เขาทิ้งเรา เราทิ้งเขา

อ่านเจอกระทู้หนึ่งในพันทิพ เขาว่าลูกกับเมียเขากำลังจะตีตัวออกห่างเขา ทั้งบ้านและรถ ไม่ใช่ชื่อเขา ถ้าเป็นคุณจะทำอย่างไร?

ผมอ่านแล้วก็น่าคิด ถ้าเป็นผมตอนนี้ ผมยอมให้หมดเลย อยากได้อะไรก็เอาไป จะไปไหนก็ไป เรามีทางไปของเราแล้ว บ่วงหลุดไปจากเรา เราไม่ต้องลำบากแล้ว ดังนั้นผมประเมินว่าถ้าเราปฏิบัติธรรมจนได้ผลประมาณหนึ่ง เมื่อพบกับเหตุการณ์เขาทิ้งเรามันจะไม่ยากเท่าไหร่

แต่ถ้าเป็นคนทั่วไป ไม่ได้ศึกษาปฏิบัติธรรม ผมก็เข้าใจ เขาทุกข์แน่นอนแหละ แต่จะทุกข์หนักทุกข์นานแค่ไหนนั่นก็แล้วแต่วิบาก ถ้ามันหมดวิบากก็ไม่ต้องไปแส่หาเพิ่ม เอาเวลาไปศึกษาธรรมให้พ้นทุกข์ พ้นวนเวียนเรื่องครอบครัวจะดีกว่า

ทีนี้มาคิดถึงประเด็นเราทิ้งเขา(ทั้งที่ยังรัก)นี่มันยาก มันต่างกับเขาทิ้งเราโดยสิ้นเชิง เขาทิ้งเรานี่เราแค่รับกรรมเก่าที่ทำมา ส่วนกรรมชั่วใหม่เราไม่ทำมันก็จบไป แต่สำหรับเราทิ้งเขานี่มันยาก เพราะมันเป็นกรรมใหม่ที่เราจะต้องทำเพื่อความเจริญ

ปกติมันทิ้งกันไม่ได้ง่าย ๆ หรอก มีสารพัดร้อยล้านเหตุผลที่จะติดอยู่อย่างนั้น มันจะหนืด ๆ ดึงไม่ค่อยออก เรียกว่าไม่ยอมดึงตัวเองออกมาเลยจะชัดกว่า

ตรงนี้แหละที่มันจะยาก เพราะจะไม่ออกมาเลยก็ติดกาม กระชากออกมาก็เป็นอัตตา มันโต่งทั้งด้านอยู่ ทั้งด้านไป แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าบำเพ็ญความดีไปทั้งชาติแล้วเขาจะปล่อยเรา บางทีการปล่อยไปตามกรรมทั้งชาติโดยไม่ทำอะไรให้ชัดเจน ก็เป็นการสร้างวิบากกรรมใหม่เช่นกัน คือกรรมที่ไม่พยายามทำอะไรดี ๆ เลย ซึ่งมันก็จะทำให้ช้า บางทีมันต้องพรากออกมาเพื่อประโยชน์ที่มากกว่า แม้จะเป็นช่วง ๆ ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

นี่ขนาดคนอยากออกจากความเป็นครอบครัวยังยากในการประมาณ นับประสาอะไรกับคนทั่วไป ยากนักที่คนทั่วไปจะอยากออกจากความเป็นครอบครัว ออกจากสภาพความเป็นคู่ มาอยู่อย่างยินดีในความโสด

คนบวชเป็นพระมานานยังสึกไปมีเมียได้ สารพัดมิจฉาธรรมที่พาให้คนยินดีในการมีคู่ สื่อสารออกไปแล้วไม่ได้ทำให้คนละหน่ายความอยากมีคู่ ซ้ำร้ายบางทียังหาข้ออ้าง หาช่องทางในการมีคู่ได้โดยดูไม่ผิดหลักธรรมอีก ยุคนี้กิเลสมันร้าย ระวังกันไว้นะครับ

คนมีหนาม

วันนี้ระหว่างที่ตัดต้นไม้ต้นหนึ่ง เป็นต้นไม้ที่มีหนามแหลม ก็นึกเรื่องนึงขึ้นได้…

การตัดต้นไม้ที่มีหนามนี่ต้องระวังมาก ทั้งการจับ การดึง การตัด ตัดไม่ดีบางทีมันเด้ง มันกระเด็น มันตกมาใส่เราอีก แถมจะขนไปทิ้งยังลำบาก ต้องค่อย ๆ จับ ไม่งั้นหนามมันก็ตำเอา

ระหว่างที่ขนกิ่งไม้หนามไปทิ้ง หนามของมันก็ไปเกี่ยวนั่นเกี่ยวนี่ เกี่ยวของ ของก็ตก เกี่ยวถุงพลาสติก ถุงก็ขาด เกี่ยวแขนขาเรา ก็ได้เลือด

ก็มาระลึกว่า เรานี่นะ ต้องพยายามทำตัวไม่ให้มีหนาม ไม่งั้นมันจะไปเกี่ยวคนอื่น ทำให้เขาเจ็บปวด มีบาดแผล แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือเราจะมี “กรรม” ไปเกี่ยวกับเขานี่แหละ ถ้ามันเป็นกรรมดีมันก็แล้วไป แต่ถ้าเปรียบกับหนามนี่ดูจะเป็นกรรมชั่วเสียมากกว่า

เกี่ยวกันด้วยกรรมชั่วแล้ว ผลมันก็ออกมาชั่วนั่นแหละ นำความทุกข์ เสียหายมาให้ ทั้งเราและเขา

พอพิจารณาเรื่องหนามอย่างนี้ จิตมันก็เริ่มเกรงกลัวภัยของกิเลสมากขึ้น เพราะรู้ว่าความยึดดีจะนำโทษมาให้ ผมเปรียบหนามก็คือความยึดดีนั่นแหละ นึกภาพคนดีปราบคนชั่วเอานะ คือมันจะมีเหตุผลดี ๆ สารพัดในการปราบคนชั่ว ด้วยวิธีต่าง ๆ ตามใจ ถ้านึกภาพหยาบ ๆ ก็คือคนดีเอาดีไปข่มคนชั่วเขานั่นแหละ

คือมันก็ดีล่ะนะ แต่มันเหมือนหนาม มันแทงใจเขา มันไม่ได้แทงแบบช่วยเขาด้วย มันแทงแบบทำลายเขา ไม่ใช่ทำลายกิเลสเขานะ ทำลายตัวเขาเลยนั่นแหละ ทีนี้พอแทงไปปุ๊ป เขาก็โกรธปั๊ป พยาบาทจองเวรต่อเนื่องกันไป

ก็เหมือนโดนหนามทิ่มนั่นแหละ มันไม่ได้จบแค่เจ็บและเลือดไหลเสียหน่อย ไอ้ปลายหนามที่มันฝังอยู่ในหนังเรานี่แหละตัวทำให้เจ็บปวด ดีไม่ดีเอาไม่ออก ฝังเป็นก้อนแข็งให้รำคาญอยู่ในเนื้อหนังเลยก็เป็นได้

เปรียบกลับมาก็เหมือนหนามของคนติดดีนี่แหละ ทิ่มเข้าไปทีฝังในวิญญาณเขาเลย ประมาณว่าเขาฟังแล้วก็ดีนะ เออเอ็งดี เอ็งเก่ง แต่ข้าไม่เอาด้วย เพราะมันเจ็บ มันครูด มันปัก มันเกี่ยว มันฝังใจ มันเป็นดีที่ยังไม่ใส ยังไม่เนียน

…ว่าแล้วก็มานั่งเอาเข็มมาเกี่ยวเอาหนามที่ฝังอยู่ออก ก็เห็นว่าเข็มกับหนามนี่มันแหลมเหมือนกันนะ แต่มันทำหน้าที่ต่างกัน เอาเป็นว่าหน้าที่หนามให้เป็นของคนอื่นแล้วกัน ยังมีคนดีอีกมากที่ยังมีหนาม ผมก็ยกให้เขาทำไป แล้วจะเปลี่ยนงานมาเป็นเข็มไว้ถอนหนามออกแล้ว นี่ก็ต้องปรับตัวอยู่เหมือนกันนะ จะเปลี่ยนงานมันก็ไม่ง่าย แต่ก็คงต้องฝึกกันไป

ปลามันก็อยู่ของมันดี ๆ

คลิปล่าปลา

นั่งดูคลิปนี้แล้วก็นึก คนเรานี่ก็ชอบเบียดเบียนเนาะ แสวงหาวิธีเบียดเบียน ปลามันก็อุตส่าหนีไปมุด ซุก แอบ มันก็คิดว่าจะปลอดภัย เจอคนนี่ร้ายสุด ๆ ฉลาดสุด ๆ ยังหาวิธีไปล่ามันได้

ก็คิดกลับมาเรื่องกรรม ก็คงเหมือนชีวิตเรานี่แหละ ก็ขยันทำดีอยู่ดี ๆ ไม่อยากเจอสิ่งชั่วในชีวิต แต่แล้ววิบากกรรมมันก็ซัดเข้า เหมือนฉมวกที่เขาแทงปลาในซอกหินนั่นแหละ เราอุตส่าแอบในดีแล้วมันยังหาเจอ ทำดีมานานหลายต่อหลายชาติก็คิดว่าจะหลบพ้น สุดท้ายวิบากกรรมเขาก็ตามเจอ เจอแล้วก็แทงเข้าให้

ใครที่คิดว่าชาตินี้ฉันก็ทำดีเป็นส่วนมาก ทำไมยังเจอชั่ว ก็ชั่วที่เคยทำมันตามมาหลอกหลอนไง อย่าคิดว่าชาตินี้ไม่ฆ่าไม่กินสัตว์แล้วจะพ้นวิบากนะ เพราะชาติชั่ว มันเยอะกว่าชาติที่ทำดีแน่ ๆ มันมาแน่ ๆ หนีเข้าวัด(ซอกหิน) ก็โดน

หวย ความโลภที่จัดจ้าน

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า “หวย” ทั้งหลายนั้น เมื่อมองในหลักคำสอนของศาสนาพุทธ จะถูกจัดอยู่ในหมวดของกิเลสในระดับ “อบายมุข”

หวยมีลักษณะของการ “พนัน” คือมีความเสี่ยงที่จะได้หรือไม่ได้ และที่สำคัญคือ มีการล่อลวงว่าจะได้มากกว่าที่ลงทุน หากผลออกมาเป็นไปตามข้อกำหนด

เวลาเราดูความเจริญของการปฏิบัติธรรม ถ้าจะดูแบบหยาบ ๆ ตัวชี้วัดก็หวยนี่แหละ เขาเลิกเล่นหวยหรือยัง เขายังยินดีในหวยนั้นหรือการถูกหวยหรือไม่ ยังยินดีในลาภเลวเหล่านั้นหรือไม่

เพราะการเล่นหวยนี่มันหยาบมาก มันจัดจ้านมาก ลงทุน 80 บาท อยากได้เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นเท่า นี้มันโลภมากสุด ๆ ลงทุน 80 ได้ 100 ก็กำไรมากแล้ว นี่ลง 80 หวังจะได้รางวัลที่ 1 กันหมด ลง 80 อยากได้ หลักล้าน

อย่างตอนนี้รางวัลที่ 1 เขาให้ 6 ล้านบาท ลง 80 บาท จิตมันจะมุ่งไปทางไหน มันก็พุ่งไปรางวัลที่หนึ่งนั่นแหละ เมื่อลองเอาเงินล้านมาหารจะได้ความโลภประมาณ 75,000 เท่า ! โอ้โห นี่มันความโลภที่จัดจ้านมาก เหมือนกินก๋วยเตี๋ยวใส่พริก 100 ช้อน น้ำตาล 100 ช้อน น้ำปลา 1 ขวด น้ำส้มอีกขวด ยังไงอย่างงั้น

จิตมันโลภไม่บันยะบันยัง ไม่มีที่สิ้นสุด มันก็สร้างนรกไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกัน ถ้าจิตเจริญขึ้น มันจะละหน่ายคลายความโลภได้เป็นลำดับ จะมีปัญญาเห็นโทษของลาภในระดับการพนันได้ชัดเจนขึ้น จนกระทั่งไม่ไปแตะสิ่งเหล่านั้น

ผู้ที่มีความเข้าใจเรื่องกรรม จะเข้าใจการได้มาหรือเสียไปของลาภต่าง ๆ แม้ว่าจะไม่ซื้อหวย คนที่มีวิบากที่จะต้องได้รับลาภเหล่านั้น เขาก็จะต้องได้รับ ผลของกรรม ไม่รับก็ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปิดช่องทางที่กุศลกรรมจะส่งผลในทางที่ไม่สมควรไม่ได้

สิทธิ์ในการเข้าถึง “เนื้อนาบุญ”

การที่เราจะได้เข้าถึง สงฆ์ ในพระพุทธศาสนาได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่ง สงฆ์ ในระดับสูง ๆ ด้วยแล้วยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ไม่ใช่ว่าชีวิตหนึ่งเกิดมาจะเจอกันได้ง่าย ๆ และไม่ใช่ว่าจะได้เจอทุกคน

ยกตัวอย่างที่เรารู้จักกันคือวันมาฆบูชา วันที่ สงฆ์ 1,250 รูป ซึ่งเป็นพระอรหันต์ มาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมาย อีกทั้งยังเป็นภิกษุที่พระพุทธเจ้าท่านทรงบวชให้ ดังนั้น การที่จะสามารถเข้าถึงงานระดับนี้ได้ จะต้องมี minimum requirement เท่าที่ผมจะพอเข้าใจได้คือ

1.เป็นพระอรหันต์
2.พระพุทธเจ้าเป็นผู้บวชให้
3.ต้องมาทันวันงาน

จึงจะมีสิทธิ์ฟังธรรมระดับแก่นของพุทธด้วยตนเอง นี่มันยากขนาดไหนก็ไม่รู้จะจินตนาการหรือเปรียบเทียบยังไง ทำตัวเองให้เป็นพระอรหันต์ที่ว่ายากที่สุดในโลกแล้วยังไม่พอ ต้องได้รับการบวชจากพระพุทธเจ้าด้วย แถมยังต้องเดินทางมาให้ทันด้วย

ผมเชื่อว่าแต่ละท่านเหล่านั้นอยู่ต่างที่ต่างถิ่นกัน ดังนั้นการจะเดินทางมาให้ถึงพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมายนี่มันโคตรจะมหัศจรรย์ ต้องใช้ปัญญาขนาดไหน ต้องประมาณขนาดไหน ต้องมีญาณรับรู้ขนาดไหน อันนั้นก็ยกไว้ให้เป็นเรื่องอจินไตยไปแล้วกัน

การเข้าถึงเนื้อนาบุญนี่มันไม่ได้ง่ายเลยนะ คุณต้องปฏิบัติธรรมให้เจริญ ต้องมีความดีงาม ต้องมีกุศลกรรมเป็นแรงผลักดันเท่าไหร่ถึงจะได้สิ่งที่ดีเยี่ยมยอดที่สุดในโลกเหล่านั้น (การได้ฟังพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก)

ผมเชื่อว่าแม้แต่สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า (พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์) นี่ก็ไม่ได้เข้าถึงง่ายสักเท่าไหร่หรอก คือถ้ามีดีไม่มากพอเนี่ย มันเข้าไม่ได้นะ เหมือนมีเงินค่าตั๋วไม่มากพอ ไม่มีเงินซื้อตั๋ว คุณก็เข้าไปชมการแสดงไม่ได้

กุศลไม่พอ ความดีไม่พอ ฟ้ามันจะกั้นไปหมดแหละ ดีไม่ดีเขาส่งให้ไปอยู่กับจุดที่เหมาะ ไปอยู่กับอสัตบุรุษ อยู่กับพระปลอม อยู่กับอลัชชี อยู่กับโจรผ้าเหลือง อยู่กับคนอื่น ๆ ไปตามกรรมตามวาระของคนนั้น ๆ

ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงเนื้อนาบุญ ยังไม่มีสิทธิ์เข้าถึงสิ่งที่ดีที่สุด เพราะยังทำดีไม่มากพอนั่นเอง

สมัยนี้ดูเหมือนจะมีเนื้อนาบุญเยอะแยะไปหมดตามคำกล่าวอ้าง ซึ่งจริงไม่จริงไม่รู้หรอก คนนั้นคนนี้ก็มีเนื้อนาบุญของเขา ผมก็มีของผม มีนาบุญที่ผมเชื่อว่าลงทุนแล้วต้นธรรมของผมต้องเจริญงอกงามให้ผลเป็นที่น่าพอใจแน่นอน เพราะทุกวันนี้ก็เรียกได้ว่าที่ได้มาก็กินใช้ไม่หมดแล้ว ถ้าจะวัดกันจริง ๆ ก็ต้องตรวจสอบเทียบผล บุคคลต่อบุคคล หมู่กลุ่มต่อหมู่กลุ่ม อาจารย์ต่ออาจารย์ ก็เป็นเรื่องการศึกษาล่ะนะ ไม่ใช่เรื่องการเอาชนะอะไรกัน เพราะศาสนาพุทธเป็นเรื่องของการศึกษาไปสู่ความเจริญ ดังนั้นเราก็ควรจะศึกษากันไว้บ้าง เพื่อแบ่งปันสิ่งดีแก่กัน ไม่ใช่เพื่อความมุ่งหมายเอาชนะกัน

นารีพิฆาต

สรุปหลังจากดูละครอีกประเด็นก็คือเรื่องผู้หญิงนี่แหละ ปกติในเพจ ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ จะพิมพ์ในมุมที่บอกกับผู้หญิงเป็นหลักเพราะ คนที่กดไลค์ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง

นั่งดูไปก็…เออ เนาะ เป็นผู้ชายนี่มันลำบากจริง ๆ

จะผ่านด่านมาจนถึงโสดได้ คุณต้องสู้กับด่านมหาหิน

คือเจอคู่ปรับ น่ะเจอแน่ ต้องเจออาการหญิง ๆ ที่ประดังเข้ามา ทั้งเขิน ง้อ งอน อ้อน เอาแต่ใจ ลีลา สายตา สารพัดมารยา ตามแต่วิบากจะปรุงแต่งมา ใครทำชั่วมามากก็โดนมากนั่นแหละ

พอนึกไปมันก็ขำ โอ้โห! นี่มันฝันร้ายของชายชาตินักรบแท้ ๆ เกิดเป็นชายสุดท้ายต้องมาตายด้วยมารยาหญิง แล้วจะหนีก็หนียาก ดีไม่ดีเขาตามมาอีก หนีเข้าป่าก็ใช่ว่าจะรอด รอดชาติหน้า ชาติหน้าเขาก็รออยู่หน้าประตูบ้านก็มี

เกิดมาเป็นชาย ชาตินักรบ(กับกิเลส) แน่นอนว่าสุดท้ายมันก็ต้องสู้ แต่เรื่องรักเรื่องคู่นี่สู้เดี่ยว ๆ เดี๋ยวสาวจะลากไปกิน ทำเก็กทำเก่งไปสู้ ว่าจะโสด ว่าจะโสด ดีไม่ดีเจอเขายิ้มให้ทีเดียวเลิกโสดเลยก็ได้

อย่างน้อยมันก็ต้องหาเพื่อนร่วมรบ หาครูฝึก หาพี่เลี้ยงกันหน่อย ปราบหญิงนี่มันปราบไม่ง่าย เรียกว่าหืดขึ้นคอเลย ไม่ง่ายที่จะรอดจากสมรภูมิออกมาสวย ๆ ต้องมีแขนขาดขาขาดกันบ้าง ยกเว้นแต่สะสมบารมีมาหลายชาติอันนี้ก็เป็นของส่วนตัวกันไป

ถ้าคุณล้างกิเลสเรื่องอยากมีคู่ออกไปได้นะ มันจะเห็นความจริงเลยว่าอาการที่เธอเหล่านั้นแสดงออกไม่ว่าจะเป็นอาการ เขิน อาย งอน ง้อ ส่งสายตา ลีลาท่าที ทำเปิ่นทำโก๊ะ ดูน่ารัก น่าเอ็นดูทั้งหลาย ส่วนใหญ่แล้วมารยาทั้งนั้น บางทีเป็นสิ่งปรุงแต่งที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัว คือปรุงกิเลสจนมันเป็นบุคลิกอย่างนั้นไปแล้ว

จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากใช้คำนี้หรอกนะ คือจะให้มันชัด ๆ คือคุณจะเข้าใจว่าจริง ๆ น่ะสิ่งเหล่านั้นน่ะ คือ “ความตอแหล” มันไม่จริง มันถูกสร้างขึ้นมา ต้นกำเนิดมันมาจากกิเลส แม้ดูเผิน ๆ มันจะดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่รากมันเน่า มันเหม็น กลิ่นอุปาทานนี่มันเหม็น

ก็ลองดูสิ ละครเขายังปรุงแต่งลีลาอาการให้เราหลงชอบได้ ความจริงคนก็เป็นอย่างนั้นแหละ เขาก็ปรุงแต่งกันไปว่าทำแบบนั้นแบบนี้จะดูดี จะมีคนรัก ทำแบบนี้จะมีผู้ชายโง่ ๆ มาหลงรัก เหมือนเป็นสัญชาติญาณไปแล้ว เป็นสัญชาติญาณแบบสัตว์ที่ยังต้องหาคู่ ต้องเกี้ยวพาราสีกัน ไปลองดูสารคดีชีวิตสัตว์ก็ได้ แบบเดียวกันนั่นแหละ คือมีการสื่อสารอย่างใดอย่างหนึ่งให้อีกฝ่ายสนใจ

ผมดูเขาทำท่าทางแบบนั้นในละคร ดูไปก็ขำตัวเองไป แต่ก่อนเจอแบบนี้เราก็คงหลงไปเหมือนกันเนาะ มาคิดถึงตอนนี้มันหลงไปลง ใครมาทำมันก็หลงไม่ลง มันเห็นกลลวงแล้วกับเรื่องรักนี่ เหมือนเรารู้ทริคมายากล รู้เสร็จมันก็เท่านั้น มันก็น่าเบื่อ ถ้ายังไม่รู้จริง เขามาแหกตามันก็ตื่นเต้นดีใจตามเขาไปเรื่อยนั่นแหละ

สังเคราะห์ไปตามกาละเทศะ

เริ่มสังเกตว่าเวลาอยู่ที่ไหน ก็วิเคราะห์เรื่องราวแล้วสังเคราะห์ไปตามที่นั้นเวลานั้น อย่างตอนอยู่ที่สวน ก็จะมีแต่เรื่องสวน การปลูกต้นไม้ ปรับที่ปรับทาง วางแผนนั่นนี่ จะสังเคราะห์เรื่องอื่น ๆ ไม่ค่อยไปเท่าไหร่

พอกลับมาอยู่ในเมืองก็สังเคราะห์ไปตามองค์ประกอบของเมือง เข้าเมืองก็มีเวลาอยู่หน้าจอมากขึ้น ทั้งจอทีวีและคอมพิวเตอร์ มันก็ได้รับข้อมูลมากขึ้น พอรับข้อมูลเข้ามามันก็ปรุงตามเลย ว่าจะเอาอะไรมาทำประโยชน์ดี

ชีวิตแต่ละคนก็ไขว่คว้าหาประโยชน์กันทั้งนั้น ตัวผมเองก็เช่นกัน ก็ตั้งใจจะให้ชีวิตในแต่ละวันมันมีประโยชน์สูงสุด แต่มันก็ไม่ขึ้นอยู่กับการตั้งจิตเสียทีเดียวว่าผลประโยชน์นั้นมันจะออกมาเป็นรูปไหน

มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบแวดล้อมด้วยว่า อะไรจะเป็นประโยชน์สูงสุดในที่นั้นในเวลานั้นตามกำลังปัญญาเท่าที่พอจะมีอยู่

การปรับตัวเอง อยู่ป่า <-> อยู่เมือง สลับกันไปมา มันทำให้เห็นอะไรชัดขึ้น ชีวิตมันไม่นิ่ง ไม่ราบเรียบ มีการขยับ ปรับเปลี่ยนรูปแบบของมันอยู่ตลอด ทำให้เราได้สังเกตการปรับตัวเปลี่ยนแปลงของตัวเองไปด้วย ก็สนุกดีเหมือนกัน

ถ้าถามผมว่าชอบอะไร ผมก็จะตอบว่าชอบคนเยอะ ๆ ยิ่งอยู่ในองค์ประกอบที่หลากหลายมากเท่าไหร่ ผมจะรู้สึกว่ามันได้ใช้สมอง ได้ขัดเกลาสติปัญญา แต่ฟ้าเขาก็ไม่จับเราไปอยู่ที่ที่เราชอบ เขาก็ให้เราไปอยู่ป่าสงบ ๆ

ซึ่งอยู่ป่าสงบ ๆ ก็ดีไปอีกแบบ มีเสน่ห์อีกแบบคือมีเวลาให้ละเลียด ตรวจกิเลสบางตัว แบบละเอียด ๆ กันเลย ยิ่งสงบยิ่งมีเวลาวิเคราะห์แจกละเอียดได้เท่าที่สงบนั่นแหละ แต่มันก็เสียอย่าง คือส่วนใหญ่มันเป็นของแห้ง คือต้องเอาของเก่าออกมาสังเคราะห์ ไม่เหมือนพบเจอผู้คน นี่มันได้ของใหม่ ได้ผัสสะใหม่ ๆ แต่เจอคนตลอดก็ไม่ดี บางทีมันก็ไม่มีเวลาให้ได้ตรวจใจ บางวันเรื่องมันก็เยอะ ต่อเนื่อง กว่าจะจบก็ง่วง เวลาจะไปพิจารณามันก็น้อย ทำให้หลายประเด็นตกหล่นไปก็มี

เสพสุขจากความจำ

วันนี้ระหว่างดูข่าวตอนบ่าย เขาก็มีโฆษณาว่าจะมีละครยอดฮิต มาให้ดูกันอีก ก็นึกสนใจ เออเนาะ เขาก็ดูกันทั่วบ้านทั่วเมือง ก็ลองดูเขาสรุปหน่อยแล้วกัน

จะดูละครดึกนี่มันต้องอดทนเหมือนกันนะ ดูไปก็ง่วงไป แต่ก็ได้ประโยชน์อยู่เหมือนกัน ละครน่ะไม่มีประโยชน์อะไรหรอก แต่ประโยชน์ที่ได้มันเกิดจากที่เราพิจารณาโทษมั่นนั่นแหละ เรื่องประโยชน์-โทษในตอนนี้ก็ยกไว้ก่อนเดี๋ยวจะยาว

เห็นเขารวมช็อตเด็ดมาให้ คิดว่าเขาคงคัดมาแต่เจ๋ง ๆ ละนะ เราก็ไม่เคยดู ดูไปตอนแรกก็งงว่าทำไมต้องทำมาให้ดูด้วย ก็นั่งพิจารณาไป…

อ๋อ คนเขาเสพติด อะไรที่คนอยากได้อยากดูอยากเสพเขาก็ทำมาให้เสพนั่นแหละ แสดงว่าเขาประเมินแล้วว่าทำแล้วได้กำไรในทางธุรกิจเขาถึงทำ คือมีคนดูนั่นแหละ

กิเลสในด้านความรักที่โหดร้ายและออกยากกกกกกกกกก..สุด ๆ คือการเสพสุขจากอดีตนี่แหละ เอาแค่อดีตก่อน อนาคต กับปัจจุบันก็ร้ายใช่ย่อย ไว้ว่ากันตอนหลัง

เสพสุขจากอดีต คือนึกย้อนไปถึงเรื่องเก่า วันเก่า ๆ แล้วรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ คิดถึง คร่ำครวญถึง อยากให้ได้มีอดีตแบบนั้นมาเสพอีก

บางคนแม้เลิกรากันไปแล้ว ปัจจุบันแม้ไม่มีอาการอะไร แต่ขอให้ได้นึกถึงอดีตก็สุขใจ แบบนี้ก็ใช่ เป็นกิเลส เป็นภพ ก่อให้เกิด ชาติ ชรา มรณะ ฯลฯ คือไม่จบไม่สิ้นนั่นแหละ

พอคนเสพติดอดีต มันก็จะไปหาอนาคตที่เป็นอดีตแบบนั้น จึงกลายเป็นภพเป็นชาติ เป็นคนในฝัน หนุ่มสาวในสเป็ค ชอบนิสัยลีลาท่าทางแบบนั้นแบบนี้ เพราะมันจำมาหลายชาติ อยากได้มาหลายชาติ ฉันชอบแบบนี้ ๆ พอเห็นปุ๊ปก็รักปั๊บเลย นั่นอุปาทานมันทำงานแล้ว

กลับมาที่ละคร นี่ละครเขาจบไปแล้ว เห็นไหมว่าคนไม่ยอมให้จบ มีบางความเห็นอยากให้มีภาคต่อ อันนี้เขาเสพติดแล้ว หลงกลทั้งผู้จัดทำ หลงทั้งกิเลสในเวลาเดียวกัน

เขาเอาอดีตเก่า ๆ (ที่เรื่องจริงก็ยังไม่ใช่) เอามาตัดต่อกันให้ดู ก็ยังสุข ยังอิ่มเอมใจ ยังชอบอยู่ มันก็เสพอดีตอยู่นั่นแหละ

ฝึกหนีในวันสงกรานต์

ติดตามข่าวช่วงวันสงกรานต์มาหลายปี ยังไม่มีทิศทางที่จะลดความจัดและอันตรายลงได้เลย ก็แน่ละ เราจะกำลังเคลื่อนไปสู่กลียุค กิเลสและความหยาบมันก็ต้องจัดจ้าน เสื่อมทรามกันมากขึ้นเป็นธรรมดา

ทำให้ผมนึกถึงตอนกลียุคที่ว่า คนชั่วเขาจะฆ่ากัน 7 วัน 7 คืน ส่วนคนดีหนีไปอยู่ในป่า

นี่ขนาดสงกรานต์ไม่กี่วัน ยังไม่อยากออกไปไหนเลย เข้าใจเลยว่ากลียุคมันออกไปไหนไม่ได้ ออกไปตายอย่างเดียว นี่ขนาดวันสงกรานต์ บางคนเขาจำเป็นต้องออกไปทำธุระ ถูกสาดน้ำไม่พอ อาจจะยังโดนด่าอีก

ไอ้ความคิดประมาณว่า “นี่วันสงกรานต์ ไม่อยากถูกสาดก็อย่าออกจากบ้าน” อะไรประมาณนี้ มันเป็นคำเตือนให้เราปรับใจว่าโลกนี้มันหยาบแค่ไหน เราจะได้ไม่ต้องไปสู้ เก่งสุดก็แค่หนี

คุณจะสู้กับคนพาลยังไงก็แพ้ ดีไม่ดีถูกเขาด่ากลับ ทำร้ายกลับ หรือไม่ก็ฆ่า พระพุทธเจ้าท่านให้ห่างไกลคนพาล ไม่ต้องไปคลุกคลี ใกล้ชิดหรือคบค้าสมาคมด้วย

ถ้าอยากสงบก็หนีเข้าไว้ จัดองค์ประกอบชีวิตให้ไม่ต้องไปพบปะคนไม่ดี เข้าหากลุ่มคนดีแทน ก็จะปลอดภัย คือหนีไปก็ต้องมีที่หนีด้วยนะ หนีไปอยู่คนเดียวมันก็ลำบาก แต่หนีไปอยู่กับกลุ่มคนดีมันก็สบายหน่อย

เพราะบางทีเราหนีความวุ่นวายของเทศกาลข้างนอก แต่มากินเหล้าเมายากันในบ้าน บางทีก็ทำให้มีเรื่องเกิดปัญหาได้เหมือนกัน พาทุกข์ได้เหมือนกันนั่นแหละ

หรือถ้าหาอะไรดี ๆ ทำไม่ได้ หรือกิจกรรมของกลุ่มคนดีไม่ได้ ก็อยู่คนเดียว ไม่ไปหลงเมาหลงชั่วกับเขา นั่นก็ดีที่สุดเท่าที่พอจะเป็นไปได้แล้ว

คู่รัก คู่ร้าย

พิมพ์เรื่องลูกไปแล้ว (วิบากกรรมโหดร้ายจนไม่กล้ามีลูก) มันก็ติดลม มาต่อกันด้วย เรื่องที่พิมพ์กันบ่อย ๆ อีกทีดีกว่า พิมพ์ไป ทบทวนธรรมไป เกลาพยัญชนะไป มันก็จะเก่งขึ้น ทีละหน่อย ๆ

การมีคู่รักหรือคนรัก นี่มันมาพร้อมความหวังนะ คือหวังอยากให้เขาดีดั่งใจ คือดีให้เท่าที่เป็นหรือมากกว่านี้ไปเรื่อย ๆ ก็คนมีคู่ใครเขาจะหวังให้ความรักมันเสื่อมเล่า เขาก็หวังให้มันเจริญงอกงามกันทั้งนั้นแหละ

แต่ความรักในรูปแบบของการมีคู่กับธรรมะ นี่มันสวนทางกัน ธรรมะว่า “ยิ่งรักยิ่งทุกข์” แต่ความรักกลับบอกว่า “ยิ่งรักยิ่งสุข” ซึ่งกล่าวกันตรง ๆ ก็อยู่คนละข้างกับธรรมะ หรือเป็น อธรรมนั่นเอง

เพราะความจริงแล้ว ยิ่งรักมากก็ยิ่งหวังมาก และยิ่งหวังในทางเจริญทางธรรมเท่าไหร่ ก็จะยิ่งผิดหวังมากเท่านั้น (ทางโลกก็เจริญ กันไปตามกิเลสนั่นแหละ)

เพราะหนึ่งในเหตุที่พากันเจริญทางธรรมยาก ก็คือพากันเจริญในอธรรมกันมามาก พากันกิน พากันเที่ยว พากันแต่งงาน พากัน…ฯลฯ มากันเท่าไหร่ ทีนี้พอจะไปทางเจริญมันจะโดนขัดขาเพราะวิบากพวกนี้ด้วยนี่แหละ

มันจะเป็นการพากันเจริญที่ยากแสนยาก ใครบอกว่ามีคู่เพื่อพากันเจริญทางธรรมนี่อย่าเพิ่งไปเชื่อเขา เขากล้าเปิดเผยบัญชีบุญบาป(กิจกรรมในชีวิต) ไหมล่ะ มันจะได้เห็นชัด ๆ เลยว่ากิจกรรมฝั่งกุศล อกุศล ฝั่งไหนมันมากกว่ากัน

ทีนี้คุณจะทุกข์หนักเวลาคนรักไม่เอาดีอย่างใจหมายนี่แหละ ส่วนใหญ่มันจะเจริญพร้อมกันได้ยาก มันจะมีคนใดคนหนึ่งที่เจริญขึ้นก่อน ด้วยความรักมันจะพยายามลากอีกคนขึ้นไปด้วย คุณจะรู้สึกถึงความหนัก ดึงยังไงก็ไม่ไป เว้นเสียแต่เขามีบารมีมากพอ กรณีนั้นก็ยกไว้

เอาแบบส่วนใหญ่แล้วกัน ส่วนใหญ่ลากไม่ไปหรอก อย่างเราไม่กินเนื้อสัตว์ เกิดเราไปรักไปชอบกับคนที่กินเนื้อสัตว์ คิดว่าเขาจะมาเลิกกินอย่างเราได้ไหม ยิ่งถ้าคุณถือศีลกินมื้อเดียว คิดว่าจะชวนเขามากินมื้อเดียวเหมือนกันได้ไหม มันจะยั่งยืนไหม มันจะชวนกันรุ่งหรือชวนกันร่วง ดีไม่ดีพากันเสื่อมกว่าเดิมอีก จากไม่กินเนื้อสัตว์มาตั้งนาน ไปมีคู่สุดท้ายเวียนกลับไปกินเนื้อสัตว์ก็เป็นไปได้

ยิ่งเราฝึกปฏิบัติศีลสูงขึ้นมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งเห็นความต่าง จะเริ่มเห็นความไม่เสมอกัน อินทรีย์พละคนไม่เท่ากันหรอก และไม่มีทางที่จะเท่ากัน ศีล ศรัทธา จาคะ ปัญญา ก็เช่นกัน มันไม่เท่ากันหรอก จะมีเท่ากันก็เวลาเดียว ก็คือเวลาที่เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะเท่ากันทุกอย่าง

นอกนั้นมันก็แปรเปลี่ยนไปตามหลักอนิจจังทั้งนั้น วันนั้นใกล้เคียง วันนี้ต่างกันไป ถึงจะเจริญก็ใช่ว่าจะเจริญในทางเดียวกันเสมอไป มันอาจจะเด่นไปคนละด้านก็ได้

ยกอีกตัวอย่างกันให้ชัด กับฐานก้าวกระโดด คือคุณจะพาเจริญกันถึงขั้นเป็นโสดกันทั้งสองฝ่ายได้ไหมล่ะ มันไม่ง่ายนะ ที่จะไปได้พร้อม ๆ กัน แค่ตัวเองยังเอาตัวรอดยากเลย ซึ่งมันมักจะมีฝ่ายหนึ่งตามหลังอยู่ แล้วคุณจะทำใจได้ไหม ถ้าเขาไม่มาด้วยกับคุณ เขาไม่ยอมอยู่เป็นโสด คุณกล้ากระโดดออกมากไหม แล้วเขาอยากมีคู่ สุดท้ายเขาก็ไปมีคู่ของเขา คุณทำใจได้ไหมล่ะ

คนผ่านแล้วเขาก็เฉย ๆ คนยังไม่ผ่านนี่ยื้อกันช่วงนี้อยู่นานเลย ทุกข์ทั้งนั้น แล้วใช่ว่าเราจะอยู่เป็นโสดเขาจะยอมง่าย ๆ ที่ไหนล่ะ ก็สารพัดลีลามารยาที่เขาจะเอามาใช้กักเราไว้ให้อยู่กับเขานั่นแหละ เราใจไม่แข็ง เราก็ติดอยู่แบบนั้นแหละ มันก็นาน มันก็ช้า เขาไม่ยอมให้ออก เราก็ไม่มีแรงจะออกเพราะทนเห็นเขาทุกข์ไม่ได้ มันก็ติดกันไปแบบนี้

ส่วนตัวผมเห็นว่า ในด้านความเจริญทางธรรม การตั้งตนอยู่เป็นโสดนี่มันเพิ่งตีนเขาเองนะ อีกไกลกว่าจะถึงยอดเขา การมีคู่รักมันก็รั้งเราไว้นั่นแหละ ไม่ให้เจริญไปมากกว่านั้น มันร้ายลึกก็ตรงนี้

เพราะมันร้ายลึก มันก็เลยรู้ยาก เข้าใจยาก คนก็สงสัยว่ามันทุกข์ยังไงหว่า? ทุกข์ร้ายแสนสาหัสยังไงหว่า? นี่แหละอริยสัจถึงเข้าใจยากอย่างนี้ ถ้ายังไม่เห็นทุกข์ในการมีคู่ ก็ยังไปไหนต่อไม่ได้หรอก