สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ

อ่านข่าวบ้านเมืองวันนี้ก็ทำให้เข้าใจคำนี้ลึกซึ้งขึ้น ในมุมที่ว่า จริง ๆ แล้วอาจจะไม่ได้มีวีรบุรุษอะไรหรอก แต่พอมีคนชั่วมาก คนที่เขาทำดีแม้เพียงน้อยก็โดดเด่นขึ้นมาได้ทันที

คนโง่ก็ขยันโง่ คนชั่วก็ขยันชั่ว คนดีก็ขยันทำดีไป ระยะห่างมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในจังหวะที่เหมาะสม คนโง่ คนชั่ว คนดี มาบรรจบกัน จะเกิดสถานการณ์สร้างวีรบุรุษขึ้นเองตามธรรมชาติ เหมือนกับเรากำลังเดินอยู่แล้วแผ่นดินมันข้าง ๆ มันยุบ มันก็เลยเหมือนเราสูงเด่นกว่าระดับแผ่นดินที่ยุบ จริง ๆ เราก็สูงเท่าเดิมนั่นแหละ

เหมือนคนดี เขาก็ดีเท่าดีที่เขาทำได้ แต่พอมีคนโง่คนชั่วมากระทบ มันจะมีการเปรียบเทียบโดยธรรมชาติ โลกจะเปรียบเทียบ โลกธรรมจะหมุนเวียน สรรเสริญและนินทาจะเกิดขึ้น เป็นสภาพไม่เรียบ ไม่เสมอกัน กลายเป็นฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ร้าย ฝ่ายหนึ่งเป็นวีรบุรุษ

ดังนั้นเราจึงไม่ควรจะไปโกรธ ขุ่นเคือง หมองใจกับคนโง่คนชั่ว เพราะเขาก็จำเป็นต้องทำหน้าที่ของเขา คือแสดงความโง่ความชั่วให้โลกได้เห็น เพื่อขับให้ความดีโดดเด่นขึ้น ให้มันตัดกันแรงขึ้น(contrast)

พอผมเข้าใจเรื่องนี้เพิ่ม ก็เข้าใจอีกหลายเรื่องเพิ่มเลยนะ เราเข้าใจเลยว่าไอ้ที่เขาแสดงมิจฉาธรรมกันเป็นอันมากทุกวันนี้ เพื่อให้เราได้ฝึกทำใจไม่ให้โกรธ ขุ่นเคืองคับข้องใจ(1) เพื่อที่จะทำให้มันชัดเจนขึ้น(2) เขาก็กำลังใช้กรรมของเขา(3) มันก็เป็นไปตามธรรมดาของโลกที่จะต้องมีคนชั่วมากกว่าคนดีอยู่แล้ว(4) ดังนั้นธรรมที่แสดงอยู่โดยมาก แม้เป็นอธรรมก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และมันก็เป็นไปของมันอย่างนั้นเอง(5)

สรุปก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปใส่ใจอะไรมากนัก ก็รับรู้ไปตามเรื่องตามราว ช่วยอะไรได้ก็ช่วย แต่อย่าไปช่วยให้เขาเกลียด เขาโกรธกันมากกว่าเดิม คือช่วยให้เขาเมตตากัน เข้าใจกัน อภัยกัน

เมื่อเราเพียรทำดีไปเรื่อย ๆ โดยไม่ไปเสียเวลาร่วมทำชั่วไปกับความชั่วที่มายั่วให้เราหลงโกรธ เกลียด ชัง แช่ง ดีที่เราทำก็จะยิ่งชัดขึ้นไปเรื่อย ๆ ที่เหลือก็เป็นเรื่องของผลของกรรมที่จะลิขิตสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ

ฝึกหนีในวันสงกรานต์

ติดตามข่าวช่วงวันสงกรานต์มาหลายปี ยังไม่มีทิศทางที่จะลดความจัดและอันตรายลงได้เลย ก็แน่ละ เราจะกำลังเคลื่อนไปสู่กลียุค กิเลสและความหยาบมันก็ต้องจัดจ้าน เสื่อมทรามกันมากขึ้นเป็นธรรมดา

ทำให้ผมนึกถึงตอนกลียุคที่ว่า คนชั่วเขาจะฆ่ากัน 7 วัน 7 คืน ส่วนคนดีหนีไปอยู่ในป่า

นี่ขนาดสงกรานต์ไม่กี่วัน ยังไม่อยากออกไปไหนเลย เข้าใจเลยว่ากลียุคมันออกไปไหนไม่ได้ ออกไปตายอย่างเดียว นี่ขนาดวันสงกรานต์ บางคนเขาจำเป็นต้องออกไปทำธุระ ถูกสาดน้ำไม่พอ อาจจะยังโดนด่าอีก

ไอ้ความคิดประมาณว่า “นี่วันสงกรานต์ ไม่อยากถูกสาดก็อย่าออกจากบ้าน” อะไรประมาณนี้ มันเป็นคำเตือนให้เราปรับใจว่าโลกนี้มันหยาบแค่ไหน เราจะได้ไม่ต้องไปสู้ เก่งสุดก็แค่หนี

คุณจะสู้กับคนพาลยังไงก็แพ้ ดีไม่ดีถูกเขาด่ากลับ ทำร้ายกลับ หรือไม่ก็ฆ่า พระพุทธเจ้าท่านให้ห่างไกลคนพาล ไม่ต้องไปคลุกคลี ใกล้ชิดหรือคบค้าสมาคมด้วย

ถ้าอยากสงบก็หนีเข้าไว้ จัดองค์ประกอบชีวิตให้ไม่ต้องไปพบปะคนไม่ดี เข้าหากลุ่มคนดีแทน ก็จะปลอดภัย คือหนีไปก็ต้องมีที่หนีด้วยนะ หนีไปอยู่คนเดียวมันก็ลำบาก แต่หนีไปอยู่กับกลุ่มคนดีมันก็สบายหน่อย

เพราะบางทีเราหนีความวุ่นวายของเทศกาลข้างนอก แต่มากินเหล้าเมายากันในบ้าน บางทีก็ทำให้มีเรื่องเกิดปัญหาได้เหมือนกัน พาทุกข์ได้เหมือนกันนั่นแหละ

หรือถ้าหาอะไรดี ๆ ทำไม่ได้ หรือกิจกรรมของกลุ่มคนดีไม่ได้ ก็อยู่คนเดียว ไม่ไปหลงเมาหลงชั่วกับเขา นั่นก็ดีที่สุดเท่าที่พอจะเป็นไปได้แล้ว

คนชั่วที่คิดว่าตนเองทำดีนี่แหละ ชั่วที่สุด

วันนี้คุยกับเพื่อนในประเด็นที่ว่าแบบไหนจะชั่วกว่ากัน คือคนชั่ว กับคนดีที่แอบชั่ว ก็สรุปกันออกมาได้ว่าคนดีที่แอบชั่วนี่แหละร้ายลึกชั่วช้าหนักนาน… เพราะคนชั่วทั่วไปนี่มันพอจะป้องกันได้ง่ายนะ แก้ไขได้ง่าย หรือคนที่รู้ว่าตัวเองชั่วก็สามารถที่จะเจริญได้เช่นกัน

แต่คนชั่วที่คิดว่าตัวเองดีนี่มันไม่มีทางไปเลยนะ มืดแปดด้าน มันจะเมาดีลวง ๆ ที่ตนเองทำอยู่นั่นแหละ แถมยังเอาดีสอดไส้ชั่วไปหลอกกันเองอีก ในวิบาก ๑๑ ประการที่เพ่งโทษพระอริยะมีอยู่ข้อหนึ่งคือ หลงว่าบรรลุธรรม เอาแบบโลก ๆ คือหลงว่าตัวเองดี ตัวเองมีดี ตัวเองกำลังทำดี คือเข้าใจผิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิด พูด ทำอยู่นั้นดี….ทั้งที่จริงมันชั่ว

แล้วจะแก้ได้ยังไง ก็ต้องอาศัยคำติจากคนดีนี่แหละ เขาติมาเราก็ฟังแล้วนำไปแก้ไขในส่วนที่ผิดพลาดไป แต่คนที่หลงว่าตนดีนั้นไม่ค่อยจะยอมฟังใครเขาติหรอก ก็ตัวเองคิดว่าตนดีตนถูก แล้วมันจะไปฟังใครอีกละ เขาติมาก็ว่าเขาผิดหมดนั่นแหละ ตัวเองถูกอยู่คนเดียว เพราะตนเองเป็นคนดี ดีไม่ดีไปด่าเขากลับอีก …เอาเข้าไปคนดี(ปลอม ๆ )

คนดีที่ดีแท้จะเห็นความชั่วในตนเองแล้วมุ่งล้างความชั่วนั้นให้หมด และจะเห็นชั่วที่ลึกและละเอียดขึ้นตามกำลังที่มี คือจะเห็นแบบที่คนอื่นไม่เห็น คนอื่นเขาไม่เห็นว่าชั่ว แต่เรารู้ชัด ๆ เลยว่าทำแบบนี้มันชั่ว มันเบียดเบียน มันไม่เป็นประโยชน์ตนเองและผู้อื่น

จะรู้ได้อย่างไร? ก็ตามระดับของศีลนั้นแหละ ถ้าศึกษาศีลตามลำดับจะรู้เองว่าอะไรดีอะไรชั่ว แต่ถ้าไม่ศึกษาก็ไม่รู้หรอก เพราะเรื่องแบบนี้คิดเอาก็ไม่ได้ ฟังเอาก็ไม่เข้าใจ ทำหน้างง ไอ้ที่เขาพูดมานี่มันชั่วยังไงหนอ…

จึงสรุปว่าคนที่ยังเห็นว่าตนเองชั่วอยู่ ยังผิดพลาด ยังต้องแก้ไขอยู่ ก็ยังดีกว่าคนที่หลงว่าตนเองเป็นคนดี ดึงดันทำแต่ความดีแบบที่ตนเองเข้าใจโดยไม่ฟังคำติของใครเลย

คนชั่วสร้างความเจริญเพื่อทำลายตน

ผมไปอ่านเจอมา น่าจะเปรียบเทียบกับปัจจุบันได้

ดูกรภิกษุทั้งหลายลาภสักการะและชื่อเสียง เกิดแก่เทวทัต เพื่อฆ่าตนเอง เพื่อความเสื่อม ฯ “(ปักกันตสูตร เล่ม 16 ข้อ 586)

สิ่งที่เราเห็นว่ามันเจริญ มันยิ่งใหญ่ มันดูมีกำลัง มีคนศรัทธามาก …มันไม่แน่นะ มันอาจจะเกิดมาเพื่อทำลายตัวมันเองก็ได้ เพราะลาภสักการะนั้นแหละ จะเป็นสิ่งที่ทำลายคนชั่ว

จริง ๆ มันก็เป็นเรื่องปกติของโลกละนะ คนชั่วสะสมลาภสักการะ บารมี บริวารอะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายก็จะตายเพราะเหตุเหล่านั้นเอง ในปัจจุบันก็มีให้เห็นเยอะ มีหลายเคส ก็ศึกษากันไป