การประกาศอรหันต์ในยุคปัจจุบัน

มีความคิดเห็นถามเข้ามาว่า กรณีที่สมณะโพธิรักษ์ประกาศความเป็นอรหันต์ในตนนั้น ผิดวินัยสงฆ์หรือไม่?

เป็นเรื่องที่น่าศึกษามากครับสำหรับประเด็นนี้ เพราะในยุคสมัยปัจจุบันที่กำลังดำเนินอยู่นี้ ไม่มีใครที่ประกาศอย่างมั่นใจเท่ากับนักบวชท่านนี้อีกแล้ว

ในความเห็นของผมซึ่งไม่ได้ศึกษาพระวินัยอย่างละเอียดนัก แต่ก็ได้ศึกษาภาพรวมของศาสนาจนคิดว่าสามารถใช้ความรู้มาเทียบเคียงได้

วินัยสงฆ์นั้นเป็นสิ่งที่นักบวชควรปฏิบัติ เป็นเสมือนวินัยในอาชีพ การปฏิบัติก็คล้ายวินัยของทหาร ซึ่งโดยค่ารวม ๆ เท่าที่ได้ศึกษามา สมณะโพธิ์รักษ์นี่แหละคือผู้นำวินัยสงฆ์ ในยุคที่พระวินัยนั้นตกต่ำติดตมสุด ๆ แล้ว ทั้งการพานักบวชไม่รับเงินรับทอง ไม่สวดมนต์ผิดวินัย ไม่ทำเดรัจฉานวิชา ไม่ส่งเสริมสิ่งที่ผิดไปจากจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ผมคิดว่าการที่ท่านได้แสดงออกถึงความถูกต้องอย่างตรงไปตรงมาในยุคนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะเรียกท่านว่าผู้ทรงวินัย

แล้วที่นี้การประกาศความเป็นอรหันต์ผิดวินัยไหม? ผมก็มีความเห็นว่าไม่ผิด เพราะพระพุทธเจ้าก็ประกาศตัวเองว่าเป็นอรหันต์ สาวกในสมัยพุทธกาลก็ยังมีที่ประกาศความเป็นอรหันต์ในตน ผมให้ความเห็นว่าการประกาศตัวเองว่าเป็นอรหันต์เป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่ผิด และเป็นประโยชน์ด้วย

ดังเช่นว่า ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ประกาศอย่างกล้าหาญว่า เราคือพระพุทธเจ้า เราคือพระอรหันต์ เราตรัสรู้เอง เราไม่มีอาจารย์ ก็จะไม่สามารถสร้างศาสนาได้ ศาสนาพุทธคือศาสนาแห่งการศึกษา ตรวจสอบ พิสูจน์ ดังที่เราคุ้นเคยกับคำว่า เอหิปัสสิโก คือเชื้อเชิญให้มาพิสูจน์กันได้ ก็คือพิสูจน์ความเป็นอรหันต์นี่แหละว่าทำได้จริงไหม

ส่วนวิธีพิสูจน์ก็ใช่ว่าจะเอาตรรกะมาวัด เอาทฤษฎีความรู้ความเข้าใจที่เคยได้เรียนมา มาวัด มันต้องใช้การปฏิบัติวัด คือถ้าทำตามแล้วพ้นทุกข์ ก็ใช่ ถ้าทำตามแล้วไม่พ้นทุกข์ เกิดอกุศล เกิดชั่วก็ไม่ใช่ แล้วก็ใช่ว่าจะได้ผลได้ง่าย ๆ คนโง่ย่อมไม่รู้ คนมีปัญญาจึงรู้

ดังนั้นการประกาศความเป็นอรหันต์ออกไปนั้น คือการเอื้อให้ผู้มีปัญญาได้เข้ามาศึกษาความจริง คือจะจริงเท่าไหร่นั้น ก็ว่ากันไปตามที่ทำได้จริง

พระพุทธเจ้าตรัสว่าสิ่งที่เปิดเผยแล้วเจริญคือธรรมะในพระพุทธศาสนา ความเป็นอรหันต์นั้นคือค่าสูงสุด คือจุดสุูงสุดของธรรมะ คือเป้าหมายสูงสุด เรียกว่าเป็นธรรมะที่เลิศยอด ถ้าเปิดเผยก็จะเจริญ ปิดไว้ไม่เจริญ ในขณะเดียวกันท่านก็ตรัสว่ามิจฉาทิฏฐิไม่แสดงจึงเจริญ แสดงออกไม่เจริญ

ในอดีตก็เคยมีนักบวชประกาศอรหันต์อยู่บ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่ประกาศจะเป็นพระอรหันต์ แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าท่านที่ไม่ประกาศจะเป็นพระอรหันต์ ความเป็นอรหันต์ไม่ได้การันตีจากการประกาศหรือไม่ประกาศว่าตนเองเป็นอรหันต์

แต่อยู่ที่ว่าท่านนั้นพ้นทุกข์พ้นโง่ได้จริงรึเปล่าเท่านั้นเอง ซึ่งวิธีการจะรู้ได้อย่างหนึ่งก็คือการที่ประกาศออกไป พอประกาศออกไปแล้ว คนมีปัญญาเขาจะเข้ามาพิสูจน์เอง มันก็จะได้ทั้งตรวจสอบตนเองและก็จะได้ประโยชน์ผู้อื่น ถ้าเป็นพระอรหันต์จริงก็จะเป็นประโยชน์ผู้อื่นเต็ม ๆ ถ้าไม่ใช่ก็จะได้สังวรระวังตัวเอง แต่ถ้าไม่ใช่แล้วยังหลงว่าตนเป็นอยู่ สมัยพุทธกาลก็มี อันนี้มันเรื่องธรรมดา หมู่สงฆ์ท่านก็แก้ไขกันไป แต่ทุกวันนี้การแก้ไขตรวจสอบก็ใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ ถ้าท่านใดประกาศล่ะก็ขึ้นหิ้งเลย ใครจะไปวิจารณ์ก็เหมือนจะหาเรื่องตายเปล่า ๆ กลายเป็นเทวดาอำนาจมหาศาลเลยล่ะ แบบนี้จะไปพิสูจน์มันก็พาลจะไม่รอดเอา

แต่ถ้าใครจะพิสูจน์สมณะโพธิรักษ์ ผมว่าทำได้ง่าย ๆ เลยนะ เพราะท่านเข้าถึงได้ง่ายมาก แถมท่านยังแสดงความจริงโดยการเอา sms หรือความเห็นที่พิมพ์เข้ามาด่าท่านนั่นแหละ เอามาอ่านออกอากาศเลย ผมว่านี่แหละคือความเก๋า คือความแกร่งที่แท้จริง เป็นยอดนักเลงโลกุตระที่ไม่กลัวกิเลส โชว์กันให้เห็น ๆ เลยว่า ต่อให้เขามาด่า มาดูถูก ก็ไม่โกรธเขา ไม่แสดงอาการขุ่นใจ แถมยังดูสดใสได้ตลอดเวลา ที่ผ่านมาผมยังไม่เคยเห็นใครที่ประกาศอรหันต์แล้วห้าวหาญขนาดนี้เลย ส่วนหนึ่งอาจเพราะเกิดไม่ทัน แต่เท่าที่รับรู้ส่วนมากก็ขึ้นหิ้ง สูงเกินไป จับต้องไม่ได้ ไม่มีโอกาสพิสูจน์

แต่สมณะโพธิรักษ์ นี่ท่านไม่เป็นแบบนั้น ผมเห็นว่าท่านเข้าถึงได้ง่าย พิสูจน์ได้ง่าย ไม่ต้องมีพิธีการอะไรมากมายนัก เป็นความเรียบง่ายที่ยิ่งใหญ่ ที่จะรอการพิสูจน์

ผมคิดว่าประเด็นที่ว่าการประกาศอรหันต์ผิดวินัยหรือไม่นั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจ แต่การที่มีผู้ที่ประกาศความเป็นอรหันต์ยังปรากฎอยู่ในยุคสมัยที่กิเลสโอมล้อมโลกด้วยมิจฉาธรรมอันหนักหนาอยู่นี่แหละ คือสิ่งที่น่าสนใจ

ผมคิดอย่างนี้นะ ใครสนใจก็ตามศึกษาตามพิสูจน์เถอะ แต่อย่าได้มีจิตไปเพ่งโทษเลย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่าคนพาลมีการเพ่งโทษเป็นกำลัง นั่นหมายความว่า หากผู้ที่สนใจศึกษาศาสนามัวแต่มุ่งเพ่งโทษ ก็จะไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ เพราะมันมุ่งแต่ไปสนใจโทษ แม้มันจะเป็นจุดดำจุดเล็ก ๆ ในผ้าผืนใหญ่สีขาว แทนที่จะมุ่งสนใจว่าเราจะได้ประโยชน์อะไร กลับมุ่งสนใจในสิ่งที่พร่อง ที่มันไม่สวยดั่งใจ มันก็จะเสียประโยชน์ไปกับการสนใจสิ่งที่ไม่มีสาระ

แม้ตอนนี้ใครจะประกาศความเป็นอรหันต์ออกมา ผมก็พร้อมเสมอนะ ที่จะศึกษาตาม ที่จะพิสูจน์ และพร้อมที่จะวิจารณ์กันอย่างเต็มที่

หนุ่มสาวเอย…

วันนี้ไปร่วมกิจกรรม ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เห็นนักศึกษามากมาย ก็พลันคิดไปว่า…

เมื่อไหร่หนอที่เขาจะสุกงอม เมื่อไหร่ที่จะทุกข์จนเกินทน ชีวิตเกิดมาก็ต้องเล่นบทไปตามวิบาก ถ้าหมดวิบากกรรมแล้วอีกนานแค่ไหนจะได้เจอกับสัตบุรุษ(ผู้รู้ธรรม) ได้ฟังสัจธรรม ได้นำมาพิจารณาและปฏิบัติตาม ก็คงจะประสบความสำเร็จในความเป็นมนุษย์ได้ในวันใดวันหนึ่ง

ว่าแล้วก็กลับมาคิดถึงตัวเอง กว่าจะมาเจอธรรมะจริง ๆ ก็ 29 ปี แม้ก่อนหน้านั้นจะศึกษามาบ้าง แต่ก็ล้วนแต่เป็นมิจฉาธรรม หรือไม่ก็ธรรมที่ไม่ครบพร้อม ขาด ๆ พร่อง ๆ เอาไปใช้ได้ยาก เข้าใจได้ยาก ไม่แตกฉาน ไม่ชัดเจน

กว่าคนคนหนึ่งจะเติบโต กว่าจะเรียนจบมันใช้เวลานานมาก ประมาณ 20 กว่าปี ไหนจะต้องดิ้นรนแสวงหาอีก พอได้มาก็มีโอกาสที่จะหลงมัวเมากับลาภ ยศ อำนาจ อิสระ ฯลฯ ที่ได้มาจากความสามารถที่ตนมี เรียกว่าคงสนุกกับการหาเงิน หาความก้าวหน้า หรือไม่ก็วนเวียนอยู่กับการหาคู่อยู่หลายปีเลยล่ะ

แม้ว่าเราจะมีจิตที่เต็มใจจะช่วยเหลือคน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยเหลือใครได้ถ้าเขาไม่ทุกข์ การที่เขาไม่รู้สึกถึงทุกข์ ไม่ได้หมายความเขาไม่มีทุกข์ เขาอาจจะมีทุกข์ก็ได้ เพียงแต่เขาไม่มีปัญญารู้จักทุกข์นั้น ๆ เราก็คงต้องปล่อยให้ทุกข์งอม(สุกงอม)เสียก่อน

คือปล่อยให้เขาใช้ชีวิตของเขาให้ทุกข์ให้เต็มที่เลย ให้มันทุกข์จนรู้สึกทนไม่ไหว เขาถึงจะแสวงหาทางพ้นทุกข์ แล้วถึงวันนั้นถ้าได้เจอกันก็ค่อยว่ากัน ถ้าไม่เจอก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าไม่เจอมันก็ไม่ใช่งานของเรา

เหมือนกับเรื่องคู่ ที่ผมค่อนข้างปล่อย อย่างเก่งก็แค่พิมพ์บทความออกไป สุดท้าย ใครเขาจะไปมีคู่ เพราะเขาเชื่อว่าไม่ทุกข์ หรือทุกข์น้อยกว่าทนอยู่เป็นโสดมันก็เรื่องของเขา เขาก็ต้องรับทุกข์ของเขาในท้ายที่สุด เราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะไม่ได้ไปทุกข์กับเขาด้วย ไม่ได้ยึดว่าเขาต้องได้ดีดังใจหมาย เพราะเขาก็เป็นของเขาไปแบบนั้นแหละ บางทีเราก็ได้แต่ดู ได้แต่ดูก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะถ้าการช่วยเขาคืองานของเรา เราก็จะได้ทำ แต่ถ้าไม่ใช่ เราก็จะไม่ได้ทำนั่นเอง ง่ายจัง

ชีวิตหนึ่งเกิดมาเรียนรู้ และแม้ว่าสุดท้ายจะตายไปโดยที่ไม่ได้ทำความเจริญอะไรให้แก่ตน ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับผู้อื่น มันก็เป็นเรื่องธรรมดา พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า โมฆะบุรุษ คือคนที่เกิดมาเสียของ เบิกกุศลกรรมมากินใช้ไปวัน ๆ เป็นพวกกินของเก่า ไม่สร้างใหม่ ครูบาอาจารย์ท่านเปรียบว่า พวกชิงหมาเกิด ซึ่งผมก็คิดว่าประมาณนั้นแหละ อ่านแล้วอาจจะว่าแรง แต่มันก็จริง เพราะเกิดมาแล้วขาดทุน ทำแต่เรื่องขาดทุน ไม่เป็นประโยชน์กับตนเอง ไม่เป็นประโยชน์กับใครอย่างแท้จริง เกิดมาใช้ทรัพยากรโลก แก่งแย่งมาเพื่อกิเลสตน สุดท้ายทั้งชีวิตก็เบียดเบียนชีวิตอื่นมาบำเรอตน เอาวิญญาณหมานิสัยดีเกิดมาแทนยังจะดีกว่า

สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ

อ่านข่าวบ้านเมืองวันนี้ก็ทำให้เข้าใจคำนี้ลึกซึ้งขึ้น ในมุมที่ว่า จริง ๆ แล้วอาจจะไม่ได้มีวีรบุรุษอะไรหรอก แต่พอมีคนชั่วมาก คนที่เขาทำดีแม้เพียงน้อยก็โดดเด่นขึ้นมาได้ทันที

คนโง่ก็ขยันโง่ คนชั่วก็ขยันชั่ว คนดีก็ขยันทำดีไป ระยะห่างมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในจังหวะที่เหมาะสม คนโง่ คนชั่ว คนดี มาบรรจบกัน จะเกิดสถานการณ์สร้างวีรบุรุษขึ้นเองตามธรรมชาติ เหมือนกับเรากำลังเดินอยู่แล้วแผ่นดินมันข้าง ๆ มันยุบ มันก็เลยเหมือนเราสูงเด่นกว่าระดับแผ่นดินที่ยุบ จริง ๆ เราก็สูงเท่าเดิมนั่นแหละ

เหมือนคนดี เขาก็ดีเท่าดีที่เขาทำได้ แต่พอมีคนโง่คนชั่วมากระทบ มันจะมีการเปรียบเทียบโดยธรรมชาติ โลกจะเปรียบเทียบ โลกธรรมจะหมุนเวียน สรรเสริญและนินทาจะเกิดขึ้น เป็นสภาพไม่เรียบ ไม่เสมอกัน กลายเป็นฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ร้าย ฝ่ายหนึ่งเป็นวีรบุรุษ

ดังนั้นเราจึงไม่ควรจะไปโกรธ ขุ่นเคือง หมองใจกับคนโง่คนชั่ว เพราะเขาก็จำเป็นต้องทำหน้าที่ของเขา คือแสดงความโง่ความชั่วให้โลกได้เห็น เพื่อขับให้ความดีโดดเด่นขึ้น ให้มันตัดกันแรงขึ้น(contrast)

พอผมเข้าใจเรื่องนี้เพิ่ม ก็เข้าใจอีกหลายเรื่องเพิ่มเลยนะ เราเข้าใจเลยว่าไอ้ที่เขาแสดงมิจฉาธรรมกันเป็นอันมากทุกวันนี้ เพื่อให้เราได้ฝึกทำใจไม่ให้โกรธ ขุ่นเคืองคับข้องใจ(1) เพื่อที่จะทำให้มันชัดเจนขึ้น(2) เขาก็กำลังใช้กรรมของเขา(3) มันก็เป็นไปตามธรรมดาของโลกที่จะต้องมีคนชั่วมากกว่าคนดีอยู่แล้ว(4) ดังนั้นธรรมที่แสดงอยู่โดยมาก แม้เป็นอธรรมก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และมันก็เป็นไปของมันอย่างนั้นเอง(5)

สรุปก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปใส่ใจอะไรมากนัก ก็รับรู้ไปตามเรื่องตามราว ช่วยอะไรได้ก็ช่วย แต่อย่าไปช่วยให้เขาเกลียด เขาโกรธกันมากกว่าเดิม คือช่วยให้เขาเมตตากัน เข้าใจกัน อภัยกัน

เมื่อเราเพียรทำดีไปเรื่อย ๆ โดยไม่ไปเสียเวลาร่วมทำชั่วไปกับความชั่วที่มายั่วให้เราหลงโกรธ เกลียด ชัง แช่ง ดีที่เราทำก็จะยิ่งชัดขึ้นไปเรื่อย ๆ ที่เหลือก็เป็นเรื่องของผลของกรรมที่จะลิขิตสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ

มิจฉาธรรมในเรื่องคนคู่

เป็นเรื่องที่มีภัยต่อสังคมค่อนข้างมาก พอ ๆ กับพระอลัชชีเลยทีเดียว แต่มันละเอียดแนบเนียนกว่ามาก

มีผู้ตั้งตนเป็นผู้รู้หลายคน กล่าวถึงเรื่องความรัก แต่ก็มักจะไม่พ้นการวนเวียนอยู่ในภพคนคู่ คือสื่อสารออกมาแล้วสื่อในลักษณะที่ไม่ทำให้คลายกำหนัด ไม่ทำให้ปล่อยวางความอยากมีคู่ ซ้ำยังไปเพิ่มอุปาทานว่าต้องเลือกคู่ดีแบบนั้นแบบนี้จึงจะดี มีคู่แบบนั้นแบบนี้มีได้ ไม่ผิด อะไรแนว ๆ นี้

ผมจะขีดเส้นแบ่งชัด ๆ ให้ คือ พูดให้คนเลิกหลงอยากมีคู่ กับพูดให้คนหลงอยู่ในการมีคู่ ซึ่งมันจะเป็นสัมมาทางหนึ่ง มิจฉาทางหนึ่ง แต่ในส่วนสัมมานั้นจะมีอนุโลมอยู่ คือถ้ามันจะไปมีให้ได้ มันหื่นกระหายใคร่อยากจนทนไม่ไหวแล้ว อกมันจะแตกตายแล้ว ก็ให้เลือกคู่ที่ชั่วน้อยที่สุด คือมีศีลเป็นคุณสมบัติหลัก คือแพ้กิเลสอย่างไรให้เจ็บน้อยที่สุด จะไม่มีมาเชิดหน้าชูตาอวดคู่หรอก จะอาย จะหลบ จะไม่แสดงตัวตนมากนัก อันนี้คือหิริ ของผู้ที่มีความเห็นถูกอยู่บ้าง ส่วนพวกเห็นผิดนี่ปฏิบัติธรรมหาคู่แล้วเอามาโชว์กันออกหน้าออกตาเฉยเลย

ผมเห็นหลายคนเขาแสดงธรรมที่ผิดเหล่านี้แล้วก็สงสาร จริง ๆ เห็นมานานแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคิดว่ากรรมใครกรรมมัน แต่ตอนนี้มันชักจะไม่ไหว ผมว่าถ้าปล่อยไปมันจะดึงคนดีให้หลงไปหมด มันจะมีแต่คนทุกข์ เขาไม่ได้สร้างความฉิบหายให้ตนเองคนเดียว เขายังลากคนอื่นไปเห็นผิดอย่างเขาด้วย

ซึ่งก็เคยมีประสบการณ์ตรงเหมือนกัน คือเพื่อนที่ศึกษาด้วยกันมาเขาจะไปมีคู่ แต่ตอนที่เขาจะไปมีคู่ คือไปแต่งงานนั่นแหละ เขาไม่ปรึกษาเราสักคำ เขาไปปรึกษานักบวชที่เขาศรัทธา แล้วไงล่ะ สุดท้ายก็ไปแต่งงาน มันก็หล่น ก็เสื่อมไปแบบนั้น ราศีหมดเลยนะ พระพุทธเจ้าตรัสเล่าไว้เกี่ยวกับต้นกำเกิดของคนว่า จากที่เคยมีจิตบริสุทธิ์ผ่องใส แต่พอหลงไปกินง้วนดินเท่านั้นแหละ ราศีหายเลย แล้วไปมีคู่นี่ไม่ต้องห่วง หนักหนากว่ากินง้วนดินเยอะ

นี่ถ้าเขาเกาะกลุ่มกันไปเขาจะรอด แต่เขาไม่เลือกทางนี้ เขาเลือกทางอื่น เขาเลือกที่จะไปฟังธรรมที่ไม่ฉุดรั้งเขา ไม่ขัดเกลาเขา ส่งเสริมกิเลสเขา เขาก็เลยได้ไปสู่คติที่เขาอยากไป ไปอยู่ในภพที่เขาอยากอยู่

ผมเห็นแบบนี้แล้วก็เสียดายคนดี ทั้ง ๆ ที่มีภูมิธรรมเก่ามาเป็นทุนอยู่แล้ว แต่กลับต้องเสียเวลาหลงทางไปอีกชาติ อาจจะเป็นเพราะผมปล่อยวางมากไปก็ได้ อาจจะเป็นเพราะผมไม่เอาภาระก็ได้ อาจจะเป็นเพราะผมห่วงตัวเองมากไปก็ได้

เพราะการที่ผมจะเอาภาระตรงนี้ มันจะเกิดการกระทบมาก เอาง่าย ๆ คือมีศัตรูมากขึ้น เพราะธรรมมันจะขัดกันอย่างชัดเจน แล้วมันก็จำเป็นต้องชี้แจงว่าเขาผิดอย่างไร นั่นหมายถึงมีโอกาสที่เขาจะไม่พอใจ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้อยากมีศัตรูหรอกนะ แต่ก็เห็นใจคนที่กำลังหลงในมิจฉาธรรมในเรื่องคู่ เรื่องอื่นผมอาจจะไม่เก่ง แต่เรื่องคนคุ่หรือความรักนั้นผมมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะตีแผ่ความจริงว่าสิ่งไหนผิด สิ่งไหนถูกได้

อย่าพึ่งรีบเชื่อใคร อย่าพึ่งรีบเชื่อผมเช่นกัน ให้ลองศึกษาและพิจารณาเปรียบเทียบเอา ก่อนที่ท่านจะพลาดพลั้งไป เพราะถ้าพลาดเรื่องคู่แล้ว มันอาจจะล็อกไปทั้งชาติเลย มันออกยาก ดีไม่ดีหลงไปอีกหลายชาติเลย

อันที่จริง ผมก็อยากให้คนที่เผยแพร่มิจฉาธรรมในเรื่องความรักเขาหยุดเผยแพร่นั่นแหละ จะขยันสร้าง content ไปมันก็จะยิ่งหลง เป็นวิบากบาปเท่านั้น แต่จะไปบอกเขาอย่างไรได้ ในเมื่อเขาสำคัญตนว่าเป็นผู้รู้ ผมก็เลยคิดว่าสุดท้ายผมก็ต้องนั่งพิมพ์แก้ไขความเห็นเหล่านั้นแล้วเผยแพร่ให้คนพิจารณาเองนั่นแหละ

ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็คงไม่สำคัญ เพราะถ้าผมได้ทำแล้วมันก็ดีแล้ว คนมีภูมิธรรมเขาอ่านแล้วเขาน่าจะเอาประโยชน์ได้ มันช่วยไม่ได้ทุกคนหรอก แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าที่ผมรู้แล้วไม่ได้เอาความรู้นั้นไปทำประโยชน์ให้ใคร (ทั้ง ๆ ที่สามารถทำได้)