คนไข้และหมอจะพากันป่วยตาย…

ตอนแรกที่ได้ยินก็พอเข้าใจอยู่ แต่ไม่ค่อยเห็นภาพชัด แต่พอไปโรงพยาบาลเมื่อวาน ภาพก็ชัดเจนขึ้นทันที ว่าปลายทางคือพากันป่วยตายแน่นอน

จากประโยคเต็ม “หมอที่ดีที่สุดในโลกคือตัวคุณเอง ถ้าสุขภาพพึ่งตนเกิดไม่ได้ คนไข้และหมอจะพากันป่วยตาย” จากอาจารย์หมอเขียว (ดร.ใจเพชร กล้าจน)

ผมเห็นภาพที่คนไข้มากมายต่างมารอการรักษา ซึ่งโดยสถิติตามที่ได้รับรู้มาคือคนไข้โดยรวมไม่เคยลดลงเลย มีแต่มากขึ้น โรงพยาบาลก็สร้างตึกมากขึ้น นี่คือสิ่งที่แสดงการขยายตัวของความเจ็บป่วย

คนไข้ป่วย นี่เขาก็มีโอกาสจะตายอยู่แล้ว แต่หมอป่วยตายตอนแรกก็ยังไม่เข้าใจจนไปเห็นภาพ คนไข้ที่มหาศาล แล้วหมอกับพยาบาลต้องแบกรับไว้

คนป่วยคนไข้ นี่เขามาพร้อมกับวิบากบาป โดนทำให้ป่วย ให้เป็นทุกข์ เป็นพลังทางลบ หดหู่ เศร้าหมอง ถ้าถามว่าช่วยเขามันดีไหม มันก็ดีแหละ ได้ใช้ชีวิต ได้ใช้เวลาและความสามารถช่วยเหลือคนอื่นมันก็ดี มันก็เป็นกุศลกรรมที่ดี

แต่ปัญหาคือเขามาให้เรารักษาเขาไม่ได้คิดจะพึ่งตน เขาไม่ได้ให้ความร่วมมือกับการรักษาขนาดนั้น ถ้าตามหลักพุทธความเจ็บป่วยความตายนี่มันเกิดจากความเบียดเบียน แล้วเอาง่าย ๆ แค่ตามที่หมอแนะนำ ส่วนมากเขายังทำกันไม่ค่อยได้เลย เช่น ออกกำลังกายบ้าง ลดอาหารรสจัดบ้าง แค่นี้ก็ยากแล้ว

ซึ่งในความจริงมันก็ต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือแก้ที่กิเลส แก้ความอยากได้อยากมีอยากเสพที่ฟุ่มเฟือยเกินไปจนเบียดเบียนชีวิตตนเองและผู้อื่น

แล้วคนไปรักษาเขาอยากพรากจากกิเลสไหมล่ะ ไม่มีหรอก เขาแค่อยากหาย แล้วก็กลับไปเสพตามที่เขาสมใจ สร้างทุกข์ สะสมเหตุแห่งทุกข์แล้วมาให้หมอกับพยาบาลแก้

แล้วหมอกับพยาบาลก็พากันแก้ได้เต็มที่แค่วัตถุ วัตถุมันก็เท่านั้นแหละ เท่าที่เห็นคนเต็มโรงพยาบาล แก้ได้จริงโรงพยาบาลมันต้องเกือบร้างสิ มันก็ไม่ 100% เพราะวัตถุนี่มันสังเคราะห์ตามจิตวิญญาณ มันยังมีองค์ประกอบที่แก้ด้วยวัตถุไม่ได้อยู่เหมือนกัน เช่นความเครียด ความกังวล ความกลัว ความอยาก ฯลฯ ซึ่งเป็นเหตุที่ส่งผลต่อการเกิดหรือการกำเริบของโรค

แล้วโดยหน้าที่ หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ ก็ต้องแบกคนไข้ เป็นทั้งอาชีพและจริยธรรม ส่วนตัวแล้วผมว่านี่มันซวยสุด ๆ เลยนะ คนเขาก็ว่าอาชีพนี้ดี ได้กุศล คนก็สรรเสริญ แต่จากมุมมองผมนะ ให้ไปแบกคนไม่ลดกิเลสผมไม่เอาด้วยหรอก มีแต่จะสร้างปัญหามาให้เรื่อย ๆ ปัญหาเดิมก็ไม่ลด แล้วยังสร้างปัญหาใหม่มาอีก ตายกันพอดี

แบกคนที่เขาพยายามล้างกิเลสมันยังพอไปไหวอยู่บ้าง แต่แบบว่าเอาแต่เสพสมใจ ทำชั่วมาเต็มที่ แล้วมาให้แก้นี่มันไม่ไหว มันก็เป็นอาชีพที่ดี รายได้ดี แต่ต้องมาแลกกับการแบกปัญหาที่แก้ไม่ได้ หรือแก้ได้ 1 แต่เพิ่มมา 2

ผมว่าบุคลากรทางการแพทย์จะป่วยตายก็เพราะแบบนี้แหละ ต้องมาร่วมแบกรับวิบากกรรมของการเบียดเบียน ของการสนองกิเลสตามใจอยาก

แล้วบุคลากรทางการแพทย์นี่ผมว่าสร้างไม่ทันคนเจ็บคนป่วยหรอก สุดท้ายอัตราส่วนก็จะขยายตัวต่างกันหลายเท่า แบกกันไปก็เจ็บป่วยล้มตายตามกันไป

การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ

วันนี้ไปธุระที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พบว่าคนเยอะกว่าไปเดินห้างอีก เห็นแล้วก็สงสัยว่านี่มันอะไรกัน ทำไมคนป่วยถึงเยอะขนาดนี้

ก็คิดทบทวน ก็เข้าใจว่ายุคนี้มันก็แบบนี้แหละ คนเบียดเบียนกันมาก เบียดเบียนสัตว์มาก ก็ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บล้มตายมากเป็นธรรมดา

พระพุทธเจ้าตรัสสอนสรุปความได้ว่า ผู้ที่เบียดเบียนสัตว์ ไม่มีความเอ็นดูต่อสัตว์ จะทำให้มีโรคมากและอายุสั้น (จูฬกัมมวิภังคสูตร เล่ม 14 ข้อ 579…)

แล้วยุคนี้คนกินเนื้อสัตว์ขนาดนี้ ส่งเสริมการล่าสัตว์ สนับสนุนโรงฆ่าสัตว์กันขนาดนี้ วิบากกรรมจะไปทางไหนได้นอกจากทางทุกข์

คนที่เขาไปโรงพยาบาลนี่เขาก็ดูมีเงินกันทั้งนั้นนะ ค่ารักษาไม่ใช่ถูก ๆ บางคนเขาก็คิดว่านี่การที่เขามีเงินรักษานี่แหละคือดี โชคดีที่มีเงิน ดีที่มีลาภ

อันนี้มันก็ตื้น ๆ พอเห็นได้ เข้าใจได้ง่าย แต่มันก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรมากมายนัก เพราะสุดท้ายก็ต้องไปหาเงินมาก ๆ เบียดเบียนชาวบ้านมาก ๆ เพื่อให้ได้เงินมา ก็เป็นวิบากบาปใหม่อยู่ดี วนเวียนไป ทำชั่ว รักษาตัว แล้วไปทำชั่วเพื่อมารักษาตัวใหม่

ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ นี่มันไม่ใช่เรื่องโชคช่วยนะ มันต้องทำเอา คือทำตนให้เป็นคนไม่เบียดเบียน เกื้อกูลผู้คนและสัตว์ มันถึงจะมีลาภก้อนนี้สะสมได้ ส่วนลาภคือเงินที่เขาเอาไปใช้จ่ายค่ารักษานี่ผมว่ามันเทียบคุณค่ากับการไม่มีโรคไม่ได้เลยนะ

ไม่เชื่อก็ลองเลือกดูก็ได้ ไม่ป่วย กับ ป่วยแล้วมีเงินรักษา จะเลือกกันแบบไหน … แต่ความจริงมันก็เลือกไม่ได้หรอก มันต้องทำเอา อยากได้รับผลกรรมแบบไหนก็ทำแบบนั้น เบียดเบียนก็ได้ผลเป็นโรคและอายุสั้น ไม่เบียดเบียนเกื้อกูลก็ได้ผลเป็นแข็งแรงอายุยืน ก็เลือกธรรมกันเอาตามที่ชอบ

ชอบเป็นทุกข์ก็เบียดเบียนกันต่อไปทั้งทางตรงทางอ้อมทางแอบ ๆ อะไรก็ตามที แต่ถ้าจะให้เป็นอยู่ผาสุกก็ต้องหยุดเบียดเบียน ชวนคนอื่นเลิกเบียดเบียน ยินดีในธรรมที่พากันไม่เบียดเบียน