เสียใจเพราะเสียผลประโยชน์?

จากข่าว ยังไงก็ไม่รอด หมูนับพันถูกช่วยเหลือจากน้ำท่วมจีน ส่งตรงถึงโรงเชือดทันที

จีนน้ำท่วม หมูจมน้ำ เจ้าของเสียใจ….แต่ถ้าขายได้ก็โล่งใจ

เขาคงเสียใจที่ขาดทุนละมั้ง ที่โล่งใจก็คงเพราะไม่ขาดทุน(กำไร?)มากเกินไป… เอานะ อย่าไปเดาใจเขาเลย

คนที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับหมูก็คงมีจิตใจหวั่นไหว ถ้าไม่มีหมูให้ขายเขาคงหวั่นไหว ถ้าคนทั่วไปไม่มีหมูให้กินเขาก็คงหวั่นไหว เพราะจิตไปอุปาทานว่าเนื้อหมูนี่หนอ เป็นของกิน เป็นของควรกิน เป็นของควรได้ ควรมีในชีวิต

จิตมันก็ผูกพันไปกับหมูกับเนื้อหมู เลยเกี่ยวข้องไปกับการกักขัง ข่มขืน ฆ่า ชำแหละ ขาย ซื้อ กันอยู่นี่แหละ ทุกข์สุดทุกข์เลย ทุกข์ทั้งหมู ทุกข์ทั้งคนเลี้ยง คนฆ่า คนกิน ไม่เห็นจะมีประโยชน์กับใคร…

สิ่งใดจะทำลายธรรมชาติได้ดีเท่าการท่องเที่ยว

จากกระทู้ : สุดอึ้ง! ภาพเกาะตาชัย สุสานที่เงียบเชียบ

สิ่งใดจะทำลายธรรมชาติได้ดีเท่าการท่องเที่ยว

เรียกว่าเป็นสภาพที่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันไปถล่มธรรมชาติกันเลยทีเดียว กรณีที่ยกมานี้เป็นข่าวเก่า แต่วงจรนี้ไม่มีวันจบสิ้น

เริ่มจากคนมีกิเลสแสวงหาสถานที่น่าเสพ พอได้เสพก็อยากอวด พออวดคนก็อยากเสพตาม กิเลสมันแพร่พันธุ์ได้ง่ายกว่าเชื้อโรคใดๆในโลกนี้ ว่าแล้วคนที่เกิดความอยากก็จะมุ่งมาเสพตามที่เขาว่าดี คนในพื้นที่ก็ขี้โลภ เห็นประโยชน์ตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ก็ทำลายธรรมชาติเพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัวกันไป

กรณีขุดเหมือง ขุดน้ำมันนี่มันยังเป็นเรื่องของนายทุนใหญ่ ๆ ไม่กี่คน ถ้าคนในชุมชนเข้มแข็ง รัฐบาลทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ชาติ มันก็ไม่มีปัญหา แต่การท่องเที่ยวนี่คือทุกคนต่างมีความต้องการที่จะเสพ แล้วมันห้ามกันไม่ได้ง่ายๆนะ ห้ามนายทุนขุดเหมือนนี่มันยังพอจะทำกันได้ แต่ห้ามคนไม่ให้เข้าไปท่องเที่ยวนี่มันทำไม่ได้ง่ายๆนะ จะไปจำกัดคนไม่ให้เขาเที่ยวเขาไม่ยอมนะ เขาไม่พอใจเขาก็เอาเงินฟาด พอเงินหล่นใส่เจ้าหน้าที่กิเลสหนา ศีลธรรมและความรับผิดชอบก็หล่นตาม แถมรัฐบาลยังส่งเสริมการท่องเที่ยวอีก ไปกันใหญ่

สุดท้ายมันก็พังไปทีละที่นั่นแหละ ที่ไหนมีนักท่องเที่ยวมาก ธรรมชาติก็จะเสื่อมไปเท่านั้น

การเรียนรู้ กับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ

ธรรมชาตินั้นคือสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การเรียนรู้กับธรรมชาติคือการเรียนรู้และรู้จักกับการเปลี่ยนแปลงแห่งความจริง ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย

ผมเองเป็นคนที่ชอบปลูกต้นไม้มาตั้งแต่เด็ก จริงๆจะบอกว่าชอบปลูกต้นไม้มันก็ไม่ตรงเสียทีเดียว ต้องบอกว่าผมชอบมองอะไรที่มันเติบโตมากกว่า นอกจากต้นไม้แล้ว ยังจะมีอะไรที่เติบโตอย่างที่เราสามารถดูได้ทุกวันได้อีก หลายคนอาจจะบอกว่ามีสัตว์เลี้ยงเช่น หมา แมวนั่นไง แต่ผมก็ต้องตอบว่าบทมันก็ต่างไปจากปลูกต้นไม้ เพราะการดูแลสัตว์เลี้ยงกับการดูแลต้นไม้นั้น มีความแตกต่างกันอย่างมาก และสุดท้ายผมก็เลือกมองการเติบโตของต้นไม้มากกว่า

การเรียนรู้ กับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ

ต้นไม้นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของธรรมชาติ สัตว์ก็กินพืช คนก็กินพืช แล้วพืชกินอะไร? แสง น้ำ ความชื้น อากาศ ธรรมชาติของพืชเติบโตและเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป พืชในธรรมชาติอย่างป่า ภูเขานั้น มีการเติบโตเปลี่ยนแปลงที่เป็นวัฏจักรและเกื้อหนุนกันระหว่างสิ่งมีชีิวิตและสิ่งไม่มีชีวิต

การกำเนิดกับการเปลี่ยนแปลง

ผมเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างจากพืช หรือต้นไม้ ภาพที่ติดตาอยู่ตั้งแต่สมัยเด็กคือเมล็ดข้าวโพดที่ซื้อมาจากห้างแห่งหนึ่ง อยู่ในซองผักทั่วไป ผมเพาะลงที่หน้าบ้านเล็กๆ หยอดเป็นหลุม ไม่กี่วันต่อมา ต้นข้าวโพดน้อยๆทำให้ผมประหลาดใจกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น กับขนาดของมัน ต้นข้าวโพดโตเร็วมากๆ แต่สุดท้ายความทรงจำก็จบลงแค่นั้น และมันคงไม่ได้โตต่อด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง

การเปลี่ยนแปลงในระหว่างการเติบโต

ในระหว่างที่มีการเติบโต ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างเกิดขึ้น ผมเรียนรู้ได้จากไม้ประดับเช่น กระบองเพชร หรือบอนสีที่ผมเลี้ยง ทุกๆขั้นตอนของการเติบโต มีจังหวะ มีปัจจัย มีฤดู และมีสิ่งอื่นๆอีกมากมายที่ส่งผลต่อการเติบโตของต้นไม้ต้นหนึ่ง ลองนึกดูว่าไม้ประดับเช่นกล้วยไม้ กว่าจะได้ดอกงามๆ ต้องให้สารเคมีกี่ชนิดกัน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถเกิดจากมือของเราก็ได้ หรือจากธรรมชาติก็ได้เหมือนกัน

ผมสังเกตุว่าต้นไม้เองก็มีวัย เหมือนกับวัยของคนเรานี่แหละ วัยต้นกล้า วัยรุ่นของต้นไม้ วัยสืบพันธุ์ หรือต้นไม้ยืนต้นก็จะดำรงชีวิตไปเรื่อยๆจนกว่าจะอ่อนแอและตายไป

การเปลี่ยนแปลงไปสู่ซากบนพื้นดิน

หลายครั้งที่ผมได้เห็นการตาย หรือการหยุดการเจริญเติบโตอย่างถาวรของต้นไม้ ผมเองเคยคิดว่าผมชอบการเติบโต แต่พอมามองการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความตายของต้นไม้แล้ว ผมกลับค้นพบเรื่องใหม่ที่ตัวเองไม่รู้ ซึ่งซ่อนอยู่ในใจของผมเอง ผมสนใจการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความตายนี้ด้วย

สรุปแล้วจริงๆ ผมเองคงจะชอบการเปลี่ยนแปลง ถ้าเรียกว่าชอบคงไม่ถูกตรงประเด็นนัก อาจจะเรียกได้ว่า ผมมักจะได้เรียนรู้จากการสังเกตุการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติไม่ว่าจะร้ายหรือดี หรือจริงๆแล้ว คำว่าร้ายและดีนั้น คนเราคงตัดสินเอาเองตามผลประโยชน์ของตนมากกว่า บางทีการจากไปของบางสิ่งก็อาจจะดีก็ได้ บางทีการเกิดของอีกสิ่งก็อาจจะไม่ดีก็ได้ใครจะรู้ เพราะมันขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของแต่ละคนจริงๆ

เมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น คนทีไ่ด้ประโยชน์ก็จะสนับสนุน คนที่เสียประโยชน์ก็จะต่อต้าน ซึ่งก็จะมีผลที่ตามมาอย่างแน่นอน ถ้าการเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้ธรรมชาติเสียประโยชน์ล่ะ ผลที่ตามมาคืออะไร?

สวัสดี

หลากหลายประสบการณ์กับทริปปลูกป่าลุยนา

ผ่านไปแล้วกับกิจกรรม “หว่านข้าวสู่ผืนนา หว่านศรัทธาสู่หัวใจ” โดยทีวีบูรพา ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆเพียงสามวัน แต่สิ่งที่เก็บเกี่ยวมาได้นั้น สามารถใช้ต่อไปได้ทั้งชีวิต

สำหรับเรื่องราวที่ผ่านมาเกี่ยวกับกิจกรรมในครั้งนี้ ผมคิดว่าหลายท่านก็คงจะได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้มาแล้ว ซึ่งสิ่งที่ผมได้รับก็จะได้เห็นด้วยรูป และผ่านตัวอักษรที่เล่ามาก่อนหน้านี้แล้ว แต่สำหรับในบทความนี้ก็จะมาเล่าประสบการณ์ที่ได้มาและฝังอยู่ลึกๆ ในส่วนหนึ่งของสมองของผม

หลากหลายประสบการณ์กับทริปปลูกป่าลุยนา

หลากหลายประสบการณ์กับทริปปลูกป่าลุยนา
หลากหลายประสบการณ์กับทริปปลูกป่าลุยนา

จากกิจกรรมที่ผมได้ไปร่วมกับเครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา ผมได้รับประัสบการณ์ และความรู้หลายๆอย่างนะครับ อาจจะไม่ได้พิมพ์เป็นข้อๆให้อ่านกันได้สะดวกนักแต่ก็จะเล่าให้พอเข้าใจครับ

สำหรับประสบการณ์และความรู้ที่ได้รับนั้น สิ่งแรกต้องบอกเลยว่าได้รับรู้ และรู้จักคำว่าคุณธรรม ในมุมมองของชาวนาคุณธรรมครับ มันมากมายเหนือความคาดหมายของผมมากว่า การเป็นชาวนาคุณธรรมจำเป็นต้องทำขนาดนี้เชียวหรอ แต่แน่นอนว่าถ้ามันคือสิ่งดีก็ควรจะทำครับ เพราะผลประโยชน์ก็จะตกกับตัวชาวนาคุณธรรม สังคม และสิ่งแวดล้อมเองครับ

ผมได้เรียนรู้วิถีชาวนาคุณธรรมแบบสั้นๆ ที่พอจะพบเห็นได้ผ่านภาพที่มองผ่านตา ซึ่งอาจจะไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูได้ทั้งหมดครับ รวมถึงวิถีชีวิตในแต่ละวัน โดยผ่านข้าวของเครื่องใช้ตามที่ได้เห็น

สำหรับประสบการณ์การปลูกป่า การหว่านข้าว การดำนา ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามาก เพราะไม่เคยได้ลงมือทำเลย เป็นครั้งแรกที่ได้ลองทำซึ่งเป็นระดับเล็กๆ ขนาดเล็กๆ คิดว่าวันหนึ่งก็คงจะได้ทำจริงและวันนั้นก็จะได้พบความจริงอย่างที่สุด วันนี้ก็คงจะเป็นการทดลองเรียนรู้ไปก่อน

ได้รับรู้ถึงการส่งต่อและการขยายตัวของน้ำใจและการเกื้อกูลกันของมนุษย์ การส่งเสริมคนดี การส่งเสริมการทำสิ่งดีๆยังมีอยู่ให้เห็นตลอดสามวันที่ได้เดินทาง ไม่เหมือนข่าวสาร และสิ่งที่เรารับรู้กันในเมืองสมัยนี้ มีสักกี่เรื่องในแต่ละวันที่เป็นเรื่องดีๆบ้าง สำหรับผมที่ได้ออกเดินทางไปเรียนรู้ในครั้งนี้ บอกได้เลยว่า ผมได้รับรู้แต่สิ่งที่ดีๆเข้ามาในชีวิต

หลายๆสิ่งอีกมากมายที่ยังฝังอยู่ในสมองของผม อยู่ในความทรงจำของผม อาจจะคาดคั้นออกมาไม่ได้ในบทความนี้ แต่คิดว่าดอกผลของมันก็คงจะออกมาให้เห็นในอนาคตเป็นแน่ ถ้าวันหนึ่งมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเกิดขึ้น ก็คงจะมีการเดินทางในครั้งนี้เป็นหนึ่งในแรงผลักดันนั้นก็เป็นได้

สวัสดี

ใช้เวลากับห้องสมุด

ตอนนี้เหมือนผมจะไปห้องสมุดบ่อยกว่าที่เคยครับ เพราะต้องไปค้นคว้าหาข้อมูลมาทำงานวิจัยอิสระครับ งานนี้เกี่ยวกับที่เรียนนะครับ ไม่ได้เกี่ยวกับต้นไม้หรืออื่นๆแต่อย่างใด

แต่การไปห้องสมุดครั้งนึงเนี่ย มันใช้เวลาเยอะมาก ผมเองไม่เคยรู้สึกว่าห้องสมุดมีคุณค่ามาก่อน จนกระทั้งหัดอ่านหนังสือครับ เขาว่าคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 7-8 บรรทัดเท่านั้นครับ ซึ่งน้อยมากๆ แต่อาจจะเป็นแบบผมแต่ก่อนก็ได้ จริงๆก็อ่าน แต่อ่านอย่างอื่นน่ะนะ แต่ไม่ได้อ่านหนังสือวิชาการหรือหนังสือทั่วไปแต่อย่างใด เอาเป็นว่าแต่ก่อนนั้นเป็นการอ่านแบบอ่านเพื่อบันเทิงหรือไม่ก็เพื่อแก้ปัญหาเท่านั้นเอง

แต่วันนี้พฤติกรรมการอ่านของผมเปลี่ยนไปมาก เพราะส่วนใหญ่มักจะเป็นการอ่านเพื่อเรียนรู้ เพราะอยากรู้ เพราะอยากเข้าใจ เพราะว่าจำเป็นต้องรู้ จนกระทั่งอ่านไม่ค่อยจะทัน เพราะเรื่องที่อยากรู้มันเต็มไปหมด ซื้อหนังสือมาก็เยอะ ยืมหนังสือมาก็บ่อย อ่านๆไปเรื่อยๆก็เพลินดีครับ

มาถึงเรื่องการใช้เวลากับห้องสมุดของผมในวันนี้…

ผมใช้เวลากับห้องสมุดวันนี้เพื่อค้นคว้าอยู่ 5-6 ชั่วโมงก่อนที่ห้องสมุดจะปิด เพราะว่าติดธุระเลยมีเวลาจำกัด จึงเข้าไปหาข้อมูลเท่าที่ได้ แต่ครึ่งนึงของเวลาที่มีผมกลับไปหาหนังสืออื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับงานวิจัยอิสระมาอ่านครับ พอมีนิสัยรักการอ่านแล้วกลายเป็นพวกอยากรู้แบบสุดขีด ถ้าไม่รู้ไม่เลิก

จริงๆแล้วผมเป็นคนค่อนข้างจะจริงจังกับเรื่องที่ทำอยู่พอสมควร อะไรที่ยังสงสัย ยังคาใจ หรือหาข้อสรุปไม่ได้ก็จะพยายามค้นหาหรือทำจนเสร็จให้ได้ เป็นข้อดี ที่มีข้อเสียมหาศาล นั่นคือมันทำให้ผมแบ่งเวลายากมาก เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่ชีวิตในวันหนึ่งๆเราจะมุ่งสมาธิไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าทำได้คงต้องอยู่ในถ้ำที่มีแต่ข้อจำกัดให้เหลือแต่สิ่งที่สนใจเท่านั้นเอง

สุดท้ายผมก็คงจะต้องแวะเวียนไปห้องสมุดให้บ่อยและนานกว่าเดิม เพื่อที่จะได้ใช้โอกาสของเวลา สร้างผลประโยชน์ให้ชีิวิตและงานให้มากที่สุด

สวัสดี