เพราะหลงยึดไป (การเมืองวันนี้)

ผมเห็นข่าวและผลกระทบจากการเมืองวันนี้ รู้สึกว่าทุกวันนี้สังคมช่างดูเกรี้ยวกราด เหมือนกับว่าเขาพร้อมที่จะทะลวงฝ่ายตรงข้ามด้วยอาวุธทุกเมื่อที่เห็น

สมัยก่อนเห็นว่าคนคลั่งฟุตบอลตีกันก็ว่ามากแล้ว คนคลั่งศาสนาเถียงกันก็ว่าบ้าแล้ว นี่คนคลั่งการเมืองออกความเห็นกันนี่ขมคอยิ่งกว่า

เพราะศาสนานี่มันมีถูกมีผิดของมันอยู่ มีรูปแบบมีหลักการอยู่ มันมีจุดจบของมันอยู่ แต่การเมืองนี่มันเรื่องโลก เรื่องโลกีย์ ไม่มีอะไรถูกผิดชัดเจน มีแต่สมมุติ มีแต่ชอบหรือชัง มีแต่เรื่องที่ลวงให้ไปหลงติดหลงยึด หลงมีอารมณ์ร่วมไปกับเขาเท่านั้น ก็เหมือนละครฉากหนึ่งนั่นแหละ

ผมว่านะ ที่เสนอ ๆ กันมานะ ถ้าทำด้วยใจบริสุทธิ์ไม่หวังประโยชน์ตนเอง มันก็ดีหมดนั่นแหละ แต่ดีนั้นจะเหมาะกับบริบทสังคมในปัจจุบันไหมก็อีกเรื่องหนึ่ง ก็ต้องดูเอาตามที่เสนอได้ไม่ฝืดไม่ฝืนจนเกินไป คือไม่ทะเลาะกัน ไม่วิวาทกัน แต่ถ้าดื้อรั้นจะเอานี่ก็คงไม่บริสุทธิ์หรอก

ทีนี้คนเขาก็เลือกตั้ง เอาคนดีตามที่เขาคิดเข้าไป แต่เขาไม่ได้เลือกแค่คนเข้าไป เขายังใส่จิตวิญญาณเข้าไปด้วย ตามไปยึดมั่นถือมั่นเลยนะ ว่าคนคนนั้นเป็นของเรา เป็นเรา เป็นพวกเรา เป็นความคิดเดียวกัน แม้ตัวนั่งดูอยู่หน้าจอ แต่จิตเสมือนไปสิงร่างผู้แทนคนนั้น

ใครมาติคนที่เราชอบก็ไปโกรธเขา ชังเขา ใครเห็นด้วยกับคนที่เราชอบก็ปลื้มใจ นี่มันคือความหลงไปสิงร่างเขา เขาไม่ใช่เราแท้ ๆ ก็ยังไปโกรธไปเกลียดแทนเขา

มันก็สร้างตัวตนขึ้นมาอีกหนึ่ง คือกิเลสตัวเอง การยึดตัวเองก็หนักหนาอยู่แล้ว ก็ยังไปสร้างจุดยึดขึ้นมาเพิ่ม ยึดตัวบุคคลอื่น(โอฬาริกอัตตา) ยึดอุดมการณ์(อรูปอัตตา) ก็ทำให้เกิดความทุกข์แปรผันตามความยึดนั่นแหละ

คนเรานี่ก็แปลก ขยันสร้างทุกข์ให้ตัวเองเพิ่ม ชีวิตทุกวันนี้มันไม่ทุกข์พอหรือไง ต้องไปหาเรื่องเสพสุขให้มันสะใจ สาแก่ใจอยู่นั่นแหละ

การเมืองรสจัด

แก้เลี่ยนกันหน่อย อะไรที่มันอ้อม ๆ บางทีมันก็ไม่ทันใจวัยรุ่นสักเท่าไหร่นัก

ผมศึกษาการเมืองยุคนี้มาไม่มาก แต่ก็พอจะเห็นสิ่งที่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติอย่างใหญ่ คือระดับพลิกประเทศจากสวรรค์เป็นนรกได้เลย

เพราะมีพรรคหนึ่งเขาไม่เอาเลยนะ ชาติ ศาสนา กษัตริย์ เขาไม่เอาสักอย่าง คือธงไทยนี่เขาไม่เอาเลย เขาจะเอาแบบของเขา เขามีความเห็นกันไปอย่างนั้น

ทหาร กองทัพ กองกำลังภาครัฐนี่เขาไม่เอา เขาจะฝึกกองกำลังประชาชนของเขาเอง นี่มันอะไรกัน ช่างย้อนแย้งเสียจริง ไม่เอาอำนาจทหาร แต่กลับสร้างอำนาจทหารในอีกชื่อ

ศาสนานี่เขาตีทิ้งเลย เขาไม่ใยดีเลย ให้สลายทิ้ง โอโห้!? คิดแล้วสยอง ประเทศที่ไม่มีหลักธรรมนำสังคม มันจะไปทางไหน มันก็ไปทางตัวใครตัวมัน ดีของข้า ดีของเอ็ง สุดท้ายมันก็ตีกันด้วยความเชื่ออยู่ดีนั่นแหละ

กษัตริย์นี่เขายิ่งไม่เอาใหญ่ ถ้อยคำที่แสดงออกมานี่นอกจากจะไม่เคารพแล้วยังออกไปทางชัง ๆ อีกด้วย อันนี้ก็ลบหลู่คุณท่านเกินไป มาเล่นกับศรัทธาคนส่วนมากที่เขารักและฝังใจไว้แล้วระวังคุณจะเจ็บหนัก แต่เอาแค่วิบากกรรมที่เพ่งโทษก็นรกกินหัวแล้ว ไม่ต้องไปแช่งอะไรเขาให้เกิดชั่วในตนเองหรอก เพราะที่เขาไม่เคารพบุคคลที่ควรเคารพ ไม่บูชาบุคคลที่ควรบูชา ก็แสดงถึงภูมิปัญญาของเขามากพออยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงควรเห็นใจเขา เมตตาเขา ให้อภัยเขา กับความไม่รู้ดีรู้ชั่วของเขา

จริง ๆ แนวความคิดนี้มันมีมานานแล้ว แต่มันไม่ออกรูปชัด เพราะพรรครุ่นพี่เขาก็แนวนี้ทั้งนั้นแหละ แต่นี่รุ่นใหม่ เด่นกว่า แซ่บกว่า รสจัดกว่า นรกกว่า คือตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ไม่แอบ ไม่ละเมียดละไม แต่ก็ถูกใจคนไม่น้อย

ก็ไม่ต้องกังวลไป สุดท้ายพวกเขาก็ไปที่เดียวกันนั่นแหละ ถ้ามันดีจริงก็เป็นสุข ถ้าชั่วก็ไปนรก พระเทวทัตยังมีบริวารของพระเทวทัตเลย มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าจะมีคนชอบอะไรแปลก ๆ

สุดท้ายถ้าประเทศไทยมันไปอย่างนั้นจริง ๆ ก็ไม่มีปัญหา ไม่ต้องทุกข์อะไร เพราะถ้าได้ทำดีที่สุดแล้ว ผลจะเป็นยังไงก็เป็นไปอย่างนั้น

ก็เหมือนกับศาสนาพุทธในไทยทุกวันนี้ เนื้อแท้ถูกเปลี่ยนไปหมดแล้ว เหลือไว้แต่เปลือกปลอม ๆ ให้คนหลงมัวเมากันต่อไป ประเทศไทยมันจะเปลี่ยนไปสู่อนาคตใหม่ ๆ แบบนั้น มันจะต้องทุกข์อะไร มันก็เหมือนพุทธทุกวันนี้นั่นแหละ สุดท้ายคนก็อยู่แบบหลง ๆ งง ๆ กันต่อไป

ชอบไหม?

อนาคตใหม่วนไปที่เก่า

ผู้คนแสวงหาอนาคตใหม่ ๆ ทางเลือกใหม่ ๆ เผื่อว่าอะไรมันจะดีกว่าเดิม ก็จริงอยู่ที่ว่าอนาคตนั้นมีอยู่ ความแปลกใหม่นั้นมีอยู่ แต่ความดีนั้นอาจจะไม่มีจริง

ซึ่งทางเลือกใหม่ อนาคตใหม่ อาจจะเป็นเหวแห่งทุกข์เดิม ๆ ที่เคยตกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็เป็นได้

ความวนเวียนกลับไปที่เก่า หมายถึงความไม่เจริญ ความเสื่อม แต่ความวนเวียนนี้คืออะไร ในเมื่อใครต่อใครก็อ้างบอกกล่าวกู่ร้องก้องตะโกน ว่าข้าของใหม่ ข้าจะมาเปลี่ยนแปลง ฯลฯ

ความวนเวียนคือความไร้ศีลธรรม ไร้ความเคารพ ไร้ศรัทธา เมื่อคนสิ้นศรัทธาแก่ผู้ที่ควรเคารพบูชา ถือเอาตนเป็นที่ตั้ง ถือเอาตนเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ดูถูกคุณความดีของผู้อื่น(มักขะ) ถือเอาความเห็นตนเป็นใหญ่(มานะ)

ความวนเวียนคือความเสื่อมในศรัทธาต่อสิ่งที่ดีงาม บางคนมีความเห็นว่าศาสนาไม่จำเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณไม่จำเป็น นั่นก็เพราะเขาไม่มีศรัทธา

ซึ่งในศาสนาพุทธเรียกว่าอินทรีย์พละ ผู้ที่จะเจริญ หรือเป็นคนดีที่ดีแท้ในศาสนาพุทธอันดับแรกคือมีศรัทธา นั่นคือเบื้องต้นในนิยามคนดีของพระพุทธศาสนา

การที่เขาไม่มีความศรัทธาในบุคคลที่ควรศรัทธา ไม่ศรัทธาในธรรมที่ควรศรัทธา นั่นเพราะเขายังไม่มีปัญญาเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นดีอย่างไร มีคุณค่าอย่างไร เป็นสิ่งล้ำค่าอย่างไร จึงตีทิ้งคุณค่าเหล่านั้นไป เปรียบเหมือนไก่ได้พลอย กิ้งก่าได้ทอง

ซึ่งก็ไม่แปลกสำหรับยุคสมัยที่ใกล้กลียุคเข้าไปทุกที ความชั่วมีมาก ความดีมีน้อย คนส่วนมากที่เกิดในยุคนี้คือคนที่ไม่มีธรรมะติดตัวมาเลย มีแต่สัญชาติญาณ กิเลส ความยึดมั่นถือมั่น อัตตาตัวตนทั้งหลายแหล่ …ถึงจะเก่ง ถึงจะโดดเด่นขึ้นมาได้ แต่ก็อาจจะเป็นเพียงแค่คนฉลาดในเล่ห์เหลี่ยมของกิเลส คือ โกง หลอกลวง ตลบแตลง เล่นละครต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลสำเร็จของตน

นั่นหมายถึงถ้าเราเลือกคบคนไม่มีศีลธรรม เราก็จะวนกลับไปสู่ยุคที่ไม่มีความดี ยุคที่ไม่มีความเจริญทางจิตวิญญาณ หรือสรุปสั้น ๆ ว่าจะเข้าไปสู่กลียุคได้ไวขึ้น

เพราะถ้าเรามีผู้นำที่ไม่มีศีลธรรม ไม่มีความศรัทธาในศาสนา ไม่เคารพบุคคลที่ควรเคารพบูชา เขาย่อมไม่มีหลักยึด จะมีให้ยึดก็เพียงแต่ตัวตนของเขา ที่เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน

ความเก่ง ความมั่นใจ ความรู้ ความสามารถ ทักษะในการพูด วาทะที่โน้มน้าวน่าฟัง ฯลฯ ไม่ได้เป็นตัวตัดสินได้เลยว่าคนจะเป็นคนดี หรือจะเป็นผู้นำที่นำพาผองชนไปสู่ความผาสุกได้

ศีลธรรมต่างหากที่จะเป็นที่พึ่ง เป็นเครื่องนำความเจริญและความผาสุกมาให้ผองชน

เพราะถ้าไม่มีศีลธรรม ก็จะต้องพบกับความวนเวียนไม่รู้จบ เกิดมาเป็นคน ไม่ทำสิ่งดี ทำแต่สิ่งชั่ว ก็วนกลับไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ใช้วิบากกรรมวนเวียนไป จนได้เกิดมาเป็นคนอีก ก็ยังไม่สำนึก ยังแสวงหา เบียดเบียน บ้าอำนาจ สุดท้ายก็ใช้กุศลกรรมที่ทำมาจนหมดไปกับกิเลส ก็วนกลับไปเป็นสัตว์ วนเวียนไปเช่นนี้ไม่รู้จบ

ดังนั้นอนาคตที่ว่าใหม่ อาจจะเป็นนรกขุมเดิม ๆ ก็เป็นได้ … ไม่เหนื่อยกันบ้างหรอ

เลือกตั้งปี 62 ในมุมมองของผม

บ้านเมืองก็สงบสุขกันมาพักใหญ่ ๆ ช่วงโค้งสุดท้ายนี้ก็ดูจะชุลมุนวุ่นวายกันเล็กน้อย แต่ก็เป็นเพียงความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป

คนที่มีสิทธิ์หรือยังไม่มีสิทธิ์ในการเลือกตั้ง แต่ก็ยังมีสิทธิ์ที่จะยินดีในการกระทำใด ๆ ของใครก็ตามที่ตนเห็นว่าดี

แต่สิ่งที่ตนคิดตนเห็นนั้นดีจริงหรือเปล่า จะใช้อะไรมายืนยัน? จะเชื่อได้อย่างไรว่าเราเห็นควร เห็นถูก กระทำถูกจริง?

ในมุมมองของผม ซึ่งจะไม่เด่นไปทางถนนสายการเมือง ไม่เชี่ยวชาญเรื่องนี้สักเท่าไรนัก จะรู้ก็เผิน ๆ ตามข้อมูลที่ได้รับ ตามภูมิธรรมที่มี ว่าคนนั้นคนนี้เป็นอย่างไร

แต่โดยส่วนตัวผมก็เลือกไว้แล้ว แต่จะให้บรรยายเหตุผลหรือข้อดีอย่างกระจ่างแจ้ง ผมทำไม่ได้หรอก ความสามารถไม่ถึงปัญญาไม่พอ

ซึ่งคนที่ผมเลือกก็ยังตรงกับครูบาอาจารย์ การเลือกของครูบาอาจารย์เป็นตัวชี้วัดหนึ่งว่าโอกาสผิดพลาดน่าจะน้อยกว่าเชื่อตัวเอง เพราะครูบาอาจารย์ท่านคิดดี ทำดี พูดดีมากกว่า อินทรีย์พละสูงกว่า ประสบการณ์มากกว่า และแน่นอนที่สุดคือปัญญามากกว่า เมื่อท่านเลือกใครท่านก็ต้องแบกรับวิบากไว้ ซึ่งจำนวนก็มหาศาลกว่าคนทั่วไป เพราะการเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณก็ต้องมีส่วนเหนี่ยวนำให้คนอื่นทำตาม

ผมเชื่อว่าท่านต้องเลือกทางที่ดีที่สุดให้ตนเองและสังคมแน่นอน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านก็เสียสละ ทำดี ช่วยเหลือผู้อื่น อย่างเสมอต้นเสมอปลายและเสมอมาตั้งแต่ท่านเข้ามาทำงานศาสนานี้

ผมเชื่อว่าจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่มีอะไรดีกว่าเราลดอัตตาตัวตน ตัวยึดดีถือดีทั้งหลาย เข้าไปรวมพลังกับครูบาอาจารย์หรอกครับ ถ้ามันจะถูก ก็ให้เจริญไปด้วยกัน ถ้ามันจะผิดก็จะได้ช่วยกันแก้

และสุดท้าย ผมขอย้ำว่า ผมไม่เชื่อว่าตัวเองจะฉลาดหรือมีปัญญามากกว่าครูบาอาจารย์

…สมณะโพธิรักษ์และอาจารย์หมอเขียว เลือกที่จะเทคะแนนให้ลุงตู่ ตัวผมก็เช่นเดียวกัน

เสียสละ หรือ ต้องช่วยกันเจ็บ ?

วันนี้ผมติดตามข่าวสารเกี่ยวกับน้ำท่วมเหมือนเคยครับ เพราะต้องคอยระวังที่บ้านไว้ด้วย และอีกอย่างคือวันนี้จะออกไปซื้อของด้วยก็เลยต้องตามข่าวกันติดหนึบหน่อย

ข่าวสารเนี่ยมันเป็นข้อมูลครับ ยิ่งฟัง ก็ยิ่งคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด คนเราบางทีก็รับข้อมูลบางอย่างเข้าสมองมากเกินจำเป็นครับ การคัดกรองข่าวสารที่จำเป็นเพียงเล็กน้อยจากข้อมูลข่าวสารจำนวนมากเกินจำเป็น (Snow job คำนี้ผมได้มาจากการเรียน Negotiate และชอบมากๆ )  ซึ่งผมได้รับทราบมาว่ามีทั้งข่าวที่เกิดขึ้นจริง และข่าวที่บิดเบือน ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับข่าวสาร

ข่าวสารสำหรับผมนั้น ในโลกนี้ไม่มีข่าวใดจริงแท้เลย ทุกๆข่าว ผ่านสายตา สมอง และปากจนถึงปลายปากกาหรือมือที่พิมพ์ลงไป ระหว่างทางที่ข่าวนั้นๆ ผ่านมาจนถึงเราจะเจออะไรบ้าง ประสบการณ์ ความวิตก อคติ ลำเอียง การคิดไปเอง ฯลฯ ทำให้ข่าวสารเหล่านั้นถูกบิดเบือนแต่แรกแล้ว ดังนั้นการรับข่าวสารจำเป็นต้องกรองจากหลายแหล่งกันให้ดีนะครับ เพราะจะส่งผลในการตัดสินใจแก้ปัญหาได้ ซึ่งในเวลานี้ทุกอย่างดูจะแข่งกับเวลามากทีเดียว

เข้าประเด็นกันเลย…

ระหว่างที่ผมอ่านเว็บไซต์และเครือข่ายสังคมจำนวนมาก ก็ได้ปรากฏข้อความหนึ่ง ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยตอนนี้เมื่อเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นเมื่อโดนซึนามิว่า “ญี่ปุ่นพยายามกั้นแนวความเสียหายให้วงแคบที่สุด และทุกคนเสียสละและมีระเบียบ ความมีระเบียบทำให้ญี่ปุ่นจัดการทุกอย่างได้ไว แต่เมื่อมองคนไทยแล้ว คนไทยกลุ่มหนึ่งกลับมองว่าการเสียสละเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ทำไมไม่ช่วยกันแบ่งเบา ฉันโดนคุณช่วยกันโดนบ้าง ต้องโดนให้ทั่วๆกัน จะได้มาตราฐานเดียวกัน ” อะไรประมาณนี้

ในความเห็นนั้นมีกระทั่งคนที่บอกมาว่ามีคนไปทำลายแนวกระสอบทรายก็ยังมี ผมอ่านแล้วก็ไม่แปลกใจ เพราะจากที่ฟังวิทยุดูเหมือนจะมีการขัดแย้งกันในหลายพื้นที่ ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นดูจะมาจากมุมมองทางการเมือง ซึ่งผมเองขอให้ความคิดเห็นตรงๆว่า เราน่าจะมองไปที่การจัดการปัญหาน้ำท่วมกันมากกว่า

ผมเองอยู่กรุงเทพฯ คงไม่มีหน้าไปบอกว่าให้คนต่างจังหวัดช่วยกันเสียสละให้กรุงเทพฯ เพราะเห็นภาพน้ำท่วมก็พูดไม่ออก แต่ถ้าเราคิดไปถึงระดับประเทศ เราควรจะรักษาอะไรเป็นอันดับแรก สิ่งที่ประเทศจำเป็นต้องรักษาคืออะไร? ถ้าให้ดีก็คิดไปถึงระดับโลกเลยก็ดีครับ เพราะจริงๆ ปัญหาที่เราเจอนั้นเป็นปัญหาระดับโลกทีเดียวนะครับ

ผมเองเป็นแค่ชีวิตเล็กๆในเมืองใหญ่คงจะไม่มีปัญญาไปช่วยอะไรเขาได้มาก จากสถานการณ์ตอนนี้คงได้แค่ภาวนาให้ฝนไม่ตกมากไปกว่านี้ และคิดว่าหลังจากนี้เราควรทำอะไรกันบ้าง

ประเด็นนี้เป็นประเด็นสังคมที่ค่อนข้างมีความเห็นที่หลากหลายพอสมควร แต่ผมยินดีต้อนรับทุกความคิดเห็นครับ

สวัสดี