกรรมที่จะลิขิตสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ

โลกธรรม …น่ากลัว

อ่านข่าวเมื่อเช้า “ยูทูบเบอร์อยากทำคลิประห่ำ ให้แฟนท้องยิง .50 ใส่อก ดับสลดต่อหน้าลูก

ทำให้เห็นภาพของคนในสมัยนี้ที่พยายามปั้นตัวตนให้เด่นให้ดัง บางครอบครัวปั้นกันตั้งแต่ยังเป็นเด็ก โดยความเป็นโลกีย์นั้นก็เหมือนจะดี เด่นดัง ก็มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุขปลอม ๆ มาให้เสพ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นล้วนเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นโดยไร้ความหมาย…

โลกธรรมคือสิ่งที่หลอกคนให้หลงวนไป เป็นกิเลสอีกชุดหนึ่งที่เรียกว่ากว้างใหญ่ สร้างผลกระทบชัดเจนต่อตนเองและผู้อื่น อย่างเรื่องกามรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนี่บางทีมันก็ไม่ได้ไปกระทบผู้อื่นโดยตรง แต่โลกธรรมนี่มันต้องมีผู้อื่นเป็นองค์ประกอบในการได้เสพ

ดังกรณีตัวอย่าง เป็นสภาพที่หลงโลกธรรมจนทำอะไรที่ไม่สมควรทำ เพียงเพื่อต้องการให้เด่นให้ดัง คืออยากได้สรรเสริญ แต่สิ่งที่แลกไปนั้นคือชีวิต

ซึ่งในความจริงแล้วสรรเสริญก็ไม่ใช่สิ่งที่มีค่าอะไร ได้มาก็เสียไป ไม่ใช่ของเรา เป็นสิ่งที่โลกให้ โลกปรุงแต่งว่าสิ่งนั้นดี งาม เลิศ ฯลฯ แล้วเขาก็ยกมาให้เรา ถ้าเราไม่หลงก็จบไป จะปล่อยวางหรือจะใช้ประโยชน์ให้เกิดกุศลก็ได้

แต่ถ้าเขาให้สรรเสริญเรามา เราโพสคลิปวีดีโอลงไป โพสบทความลงไป โพสรูปภาพลงไป เขาชม เขาเชียร์แล้วเราไปยึดมาเป็นของเรา ดีใจ ฟูใจ สุขใจ กิเลสมันก็โต มันก็จะอยากเสพมากขึ้น อยากทำให้คนสรรเสริญมากขึ้น

อย่างในข่าวเขาก็อยากทำคลิปที่มันระห่ำ อยากเป็นคนกล้าท้าความตาย ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกโลกครอบงำ และในโลกอินเตอร์เน็ตก็ยังมีอีกมากมายที่เป็นเช่นนี้ เพียงแต่มีการแสดงออกต่างกัน บางคนไปทางอาหารการกินบ้าง บางคนไปทางการแสดงบ้าง บางคนไปทางโป๊เปลือยบ้าง ฯลฯ

ตัวชี้วัดหยาบ ๆ ว่ากิจกรรมที่แสดงออกนั้นดีจริงหรือไม่ ก็สังเกตดูว่าสิ่งที่ทำนั้นมันเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นอย่างยั่งยืนหรือไม่ ทำให้คนโลภ โกรธ หลง มัวเมาเพิ่มขึ้นหรือไม่ ถ้ามันไปทางฝั่งไม่เป็นประโยชน์ เพิ่มโลภโกรธหลง ก็หยุด ก็เลิก

แต่ความจริง ถ้าเขาหลงมันจะเลิกไม่ได้ โลกธรรมจะมอมเมาว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ดี มหาโจรก็มีลูกน้องโจร ดังนั้นไม่ได้หมายความว่ามีคนเข้ามาสรรเสริญแล้วสิ่งที่ทำอยู่นั้นจะเป็นสิ่งดีเสมอไป โลกจะหลอก จะยั่วย้อมมอมเมา ให้คนหลงอยู่กับสิ่งลวงเหล่านั้น …ตลอดไป

ชีวิตคือการลงทุน

หลังจากได้เรียนบริหาร ผมก็เข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนมากขึ้น และหลังจากที่ได้รู้จักกับพุทธศาสนา ผมก็เข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนที่ให้ผลเป็นสุขมากขึ้น

เป็นธรรมดาของการลงทุนที่จะมีผู้ร่วมลงทุน มีกิจการที่จะลงทุน แต่ก่อนผมก็เหมือนกับคนอื่นนั่นแหละ คิดว่าการลงทุนกับการมีครอบครัวจะให้ผลเป็นสุข เป็นบวก ได้กำไร ฯลฯ แต่เมื่อได้ศึกษามากขึ้นก็พบว่าการอยู่เป็นครอบครัวนั้นเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ส่วนมากเป็นทุกข์ โดยค่ารวม ๆ ติดลบ

ลงทุนในกรอบแคบ ๆ ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วย เหมือนการเอาความหวังไปฝากไว้กับคู่รัก ลูกหลาน มันก็ต้องผิดหวัง ต้องทุกข์ ต้องหวั่นไหวกับความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา

และใช่ว่าธุรกิจครอบครัวจะไปได้ดี การไว้ใจญาติ บางทีก็ให้ผลเสียอย่างคาดไม่ถึงเหมือนกัน แต่การจะใช้ชีวิตคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องดีอีกเหมือนกัน ดังนั้นเราจึงควรเลือกหน่วยลงทุนที่ให้ความเจริญสูงสุด/เวลา คือเลือกกลุ่มที่ปฏิบัติดี พากันลดโลภ โกรธ หลง แล้วไปลงทุน ลงแรงร่วมกับเขา

ผมไม่เชื่อว่าถ้าผมยังดำเนินกิจกรรมไปตามโลก ไปเป็นพนักงาน หัวหน้า ผู้บริหาร เจ้าของกิจการ ฯลฯ แล้วผมจะรอดพ้นจากทุกข์ไปได้ เพราะจากที่ผมเห็นมาตั้งแต่เกิด คนที่ดูเหมือนประสบความสำเร็จรุ่งเรืองใหญ่โต ก็ไม่เห็นจะพ้นทุกข์ เป็นสุขกันตรงไหน ดูเผิน ๆ เปลือกเขาก็สวยดี แต่ใส้ในก็ไม่เห็นน่าดูกันสักคน

ผมก็เลือกที่จะไม่เดินทางนั้น ก็เลือกมาดำเนินชีวิตทางธรรมดีกว่า ในเบื้องต้นเป็นฆราวาส(ผู้ครองเรือน) ก็มีอาชีพจิตอาสาให้ทำ เงินไม่ได้หรอก แต่เขาไม่ปล่อยให้อดตายแน่ ๆ และรับประกันได้ว่าจะมีงานทำตลอดชีวิต ไม่มีวันตกงาน งานฟรีมีให้ทำเยอะมาก เลือกสาขาได้ตามที่ถนัดเลย

แต่ถ้าเราไม่ขัดเกลากิเลสของเราออกบางส่วนก่อนมันจะไม่คิดแบบนี้นะ มันจะมุ่งไปทางโลก แสวงหาวัตถุลาภยศมาบำเรอตัวเองอย่างเดียวเลย ถ้าให้มาทำจิตอาสาไม่มีเงินเดือนนี่มันไม่เอาเพราะมันไม่ได้เสพดั่งใจ ถ้าทำงานหาเงินนี่อยากได้อะไรก็ไปซื้อ แต่ถ้ามาใช้ชีวิตแบบไร้เงินเดือนนี่มันต้องสังวรระวัง และต้องอดทนอดกลั่นต่อความอยากมาก มันไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ เลย ตรงนี้แหละมันเริ่มจะมีทิศทางไปสู่ความเจริญแล้ว เพราะเรากินน้อยใช้น้อย ทุนที่ลงไปก็ต่ำ เราทำงานมาก ทำดีมาก กำไรเราก็เยอะ รับรองว่าชีวิตทำงานฟรีกินใช้ไม่มีหมด ยังทำไม่ได้ชัด ๆ หรอกนะ แต่ดูจากครูบาอาจารย์เป็นตัวอย่างเอา ที่เหลือก็แค่ทำตามให้ได้

และตอนนี้ก็ทำไม่ได้เต็มตัวหรอก เป็นได้แค่ครึ่งตัว อีกครึ่งตัวก็ต้องให้เป็นไปตามวิบากกรรม แต่ผมเชื่อนะว่าการลงทุนทางธรรมนี่แหละคุ้มค่าที่สุด เอาปริญญาบริหารเป็นประกันเลยเอ้า…

การคบคุ้น สู่ความสุข/ทุกข์

สมัยก่อน ตอนที่ยังศึกษาและปฏิบัติธรรมใหม่ ๆ ผมก็ตะลอน ๆ ไปเรื่อยตามประสาคนอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ สำนักนั้นบ้าง สำนักนี้บ้าง คบคุ้นกับคนกลุ่มนั้นบ้าง กลุ่มนี้บ้าง ตามแต่โอกาสที่พอจะมี ก็เหมือนกับว่าเป็นคนเร่ร่อนละนะ ยังไม่ปักหลัก ยังไม่ลงตัว ยังไม่ชัดเจน

จนวันที่มาคบคุ้นกับกลุ่มแพทย์วิถีธรรม ก็ศึกษากันอยู่พักใหญ่ แต่ยิ่งศึกษาไปนานวัน คบคุ้นกันไปนานปี ก็ยิ่งศรัทธาขึ้น จนมาวันนี้ก็ได้ส่งใบสมัครเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเขาเป็นที่เรียบร้อย

เวลาที่ผมรู้สึกว่าชัดเจน แล้วจะไม่ค่อยเสียเวลากับสิ่งอื่น เพราะ เวลา แรงงานและทรัพยากรต่าง ๆ ของเราเนี่ย มันมีจำกัด เราต้องบริหารให้เกิดประโยชน์สูงสุด เท่าที่จะมีแรงทำได้

ถ้าวิเคราะห์ในมุมของการบริหาร ผมจำเป็นต้องเททรัพยากรให้กับหน่วยลงทุนที่ได้ผลกำไรสูงสุด เพื่อผลประโยชน์ของตัวผมเอง ผมจะไม่ไปเทเรี่ยราด ตรงนั้นที ตรงนี้ที เพราะมันทำให้ผมเสียโอกาสดี ๆ ไป

ซึ่งตรงนี้ก็เป็นความเห็นของแต่ละคนว่ากลุ่มไหนดี กิจกรรมไหนดี ก็วิเคราะห์จำแนกกันไปตามปัญญาของแต่ละคน ก็ทดลองกันไปว่าอยู่แล้วเจริญไหม? เจริญได้แค่ไหน? เจริญได้จริงหรือไม่? มั่นคงยั่งยืนหรือไม่? ถ้ามันโอเคก็ทุ่มเทลงไป

แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่เคยทดลองไปกิจกรรมกับกลุ่มอื่น หลังจากศึกษาจนเข้าใจทางแล้ว ทำได้บ้างแล้ว ผมก็ได้ลองไปเข้ากลุ่มนั้นบ้างกลุ่มนี้บ้าง (อีกแล้ว) ส่วนหนึ่งเพื่อศึกษาเขาว่าเขาทำอย่างเราหรือไม่ อีกส่วนหนึ่งคือไปเอื้อเขา เผื่อว่าเขาจะเห็นดีกับเรา

จนกระทั่งผมพบว่าผมไม่เจอกลุ่มไหนเลยที่คิดเห็นและปฏิบัติธรรมเหมือนสายที่ผมศึกษา ซึ่งผมก็เห็นว่าทางที่ผมศึกษาแล้วมันได้ผลจริง อ้าว… แล้วที่เขาทำอยู่มันคืออะไร? ก็พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าทางปฏิบัติถึงผลมันมีทางเดียว แล้วทางอื่นมันคืออะไร ก็คงไม่ต้องคิดให้วุ่นวายใจ ก็จบประเด็นแรกไป

ประเด็นที่สองคือไปเอื้อเขา แรกปฏิบัติธรรมได้ใหม่ ๆ มันก็มีน้ำใจไง ติดดีไง คืออยากให้เกิดดี ก็เลยไปกลุ่มนั้นกลุ่มนี้เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับเขา แต่ผลคือเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเราหรอกนะ และเราก็ไม่ได้ขยันยัดเยียดสักเท่าไหร่ แค่บอกไปทีเดียว ไม่ขยับก็เลิกแล้ว มารู้เอาตอนท้ายว่าที่ทำนี่มันเหนื่อยฟรี เอาจริง ๆ ก็ไม่ต้องไปเอื้อใครเขามากหรอก เราก็พิมพ์ก็พูดไป ใครเขาศรัทธา เขาก็มาคุยเองแหละ ไม่ต้องผลักดันหรอก

พอตอบโจทย์สองประเด็นจบ ก็เลิกเสียเวลาเลย ก็มุ่งเอาสายเดียวนี่แหละ ผมมั่นใจว่าใช่ เพราะผมปฏิบัติแล้วมีผล จิตมันเปลี่ยนแปลงได้จริง กิเลสมันลดได้จริง กิเลสมันตายได้จริง ที่สำคัญ ยิ่งคบคุ้นปฏิบัติตามนานวันผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเก่งขึ้น แม่นขึ้น คมขึ้น คุมกระบี่ได้ดียิ่งขึ้น ก็เป็นเหตุผลที่ผมเลือกที่จะคบคุ้นกลุ่มที่จะทำให้ผมเจริญขึ้นเท่านั้น

พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของการพ้นทุกข์ แต่ถ้าอยากทุกข์ก็ทำตรงข้ามกับ ไปคบมิตรชั่ว สหายกิเลสหนา สังคมสร้างปัญหา ขยันสะสมตัณหา ชวนกันเพิ่มความโลภ โกรธ หลง ก็จะได้ชีวิตทุกข์ ๆ อย่างที่เห็นกันโดยมากในทุกวันนี้

เส้นขาวบนถนน – ศีลในชีวิต

วันก่อนขับรถลงอุโมง เขาก็มีเส้นขาวถี่ๆ บอกให้เรารู้ว่านี่มันเริ่มล้ำเส้นออกไปแล้ว เมื่อล้ำเส้นออกไปมันก็อาจจะไปเบียนเบียนหรือไปชนคนอื่นเขา สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายได้

ศีล ก็คล้าย ๆ กัน คือเป็นกรอบของการปฏิบัติ ศีลที่สูงขึ้นก็ล้อมกรอบให้มีการเบียดเบียนน้อยลง ในเบื้องต้นพุทธศาสนิกชนก็ปฏิบัติศีล ๕ กันให้ได้ก่อน พอมั่นคงในศีล ไม่หวั่นไหวต่อกิเลสที่มายั่วยวนให้ผิดศีล ก็ค่อย ๆ เพิ่มศีลไปเรื่อย ๆ จะศีล ๘, ๑๐ หรืออธิศีลจากฐานเดิมในบางข้อบางประเด็นก็ได้ทั้งนั้น

ผมแปลกใจที่ชาวพุทธสมัยนี้ ไม่ค่อยคุยกันเรื่องศีล ซึ่งเป็นเบื้องต้นของการปฏิบัติ ในเรื่องศีลก็มีรายละเอียด ถือแบบถูกก็มี ถือแบบผิดก็มี คือมีศีลแต่ความเห็นในการปฏิบัติมันผิด

แต่ลึก ๆ ผมก็ไม่แปลกใจหรอก ยุคนี้มันก็เป็นแบบนี้แหละ เหมือนพยายามขับรถในกรอบในเส้น แต่ไม่ได้แก้นิสัยใจร้อนโมโหร้ายขับรถโดยประมาท ถือศีลผิดก็เช่นกัน มีศีลแต่ไม่ได้ใช้องค์ประกอบของศีลในการปฏิบัติธรรมให้เจริญ