Cyber bully กรณีศึกษา กระแสน้ำปัสสาวะรักษาโรค

เคยได้ยินคำนี้มาสักพัก จากในเฟสบุคนี่แหละ ก็มีเพจดัง ๆ ที่เขาพากันต่อต้านเจ้า Cyber bully หรือการไปขยี้ ขยำ ย่ำ เหยียดผู้ที่ตนเห็นว่าจะสามารถข่มได้

ผู้ที่โดน Cyber bully มักจะเป็นผู้ที่ตกเป็นข่าว หรือเรื่องที่ตกเป็นข่าว แม้เป็นถึงระดับคนใหญ่คนโตของประเทศก็หนีไม่พ้น

Cyber bully เป็นสภาพที่แสดงความตกต่ำของจิตวิญญาณแบบหนึ่ง ซึ่งโดยปกติในชีวิตแล้ว การที่ใครสักคนหนึ่งจะไปแสดงอาการ ท่าทาง วาจาที่ไม่ดีตีต่ออีกฝ่ายนั้น มักจะไม่เกิดบ่อยนัก แต่ในโลก social สังคมแคบลง การสื่อสารไวขึ้น ทำให้เกิดการแสดงออกบ่อยขึ้น คือปกติกิเลสเหล่านั้นก็มีอยู่แล้ว แต่พอมีช่องทางให้แสดงออก ให้ปล่อยออก มันก็ไหลออกมาโดยธรรมชาติของกิเลสที่จะแส่หาสิ่งใด ๆ มาเสพ ในกรณี ของ Cyber bully ภาพรวมก็คือความสะใจที่ได้ข่ม ได้แสดงออก ได้แสดงตัวตน ได้อวดความรู้ ได้แสดงตนว่าเป็นผู้ปราบมาร เป็นต้น.

Cyber bully มักจะเกิดจากสาเหตุหนึ่ง คือความเห็นต่าง และมีองค์ประกอบ คือมีผู้นำที่จะถล่ม ความเห็นต่างนั้น ๆ เชื่อไหมว่าตัวตั้งตัวตี ที่เคยเห็นว่าไม่สนับสนุน Cyber bully กลับเป็นตัวตั้งตัวตีที่มีส่วนในการโน้มน้าวผู้ที่เห็นต่าง ให้มาแสดงพฤติกรรม Cyber bully

จากกรณี กระแสน้ำปัสสาวะรักษาโรค ซึ่งผมก็อยู่ในห้อง มหัศจรรย์น้ำปัสสาวะบำบัดฯ ตามที่เป็นข่าวและรู้กันโดยมากว่านี้คือห้องที่รวบรวมผู้ใช้น้ำปัสสาวะบำบัดมาแลกเปลี่ยนความรู้กัน

แต่เมื่อเกิดกระแสข่าวในสังคมขึ้นมา สมาชิกใหม่จำนวนมาก ก็สมัครเข้ามาในกลุ่ม แต่เขาไม่ได้สมัครเข้ามาเพื่อจะศึกษา จากที่สังเกตุดูมาระยะหนึ่ง โดยมากจะเข้ามาเพื่อแสดงทัศนคติที่แตกต่างของคน ซึ่งจะมีน้ำหนักไปที่การเหยียดหยาม ดูถูก ชิงชัง รังเกียจ หรือนั่นก็คือลักษณะหนึ่งของ Cyber bully

ซึ่งจริง ๆ แล้ว การเห็นต่างไม่ได้หมายความว่าต้องมาทำการ Cyber bully หรือต้องไปขยำ ขยี้ผู้ที่เห็นต่าง แต่อย่างใด พระพุทธเจ้าตรัสว่าบัณฑิตมีการไม่เพ่งโทษเป็นกำลัง เมื่อบัณฑิตหรือผู้มีปัญญา รับทราบถึงความแตกต่าง ย่อมไม่เพ่งโทษ ถือสา หรือเบียดเบียนทำร้ายใคร

ต่างจากคนพาลซึ่งมีการเพ่งโทษเป็นกำลัง หมายถึง เมื่อคนพาลได้ที คือเข้าใจว่าตนดีกว่า ตนเหนือกว่า ซึ่งอาจจะเป็นความเข้าใจที่ถูกหรือผิดก็ตาม คนพาลจะเพ่งโทษความเห็นอื่น ๆ ที่แตกต่างจากตน พาลน้อยก็เพ่งโทษในจิต พาลมากก็ออกทางวาจา ในกรณีของ Cyber bully ก็เป็นขีดพาลมาก และพาลที่สุดคือทางกาย คือทำร้ายร่างกายกัน

ในกรณีของผู้ที่ทำการเสี้ยม หรือทำสื่อให้คนอาการอยากจะขยี้ ขยำฝ่ายอื่นด้วย กาย วาจา ใจ เช่น ถ่ายคลิปออกมาเพื่อที่จะแสดงความถูกต้อง และข่มผู้อื่นในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะถูกหรือจะผิดในเชิงของความรู้ แต่ถ้าทำให้คนเกิดอคติ ความเกลียด ความชัง หรือทะเลาะกัน ก็เป็นบาป ผู้ที่ทำสื่อ ก็เป็นผู้นำคนทำบาป วิบากบาปก็จะมาก เพราะเป็นเหตุในการเบียดเบียนที่มาก

ในการแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกใด ๆ ก็ต้องตรวจตัวเองดี ๆ ว่ามีผลดีกับใคร ทำไปแล้วเกิดผลยังไง ลดโลภ โกรธ หลง รึเปล่า หรือยิ่งเพิ่มความโลภ โกรธ หลง เข้าไปอีก

ความหลงเบียดเบียนอย่างไร ความหลงยึดว่าฉันถูก แกผิดนี่แหละ คือเหตุเบื้องต้นของ Cyber bully เพราะถ้าหลงว่าตนถูกเมื่อไหร่ คนที่เห็นต่างเป็นผู้ร้ายทันที ตัวเองกลายเป็นพระเอกทันที ทีนี้ผีเข้าแล้ว เหมือนผีไปสิงให้ไปปราบผู้ร้าย แต่ที่จริงตัวเองเป็นผู้ร้ายไปเบียดเบียนเขาก็ยังไม่รู้ตัว อันนี้มันก็น่าเห็นใจ ความหลงตัวหลงตนนี่มันเป็นภัยจริง

ในฝ่ายที่ถูก Cyber bully นั้น ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก ก็รับวิบากกรรมที่เคยทำมาด้วยใจผาสุกให้ได้ ก็ต้องเห็นใจเขา ถ้าเขามีปัญญารู้ว่าสิ่งใดเบียดเบียน เป็นโทษต่อตนเองและผู้อื่น เขาก็จะไม่ทำ เหมือนกับเราที่เคยไปทำอย่างนี้แหละ มาหลายต่อหลายชาติ ชาติที่เราไม่มีปัญญา ไม่รู้อะไรลึกซึ้ง ก็แห่ไปตามกระแสอย่างนี้แหละ แบบนี้แหละวัฏสงสาร มันน่าสงสารไหมล่ะ หลงทำบาปวนเวียน ขอทุกท่านจงเห็นใจ และวางใจ

น้ำปัสสาวะรักษาโรค?

ช่วงนี้เป็นประเด็นสังคมอย่างมาก เกี่ยวกับการใช้น้ำปัสสาวะรักษาโรค อาการบาดเจ็บ ตลอดจนใช้บำบัดอาการไม่สบายต่าง ๆ

ส่วนตัวผมก็เห็นว่าก็ดีนะ ก็เป็นโอกาสที่คนจะได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เป็นทางเลือกหนึ่งในการบำบัดอาการเจ็บป่วยที่ประหยัด หาได้ง่าย และไม่มีโทษ

ส่วนตัวผมเคยทดลองใช้มาหลายแบบ ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีโทษอะไรเกิดกับตนเอง ในทางกลับกันส่วนมากจะเป็นประโยชน์ อาจจะมีบ้างที่มันไม่เกิดผล คือ หายจากอาการของโรคนั้น ๆ ชัดเจน นั่นก็เพราะสาเหตุมันมีหลายอย่างที่ต้องแก้ น้ำปัสสาวะก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ช่วยบำบัด แต่บางอาการเจ็บป่วยมันต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ปรับสมดุลอาหาร ออกกำลังกาย ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น

ทีนี้ผมเห็นอย่างไรเกี่ยวกับวิพากวิจารณ์ที่ค่อนข้าง… เรียกว่าไม่สร้างสรรค์แล้วกันนะ เช่น เขาไม่ชอบ เขาก็มาแสดงอาการชังแบบเต็มที่ อันนี้เราก็เห็นว่าน่าเห็นใจ เพราะเขาไม่ใช้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ที่เขาชัง มันก็ทุกข์ของเขาแล้ว มันก็เบียดเบียนคนอื่นด้วย

แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของโลก มันก็อย่างนี้แหละ มันก็ต้องกระทบความเห็นที่แตกต่างแล้วทำใจไม่ให้ทุกข์ ไม่ให้ชังที่เขาด่า ไม่ให้ชอบที่เขาเห็นด้วย โลกมันก็เป็นไปอย่างนั้น แล้วแต่ใครจะยึดถืออะไรเป็นสำคัญ

ส่วนตอนจบ ผมว่า มันก็มีแค่ใครอยากใช้อะไรก็ใช้ไปนั่นแหละ เป็นไปตามวิบากกรรมของแต่ละคน เพราะมันก็ทุกข์ของใครของมัน เขาหายโรคมันก็ไม่ใช่สุขของเรา เขาตายจากโลกมันก็ไม่ใช่ทุกข์ของเรา เราก็แค่อาศัยสิ่งที่หาได้ง่ายและไม่มีโทษในการดำรงชีวิต แล้วก็อยู่ทำประโยชน์ไป แต่จะให้ไปวิวาทกับเขานี่ไม่เอานะ ไม่ไหว

เพราะคนเห็นด้วยกับคนเห็นต่าง มันก็มีมวลแตกต่างกันเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าเปรียบคนที่เข้าใจธรรมะพุทธแท้ คือฝุ่นปลายเล็บ เมื่อเทียบกับดินทั้งแผ่นดิน

ถ้าเราต้องไปยุ่งกับดินทั้งแผ่นดินนี่เหนื่อยตายเลย มีกี่ชีวิตก็ไม่พอ ผมก็เอาแค่ฝุ่นปลายเล็บนี่แหละ ไม่เกินแรง ใครเขาไม่ใช้เราก็ไม่บังคับเขา อย่างเก่งถ้าเขาสนใจ เราก็นำเสนอไป เขาไม่เอาก็วาง แบบนี้มันไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่

หนุ่มสาวเอย…

วันนี้ไปร่วมกิจกรรม ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เห็นนักศึกษามากมาย ก็พลันคิดไปว่า…

เมื่อไหร่หนอที่เขาจะสุกงอม เมื่อไหร่ที่จะทุกข์จนเกินทน ชีวิตเกิดมาก็ต้องเล่นบทไปตามวิบาก ถ้าหมดวิบากกรรมแล้วอีกนานแค่ไหนจะได้เจอกับสัตบุรุษ(ผู้รู้ธรรม) ได้ฟังสัจธรรม ได้นำมาพิจารณาและปฏิบัติตาม ก็คงจะประสบความสำเร็จในความเป็นมนุษย์ได้ในวันใดวันหนึ่ง

ว่าแล้วก็กลับมาคิดถึงตัวเอง กว่าจะมาเจอธรรมะจริง ๆ ก็ 29 ปี แม้ก่อนหน้านั้นจะศึกษามาบ้าง แต่ก็ล้วนแต่เป็นมิจฉาธรรม หรือไม่ก็ธรรมที่ไม่ครบพร้อม ขาด ๆ พร่อง ๆ เอาไปใช้ได้ยาก เข้าใจได้ยาก ไม่แตกฉาน ไม่ชัดเจน

กว่าคนคนหนึ่งจะเติบโต กว่าจะเรียนจบมันใช้เวลานานมาก ประมาณ 20 กว่าปี ไหนจะต้องดิ้นรนแสวงหาอีก พอได้มาก็มีโอกาสที่จะหลงมัวเมากับลาภ ยศ อำนาจ อิสระ ฯลฯ ที่ได้มาจากความสามารถที่ตนมี เรียกว่าคงสนุกกับการหาเงิน หาความก้าวหน้า หรือไม่ก็วนเวียนอยู่กับการหาคู่อยู่หลายปีเลยล่ะ

แม้ว่าเราจะมีจิตที่เต็มใจจะช่วยเหลือคน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยเหลือใครได้ถ้าเขาไม่ทุกข์ การที่เขาไม่รู้สึกถึงทุกข์ ไม่ได้หมายความเขาไม่มีทุกข์ เขาอาจจะมีทุกข์ก็ได้ เพียงแต่เขาไม่มีปัญญารู้จักทุกข์นั้น ๆ เราก็คงต้องปล่อยให้ทุกข์งอม(สุกงอม)เสียก่อน

คือปล่อยให้เขาใช้ชีวิตของเขาให้ทุกข์ให้เต็มที่เลย ให้มันทุกข์จนรู้สึกทนไม่ไหว เขาถึงจะแสวงหาทางพ้นทุกข์ แล้วถึงวันนั้นถ้าได้เจอกันก็ค่อยว่ากัน ถ้าไม่เจอก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าไม่เจอมันก็ไม่ใช่งานของเรา

เหมือนกับเรื่องคู่ ที่ผมค่อนข้างปล่อย อย่างเก่งก็แค่พิมพ์บทความออกไป สุดท้าย ใครเขาจะไปมีคู่ เพราะเขาเชื่อว่าไม่ทุกข์ หรือทุกข์น้อยกว่าทนอยู่เป็นโสดมันก็เรื่องของเขา เขาก็ต้องรับทุกข์ของเขาในท้ายที่สุด เราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะไม่ได้ไปทุกข์กับเขาด้วย ไม่ได้ยึดว่าเขาต้องได้ดีดังใจหมาย เพราะเขาก็เป็นของเขาไปแบบนั้นแหละ บางทีเราก็ได้แต่ดู ได้แต่ดูก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะถ้าการช่วยเขาคืองานของเรา เราก็จะได้ทำ แต่ถ้าไม่ใช่ เราก็จะไม่ได้ทำนั่นเอง ง่ายจัง

ชีวิตหนึ่งเกิดมาเรียนรู้ และแม้ว่าสุดท้ายจะตายไปโดยที่ไม่ได้ทำความเจริญอะไรให้แก่ตน ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับผู้อื่น มันก็เป็นเรื่องธรรมดา พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า โมฆะบุรุษ คือคนที่เกิดมาเสียของ เบิกกุศลกรรมมากินใช้ไปวัน ๆ เป็นพวกกินของเก่า ไม่สร้างใหม่ ครูบาอาจารย์ท่านเปรียบว่า พวกชิงหมาเกิด ซึ่งผมก็คิดว่าประมาณนั้นแหละ อ่านแล้วอาจจะว่าแรง แต่มันก็จริง เพราะเกิดมาแล้วขาดทุน ทำแต่เรื่องขาดทุน ไม่เป็นประโยชน์กับตนเอง ไม่เป็นประโยชน์กับใครอย่างแท้จริง เกิดมาใช้ทรัพยากรโลก แก่งแย่งมาเพื่อกิเลสตน สุดท้ายทั้งชีวิตก็เบียดเบียนชีวิตอื่นมาบำเรอตน เอาวิญญาณหมานิสัยดีเกิดมาแทนยังจะดีกว่า

รถขนวัว

มองดูวัวในรถก็สงสารมัน รถส่ายไปมา ยืนก็ลำบาก มือก็ไม่มีไว้เกาะ ก็ทรงตัวกันไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยขี้เยี่ยวของพวกมันเอง

รถคันนี้ใส่วัวเข้าไป 3 ตัว วัว 3 ตัวต่างพยายามหาตำแหน่งที่ตนสบาย ตัวที่ใกล้ข้างรถก็เอาหัวออกไปรับลมได้ ตัวตรงกลางนี่ลำบากที่สุด นอกจากตัวเล็กแล้วยังไม่มีที่ให้ขยับตัวอีก ต้องยืนอยู่ข้าง ๆ ตูดเพื่อน ว่าแล้วเพื่อนวัวก็ขี้ออกมา แถมฉี่อีก 1 ยก ดูเป็นบรรยากาศที่แสนจะอึดอัดเมื่อนำมาเปรียบกับชีวิตคนเมือง

ตัวผมเองนั้นใช้บริการรถสาธารณะค่อนข้างบ่อยและใช้มายาวนาน เพราะรู้สึกว่ามันสะดวกและประหยัด แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความลำบาก เพราะในบางเวลาก็ต้องพบกับคนจำนวนมาก แออัด เบียดเสียด ขยับได้ยาก ร้อน เหม็น สารพัดสิ่งที่ไม่น่าอยู่

แต่ด้วยความที่ผมสูงกว่าคนทั่วไปพอสมควร ก็เลยได้พื้นที่สูดอากาศโปร่งมากกว่าชาวบ้านอยู่หน่อยนึง ก็คงเหมือนวัวที่สามารถยื่นหัวออกไปนอกตัวรถได้ละมั้ง แม้จะเบียดแต่อย่างน้อยก็พอหายใจหายคอได้

แต่คนส่วนใหญ่ ก็คงเหมือนวัวที่อยู่ตรงกลาง ถูกเบียดจากตัวที่อยู่ข้างหน้าและตัวที่อยู่ข้างหลัง คนไทยส่วนใหญ่ไม่สูงนัก โดยเฉพาะผู้หญิง สภาพที่เป็นอยู่ก็ค่อนข้างน่าเห็นใจ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อชีวิตมีข้อจำกัด ถ้าคนสามารถเลือกได้โดยไม่มีข้อจำกัด ทุกคนก็คงอยากจะนั่งตากแอร์สบาย ๆ ในรถส่วนตัวกันทั้งนั้น

ผมเห็นวิบากกรรมของคนที่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เพียงเพื่อจะให้ชีวิตมันดำรงอยู่ จริง ๆ การจะมีชีวิตอยู่นั้นมันก็ไม่ยากอะไร ก็มีแค่ปัจจัย 4 ที่พอเพียงเรียบง่ายไม่เป็นโทษ ก็พอจะอยู่ได้แล้ว แต่ชีวิตนี่มันมีวิบากกรรม มีสิ่งที่ส่งผล มีสิ่งที่บังคับ มีสิ่งที่เป็นเหมือนกรอบบังตาไว้ให้คนเดินไปตามเส้นทางนั้น

อย่างน้อย ๆ ถ้ารู้สึกว่าชีวิตมันลำบาก ไม่อยากเป็นอย่างวัวที่ยืนเบียดกันบนรถ ก็เลิกเป็นเหตุหนึ่งให้วัว หมู เป็ด ไก่ ฯลฯ ต้องไปยืนเบียดกันเช่นนั้น เลิกสะสมกรรมเช่นนั้น เพราะเมื่อไหร่ที่เราเป็นเหตุ หรือทำกรรมเช่นนั้น เราก็ต้องรับผลนั้น รับวิบากกรรมเช่นนั้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ได้รับในชาตินี้ ก็ไปรอรับในชาติหน้า หรือชาติอื่น ๆ ต่อไป

การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ

วันนี้ไปธุระที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พบว่าคนเยอะกว่าไปเดินห้างอีก เห็นแล้วก็สงสัยว่านี่มันอะไรกัน ทำไมคนป่วยถึงเยอะขนาดนี้

ก็คิดทบทวน ก็เข้าใจว่ายุคนี้มันก็แบบนี้แหละ คนเบียดเบียนกันมาก เบียดเบียนสัตว์มาก ก็ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บล้มตายมากเป็นธรรมดา

พระพุทธเจ้าตรัสสอนสรุปความได้ว่า ผู้ที่เบียดเบียนสัตว์ ไม่มีความเอ็นดูต่อสัตว์ จะทำให้มีโรคมากและอายุสั้น (จูฬกัมมวิภังคสูตร เล่ม 14 ข้อ 579…)

แล้วยุคนี้คนกินเนื้อสัตว์ขนาดนี้ ส่งเสริมการล่าสัตว์ สนับสนุนโรงฆ่าสัตว์กันขนาดนี้ วิบากกรรมจะไปทางไหนได้นอกจากทางทุกข์

คนที่เขาไปโรงพยาบาลนี่เขาก็ดูมีเงินกันทั้งนั้นนะ ค่ารักษาไม่ใช่ถูก ๆ บางคนเขาก็คิดว่านี่การที่เขามีเงินรักษานี่แหละคือดี โชคดีที่มีเงิน ดีที่มีลาภ

อันนี้มันก็ตื้น ๆ พอเห็นได้ เข้าใจได้ง่าย แต่มันก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรมากมายนัก เพราะสุดท้ายก็ต้องไปหาเงินมาก ๆ เบียดเบียนชาวบ้านมาก ๆ เพื่อให้ได้เงินมา ก็เป็นวิบากบาปใหม่อยู่ดี วนเวียนไป ทำชั่ว รักษาตัว แล้วไปทำชั่วเพื่อมารักษาตัวใหม่

ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ นี่มันไม่ใช่เรื่องโชคช่วยนะ มันต้องทำเอา คือทำตนให้เป็นคนไม่เบียดเบียน เกื้อกูลผู้คนและสัตว์ มันถึงจะมีลาภก้อนนี้สะสมได้ ส่วนลาภคือเงินที่เขาเอาไปใช้จ่ายค่ารักษานี่ผมว่ามันเทียบคุณค่ากับการไม่มีโรคไม่ได้เลยนะ

ไม่เชื่อก็ลองเลือกดูก็ได้ ไม่ป่วย กับ ป่วยแล้วมีเงินรักษา จะเลือกกันแบบไหน … แต่ความจริงมันก็เลือกไม่ได้หรอก มันต้องทำเอา อยากได้รับผลกรรมแบบไหนก็ทำแบบนั้น เบียดเบียนก็ได้ผลเป็นโรคและอายุสั้น ไม่เบียดเบียนเกื้อกูลก็ได้ผลเป็นแข็งแรงอายุยืน ก็เลือกธรรมกันเอาตามที่ชอบ

ชอบเป็นทุกข์ก็เบียดเบียนกันต่อไปทั้งทางตรงทางอ้อมทางแอบ ๆ อะไรก็ตามที แต่ถ้าจะให้เป็นอยู่ผาสุกก็ต้องหยุดเบียดเบียน ชวนคนอื่นเลิกเบียดเบียน ยินดีในธรรมที่พากันไม่เบียดเบียน

ชีวิตคือการลงทุน

หลังจากได้เรียนบริหาร ผมก็เข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนมากขึ้น และหลังจากที่ได้รู้จักกับพุทธศาสนา ผมก็เข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนที่ให้ผลเป็นสุขมากขึ้น

เป็นธรรมดาของการลงทุนที่จะมีผู้ร่วมลงทุน มีกิจการที่จะลงทุน แต่ก่อนผมก็เหมือนกับคนอื่นนั่นแหละ คิดว่าการลงทุนกับการมีครอบครัวจะให้ผลเป็นสุข เป็นบวก ได้กำไร ฯลฯ แต่เมื่อได้ศึกษามากขึ้นก็พบว่าการอยู่เป็นครอบครัวนั้นเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ส่วนมากเป็นทุกข์ โดยค่ารวม ๆ ติดลบ

ลงทุนในกรอบแคบ ๆ ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วย เหมือนการเอาความหวังไปฝากไว้กับคู่รัก ลูกหลาน มันก็ต้องผิดหวัง ต้องทุกข์ ต้องหวั่นไหวกับความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา

และใช่ว่าธุรกิจครอบครัวจะไปได้ดี การไว้ใจญาติ บางทีก็ให้ผลเสียอย่างคาดไม่ถึงเหมือนกัน แต่การจะใช้ชีวิตคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องดีอีกเหมือนกัน ดังนั้นเราจึงควรเลือกหน่วยลงทุนที่ให้ความเจริญสูงสุด/เวลา คือเลือกกลุ่มที่ปฏิบัติดี พากันลดโลภ โกรธ หลง แล้วไปลงทุน ลงแรงร่วมกับเขา

ผมไม่เชื่อว่าถ้าผมยังดำเนินกิจกรรมไปตามโลก ไปเป็นพนักงาน หัวหน้า ผู้บริหาร เจ้าของกิจการ ฯลฯ แล้วผมจะรอดพ้นจากทุกข์ไปได้ เพราะจากที่ผมเห็นมาตั้งแต่เกิด คนที่ดูเหมือนประสบความสำเร็จรุ่งเรืองใหญ่โต ก็ไม่เห็นจะพ้นทุกข์ เป็นสุขกันตรงไหน ดูเผิน ๆ เปลือกเขาก็สวยดี แต่ใส้ในก็ไม่เห็นน่าดูกันสักคน

ผมก็เลือกที่จะไม่เดินทางนั้น ก็เลือกมาดำเนินชีวิตทางธรรมดีกว่า ในเบื้องต้นเป็นฆราวาส(ผู้ครองเรือน) ก็มีอาชีพจิตอาสาให้ทำ เงินไม่ได้หรอก แต่เขาไม่ปล่อยให้อดตายแน่ ๆ และรับประกันได้ว่าจะมีงานทำตลอดชีวิต ไม่มีวันตกงาน งานฟรีมีให้ทำเยอะมาก เลือกสาขาได้ตามที่ถนัดเลย

แต่ถ้าเราไม่ขัดเกลากิเลสของเราออกบางส่วนก่อนมันจะไม่คิดแบบนี้นะ มันจะมุ่งไปทางโลก แสวงหาวัตถุลาภยศมาบำเรอตัวเองอย่างเดียวเลย ถ้าให้มาทำจิตอาสาไม่มีเงินเดือนนี่มันไม่เอาเพราะมันไม่ได้เสพดั่งใจ ถ้าทำงานหาเงินนี่อยากได้อะไรก็ไปซื้อ แต่ถ้ามาใช้ชีวิตแบบไร้เงินเดือนนี่มันต้องสังวรระวัง และต้องอดทนอดกลั่นต่อความอยากมาก มันไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ เลย ตรงนี้แหละมันเริ่มจะมีทิศทางไปสู่ความเจริญแล้ว เพราะเรากินน้อยใช้น้อย ทุนที่ลงไปก็ต่ำ เราทำงานมาก ทำดีมาก กำไรเราก็เยอะ รับรองว่าชีวิตทำงานฟรีกินใช้ไม่มีหมด ยังทำไม่ได้ชัด ๆ หรอกนะ แต่ดูจากครูบาอาจารย์เป็นตัวอย่างเอา ที่เหลือก็แค่ทำตามให้ได้

และตอนนี้ก็ทำไม่ได้เต็มตัวหรอก เป็นได้แค่ครึ่งตัว อีกครึ่งตัวก็ต้องให้เป็นไปตามวิบากกรรม แต่ผมเชื่อนะว่าการลงทุนทางธรรมนี่แหละคุ้มค่าที่สุด เอาปริญญาบริหารเป็นประกันเลยเอ้า…

วิบากกรรมโหดร้ายจนไม่กล้ามีลูก

พอดีอ่านเจอหัวข้อ “มีใครคิดว่าโลกนี้โหดร้ายจนไม่กล้ามีลูกไหมคะ” ในเว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง

ก็มาระลึกถึงเรื่องนี้ แต่ก่อนสมัยศึกษาธรรมะใหม่ ๆ ผมเองก็ยังหลงอยู่นะ หลงว่าตัวเองเก่งไง แบบว่า เราต้องสอนลูกให้เป็นคนดี ให้เก่งได้แน่ ต้องดูแลเขาได้(ในแบบของเรา) ให้ดีได้แน่ ๆ แหม่ อัตตามันก็พาเก่งเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ละนะ พอหลงว่าเก่ง ก็เลยอยากมีลูกสนองความเก่งด้วยความมั่นใจ

แต่โชคดีที่ขั้นตอนการมีครอบครัวมันไม่ง่ายประกอบกับการศึกษาระหว่างทาง ก็ทำให้พบว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิดแน่ ๆ ถึงเราจะหลงว่าตัวเองเก่งแค่ไหน แต่มันก็ไม่เก่งเกินกรรมหรอกว้า…

ไปศึกษากรณีของพระเจ้าพิมพิสาร สาวกระดับโสดาบัน ถูกลูกตัวเองฆ่าตายได้เหมือนกัน …ยิ่งอ่านยิ่งทบทวน ความอวดเก่งมันก็เริ่มหายไป ท่านขนาดนั้นยังไม่รอด แล้วเราจะไปเหลืออะไร ท่านทำดีมีบารมีสะสมมาระดับเป็นกษัตริย์ที่เก่งและมีคนรักขนาดนั้น วิบากกรรมชั่วยังตามไล่ล่า ไอ้เราก็แค่นี้จะไปรอดอะไร

เท่านั้นแหละ มันเลิกเก่งเลย เพราะรู้ว่าเก่งแค่ไหนก็ไม่ชนะกรรม ถึงคุณจะมีกลยุทธ์ดี มีจิตวิทยาดี มีการวางแผนที่ดี ฉลาดในการแก้ปัญหา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะรับมือกับวิบากกรรมได้ เพราะมันจะมาเหนือเมฆเสมอ คือเหนือกว่าความสามารถของคุณไปอีกนั่นแหละ เก่งแค่ไหน ฟ้าก็ส่งโจทย์มาเหนือกว่านั้น

ให้โจทย์ให้บทเรียนมา จะได้เลิกโง่เลิกหลงซะที มันจะต้องทุกข์ไปถึงไหนถึงจะพอใจ ถึงจะสาแก่ใจ แรก ๆ กิเลสมันก็หลอกเราให้หลงว่า มีลูกแล้วจะได้นั่น ได้โน่น ได้นี่ สารพัด ความสุขบ้างละ ชีวิตครอบครัวสมบูรณ์บ้างล่ะ มีคนดูแลในอนาคตบ้างล่ะ

สารพัดเหตุผลที่กิเลสมันจะปรุงมาให้ นี่ยังไม่รวมมิตรเฉโกพากันเมากิเลสอีกนะ แต่ละคนก็พกกิเลสกันมาแล้วก็มาแชร์กัน แบ่งปันกัน มีลูกดีอย่างนี้ มีครอบครัวดีอย่างนั้น มันก็พากันไปนรกเลย นี่เขาเรียกคบมิตรชั่ว แต่คนส่วนใหญ่ชอบ เพราะถูกใจกิเลส

มิตรดีนี่ขายออกยากหน่อย พระพุทธเจ้านี่ยอดมิตรดีเลย ท่านตรัสบอก ตั้งตนเป็นโสดนี่คนเขาก็รู้กันว่าเป็นบัณฑิต ส่วนคนโง่ฝักใฝ่ในเรื่องคู่ย่อมเศร้าหมอง (มันก็ต้องมีคู่ก่อนมีลูกละนะ) ส่วนใหญ่เขาไม่มาโสดกันหรอก เขาไปมีครอบครัวกันแทน

เขาก็หลงว่าลูกหรือคู่ครองนี่แหละมิตรดี ไปศึกษาเลย เรื่องพระเจ้าพิมพิสาร ดีขนาดนั้น เก่งขนาดนั้น บารมีขนาดนั้น โดนลูกตัวเองฆ่า

มันไม่แน่หรอกว่าไอ้ที่ออกมาอะไรมันมาเกิด จะเป็นสัตว์นรกหรือเทวดามาเกิด ขนาดว่าพระเจ้าอชาตศัตรู (ลูกพระเจ้าพิมพิสาร) ในตอนท้ายกลับใจมาศรัทธาพุทธศาสนา ซึ่งจริงๆ ท่านก็มีบารมีมากเหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าจะหนีพ้นวิบากได้ โดนโลก โดนคนชั่วพาหลงไปฆ่าพ่อตัวเอง

ดูซิการมีลูกมันน่ากลัวขนาดไหน นี่ร้ายยังน่ากลัวนะ ดียิ่งน่ากลัวกว่า คือมันร้ายลึก ทุกข์แบบหน่วง ๆ เพราะพอมีลูกดีก็จะรักจะห่วง จะกอดลูกไว้ กลัว กังวล หวงห่วง สารพัด พอเขาดีจัดก็ไม่ยอมให้ใคร กอดไว้คนเดียว อาจจะเสพติดความดีของลูกเข้าไปอีก ไปกันใหญ่

สรุปคือไม่มีน่ะดีแล้ว จะดีจะร้ายก็ปล่อยเขาไปเถอะ เขาจะไปเกิดที่ไหนก็เรื่องของเขา ถ้าจิตวิญญาณเขาดีจริง ไปเกิดที่ไหนเขาก็ดีตามธรรมของเขา เราก็ไม่ต้องไปเอาเขาไว้เป็นของเรา

เพราะจริง ๆ แม้เขาจะเป็นลูกที่เกิดจากเรา เขาอาศัยเรามาเกิดก็จริง แต่เขาก็ไม่ใช่ของของเรา เขาก็เป็นตัวของเขา มีเส้นทาง มีวิบากเป็นของเขาเอง ความจริงมันแยกกันชัดเจน มีแต่ตัวเราเท่านั้นแหละ ที่พยายามเข้าไปผูกให้มันเป็นเรื่องเป็นราว ให้เป็นละคร เป็นนิยาย ที่ไม่ยอมจบมาแล้วหลายภพหลายชาติ

นาบุญ

ช่วงหลายวันก่อนมีประเด็นคุยกับพี่น้องร่วมปฏิบัติธรรมกันอยู่บ้างในเรื่องที่คนเขาไปบำเพ็ญ ทำดีกันในที่ต่าง ๆ กัน

คำถามก็คือทำไมคนถึงไม่มาร่วมกันทำดีในที่ที่น่าจะได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งที่มีครูบาอาจารย์พูดกำชับอยู่แล้วว่าที่นั่นที่นี่ควรทำก่อน…?

ก็จริงอยู่ที่ว่าคนเราทำดีที่ไหนก็ได้ มันก็จริง แต่มันก็ได้ผลไม่เท่ากัน เหมือนปลูกข้าวในที่ดินดีกับปลูกข้าวในที่แห้งแล้ง มันก็ได้ปลูกเหมือนกันนั่นแหละ แต่มันได้ผลไม่เหมือนกัน

คืออาจจะเหนื่อยเท่ากัน แต่ผลดีเกิดไม่เหมือนกัน แล้วเราจะเลือกทำดีที่ไหนล่ะ ดีที่เกิดผลสูงสุด หรือดีที่เกิดทั่ว ๆ ไป

ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดที่ทุกคนจะเข้าถึงดีที่สูงที่สุดได้ แต่ละคนจะมีขอบเขตที่ตนปฏิบัติได้ โดยถูกกันจากวิบากกรรมตนเองบ้าง กิเลสตนเองบ้าง ไม่ให้มี “สิทธิ์” เข้าถึงพื้นที่นาบุญแห่งนั้นได้

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่เข้าถึงสิทธิ์นั้นจะทำดีได้มากกว่า เขาเพียงแค่ได้โอกาสทำดีได้ผลดีมากกว่า ซึ่งนั่นก็ดี แต่ถ้าหากเขามัวแต่ปลูกหญ้าในนาบุญ มันก็จะไม่ได้ข้าว ทำให้โอกาสเหล่านั้นเสียเปล่าไปเรื่อย ๆ

การอยู่ในที่ที่ดีมันก็เป็นดาบสองคม คือถ้าทำดีไม่เต็มที่ก็จะเสื่อมเร็ว เพราะทุกวันก็ต้องกินต้องใช้ ก็เอาไปให้กิเลสกินหมด กุศลกรรมที่ทำมามันก็หมดเร็ว พอถึงจุดนึงหมดแล้วมันก็ต้องร่วง ต้องหลุดออก ไปต่อท้ายแถวใหม่

ไปต่อไกล ๆ นู้นนน ทำดีรอบ ๆ ไป ทำดีเต็มที่ สุดท้ายก็ได้เข้ามาใหม่ ก็อยู่ที่ว่าตอนได้สิทธิ์นั้น ทำดีคู่ควรกับสถานที่/โอกาส/คน ฯลฯ นั้นหรือไม่

ส่วนตัวผมใครจะทำดีที่ไหนยังไงก็เข้าใจเขานะ เพราะเราก็เคยมีประสบการณ์ทั้งสองแบบนั่นแหละ คือทำดีในที่ห่างไกลความเจริญทางธรรม(นาบุญ) กับทำดีในนาบุญ มันก็แตกต่างกัน แต่มันก็เข้าใจเหตุปัจจัยของสิ่งเหล่านั้น ว่าโลกนี้มันก็พร่อง ๆ แบบนี้แหละ

มันจะไปเอาดีที่สุดเลยทันทีไม่ได้ มันต้องกำจัดขวากหนาม(กิเลส/วิบากกรรม) ตามทางไปก่อน จะไปตะลุยดงหนามมันจะเจ็บมาก ทรมานมาก สุดท้ายมันก็ดีได้เท่าที่มันควรจะเป็นนั่นแหละ