อนาคตใหม่วนไปที่เก่า

ผู้คนแสวงหาอนาคตใหม่ ๆ ทางเลือกใหม่ ๆ เผื่อว่าอะไรมันจะดีกว่าเดิม ก็จริงอยู่ที่ว่าอนาคตนั้นมีอยู่ ความแปลกใหม่นั้นมีอยู่ แต่ความดีนั้นอาจจะไม่มีจริง

ซึ่งทางเลือกใหม่ อนาคตใหม่ อาจจะเป็นเหวแห่งทุกข์เดิม ๆ ที่เคยตกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็เป็นได้

ความวนเวียนกลับไปที่เก่า หมายถึงความไม่เจริญ ความเสื่อม แต่ความวนเวียนนี้คืออะไร ในเมื่อใครต่อใครก็อ้างบอกกล่าวกู่ร้องก้องตะโกน ว่าข้าของใหม่ ข้าจะมาเปลี่ยนแปลง ฯลฯ

ความวนเวียนคือความไร้ศีลธรรม ไร้ความเคารพ ไร้ศรัทธา เมื่อคนสิ้นศรัทธาแก่ผู้ที่ควรเคารพบูชา ถือเอาตนเป็นที่ตั้ง ถือเอาตนเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ดูถูกคุณความดีของผู้อื่น(มักขะ) ถือเอาความเห็นตนเป็นใหญ่(มานะ)

ความวนเวียนคือความเสื่อมในศรัทธาต่อสิ่งที่ดีงาม บางคนมีความเห็นว่าศาสนาไม่จำเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณไม่จำเป็น นั่นก็เพราะเขาไม่มีศรัทธา

ซึ่งในศาสนาพุทธเรียกว่าอินทรีย์พละ ผู้ที่จะเจริญ หรือเป็นคนดีที่ดีแท้ในศาสนาพุทธอันดับแรกคือมีศรัทธา นั่นคือเบื้องต้นในนิยามคนดีของพระพุทธศาสนา

การที่เขาไม่มีความศรัทธาในบุคคลที่ควรศรัทธา ไม่ศรัทธาในธรรมที่ควรศรัทธา นั่นเพราะเขายังไม่มีปัญญาเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นดีอย่างไร มีคุณค่าอย่างไร เป็นสิ่งล้ำค่าอย่างไร จึงตีทิ้งคุณค่าเหล่านั้นไป เปรียบเหมือนไก่ได้พลอย กิ้งก่าได้ทอง

ซึ่งก็ไม่แปลกสำหรับยุคสมัยที่ใกล้กลียุคเข้าไปทุกที ความชั่วมีมาก ความดีมีน้อย คนส่วนมากที่เกิดในยุคนี้คือคนที่ไม่มีธรรมะติดตัวมาเลย มีแต่สัญชาติญาณ กิเลส ความยึดมั่นถือมั่น อัตตาตัวตนทั้งหลายแหล่ …ถึงจะเก่ง ถึงจะโดดเด่นขึ้นมาได้ แต่ก็อาจจะเป็นเพียงแค่คนฉลาดในเล่ห์เหลี่ยมของกิเลส คือ โกง หลอกลวง ตลบแตลง เล่นละครต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลสำเร็จของตน

นั่นหมายถึงถ้าเราเลือกคบคนไม่มีศีลธรรม เราก็จะวนกลับไปสู่ยุคที่ไม่มีความดี ยุคที่ไม่มีความเจริญทางจิตวิญญาณ หรือสรุปสั้น ๆ ว่าจะเข้าไปสู่กลียุคได้ไวขึ้น

เพราะถ้าเรามีผู้นำที่ไม่มีศีลธรรม ไม่มีความศรัทธาในศาสนา ไม่เคารพบุคคลที่ควรเคารพบูชา เขาย่อมไม่มีหลักยึด จะมีให้ยึดก็เพียงแต่ตัวตนของเขา ที่เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน

ความเก่ง ความมั่นใจ ความรู้ ความสามารถ ทักษะในการพูด วาทะที่โน้มน้าวน่าฟัง ฯลฯ ไม่ได้เป็นตัวตัดสินได้เลยว่าคนจะเป็นคนดี หรือจะเป็นผู้นำที่นำพาผองชนไปสู่ความผาสุกได้

ศีลธรรมต่างหากที่จะเป็นที่พึ่ง เป็นเครื่องนำความเจริญและความผาสุกมาให้ผองชน

เพราะถ้าไม่มีศีลธรรม ก็จะต้องพบกับความวนเวียนไม่รู้จบ เกิดมาเป็นคน ไม่ทำสิ่งดี ทำแต่สิ่งชั่ว ก็วนกลับไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ใช้วิบากกรรมวนเวียนไป จนได้เกิดมาเป็นคนอีก ก็ยังไม่สำนึก ยังแสวงหา เบียดเบียน บ้าอำนาจ สุดท้ายก็ใช้กุศลกรรมที่ทำมาจนหมดไปกับกิเลส ก็วนกลับไปเป็นสัตว์ วนเวียนไปเช่นนี้ไม่รู้จบ

ดังนั้นอนาคตที่ว่าใหม่ อาจจะเป็นนรกขุมเดิม ๆ ก็เป็นได้ … ไม่เหนื่อยกันบ้างหรอ

ความเสื่อมสลายโดยรูปของศาสนา

ความเสื่อมสลายโดยรูปของศาสนา

อ่านเจอข่าวสถานที่ปฏิบัติธรรมลารุงการ์ในทิเบต กำลังถูกรื้อถอนและจำกัดจำนวนผู้พักอาศัยลดลงมากกว่าครึ่ง

ก็มานั่งคิดว่า ศาสนานี่มันต้องเสื่อมแน่ๆ แต่เพียงแค่มันเสื่อมโดยรูปเท่านั้น นามนั้นยังมีอยู่ แต่นามนั้นเป็นของจริงไม่จริงนั้นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องพุทธในทิเบตก็ยกไว้ก่อน เอาพุทธในไทยนี่แหละ

ช่วงก่อนหน้านี้ก็มีกระแสกล่าวหาว่าพุทธนั้นโดนศาสนาอื่นโจมตี ก็มานั่งนึกอีกว่า เขาจะมากล่าวหา โจมตี สอดไส้สร้างความเสื่อมเสียแล้วมันยังไงหรือ? ถ้าเนื้อแท้มันยังอยู่ มันต้องไปกังวลทำไมเล่า ปัญหาจริงๆ คือตอนนี้มันมีแต่หนังรึเปล่า เนื้อไม่มีแล้ว มีแต่เปลือกๆ มันเลยสั่นคลอน หวั่นไหวได้ง่าย

ประเด็นคือคนที่ไม่รู้จริงก็จะกลัวความเสื่อม วิตกกังวลกันไปใหญ่ ก็พากันขัดขืนบ้าง เร่งสร้างหลักฐานบ้าง ก็เห็นชาวพุทธไทยนี่ชอบสร้างหลักฐานในการมีอยู่ของพุทธกันเหลือเกิน จนมันค่อนไปทางอัตตาเสียมาก คือมีอะไรก็สร้างวัตถุเป็นหลัก ธรรมะก็เน้นวัตถุกันอีก จะส่งต่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานนี่เขาเน้นส่งแต่วัตถุกันนะ แต่จะไปว่าเขาก็ไม่ได้ ก็เขารู้เท่านั้น

ในส่วนตัวผมนะ ว่าจะไม่เน้นวัตถุเลย เอาข้างในให้มันได้จริงๆ ก่อนเถอะ ถึงวันนั้นจะมีวัดไม่มีวัด มีพระไม่มีพระ มีพระไตรปิฎกหรือไม่มี มันก็ไม่ได้สำคัญเท่าไหร่หรอก (จริงๆ มีก็ดี แต่ไม่มีก็ไม่เป็นไร)

อย่างตอนที่พระเถระท่านร่วมกันสร้างพระไตรปิฎกขึ้นมานี่ วัตถุมันไม่ได้มาก่อนนะ มันตามมาทีหลัง มันเป็นมรดกจากความสมบูรณ์ คือพระอรหันต์ 500 รูปมาร่วมกันสร้าง ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์นี่เข้าร่วมไม่ได้นะ

แต่ทุกวันนี้อรหันต์ไม่อรหันต์ไม่รู้แหละ ตะบี้ตะบันสร้างวัตถุกันไป วัดบ้าง ตำราบ้าง ก็เยอะแยะหลากหลาย พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้นะ ให้ทำคุณอันสมควรก่อน จึงพร่ำสอนผู้อื่นภายหลังจักไม่มัวหมอง..

ผมนั่งนึกถึงวันที่พุทธในไทยมันเสื่อมสลายเหมือนกันนะ คือรูปไม่เหลือเลย วัดก็เละเทะ พระก็เละเทะ แล้วมันจะยังไง นึกไปมันก็ไม่ได้ทุกข์อะไร เพราะมันต้องเป็นไปอย่างนั้นอยู่แล้ว และที่สำคัญพุทธก็ไม่ได้สืบทอดกันแบบนั้นเสียหน่อย ศาสนาในปัจจุบันจะเละอย่างไร คนที่มีภูมิเก่าเขาก็สืบทอดสิ่งที่เขามีเขาเป็นมาก่อน แล้วพัฒนาต่อยอดไปเรื่อยๆ พอมีจริงแล้วมันก็เลยไม่กังวลว่าพุทธจะเสื่อมสลายไป เพราะรู้ว่าตนเองนี่แหละมีความเป็นพุทธอยู่ ถึงเหลือคนเดียวในโลกก็ทำไปเท่าที่ทำได้ ตายไปก็เกิดมาศึกษาต่อไปจนกว่าจะหมดกิเลส

พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้อย่ารีบเชื่อ ทั้งตำรา อาจารย์ผู้มีชื่อเสียง เพราะของพวกนี้มันไม่เที่ยง มันหลอกได้ มันปลอมได้ แต่ภาวะในตนนี่มันเป็นของจริง มันรู้แล้วรู้เลย มันแน่นอนกว่า เพราะเกิดจากการปฏิบัติสะสมมาหลายภพหลายชาติ พอไปลองปฏิบัติตามดูก็จะรู้เองว่าทางไหนใช่ ทางไหนไม่ใช่ ดังนั้นความเป็นพุทธจึงไม่หล่นหายไปไหน แม้รูปของศาสนาจะเสื่อมไปโดยสมบูรณ์ก็ตาม คนที่เขาปฏิบัติได้จริงถึงมรรคผลจริง เขาก็มีของเขาอยู่แบบนั้นแหละ

ทีนี้คนไม่รู้จริงเขาก็จะไม่มีความเข้าใจแบบนี้ เขาก็จะกังวล ตื่นตระหนก หากพุทธที่เขารักโดนทำร้ายทำลาย ถูกทำให้เสื่อมลง ส่วนใหญ่ก็จะเร่งสร้างวัตถุ สร้างมวล แต่ไม่ได้สร้างคุณภาพ คือไม่ทำความเห็นของตนให้ถูก เขาก็เลยต้องทุกข์เพราะความผิดหวังจากการพลัดพรากอยู่อย่างนั้น

 

คนชั่วสร้างความเจริญเพื่อทำลายตน

ผมไปอ่านเจอมา น่าจะเปรียบเทียบกับปัจจุบันได้

ดูกรภิกษุทั้งหลายลาภสักการะและชื่อเสียง เกิดแก่เทวทัต เพื่อฆ่าตนเอง เพื่อความเสื่อม ฯ “(ปักกันตสูตร เล่ม 16 ข้อ 586)

สิ่งที่เราเห็นว่ามันเจริญ มันยิ่งใหญ่ มันดูมีกำลัง มีคนศรัทธามาก …มันไม่แน่นะ มันอาจจะเกิดมาเพื่อทำลายตัวมันเองก็ได้ เพราะลาภสักการะนั้นแหละ จะเป็นสิ่งที่ทำลายคนชั่ว

จริง ๆ มันก็เป็นเรื่องปกติของโลกละนะ คนชั่วสะสมลาภสักการะ บารมี บริวารอะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายก็จะตายเพราะเหตุเหล่านั้นเอง ในปัจจุบันก็มีให้เห็นเยอะ มีหลายเคส ก็ศึกษากันไป

 

คนพุทธที่คบหาคนพาลหลงตามคนพาล

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ (มีคนนับถือศาสนาพุทธในทะเบียนบ้านเยอะ) มีคอร์สปฏิบัติธรรม มีสำนักมากมาย แต่ส่วนมากก็ตกม้าตายกันตั้งแต่แรก ตรงที่ดันไปคบคนพาล ไม่คบบัณฑิต บูชาบุคคลที่ไม่ควรบูชา (ตรงข้ามกับมงคล ๓๘)… ซึ่งไปสอดคล้องกับความเสื่อมของชาวพุทธ (หานิสูตร) ข้อ ๗ คือการทำสักการะก่อนในที่นอกขอบเขตพุทธ (ไปเคารพศรัทธาเกื้อหนุนในสิ่งที่ไม่ใช่พุทธ แม้สิ่งนั้นจะเรียกตนเองว่าพุทธก็ตามที)

…เป็นสภาพเห็นกงจักรเป็นดอกบัวแท้ๆ คือคนเห็นผิดเป็นถูก เขาก็เห็นอยู่อย่างนั้น เขาก็เชื่อว่าของเขาถูกจริง ดีจริง ตรงจริง

…ถ้าอยากรู้จริง ๆ ว่าถูกหรือผิด สมัยนี้ก็ยังมีพระไตรปิฎกให้ตรวจสอบอ้างอิงกันอยู่ ก็ขึ้นอยู่กับว่ากล้าเชื้อเชิญให้มาพิสูจน์กันได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง (เอหิปัสสิโก)

วัตถุบูชา เครื่องรางของขลัง

ประเทศไทยของเรานี้ ศาสนากับความงมงายมักจะอยู่คู่กันจนแยกไม่ออก ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่คนนิยมบูชาในวัตถุมงคล เช่น พระเครื่อง พระพุทธรูป เครื่องราง ของขลัง ของที่เขาว่าศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ จนลืมให้เวลากับการศึกษาเกี่ยวกับแก่นแท้ของศาสนาพุทธ เรียกได้ว่าเข้าป่าจะไปเอาแก่นไม้ แต่ตอนออกมาจากป่าได้ก้อนหินมา เป็นคนละเรื่องกันไปเลย

ทุกวันนี้เหมือนความเสื่อมจะเข้ามาอย่างมาก เราบูชาวัตถุกันมากกว่าบูชาคุณธรรมความดี เราให้ค่ากับวัตถุของขลังมากกว่าให้ค่าคนดี เรากำลังหลงในอะไรอยู่ มาหาคำตอบกันได้จากข้อคิดเห็นในบทความนี้กัน

อ่านต่อได้ที่บทความ : วัตถุบูชา เครื่องรางของขลัง
วัตถุบูชา เครื่องรางของขลัง

อ่านบทความอื่นๆ แนะนำ ติชม ทักทายกันได้ที่…

Facebook : ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

Blog : Minimal life : Dinh Airawanwat