สัมมาทิฏฐิ ต้องเกิดในตนเอง

สัมมาทิฏฐิ ต้องเกิดในตนเอง…

วันก่อนคุยกับเพื่อน เกี่ยวกับเรื่องภาวะที่สะกดจิตตนเองอยู่ในภพหนึ่งๆ คุยไปคุยมาก็ไปเรื่อง อุปาทาน คนอุปาทานกิเลสได้ คนก็อุปาทานธรรมะได้เหมือนกัน

เหมือนกับคนที่ฟังธรรมะมา (แม้จะเป็นธรรมที่ถูกตรงก็ตาม) แล้วยกทั้งหมดนั้นมาสวมหัว เหมือนสวมหัวโขนเป็นคนมีธรรมะ เป็นคนดี ฯลฯ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นสภาพของ “สีลัพพตุปาทาน” คือเขาจะปฏิบัติได้หมดเลยนะ จะเป็นโสด จะไม่กินเนื้อสัตว์ จะกินมื้อเดียว จะเป็นคนเสียสละ จะพูดธรรมะ อะไรก็พูดได้จำได้คล่องก็มีเหมือนกัน

ผมมานั่งระลึกถึงหนังสือที่อ่านวันก่อนว่า บัวใต้น้ำ (อเวไนยสัตว์ – สัตว์ที่สอนไม่ได้) ก็มีเนื้อหาที่เขาให้มาดังนี้ คือเป็นผู้ดีแต่พูด เพราะได้ฟังพุทธพจน์ไว้มาก กล่าวก็มาก จำไว้ก็มาก บอกสอนก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลในชาตินี้ (พุทธกำเนิด หน้า76)

เอาง่ายๆ คือ ทุกวันนี้ที่เห็นเป็นเหมือนคนมีธรรมะก็อาจจะไม่มีจริงก็ได้ เห็นพูดเห็นสอนธรรมะ พิมพ์หนังสือ best seller เป็นนักพูดยอดนิยม ก็อาจจะไม่มีธรรมะนั้นจริงก็ได้

เพียงแค่จำมา ท่องมา ยกมาไว้ สวมหัวตน แล้วก็ท่องว่า นี่ฉันเป็นผู้มีธรรม ฉันเป็นผู้มีธรรม … ไอ้แบบนี้ มันก็ทำให้คนที่ไม่ได้ศึกษาเขาหลงเชื่อได้เหมือนกัน

สัมมาทิฏฐินั้นเป็นสภาพที่เกิดและเข้าใจในตนเอง ไม่ใช่เอาความเข้าใจของคนอื่นมาจำไว้เป็นความรู้(สัญญา) แล้วไปยึดมั่นว่าสิ่งนั้นเป็นตัวฉันของฉัน เพียงแค่ได้อุปาทานธรรมนั้นๆ มาเป็นของตน

แต่ผมก็เข้าใจสัจจะนะ ว่าคนที่จะมาเอาดี เขาต้องยึดแบบสีลัพพตุปาทานก่อน มันจะกระโดดมาสมาทานไม่ได้ มันต้องหลงปฏิบัติธรรมแบบมิจฉาทิฏฐิก่อน จนเห็นว่ามันผิด มันจึงค่อยหาทางมาสัมมาทิฏฐิได้

ทั้งนี้เหตุแห่งสัมมาทิฏฐินั้นมีสองข้อ หนึ่งคือการยอมฟังข้อคิดเห็นที่แตกต่าง สองคือการทำในใจให้แยบคายลงไปถึงที่เกิด ข้อแรกนี่ก็ยากที่จะผ่านแล้ว เพราะส่วนใหญ่อัตตามันจะต้าน มันจะไม่ฟัง ถึงจะทำเหมือนฟัง แต่ถ้าจิตมันไม่ยอมรับ มันก็ไม่ผ่านข้อแรกอยู่ดี

ส่วนการทำใจในใจให้ถึงที่เกิดนี่มันยากถึงยากมาก มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ คนปฏิบัติธรรมทั้งชีวิตจะไม่สามารถเข้าถึงการทำใจในใจที่ถูกตรง ผมก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมันเป็นเรื่องยาก มันต้องมีองค์ประกอบที่เกื้อหนุนมาก ตั้งแต่มีมิตรดี มีศีล มีฉันทะ รู้จักอัตตา มีความเห็นที่ถูก ไม่ประมาท ถึงจะเจริญไปถึงการทำใจในใจได้

ถ้าอยากรู้ว่าตนเองสัมมาทิฏฐิไหมก็ต้องศึกษาองค์ประกอบของสัมมาทิฏฐินั้นเป็นอย่างไร แล้วลองกระทบกับปัญหาดู เมื่อมีปัญหา มีผัสสะ มีสิ่งกระทบ จะรู้ได้เห็นว่าความเห็นมันเป็นตรงตามแบบสัมมาทิฏฐิหรือไม่ตรง ถ้ามีจริงมันจะไม่เบี้ยวออกเลยนะ มันจะอยู่ในกรอบของสัมมาทิฏฐินั่นแหละ

แต่แบบท่องจำก็มี คือกระทบแล้ว เกิดอารมณ์แล้ว แต่ใช้สัมมาทิฏฐิที่เรียนรู้มานี่แหละ มาเป็นตัวตบให้เวทนามันสงบ เอาปัญญานี้มาใช้เป็นตัวทำให้สงบ เรียกว่าปัญญาสมถะ เช่นพอเราเรียนรู้เรื่องกรรมและผลของกรรมมา ครูบาอาจารย์ท่านว่าให้ทำความเห็นแบบนี้แบบนั้น พอเรากระทบเสร็จขุ่นใจเราก็เอามาท่อง มันก็สงบไปได้ แต่ถ้าเข้าใจจริงๆ มันจะออกมาเองเลย ไม่ต้องนึก เพราะความเห็นมันตรงอยู่แล้ว มันจะแก้กลับของมันเอง ในกรณีผัสสะนั้นๆ ไม่หนักมากจนเกินไป หรือถ้าเพื่อนเตือนก็จะนึกออกและระลึกได้เอง ไม่ต้องมานั่งปรับความเข้าใจ เพราะมันตรงอยู่แล้ว เพียงแค่สติมันหลุดไป

เรื่องนี้เป็นเรื่องลึกและเข้าใจยากเหมือนกันครับ ผมอาจจะอธิบายไม่ละเอียดนัก แต่กำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่ ก็พยายามจะเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรมแต่ยังงงๆ

ศึกษาเรื่องผี

วันนี้ลุยศึกษาเรื่องผีทั้งวัน

..ก็ศึกษาจากพันทิพเหมือนเดิม ตามที่เขาเล่ามา จริงไม่จริงไม่รู้ แต่ก็กลับมาตรวจสอบตัวเองนะว่า เออป่านนี้เราก็พัฒนาจากคนที่บาปมากๆ มาจนทุกวันนี้เชื่อว่าได้สร้างบุญชำระบาปไปพอสมควรแล้ว ผมมั่นใจว่าผมมีบุญและกุศล(ความดี) มากพอสมควรเชียวล่ะ

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีนี่จะมาขอส่วนบุญคนมีบุญ ผมก็มีเยอะนะ แต่จนทุกวันนี้ยังไม่มีมาเลย มีแต่คนที่ยังมีความเป็นผีนี่แหละ ที่มาขอวิธีทำบุญ (ชำระกิเลส) กับผม ก็ช่วยๆกันไปแบบเพื่อนร่วมหนทางธรรม

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีมาขอส่วนบุญ จริงๆ ตามหลักพุทธนี่ เรามีกรรมเป็นของของตนนะ ไอ้บุญ กุศลอะไรนี่ก็เป็นสิทธิที่คนทำพึงได้ คนไม่ทำก็ไม่ได้ แล้วมันจะโอนกันยังไงหว่า นี่ผมก็ยังงงตรรกะนี้ ไม่รู้แนวคิดนี้มาจากไหนเหมือนกัน

ก็คนเขามักบอกกันว่า ต้องพกพระขลังๆ ผมนี่ไม่เคยพก ไม่เคยห้อยพระอะไรเลย และผมยังชัดเจนในใจว่า พระไหนจะยิ่งใหญ่สู้พระพุทธเจ้าอีก ไม่มีหรอกในโลกนี้ แค่พกความเป็นพุทธะไปก็พอแล้ว ไม่มีอะไรเหนือกว่านี้แล้ว ไม่ต้องไปหาให้มันเมื่อย ทำให้เกิดในตนนั่นแหละ เกิดมากเกิดน้อยก็แล้วแต่จะเพียรสร้าง

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีที่มาหลอกนั้นคือวิญญาณที่ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ซึ่งผมก็เข้าใจว่าผมเองก็มีวิญญาณเหมือนกัน ไม่เห็นมันจะแสดงอำนาจอะไรประหลาดๆ ถ้าตอนเป็นมันไม่มีอำนาจนั้น ตอนตายมันจะมีอำนาจนั้นได้อย่างไร ที่สำคัญคือเรื่องผีไม่ใช่เรื่องอจินไตย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ ไม่ใช่เรื่องที่คิดแล้วเป็นบ้า ไม่มีวันจบสิ้น แต่เป็นเรื่องที่มีจุดจบ มีคำตอบ เพียงแต่ต้องศึกษากันอย่างลึกซึ้งเท่านั้นเอง

ก็คนเขามักบอกกันว่า ผีมักจะมาหลอกตอนกลางคืน จริงมันก็ตลกดีตรงมีวันเวลาทำงานที่ชัดเจนขนาดนั้น ผมอ่านความเห็นนี้ก็มานั่งคิด ว่า เออ ทำไมมันต้องกลางคืน ทำไมต้องตอนนอน ทำไมต้องตอนกลัว …ผมเข้าใจสภาวะของจิตที่สติไม่ครบ เช่น ตอนง่วง หรือช่วงตอนตื่นนอน ผมมักจะใช้ช่วงเวลานั้นปรุงแต่งเรื่องบางเรื่องที่ต้องการศึกษาเพราะมันจะขยายได้มากกว่าปกติ นั่นเพราะไม่มีสติเป็นตัวจำกัด ดังนั้น “เรื่อง” จึงขยายได้ไม่มีจำกัด สภาพของจิตที่ตกร่องระหว่างจะหลับก็ไม่ใช่จะตื่นก็ไม่เชิงนี่แหละ ที่คนเขาว่ากันว่าเป็นภาวะของคนถูกผีอำ ซึ่งผมก็เห็นตามนั้นเพราะตอนนั้นปรุงอะไรมันก็ได้อย่างนั้นจริงๆ

ก็คนเขามักบอกกันว่า คนเห็นผีนั้นเป็นคนมีสัมผัสที่หก ผมยังเห็นว่าน่าจะเกิดจากอัตตามากกว่า เป็นอัตตาชนิดมโนมยอัตตา คือสร้างภาพขึ้นมาเอง ผมเข้าใจสภาพนี้เพราะมันสามารถปรุงมาได้ครบรสเลย คือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เขาว่าเจอผมก็เคยเจอบ้าง แต่ผมก็เข้าใจว่ามันเกิดเพราะอะไร มันมีเหตุจากอะไร จากสัญญาเก่าบ้าง มาเป็นนิมิตบ้าง หรือเป็นมโนมยอัตตาบ้าง อันนี้ต้องแยกให้ดี ผมเชื่อว่าถ้าผมยังเห็นผีอยู่ นั่นแหละผมยังมีกิเลสหนาที่ยังปั้นพลังงานสร้างผีขึ้นมาได้ ซึ่งเรียกว่าเสียของมากๆ แทนที่จะเอาพลังงานสร้างสิ่งที่มีประโยชน์กลับปั้นผีขึ้นมา จึงสรุปว่าคนเห็นผีนี่แหละยังเป็นคนที่มีภาระเยอะ วิบากกรรมก็เยอะเช่นกัน เพราะต้องมาเห็นอะไรที่ไม่ใช่ความจริงที่เป็นประโยชน์

….แต่ผมเองก็ยังไม่มีปัญญาพอจะอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ได้ คือยังไม่มีปัญญารู้แจ้งเหตุทั้งหมดของการเกิด “ผี” ก็คงต้องอาศัยศึกษาจากผู้รู้กันต่อไป

จริงๆ ผีมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก กิเลสเรานี่ร้ายกว่าผีเยอะ ผีนี่อย่างเก่งก็ทำให้เรากลัว ให้เราทุกข์ แม้จะทำให้เราตายได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะมันเป็นผลจากเหตุ แต่ถ้ากิเลสนี่มันเป็นเหตุที่ทำให้เกิดผล ถ้ายังเลี้ยงกิเลสไว้อยู่ มันก็ยังเป็นตัวที่สร้างผีอยู่นั่นเอง

กิเลสกับลูก

จากกระทู้ : เพราะรองเท้าคู่ละ59บาท ทำให้รู้ว่าที่ผ่านมาเรารักตัวเอง “ไม่ใช่ลูก”

เคสกิเลสกับลูก ที่เขาเล่ามานี่ก็เข้าใจง่ายดี

คนเรานี่ไปเสพสุขกับตัวตนของตัวเองมันก็พอเห็นได้ง่าย แต่พอตัวเองไปเสพสุขจากภาพสะท้อนตัวตนของตัวเองที่ต้องผ่านคนอื่นนี่มันน่าปวดหัวจริงๆ

สรุปง่ายๆ คือเอาลูกมาเป็นเครื่องสนองกิเลสตนเองนั่นแหละนะ ก็ลองศึกษาจากเคสนี้กันดูครับ ผมว่าเข้าท่านะ และจะเข้าทีกว่านี้ถ้าเขาหาสามารถค้นพบได้ว่าเขาไปเสพสุขอะไรกับการที่มีคนมีชื่นชมลูก

หลอกให้ตายใจแล้วค่อยโกง

จากกระทู้ : (ถูกลบไปแล้ว) เป็นเรื่องรูปแบบการโกงวิธีหนึ่ง คล้ายๆ โกงแชร์

อ่านเคสนี้แล้วลักษณะเหมือนโกงแชร์ โกงธุรกิจทั่วๆไป คือหลอกให้คนโลภ ให้คนเชื่อมั่น โดยเอาผลประโยชน์ ความมั่นคงมาล่อลวง ….

เหมือนกับกิเลสนั่นแหละ มันเอาผลประโยชน์และความมั่นคงมาอ้างให้เราเสพ จะยกตัวอย่างในเรื่องคู่ มันก็หลอกเราว่า จะได้ความสุข ได้กิน ได้เสพ ได้สมสู่ ได้ชีวิตที่มั่นคง ยั่งยืน มีคนให้พึ่งพากันไปตลอดชีวิต (หรืออย่างน้อยก็สุขอีกนาน)

มันก็เอาเหตุผลลวง ๆ มาล่อเท่านั้นเอง ตอนแรกมันก็ยอมให้เราได้กำไรเหมือนเคสนี้นี่แหละ ให้น่าได้ น่าเชื่อถือ สุดท้ายก็ทำร้ายเราด้วยการถอนทุนคืนกันครั้งใหญ่ … ผมเชื่อว่าหลายคนเจอมาแล้วก็คงพอเข้าใจ …แต่อีกหลายคนที่ไม่เชื่อก็ลองพิสูจน์ดูว่ากิเลสจะหักหลังเราจริงหรือไม่

ทิ้งท้ายกันด้วยคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า …”ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล คนเขลายังเข้าใจว่ามีรสหวาน, แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนเขลาย่อมประสบทุกข์เมื่อนั้น.

หลงไปเข้าไปแล้วมันออกยาก (มีครอบครัว)

จากกระทู้ : แต่งงานมีสามี มีลูกแล้ว แต่รู้สึกมันไม่ใช่

หลงไปเข้าไปแล้วมันออกยาก…

ผมว่านะ แต่ละคนที่เขามีคู่ มีลูก นี่เขาก็คิดว่ามันจะต้องมีความสุขกันทุกคนนั่นแหละ คืออย่างน้อยก็สุขกว่าที่เป็นอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาไม่ไปมีกันหรอก แบบนี้ก็เป็นความเห็นทั่วไปของคนในโลก

แต่ที่นี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆไง ความสุขมันมี แต่มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สรุปคือมันเกิดแล้วและมันก็ดับไปแล้ว มันเสพสิ่งเดิมๆ มันก็ไม่สุขเหมือนเดิมแล้ว สภาพสุขที่เคยได้เสพมันหมดไปแล้ว

ความสุขที่ว่านี่มันไม่ได้เกิดจากผัว จากเมีย จากลูกนะ มันเกิดจากจิตที่มันมีกิเลส มันอุปทานแล้วได้เสพสมใจมันก็เลยสุข สุขจากกิเลสแบบนี้เรียกว่าสุขลวง มันก็หลอกให้เราหลงไปเสพเท่านั้นแหละ

จริงๆ คือมันไม่เคยมี เราปั้นขึ้นมาเองว่ามันมี ที่นี้พอมันกลับเป็นสภาพจางคลาย แต่เราหลงยึดว่ามันเคยมี เราก็เป็นทุกข์

เหมือนกินขนมที่ชอบน่ะ คำแรกนี่มันสุขแสนสุขเลยนะ แต่คำที่ 10 ที่ 100 นี่มันสุขไม่เท่าคำแรกหรอก อันนี้จิตมันปั้นขึ้นมาเอง ขนมมันก็เป็นของมันแบบนั้น รสชาติมันก็แบบของมันแบบนั้นแต่แรกไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย มีแต่จิตเราที่เปลี่ยนไป

เก็บบ้าน

ตั้งแต่ช่วงต้นปีมานี้ ผมใช้เวลาส่วนมากในการเก็บของในห้องเพื่อบริจาค ซึ่งก็เคยบริจาคไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่พอมาเก็บครั้งนี้ ก็ยังรู้สึกว่า ยังเหลือเยอะอยู่ดี…

การเก็บห้องทำให้ผมรู้สึกว่า นี่เรายังเหลือกิเลสเยอะขนาดนี้เลยหรอ เรายังเสียดายสิ่งที่เราไม่ได้ใช้ขนาดนี้เลยหรอ นี่ขนาดขนไปรอบนึงแล้ว มาถึงรอบนี้ก็ยังเป็นงานที่ทำหลายวันอยู่

สิ่งที่จำเป็นต้องใช้จริงก็มีอยู่ แต่บางสิ่งก็เหมือนจะจำเป็นเหมือนจะไม่จำเป็น หนังสือบางเล่มก็ไม่จำเป็นต้องอ่านแล้ว บางทีก็ยังเก็บไว้ให้ตัวเองงงว่าเก็บไว้ทำไม -..-

นี่แค่เอาของออกยังลำบากขนาดนี้ และของๆเราก็จะไปเป็นภาระคนอื่นอีกทีหนึ่ง เป็นเพราะเราสะสมมามาก

ขนาดว่าหยุดสะสมมาสักพักแล้วยังรู้สึกว่ายังมีภาระมากมาย คิดย้อนไปสมัยที่เรายังไม่ได้ศึกษาธรรมะจริงจัง มันก็สะสมแล้วก็ไม่ได้คิดอะไร สะสมมาเรื่อยๆจนถึงวันที่พบธรรมจึงรู้ว่าการสะสมมันหนัก

การสะสมของว่าหนักแล้วแต่ก็ยังเอาออกง่าย ตายไปก็เอาไปไม่ได้ แต่สะสมกิเลสนี่มันหนักหนาสาหัส เอาออกไม่ได้ง่ายๆ ตายไปก็ยังติดตามไปด้วย คิดแล้วเหนื่อยจริงๆ

ก็พยายามลดสะสมทั้งของทั้งกิเลสกันไป จะได้เอาเวลามากำจัดมันออกบ้าง จะได้เบาๆ

ความตายมิอาจพราก กิเลสและกรรมไปจากเราได้

ทุกครั้งที่มีการจากพรากหรือความตายได้เข้ามาถึง เรามักเศร้าโศกเสียใจที่คนผู้นั้นได้จากไป หรือกระทั่งการที่เรากำลังจะจากไปก็ตาม สิ่งที่เราควรจะเสียใจไม่ใช่การจากไป แต่เป็นการจากไปโดยที่ยังไม่ได้ทำสิ่งที่ดีไว้ให้ตัวเองและโลก

เราเกิดมาโดยกินบุญเก่าแต่เรามักจะไม่ได้สนใจสร้างบุญสร้างกุศลใหม่ให้กับชีวิต ใช้ชีวิตเพลิดเพลินไปกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ มัวเมาในความสุขโลกๆ ซึ่งกรรมและกิเลสเหล่านั้นเองก็จะติดตามเราไปด้วย เป็นเสมือนญาติสนิทที่ติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ เกิดมากี่ครั้งก็ต้องเจอกับมันจนกว่าจะหมดเวรหมดกรรมหมดกิเลส จึงจะไม่ต้องพบเจอกับสิ่งนั้น

เรามาทำความเข้าใจกับเรื่องความตาย กิเลส และกรรม ที่ส่งต่อกันระหว่างเราคนก่อน และเราคนนี้ จนถึงเราคนต่อไปกัน…

อ่านต่อได้ที่บทความ : ความตายมิอาจพราก กิเลสและกรรมไปจากเราได้

ความตายมิอาจพราก...กิเลสและกรรมไปจากเราได้

อ่านบทความอื่นๆ แนะนำ ติชม ทักทายกันได้ที่…

Facebook : ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

Blog : Minimal life : Dinh Airawanwat

แบ่งปัน วิธีการเลิกกาแฟ ติดกาแฟเลิกได้

ในยุคสมัยนี้ คงจะเป็นการยากที่จะพาใครสักคนให้เห็นถึงโทษภัยของกาแฟ ในยุคที่มีร้านกาแฟอยู่ทุกหนทุกแห่ง ในยุคที่กาแฟกลายเป็นค่านิยม กลายเป็นเครื่องดื่มที่ทุกคนชื่นชอบ กลับมีภัยร้ายแผงตัวเงียบอยู่ในนั้น

หลายคนพยายามจะเลิกกินกาแฟ แต่ก็มักจะเลิกไม่ได้ ต้องยอมสยบให้กับความหอมหวานนุ่มละมุนของกาแฟเสมอมา เหตุนั้นเพราะเรามีกิเลส หลงเสพหลงยึดในกาแฟนั้น การจะเลิกกาแฟได้ด้วยวิธีกดข่มจึงไม่สามารถทำได้ดีนัก เพราะมันไม่ยั่งยืน

ในบทความนี้ก็จะแบ่งปันเรื่องราว ประสบการณ์การออกจากการเสพติดกาแฟของผม เป็นการออกครั้งสุดท้ายที่ไม่คิดจะเข้าไปเสพอีก กาแฟดีแค่ไหน หอมแค่ไหน หวานแค่ไหน กลมกล่อมอย่างไรก็คงจะไม่เข้าไปเสพมันอีก ใครอยากจะลองแบ่งปันมุมมองก็มาพิมพ์แลกเปลี่ยนทักทายกันได้เลย

อ่านต่อได้ที่บทความ : แบ่งปันประสบการณ์ เลิกกาแฟ เลิกชา เลิกดื่มเพื่อสนองกิเลส

แบ่งปันประสบการณ์ เลิกกาแฟ เลิกชา เลิกดื่มเพื่อสนองกิเลส

อ่านบทความอื่นๆ แนะนำ ติชม ทักทายกันได้ที่…

Facebook : ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

Blog : Minimal life : Dinh Airawanwat

โปรตีนเกษตร และ เนื้อสัตว์เทียม กับ การกินมังสวิรัติ

ประเด็นเนื้อสัตว์เทียม หรือโปรตีนเกษตรนั้น ก็คงเป็นเรื่องที่คนไม่กินมังสวิรัติ ไม่กินเจ ให้ความสนใจ ว่าในเมื่อคนที่อยากลด ละ เลิกเนื้อสัตว์แล้ว ยังต้องแสวงหาสิ่งเทียมเนื้อสัตว์อยู่อีก ทำไมไม่กินผักไม่กินวัตถุดิบที่ไม่พาให้ออกจากเนื้อสัตว์ไปไกลๆ ทำไมยังวนเวียนอยู่กับรสสัมผัสที่คล้ายเนื้อสัตว์อยู่อีก

ชาวมังสวิรัติและชาวเจก็คงจะคุ้นเคยกับโปรตีนเกษตรดี แต่จะมีใครรู้ว่า กิเลสตัวใดที่ซ่อนอยู่ภายในสิ่งเทียมเนื้อสัตว์เหล่านี้ ผมได้แบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในมุมมองของผม เป็นความคิดเห็นของผู้ที่ไม่เคยสนใจโปรตีนเกษตรหรือสิ่งเทียมเนื้อสัตว์เหล่านี้ แต่ก็ต้องกลับมาพิจารณาถึงการมีอยู่ของมันอีกที เพื่อตอบคำถามในประเด็นเหล่านี้

อ่านต่อได้ที่บทความ : โปรตีนเกษตรและเนื้อสัตว์เทียมกับการกินมังสวิรัติ
โปรตีนเกษตรและเนื้อสัตว์เทียมกับการกินมังสวิรัติ

อ่านบทความอื่นๆ แนะนำ ติชม ทักทายกันได้ที่…

Facebook : ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

Blog : Minimal life : Dinh Airawanwat

แรงจูงใจในการทำงาน

ในยุคนี้เราก็มักจะได้รับเรื่องราว เป็นแรงจูงใจให้ก้าวทำไปกิจกรรมการงานต่างๆ ไปเป็นลูกจ้าง ไปเป็นนักลงทุน ไปเป็นผู้ประกอบการ ผู้สร้างแรงจูงใจต่างก็นำประสบการณ์และความคิดเห็นของตนมาเป็นข้อมูล แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือเรากำลังถูกจูงไปทางไหน ถูกจูงไปด้วยอะไร แรงจูงใจนั้นเกิดจากอะไรกันแน่ เกิดจากสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ร้าย  เราจะมาลองวิเคราะห์แยกกันดูว่าแรงจูงใจที่เราได้รับมานั้นเป็นแรงกระตุ้นจากกิเลสหรือไม่ โดยผ่านบทความนี้ ตามไปอ่านกันได้เลย

 

อ่านต่อได้ที่บทความ : แรงจูงใจในการทำงาน

แรงจูงใจในการทำงาน

อ่านบทความอื่นๆ แนะนำ ติชม ทักทายกันได้ที่…

Facebook : ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

Blog : Minimal life : Dinh Airawanwat