ละคร ความจริงบนความลวงที่ไม่ควรทำให้ชัด

จากข่าวที่มีความเห็นประมาณว่า : ละครต้องสมจริง

การสื่อสารให้คนรู้เรื่อง ผมว่าบางทีมันไม่ต้องบอกทั้งหมดก็ได้นะ เราใช้ศิลปะบอกเขา เขาก็รู้ได้ การแสดงสัญลักษณ์หลายๆ อย่าง อย่างที่ผมเคยเรียนมาก็มีเรื่องการใช้สัญลักษณ์ในการนำเสนอเรื่องราวในภาพยนต์

จะว่าเป็นเรื่องพื้นฐานก็ว่าได้ เพราะการจะไปสื่อให้ชัดหรือสมจริงนั้น บางครั้งมีอันตรายมากไป หรือเป็นโทษมาก เช่นฉากโดนงูกัดก็ไม่เห็นมีใครจะเอางูไปกัดกันจริงๆเสียหน่อย หรือพวกฉากในละครเช่น ฉากกอด ฉากจูบ จากปล้ำ ข่มขืน ตบตีอะไรก็ว่าไป ถ้าใช้หลักการของเมืองพุทธก็ถือว่าไม่ควร เพราะมันจะไปเร่งกิเลสคนอื่นเขา ให้เขาเกิดความ โลภ โกรธ หลง แต่ถ้าใช้หลักกูก็แล้วแต่จะพิจารณากันไป

ทุกวันนี้สื่อที่นำเสนอส่วนใหญ่นี่ก็ออกแนวลามกอนาจารกันมากอยู่แล้ว เร่งเร้ากันสารพัด กิน กาม เกียรติ ก็พากันเมากันไป

กิเลสกับลูก

จากกระทู้ : เพราะรองเท้าคู่ละ59บาท ทำให้รู้ว่าที่ผ่านมาเรารักตัวเอง “ไม่ใช่ลูก”

เคสกิเลสกับลูก ที่เขาเล่ามานี่ก็เข้าใจง่ายดี

คนเรานี่ไปเสพสุขกับตัวตนของตัวเองมันก็พอเห็นได้ง่าย แต่พอตัวเองไปเสพสุขจากภาพสะท้อนตัวตนของตัวเองที่ต้องผ่านคนอื่นนี่มันน่าปวดหัวจริงๆ

สรุปง่ายๆ คือเอาลูกมาเป็นเครื่องสนองกิเลสตนเองนั่นแหละนะ ก็ลองศึกษาจากเคสนี้กันดูครับ ผมว่าเข้าท่านะ และจะเข้าทีกว่านี้ถ้าเขาหาสามารถค้นพบได้ว่าเขาไปเสพสุขอะไรกับการที่มีคนมีชื่นชมลูก

คุณคิดอย่างไร? เรื่องพระ จะออกมาเดินขบวน

มีคนเขาถามมาครับ : คุณคิดอย่างไร? เรื่องพระ จะออกมาเดินขบวน

การที่พระจะออกมาเดินสำหรับผมก็คงจะไม่ใช่สาระสำคัญเท่า “เดินไปเพื่ออะไร” ถ้าเดินไปเพื่อลดกิเลสตัวเองและเอื้อให้ผู้อื่นลดกิเลส คือพากันลดโลภ โกรธ หลงถึงจะออกมาเป็นหมื่นเป็นล้าน ก็เป็นเรื่องดีที่ควรสรรเสริญ แต่ถ้าออกมาเดินเพื่อเพิ่มกิเลสให้ตนเอง เพิ่มกิเลสให้กับผู้อื่น คือพากันเพิ่มความโลภ โกรธ หลง มัวเมาในอบายมุข ลุ่มหลงในกามคุณ แสวงหาแต่โลกธรรม ยึดมั่นในอัตตา ถ้าจะออกมาเดินเพื่อการนี้ แม้เดินคนเดียวก็อย่าเดินเลยจะดีกว่า นับประสาอะไรกับการเดินเป็นหมู่ใหญ่ ยิ่งเดินเท่าไหร่ก็ยิ่งชั่วเท่านั้นเอง ดังนั้นเจตนาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะชี้ให้เห็นว่าสิ่งนั้นสมควรหรือไม่

เสียใจเพราะเสียผลประโยชน์?

จากข่าว ยังไงก็ไม่รอด หมูนับพันถูกช่วยเหลือจากน้ำท่วมจีน ส่งตรงถึงโรงเชือดทันที

จีนน้ำท่วม หมูจมน้ำ เจ้าของเสียใจ….แต่ถ้าขายได้ก็โล่งใจ

เขาคงเสียใจที่ขาดทุนละมั้ง ที่โล่งใจก็คงเพราะไม่ขาดทุน(กำไร?)มากเกินไป… เอานะ อย่าไปเดาใจเขาเลย

คนที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับหมูก็คงมีจิตใจหวั่นไหว ถ้าไม่มีหมูให้ขายเขาคงหวั่นไหว ถ้าคนทั่วไปไม่มีหมูให้กินเขาก็คงหวั่นไหว เพราะจิตไปอุปาทานว่าเนื้อหมูนี่หนอ เป็นของกิน เป็นของควรกิน เป็นของควรได้ ควรมีในชีวิต

จิตมันก็ผูกพันไปกับหมูกับเนื้อหมู เลยเกี่ยวข้องไปกับการกักขัง ข่มขืน ฆ่า ชำแหละ ขาย ซื้อ กันอยู่นี่แหละ ทุกข์สุดทุกข์เลย ทุกข์ทั้งหมู ทุกข์ทั้งคนเลี้ยง คนฆ่า คนกิน ไม่เห็นจะมีประโยชน์กับใคร…

คนชั่วสร้างความเจริญเพื่อทำลายตน

ผมไปอ่านเจอมา น่าจะเปรียบเทียบกับปัจจุบันได้

ดูกรภิกษุทั้งหลายลาภสักการะและชื่อเสียง เกิดแก่เทวทัต เพื่อฆ่าตนเอง เพื่อความเสื่อม ฯ “(ปักกันตสูตร เล่ม 16 ข้อ 586)

สิ่งที่เราเห็นว่ามันเจริญ มันยิ่งใหญ่ มันดูมีกำลัง มีคนศรัทธามาก …มันไม่แน่นะ มันอาจจะเกิดมาเพื่อทำลายตัวมันเองก็ได้ เพราะลาภสักการะนั้นแหละ จะเป็นสิ่งที่ทำลายคนชั่ว

จริง ๆ มันก็เป็นเรื่องปกติของโลกละนะ คนชั่วสะสมลาภสักการะ บารมี บริวารอะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายก็จะตายเพราะเหตุเหล่านั้นเอง ในปัจจุบันก็มีให้เห็นเยอะ มีหลายเคส ก็ศึกษากันไป

 

หลอกให้ตายใจแล้วค่อยโกง

จากกระทู้ : (ถูกลบไปแล้ว) เป็นเรื่องรูปแบบการโกงวิธีหนึ่ง คล้ายๆ โกงแชร์

อ่านเคสนี้แล้วลักษณะเหมือนโกงแชร์ โกงธุรกิจทั่วๆไป คือหลอกให้คนโลภ ให้คนเชื่อมั่น โดยเอาผลประโยชน์ ความมั่นคงมาล่อลวง ….

เหมือนกับกิเลสนั่นแหละ มันเอาผลประโยชน์และความมั่นคงมาอ้างให้เราเสพ จะยกตัวอย่างในเรื่องคู่ มันก็หลอกเราว่า จะได้ความสุข ได้กิน ได้เสพ ได้สมสู่ ได้ชีวิตที่มั่นคง ยั่งยืน มีคนให้พึ่งพากันไปตลอดชีวิต (หรืออย่างน้อยก็สุขอีกนาน)

มันก็เอาเหตุผลลวง ๆ มาล่อเท่านั้นเอง ตอนแรกมันก็ยอมให้เราได้กำไรเหมือนเคสนี้นี่แหละ ให้น่าได้ น่าเชื่อถือ สุดท้ายก็ทำร้ายเราด้วยการถอนทุนคืนกันครั้งใหญ่ … ผมเชื่อว่าหลายคนเจอมาแล้วก็คงพอเข้าใจ …แต่อีกหลายคนที่ไม่เชื่อก็ลองพิสูจน์ดูว่ากิเลสจะหักหลังเราจริงหรือไม่

ทิ้งท้ายกันด้วยคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า …”ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล คนเขลายังเข้าใจว่ามีรสหวาน, แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนเขลาย่อมประสบทุกข์เมื่อนั้น.

หลงไปเข้าไปแล้วมันออกยาก (มีครอบครัว)

จากกระทู้ : แต่งงานมีสามี มีลูกแล้ว แต่รู้สึกมันไม่ใช่

หลงไปเข้าไปแล้วมันออกยาก…

ผมว่านะ แต่ละคนที่เขามีคู่ มีลูก นี่เขาก็คิดว่ามันจะต้องมีความสุขกันทุกคนนั่นแหละ คืออย่างน้อยก็สุขกว่าที่เป็นอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาไม่ไปมีกันหรอก แบบนี้ก็เป็นความเห็นทั่วไปของคนในโลก

แต่ที่นี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆไง ความสุขมันมี แต่มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สรุปคือมันเกิดแล้วและมันก็ดับไปแล้ว มันเสพสิ่งเดิมๆ มันก็ไม่สุขเหมือนเดิมแล้ว สภาพสุขที่เคยได้เสพมันหมดไปแล้ว

ความสุขที่ว่านี่มันไม่ได้เกิดจากผัว จากเมีย จากลูกนะ มันเกิดจากจิตที่มันมีกิเลส มันอุปทานแล้วได้เสพสมใจมันก็เลยสุข สุขจากกิเลสแบบนี้เรียกว่าสุขลวง มันก็หลอกให้เราหลงไปเสพเท่านั้นแหละ

จริงๆ คือมันไม่เคยมี เราปั้นขึ้นมาเองว่ามันมี ที่นี้พอมันกลับเป็นสภาพจางคลาย แต่เราหลงยึดว่ามันเคยมี เราก็เป็นทุกข์

เหมือนกินขนมที่ชอบน่ะ คำแรกนี่มันสุขแสนสุขเลยนะ แต่คำที่ 10 ที่ 100 นี่มันสุขไม่เท่าคำแรกหรอก อันนี้จิตมันปั้นขึ้นมาเอง ขนมมันก็เป็นของมันแบบนั้น รสชาติมันก็แบบของมันแบบนั้นแต่แรกไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย มีแต่จิตเราที่เปลี่ยนไป

คนพุทธที่คบหาคนพาลหลงตามคนพาล

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ (มีคนนับถือศาสนาพุทธในทะเบียนบ้านเยอะ) มีคอร์สปฏิบัติธรรม มีสำนักมากมาย แต่ส่วนมากก็ตกม้าตายกันตั้งแต่แรก ตรงที่ดันไปคบคนพาล ไม่คบบัณฑิต บูชาบุคคลที่ไม่ควรบูชา (ตรงข้ามกับมงคล ๓๘)… ซึ่งไปสอดคล้องกับความเสื่อมของชาวพุทธ (หานิสูตร) ข้อ ๗ คือการทำสักการะก่อนในที่นอกขอบเขตพุทธ (ไปเคารพศรัทธาเกื้อหนุนในสิ่งที่ไม่ใช่พุทธ แม้สิ่งนั้นจะเรียกตนเองว่าพุทธก็ตามที)

…เป็นสภาพเห็นกงจักรเป็นดอกบัวแท้ๆ คือคนเห็นผิดเป็นถูก เขาก็เห็นอยู่อย่างนั้น เขาก็เชื่อว่าของเขาถูกจริง ดีจริง ตรงจริง

…ถ้าอยากรู้จริง ๆ ว่าถูกหรือผิด สมัยนี้ก็ยังมีพระไตรปิฎกให้ตรวจสอบอ้างอิงกันอยู่ ก็ขึ้นอยู่กับว่ากล้าเชื้อเชิญให้มาพิสูจน์กันได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง (เอหิปัสสิโก)

สิ่งใดจะทำลายธรรมชาติได้ดีเท่าการท่องเที่ยว

จากกระทู้ : สุดอึ้ง! ภาพเกาะตาชัย สุสานที่เงียบเชียบ

สิ่งใดจะทำลายธรรมชาติได้ดีเท่าการท่องเที่ยว

เรียกว่าเป็นสภาพที่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันไปถล่มธรรมชาติกันเลยทีเดียว กรณีที่ยกมานี้เป็นข่าวเก่า แต่วงจรนี้ไม่มีวันจบสิ้น

เริ่มจากคนมีกิเลสแสวงหาสถานที่น่าเสพ พอได้เสพก็อยากอวด พออวดคนก็อยากเสพตาม กิเลสมันแพร่พันธุ์ได้ง่ายกว่าเชื้อโรคใดๆในโลกนี้ ว่าแล้วคนที่เกิดความอยากก็จะมุ่งมาเสพตามที่เขาว่าดี คนในพื้นที่ก็ขี้โลภ เห็นประโยชน์ตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ก็ทำลายธรรมชาติเพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัวกันไป

กรณีขุดเหมือง ขุดน้ำมันนี่มันยังเป็นเรื่องของนายทุนใหญ่ ๆ ไม่กี่คน ถ้าคนในชุมชนเข้มแข็ง รัฐบาลทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ชาติ มันก็ไม่มีปัญหา แต่การท่องเที่ยวนี่คือทุกคนต่างมีความต้องการที่จะเสพ แล้วมันห้ามกันไม่ได้ง่ายๆนะ ห้ามนายทุนขุดเหมือนนี่มันยังพอจะทำกันได้ แต่ห้ามคนไม่ให้เข้าไปท่องเที่ยวนี่มันทำไม่ได้ง่ายๆนะ จะไปจำกัดคนไม่ให้เขาเที่ยวเขาไม่ยอมนะ เขาไม่พอใจเขาก็เอาเงินฟาด พอเงินหล่นใส่เจ้าหน้าที่กิเลสหนา ศีลธรรมและความรับผิดชอบก็หล่นตาม แถมรัฐบาลยังส่งเสริมการท่องเที่ยวอีก ไปกันใหญ่

สุดท้ายมันก็พังไปทีละที่นั่นแหละ ที่ไหนมีนักท่องเที่ยวมาก ธรรมชาติก็จะเสื่อมไปเท่านั้น

รุมโทรมธรรมชาติ

จากเนื้อหาในข่าว : เกาะกูด-เกาะช้าง จราจรติดหนึบ คนทยอยกลับหลังหยุดยาว 5 วัน

ผมรู้สึกว่าการไปท่องเที่ยวแบบนี้มันเหมือนพากันไปรุมโทรมสถานที่นั้นยังไงไม่รู้สินะ

จริงอยู่ที่ว่าเขาอาจจะได้เงินกัน แต่คิดๆไปก็เหมือนหญิงสาวที่ยอมให้ชายมาสำรวจท่องเที่ยวและบุกตะลุยร่างกายของเธอเพื่อแลกกับเงิน (พิมพ์ให้มันซอฟๆ ลงนะ คงพอจะรับกันได้)

ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ไปรักษาธรรมชาติหรือศึกษาอะไรกันหรอก ไปเสพสุขกันเสียมากกว่า การรักษาธรรมชาติจริงๆคือการไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวายกับมัน ปล่อยมันให้เป็นไปตามวิถีของมัน

เอานะ ใครที่เห็นโทษแล้วก็ห่างออกมา ส่วนใครกิเลสหนาก็ศึกษากันไป