น้ำปัสสาวะรักษาโรค?

ช่วงนี้เป็นประเด็นสังคมอย่างมาก เกี่ยวกับการใช้น้ำปัสสาวะรักษาโรค อาการบาดเจ็บ ตลอดจนใช้บำบัดอาการไม่สบายต่าง ๆ

ส่วนตัวผมก็เห็นว่าก็ดีนะ ก็เป็นโอกาสที่คนจะได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เป็นทางเลือกหนึ่งในการบำบัดอาการเจ็บป่วยที่ประหยัด หาได้ง่าย และไม่มีโทษ

ส่วนตัวผมเคยทดลองใช้มาหลายแบบ ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีโทษอะไรเกิดกับตนเอง ในทางกลับกันส่วนมากจะเป็นประโยชน์ อาจจะมีบ้างที่มันไม่เกิดผล คือ หายจากอาการของโรคนั้น ๆ ชัดเจน นั่นก็เพราะสาเหตุมันมีหลายอย่างที่ต้องแก้ น้ำปัสสาวะก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ช่วยบำบัด แต่บางอาการเจ็บป่วยมันต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ปรับสมดุลอาหาร ออกกำลังกาย ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น

ทีนี้ผมเห็นอย่างไรเกี่ยวกับวิพากวิจารณ์ที่ค่อนข้าง… เรียกว่าไม่สร้างสรรค์แล้วกันนะ เช่น เขาไม่ชอบ เขาก็มาแสดงอาการชังแบบเต็มที่ อันนี้เราก็เห็นว่าน่าเห็นใจ เพราะเขาไม่ใช้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ที่เขาชัง มันก็ทุกข์ของเขาแล้ว มันก็เบียดเบียนคนอื่นด้วย

แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของโลก มันก็อย่างนี้แหละ มันก็ต้องกระทบความเห็นที่แตกต่างแล้วทำใจไม่ให้ทุกข์ ไม่ให้ชังที่เขาด่า ไม่ให้ชอบที่เขาเห็นด้วย โลกมันก็เป็นไปอย่างนั้น แล้วแต่ใครจะยึดถืออะไรเป็นสำคัญ

ส่วนตอนจบ ผมว่า มันก็มีแค่ใครอยากใช้อะไรก็ใช้ไปนั่นแหละ เป็นไปตามวิบากกรรมของแต่ละคน เพราะมันก็ทุกข์ของใครของมัน เขาหายโรคมันก็ไม่ใช่สุขของเรา เขาตายจากโลกมันก็ไม่ใช่ทุกข์ของเรา เราก็แค่อาศัยสิ่งที่หาได้ง่ายและไม่มีโทษในการดำรงชีวิต แล้วก็อยู่ทำประโยชน์ไป แต่จะให้ไปวิวาทกับเขานี่ไม่เอานะ ไม่ไหว

เพราะคนเห็นด้วยกับคนเห็นต่าง มันก็มีมวลแตกต่างกันเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าเปรียบคนที่เข้าใจธรรมะพุทธแท้ คือฝุ่นปลายเล็บ เมื่อเทียบกับดินทั้งแผ่นดิน

ถ้าเราต้องไปยุ่งกับดินทั้งแผ่นดินนี่เหนื่อยตายเลย มีกี่ชีวิตก็ไม่พอ ผมก็เอาแค่ฝุ่นปลายเล็บนี่แหละ ไม่เกินแรง ใครเขาไม่ใช้เราก็ไม่บังคับเขา อย่างเก่งถ้าเขาสนใจ เราก็นำเสนอไป เขาไม่เอาก็วาง แบบนี้มันไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่

อนาคตใหม่วนไปที่เก่า

ผู้คนแสวงหาอนาคตใหม่ ๆ ทางเลือกใหม่ ๆ เผื่อว่าอะไรมันจะดีกว่าเดิม ก็จริงอยู่ที่ว่าอนาคตนั้นมีอยู่ ความแปลกใหม่นั้นมีอยู่ แต่ความดีนั้นอาจจะไม่มีจริง

ซึ่งทางเลือกใหม่ อนาคตใหม่ อาจจะเป็นเหวแห่งทุกข์เดิม ๆ ที่เคยตกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็เป็นได้

ความวนเวียนกลับไปที่เก่า หมายถึงความไม่เจริญ ความเสื่อม แต่ความวนเวียนนี้คืออะไร ในเมื่อใครต่อใครก็อ้างบอกกล่าวกู่ร้องก้องตะโกน ว่าข้าของใหม่ ข้าจะมาเปลี่ยนแปลง ฯลฯ

ความวนเวียนคือความไร้ศีลธรรม ไร้ความเคารพ ไร้ศรัทธา เมื่อคนสิ้นศรัทธาแก่ผู้ที่ควรเคารพบูชา ถือเอาตนเป็นที่ตั้ง ถือเอาตนเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ดูถูกคุณความดีของผู้อื่น(มักขะ) ถือเอาความเห็นตนเป็นใหญ่(มานะ)

ความวนเวียนคือความเสื่อมในศรัทธาต่อสิ่งที่ดีงาม บางคนมีความเห็นว่าศาสนาไม่จำเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณไม่จำเป็น นั่นก็เพราะเขาไม่มีศรัทธา

ซึ่งในศาสนาพุทธเรียกว่าอินทรีย์พละ ผู้ที่จะเจริญ หรือเป็นคนดีที่ดีแท้ในศาสนาพุทธอันดับแรกคือมีศรัทธา นั่นคือเบื้องต้นในนิยามคนดีของพระพุทธศาสนา

การที่เขาไม่มีความศรัทธาในบุคคลที่ควรศรัทธา ไม่ศรัทธาในธรรมที่ควรศรัทธา นั่นเพราะเขายังไม่มีปัญญาเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นดีอย่างไร มีคุณค่าอย่างไร เป็นสิ่งล้ำค่าอย่างไร จึงตีทิ้งคุณค่าเหล่านั้นไป เปรียบเหมือนไก่ได้พลอย กิ้งก่าได้ทอง

ซึ่งก็ไม่แปลกสำหรับยุคสมัยที่ใกล้กลียุคเข้าไปทุกที ความชั่วมีมาก ความดีมีน้อย คนส่วนมากที่เกิดในยุคนี้คือคนที่ไม่มีธรรมะติดตัวมาเลย มีแต่สัญชาติญาณ กิเลส ความยึดมั่นถือมั่น อัตตาตัวตนทั้งหลายแหล่ …ถึงจะเก่ง ถึงจะโดดเด่นขึ้นมาได้ แต่ก็อาจจะเป็นเพียงแค่คนฉลาดในเล่ห์เหลี่ยมของกิเลส คือ โกง หลอกลวง ตลบแตลง เล่นละครต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลสำเร็จของตน

นั่นหมายถึงถ้าเราเลือกคบคนไม่มีศีลธรรม เราก็จะวนกลับไปสู่ยุคที่ไม่มีความดี ยุคที่ไม่มีความเจริญทางจิตวิญญาณ หรือสรุปสั้น ๆ ว่าจะเข้าไปสู่กลียุคได้ไวขึ้น

เพราะถ้าเรามีผู้นำที่ไม่มีศีลธรรม ไม่มีความศรัทธาในศาสนา ไม่เคารพบุคคลที่ควรเคารพบูชา เขาย่อมไม่มีหลักยึด จะมีให้ยึดก็เพียงแต่ตัวตนของเขา ที่เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน

ความเก่ง ความมั่นใจ ความรู้ ความสามารถ ทักษะในการพูด วาทะที่โน้มน้าวน่าฟัง ฯลฯ ไม่ได้เป็นตัวตัดสินได้เลยว่าคนจะเป็นคนดี หรือจะเป็นผู้นำที่นำพาผองชนไปสู่ความผาสุกได้

ศีลธรรมต่างหากที่จะเป็นที่พึ่ง เป็นเครื่องนำความเจริญและความผาสุกมาให้ผองชน

เพราะถ้าไม่มีศีลธรรม ก็จะต้องพบกับความวนเวียนไม่รู้จบ เกิดมาเป็นคน ไม่ทำสิ่งดี ทำแต่สิ่งชั่ว ก็วนกลับไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ใช้วิบากกรรมวนเวียนไป จนได้เกิดมาเป็นคนอีก ก็ยังไม่สำนึก ยังแสวงหา เบียดเบียน บ้าอำนาจ สุดท้ายก็ใช้กุศลกรรมที่ทำมาจนหมดไปกับกิเลส ก็วนกลับไปเป็นสัตว์ วนเวียนไปเช่นนี้ไม่รู้จบ

ดังนั้นอนาคตที่ว่าใหม่ อาจจะเป็นนรกขุมเดิม ๆ ก็เป็นได้ … ไม่เหนื่อยกันบ้างหรอ

หายไปไหนช่วงน้ำท่วม

ช่วงที่ผมไม่อยู่นั้น เนื่องจากอพยพหนี (เที่ยว) น้ำท่วม ใช่ว่าผมจะไม่เดือดร้อนในช่วงน้ำท่วมเสียทีเดียว แต่ผมเลือกที่จะไปรับประสบการณ์ที่แตกต่างกับการอยู่บ้านต้่อนรับน้ำท่วม

แม้ว่าตอนนี้บ้านของผมดูเหมือนจะรอดพ้นวิกฤตน้ำท่วมแล้ว ซึ่งมันก็ยังไม่เคยท่วมส่วนสาเหตุนั้นจะเพราะอะไรก็ช่าง สรุปก็ถือว่าโชคดี เพราะดูในแผนที่น้ำท่วม น้ำมันท่วมรอบๆเขตบ้านไปหมดแล้ว แต่ที่หมู่บ้านยังปกติ แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ผมรับรู้หลังจากกลับมาที่บ้านครับ

การอพยพหนี (เที่ยว) น้ำท่วม สำหรับผมนั้นถือเป็นโอกาสที่ผมจะได้ลองไปรับประสบการณ์ใหม่ๆ เพราะก่อนหน้าที่ผมจะตัดสินใจออกจากบ้านนั้น ผมได้ไปรับประสบการณ์ของคนที่โดนน้ำท่วมมาแล้วครับ นั่นคือการลุยน้ำเข้าไปช่วยพี่สาวย่านดอนเมืองอพยพออกมา สิ่งที่ผมได้รับในวันนั้น คงจะเล่าในบทความต่อไป แต่ผมบอกได้เลยว่านั่นคือประสบการณ์ที่ทำให้ผมมั่นใจที่จะออกไปดีกว่าที่จะทนอยู่

โอกาส กับทางเลือก

แน่นอนว่าประชาชนทุกคนคงจะทำอย่างผมไม่ได้ เพราะเราไม่ได้มีเท่ากัน ทางเลือกเราไม่เท่ากัน ผมมีทางเลือกที่พอจะเป็นไปได้อยู่หลายทาง แน่นอนว่าผมจะไม่เอาตัวเองไปเบียดเบียนคนที่มีความจำเป็นกว่าแน่นอน สิ่งที่ผมคิดนั่นคือการตัดโอกาสการกลายเป็นภาระทางสังคมของตัวผมทิ้งเสีย และย้ายตัวเองไปมองดูจากวงนอก ซึ่งน่าจะดีกับคนส่วนใหญ่มากกว่า

พื้นที่ในกรุงเทพฯนั้นเต็มไปด้วยผู้คน ผมไม่เคยคิดว่ากรุงเทพฯ นั้นสำคัญที่สุดในประเทศ แต่ผมมองในเรื่องของรายละเอียดมากกว่า เมื่อมีคนมาก การจัดการก็ยาก ตรอกซอกซอย ชุมชนสารพัด ซึ่งน่าจะเรียกว่ามหาศาล เมื่อน้ำเข้ากรุงเทพ การช่วยเหลือ การจราจร ทุกอย่างดูจะเป็นสิ่งที่ไม่มีทางจัดสรรได้อย่างลงตัวแน่นอน และนั่นคือเหตุที่ผมตัดสินใจอพยพหนี (เที่ยว) น้ำท่วมไปดีกว่า

อพยพหนี (เที่ยว) น้ำท่วมไปไหน?

ผมเคยคิด เคยฝันไว้ว่าผมจะได้เดินทาง ไปเที่ยวโดยไม่มีกฏอะไรมาหยุดไว้ (ยกเว้นเงิน) ผมอยากจะหยุดในที่ผมอยากจะหยุด ผมอยากจะอยู่ในที่ ที่ผมอย่างจะอยู่ ผมอยากจะทำอะไรก็ได้ในช่วงเวลาที่เป็นของผมอย่างแท้จริง น้ำท่วมครั้งนี้คือโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ที่ผมจะได้ไปค้นหาอะไรในตัวเองเพิ่มขึ้น นี่คือจินตนาการของผม

ความเป็นจริงก็คือผมไปได้ในระยะที่พอจะไหว เขตใกล้ๆกรุงเทพที่น้ำไม่ท่วมและเดินทางไม่ไกล เพราะงบประมาณมีจำกัดมาก และไม่รู้ว่าต้องอยู่นานแค่ไหน เลยต้องคิดคำนวนกันให้ดี ที่พักส่วนใหญ่จะเป็น บ้านเพื่อน บ้านญาติ โรงแรม อะไรประมาณนี้ ซึ่งจะเน้นประหยัดไว้เป็นหลัก เพราะถ้างบหมด นั่นหมายถึงอิสระแห่งจินตนาการของผมก็คงต้องดับลงไป

สรุปแล้วช่วงที่ผมไม่อยู่ ผมก็แทบไม่ได้เข้าอินเทอร์เน็ต เลยครับ จะมีเข้าบ้างก็บางทีเพราะอุปกรณ์ไม่ค่อยอำนวยเท่าไหร่ ส่วนเรื่องผมไปเที่ยวไหนอะไรยังไง รายละเอียดเดี๋ยวค่อยมาเขียนกันอีกทีนะครับ เอาแค่ว่าหนีน้ำท่วมไปเที่ยวแล้วกันนะ

สวัสดี

เรื่องเล่าไม่ประจำวัน ความหิวของจุ๊บ ความฝันของตัวใหญ่

เรื่องเล่าวันนี้ ที่ไม่เล่าประจำวันก็เพราะว่า มันไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องแมวสองตัวให้อ่านกัน…

เริ่มจากจุ๊บก่อน วันนี้ผมเปิดประตูหลังบ้านไปชมบอนสีตามปกติ และก็เหมือนเดิมตามปกตินั่นคือจุ๊บจะนอนอยู่ที่ประตู พอเปิดไปก็ชนมันพอดี ก็ดันๆมันไปมันก็ลุกออกไป ทีนี้พอมันเดินไปนิดหนึ่งก็หันกลับมาร้อง ผมก็ยืนดูบอนสีอยู่ หันไปมองมันก็ร้องอีก มันเดินไปอีกนิดก็หันมาร้องอีก หลาย เหมียวมาก ซึ่งปกติหลายปีผ่านมาผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงจุ๊บร้องเลย คนที่บ้านก็คิดว่ามันเป็นแมวใบ้ แต่ตอนนี้มันเริ่มร้องบ่อยขึ้น

กลับมาที่หลังบ้าน บอนสี และแมวจุ๊บ ผมยืนดูมัน มันหันกลับมาดูผม มองหน้าผม และร้องอีกครั้ง ผมพอจะเดาความต้องการของมันได้เลยบอกมันว่า ” รอแปปหนึ่ง เดี๋ยวจะไปเทให้ ” เทที่ว่านี้คือเทอาหารแมวนั้นเอง ผมเข้าบ้านปิดประตูหลัง เปิดตู้เย็นหยิบแก้ว หยิบขวดน้ำ เทน้ำ กินน้ำและเอาขวดใส่ตู้เย็นและวางแก้วไว้ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูหน้าบ้านเพื่อออกไปกินข้าว

เมื่อเปิดประตูหน้าบ้านก็พบจุ๊บอยู่หน้าบ้านนอนพิงประตูอยู่เลย เหมือนว่ามาจองที่อย่างไรอย่างนั้น ผมดันมันออกไปและลูบหัวมันทีหนึ่งเล่นกับมันนิดหน่อยแล้วเทอาหารแมวให้มัน

ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ผมเพิ่งคิดได้เมื่อกี้ว่า ที่จุ๊บมันมานอนหลังบ้านมันรู้หรือเปล่าว่าผมจะออกมาดูบอนสี หรือมันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ…?

————————————————–

กลับมาที่เรื่องตัวใหญ่กันบ้าง หลังจากผมออกไปกินข้าวและขับรถกลับมานั้น ในระหว่างเข้าซอยในหมู่บ้านผมเป็นฝูงแมวสามตัว และหนึ่งในนั้นคือตัวที่ผมคุ้นเคยดี…

tuayai

ตัวใหญ่เป็นแมวที่อยู่กับบ้านผมมานาน และไม่นานนี้หลังจากเราได้ย้ายมาบ้านใหม่ที่นี่นั้น ตัวใหญ่เริ่มจะออกไปข้างนอกบ่อยขึ้น และบ่อยขึ้นจนไม่กลับมาให้เห็นเป็นเดือนๆเลย ซึ่งก่อนหน้านี้ผมคิดว่ามันตายไปแล้วด้วยซ้ำ

ตัวใหญ่เป็นแมวหนุ่มที่ดูเหมือนจะเก็บกด ตอนเด็กๆก็โดนเจ้านายรังแก ( ผมเอง ) โตมาแม้จะตัวใหญ่ก็ไม่มีความมั่นใจ อยู่ที่บ้านเก่าที่ลาดพร้าวก็ต้องกลัวแมวเจ้าถิ่นเขาเดินมาก็ยอมให้อาหารกิน โดนขู่ก็วิ่งหนี…

และหลังจากที่ผมพบฝูงแมวสามตัววันนี้ และหลังจากที่ผมรู้ว่าหนึ่งในนั้นคือตัวใหญ่ ผมจึงขับรถไปเทียบเพื่อลองเรียกมันดู ตัวใหญ่นั่งนิ่งมองดูผม ในขณะที่แมวตัวอื่นดูงงๆและตกใจ ผมรู้ทันทีว่าตัวใหญ่ได้อยู่ในที่ ที่มันชอบแล้ว มันมีฝูงของมัน มีกลุ่มของมัน มีเพื่อนของมัน และมันก็ดูจะอาวุโสที่สุดในกลุ่มเสียด้วย

แม้ว่ามันจะไม่ได้กลับบ้าน แต่เห็นมันวนเวียนอยู่แถวบ้านก็ยังอุ่นใจ อย่างน้อยที่แน่นอนเลยคือต้องมีคนคอยให้อาหารมันแน่ๆ เพราะมันไม่ได้ดูผอมอย่างที่คิดเลย และปลอกคอของตัวใหญ่นั้นก็ยังติดอยู่ แต่ของจุ๊บนั้นหลุดไปแล้ว

จุ๊บไม่ชอบปลอกคอเอามากๆ อยากจะถอดจะเป็นจะตาย แต่ตัวใหญ่ไม่มีอาการแบบนั้น เมื่อถึงสถานะการที่มีข้อจำกัดดูเหมือนตัวใหญ่จะทนได้ดีกว่าจุ๊บหลายเท่านัก จริงๆอาจจะไม่เรียกว่าทนก็ได้ อาจจะเป็นไม่รู้อะไรเลย หรือไม่ก็ไม่สนใจอะไรเลยนั่นเอง

สำหรับวันนี้ ผมดีใจที่ได้เจอตัวใหญ่อีกครั้ง

สวัสดี