dinp 2016

หลังจากอัพเดทล่าสุดเมื่อต้นปี 2015 ที่ผ่านมา นี่ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว มีเหตุผลบางประการที่รู้สึกว่าเว็บไซต์ต้องมีการปรับเปลี่ยนบ้าง ทั้งเนื้อหาและงานออกแบบ

dinp 2016

ผ่านไปปีนึง มีข้อมูลหลายๆอย่างเข้ามา จึงทำให้ตัดสินใจปิดเว็บไซต์เกี่ยวกับต้นไม้ทั้งหมดเลย ทั้งแคคตัส บอนสี ลิ้นมังกร ซึ่งให้เหตุผลไว้ใน “บทเรียนจากการเลี้ยงไม้ประดับ

ทำให้เว็บไซต์มีเนื้อหาน้อยลง แต่ยังคงความเป็นเครือข่ายอยู่ คือไปทำที่นู่นบ้างที่นั่นบ้าง ดูแลกันทั่วถึงบ้างไม่ทั่วถึงบ้าง อย่างในปีที่ผ่านมานี่ก็แทบไม่ได้แตะ Veggie kitchen (blog) เลย จะไปอัพเดทกันในเฟสบุคซะมากกว่า แต่ก็ยังถือว่าน้อย เพราะงานหลักๆ จะไปหนักอยู่ที่เฟสบุค “ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์” นอกนั้นก็อัพเดทบ้าง ไม่ได้อัพเดทบ้าง แม้แต่บล็อกแห่งนี้ก็ยังถูกปล่อยทิ้งร้างกันอยู่นานเลยทีเดียว

หลักการออกแบบของปีนี้ต่างจากปีก่อนๆที่เป็นโทนดำ-แดง-ขาว ปีนี้มาในโทนสี ขาว-น้ำตาล-เขียว ในอารมณ์แบบธรรมชาติๆ เปิดภาพหน้าปกด้วยภาพมอสที่ถ่ายมาตอนไปน้ำตกพริ้วเมื่อนานมาแล้ว พื้นพลังเป็นแพทเทินไม้ไผ่ โดยรู้สึกอยู่ในใจลึกๆว่าอยากให้มีอารมณ์ที่สื่อถึงการเติบโตเล็กๆ ไม่ต้องมากมาย เอาแค่พอมีชีวิต

เมื่อเทียบกับโทนเดิม ซึ่งเป็นดำ-แดง-ขาว ก็เหมือนป่าที่ถูกไฟไหม้ เต็มไปด้วยฝุ่นควัน ถ่าน และขี้เถ้า ในแนวคิดปีนี้ก็คงจะเป็นเหมือนการเติบโตหลังจากที่ถูกไฟป่าไหม้ไปละมั้ง (ก็จินตนาการโยงไปเรื่อยตามประสา)

แต่ก็เอานะ คิดว่ามันคงสบายตาและใช้งานง่ายมากขึ้น ไม่ซับซ้อน อ่านข้อมูลกันนิดหน่อยก็เข้าไปชมเนื้อหาในแต่ละส่วนต่อได้

เดินทางและเรียนรู้

ช่วงหลังๆ มานี้ ไม่ค่อยอยู่บ้านครบเดือนสักที มีภาระกิจ ต้องเดินทางตลอด ไปครึ่งเดือนบ้าง สัปดาห์บ้าง ไปพบเจอเรื่องราวมากมายที่มากกว่าชีวิตประจำวัน

ชีวิตรับงานอิสระแบบผมนี่จะมาจะไปไหนมันก็สะดวก ไม่ต้องมีห่วงอะไรมากมายนัก เพียงแค่จัดการงานที่รับมาให้จบตามเวลาแล้วก็ออกเดินทางไปเรียนรู้ได้ก็เป็นกำไรของชีวิตแล้ว เพราะไม่รู้วันไหนเมื่อไหร่ที่จะต้องจากโลกนี้ไปจึงไม่อยากมีชีวิตอยู่เพื่อเงิน ตามหาเงิน ใช้เงิน อยู่กับเงินๆๆๆ ให้เงินพลักดันชีวิต ดังนั้นจึงพยายามหาเงินให้พอดี และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเรียนรู้

Continue reading เดินทางและเรียนรู้

ชีวิตที่ผ่านเลยมาถึงต้นปี 2556

และแล้วก็ผ่านต้นปีมาจนถึงช่วงกลางเดือนมกราคม ผ่านวันเด็ก ผ่านวันอะไรๆที่ดูจะสำคัญในช่วงปีใหม่มาแล้ว คงจะเป็นช่วงที่ผ่อนคลายและสงบนิ่งมากขึ้น

ก่อนปีใหม่ก็ไม่มีเวลาได้ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาในปี 2555 และวางแผนในปี 2556 เลย มันดูเหมือนจะว่าง แต่พอนึกไปมันก็ไม่ว่าง มีอะไรยุ่งๆ นิดๆ หน่อยๆ เต็มไปหมด มีอะไรให้ทำตลอดเวลาจนลืมนึกไปว่าในปีนี้ยังไม่มีแผนเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไรนัก มีแต่แผนรวมๆระยะยาวเท่านั้นเอง

MonkiezGrove , Cartoon Postcard Animation

ในปีนี้ เท่าที่คิดได้ก็จะกลับมาพัฒนามังกีซ์โกรฟ (www.monkiezgrove.com) อีกครั้ง หลังจากปล่อยให้ร้างไปเกือบสองปี ซึ่งการปัดฝุ่นครั้งนี้ได้ใช้ประสบการณ์และความรู้ที่เก็บเกี่ยวมาในช่วงที่เรียนโทมาใช้ด้วย ทำให้เป็นการวางแผนการสร้างในทุกระยะเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะต่อเนื่อง มั่นคง และยั่งยืนกว่าเคย อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในบทบาทบ้าง ตามความเหมาะสม แต่สุดท้ายสิ่งที่ยังเป็นงานหลักของมังกีซ์โกรฟ คือ การ์ตูนน่ารัก คำนี้จะฝังลงไปในทุกๆกิจกรรมของมังกีซ์โกรฟ

ดอกทานตะวัน

อีกอย่างก็คงจะเป็นการทำอัลบั้มภาพออนไลน์ที่ DINPhoto ( photo.dinp.org ) ภาพที่ถ่ายเก็บไว้เยอะมากๆ ภาพที่ไปเที่ยวถ่ายวิว ถ่ายนู่นถ่ายนี่ ตามประสาคนบ้าถือกล้่องไปที่ไหนก็ถ่ายที่นั่น จะได้นำมาลงแบ่งปันกันให้ชมเสียที เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราอยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปดูโลกบ้าง ก็ค่อยๆติดตามกันเป็นระยะๆ นะครับ จะทยอยๆ ลงไปเรื่อยๆ

ส่วนงานอื่นๆ ก็คงกลับมารับทำเหมือนเดิมหลังจากงดรับงานมาเกือบสองปี เพื่อมุ่งเน้นไปในการเรียนรู้ให้คุ้มค่าที่สุด ณ ตอนนี้เหมือนจุดที่ทุกอย่างคลี่คลาย ค่อยๆกลับมาเป็นเหมือนปกติอย่างช้าๆ สำหรับปีนี้คงได้แค่ทำตามแผนที่วางไว้ สำหรับแผนใหม่คงยังไม่คิด เอาไว้คิดปีหน้าดีกว่า ตอนนี้สะสมทุนอีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในโอกาสหน้า

สำหรับใครที่ยังไม่ได้วางแผนชีวิต ก็ลองใช้เวลานั่งคิด นั่งทบทวน นั่งคุยกับตัวเองดูก็ได้ ว่าชีวิตต้องการอะไร อะไรคือเป้าหมาย ได้มาแล้วยังไงต่อ คิดล่วงหน้าไว้ก่อน สุดท้ายค่อยสกัดด้วยคำว่า “อะไรที่จำเป็น

สวัสดี

ความเข้ากันดีในสาขาอาชีพ และกิจกรรมประจำวัน

วันนี้ระหว่างกำลังจัดต้นไม้หน้าบ้าน ให้มันเป็นระเบียบมากขึ้นโดยการย้ายกระถาง ใส่รวมกันในกระถางใหญ่กระถางเดียวนั้น ก็มีผู้ใหญ่ในหมู่บ้านมาทักทาย

คำถามที่น่าสนใจคือผมจบเกษตร มาหรือปล่าว? นั่นหมายถึงจบเกษตรกรรมนะครับ เพราะผมอาจจะดูจริงจังกับต้นไม้มากก็ได้ ภาพที่เห็นเลยเป็นอย่างนั้น ก็ตอบลุงแกไปว่าเรียนบริหารครับ แกก็บอกว่าดูไม่ค่อยเข้ากันอะไรประมาณนี้ครับ

ความไม่เข้ากัน…

ก็จริงอยู่นะ ชีวิตผมทำอะไรหลายๆอย่างที่ไม่ค่อยเข้ากัน ในสายตาคนอื่น ซึ่งปัจจุบัน ทักษะของผมนั้นหลากหลายจนเกินจะบอกว่าแท้จริงแล้ว ผมเก่งอะไรกันแน่ ผมวิจัยต้นไม้เป็นส่วนตัว ผมเรียนศิลปะ ผมทำอนิเมชั่น ผมทำเว็บไซต์ ผมพิมพ์บทความมากมาย นั่นคือสิ่งที่ผมทำได้ และแน่นอนว่าวิชาบริหารที่ผมเรียนนั้นก็จะมาช่วยให้ทุกอย่างเข้ากันดีมากขึ้น

ทุกอย่างเหมือนส่วนผสมที่ไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ แต่ก็จะพยายามนำมาปรุงให้ได้ แน่นอนว่าถ้าเมนูนี้ออกมามันต้องเป็นเมนูใหม่ของโลกอย่างแน่นอน ดังนั้นผมคิดว่าผมควรจะทำมันต่อไป

การสร้างความถนัดเฉพาะด้าน?

คงจะดีถ้าผมเก่งอะไรจริงจังสักอย่างหนึ่ง ก็คงจะพูดให้ใครๆเขาเข้าใจได้ง่ายว่าผมนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ตัวผมเองไม่ได้ต้องการ ความถนัดเฉพาะด้านคือสิ่งที่สังคมต้องการ เขาต้องการให้เราเป็นแรงงานในส่วนใดส่วนหนึ่งและผลักดันสังคมไป …แต่ปัญหาคือไปในทิศทางไหน?

ผมเองคิดว่าตนเองนั้นไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานให้กับใครคนใดคนหนึ่ง ผมไม่อยากเป็นคนที่ทำงานให้ครอบครัวๆหนึ่งรวย แล้วใช้ชีวิตไปแบบที่สังคมเป็น นั่นคือผมไม่ได้คิดว่าตนเองนั้นเป็นฟันเฟืองในสังคมที่กำลังขับเคลื่อนอยู่แม้แต่น้อย ผมเกิดมาทำไม เพื่ออะไร ผมจำเป็นต้องหาคำตอบนี้ด้วยตนเอง แต่ที่ผมรู้แน่ๆแล้วนั่นคือ ผมไม่ได้เกิดมาแล้วตายไปแบบหนุ่มออฟฟิศแน่นอน ที่บอกนี่ไม่ได้หมายความว่าผมมองมันไม่ดี แต่ผมแค่มองว่ามันดูไม่เข้ากับตัวเองเท่านั้นเอง

และเมื่อเกิดความคิดแบบนั้น ผมจึงเลือกเดินหนทาง อาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์ ( Freelance ) นั่นก็เพื่อตามหาความไม่เข้ากันที่เหมาะสมกับผมนั่นเอง

ความหลากหลายที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ เป็นเพราะผมเลือกที่จะรู้กว้าง แต่ไม่รู้ลึก มันเป็นนิสัยของผมมานานแล้ว ผมชอบศึกษาอะไรไปเรื่อยๆ ทำให้มีทักษะติดตัวค่อนข้างหลากหลาย และมันจะเป็นอย่างนี้ต่อไป จนกว่าผมจะค้นพบคำตอบที่ำำพอจะทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

สวัสดี

กิจกรรมยามว่าง คือเขียนบล็อก

แทบจะไม่เชื่อตัวเองเลยว่า ปัจจุบันกิจกรรมยามว่างของผมคือการนั่งพิมพ์บล็อก เพราะแต่ก่อนนี้ผมไม่ค่อยได้สนใจและ มองคนที่เขียนไดอารี่หรือบล็อกด้วยอคติด้วยซ้ำ

แต่ทุกวันนี้การเขียนบล็อกกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในชีวิตผมไปเสียแลัว อาจจะเป็นอย่างที่โบราณว่าไว้ “เกลียดอะไรก็จะได้อย่างนั้น” แต่ก็ผิดไปนิดหนึ่งก็คือมันเปลี่ยนจากมุมมองด้านลบๆ มาเป็นบวกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะถ้าผมไม่ชอบ ผมคงไม่สามารถนั่งพิมพ์บล็อกทุกวันได้อย่างนี้หรอก

แต่ก่อนนั้น…

เมื่อหลายปีก่อน ผมเห็นเพื่อนที่ร่วมเรียนด้วยกันเขียนบล็อก ผมเองมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระและเสียเวลามาก ทำไมผมต้องมานั่งเสียเวลาเล่าเรื่องตัวเองให้คนอื่นอ่านด้วย มันไม่จำเป็นเลย ซึ่งผ่านไป 4-5 ปีผมก็ยังมีมุมมองนี้อยู่ดี แต่ไม่นานนักเมื่อชีวิตผมเปลี่ยน

ตั้งแต่ชีวิตที่ได้เปลี่ยนไป…

ผมเคยเป็นพนักงานบริษัทเหมือนกับชาวบ้านที่เขาเป็นกัน ชีวิตนั้นก็สุขสบายดีอยู่แล้ว ขาดอย่างเดียวคือการสนองตอบความสามารถในตัวผม ผมเองคิดว่าผมทำอะไรได้มากกว่านั้น ความสามารถผมมากกว่านั้น จึงตัดสินใจลาออกมาทำกิจการเล็กๆที่ใช้ความสามารถตัวเองได้เต็มที่ และคิดได้เต็มที่ ฝันได้เต็มที่ เจ็บได้เต็มที่ มันน่าสนุกถ้าผมจะทำอะไรที่อยากทำในขณะที่ยังจะพอทำอะไรได้อยู่

และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของผม การประกอบกิจการส่วนตัวนั้นจำเป็นต้องลงแรงทุกอย่างที่มี ทักษะที่เคยสั่งสมมาแต่ไม่เคยคิดจะใช้ทำมาหากิน นั่นคือทักษะการทำเว็บไซต์ แต่ก่อนไม่เคยคิดจะทำเว็บไซต์เพราะยุ่งยาก แต่ทุกวันนี้ก็ต้องมานั่งทำเพราะความจำเป็นและก็กลับชอบขึ้นมาอีกด้วย และการเขียนบล็อกก็ก้าวเข้ามา ณ จุดนั้น ในจุดที่ผมจำเป็นต้องเขียนบทความเผื่อโปรโมตเกี่ยวกับกิจการของผมให้คนอื่นได้รับทราบ

และจากการพิมพ์บล็อก (เขียนบล็อก) เพื่อการโฆษณา ปัจจุบันมันกลายเป็นงานอดิเรกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมกลับสนุกที่ได้บันทึก ได้เรียบเรียง ได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่ผมได้รับมา ผมรู้สึกดีเมื่อรู้ว่าตัวเองได้พัฒนาทักษะการพิมพ์ได้ดีขึ้น จากความเห็นบางส่วนของผู้ที่มาตอบ สำหรับตอนนี้ผมก็คงจะเล่าไปถึงแค่ทำไมมันถึงกลายมาเป็นกิจกรรมยามว่างของผมได้ และคิดว่าคงจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับประโยชน์ วิธีการ เกี่ยวกับบล็อกเพิ่มขึ้นด้วยครับ เผื่อว่าจะมีคนสนใจแบบผมบ้าง

สวัสดี

ลูกแมวกลางถนน

เป็นเรื่องราวแปลกๆที่ไม่คิดว่าจะเกิดได้ และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อไปลูกแมวสีดำที่ผมเจอกลางถนนตัวนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป…

เมื่อวันก่อนผมเจอเรื่องราวแปลกเรื่องหนึ่ง ที่ไม่น่าจะเกิดได้บ่อยนัก มันเป็นความบังเอิญในจังหวะที่ลงตัวมากๆ

บ่ายวันเสาร์ผมขับรถออกจากบ้าน…

ผมขับวนออกจากบ้านโดยใช้เส้นทางเลียบทางด่วนรามอินทรา เอกมัย มุ่งหน้าไปยังเหม่งจ๋าย หลังจากที่กลับรถใกล้เกษตรนวมินทร์แล้ว ก็มาถึงช่วงที่รถจะติดนิดหน่อย เพราะว่าจะมีรถออกจากถนนทางลัดด้านซ้ายที่มาจากเกษตรนวมินทร์ ใครอยู่ใกล้ๆคงจะนึกภาพกันออก พอมาถึงจุดที่รถชะลอตัว ผมก็รู้สึกว่ามันชะลอกันแปลกๆ

รถสิบล้อที่อยู่ด้านขวาของผมหยุดนิ่ง สายตาผมมองไปถึงสาเหตุในการหยุดรถ มีลูกแมวสีดำอยู่กลางถนน (น่าจะอายุประมาณ 3-6 เดือน) ซึ่งอยู่ในเลนรถที่ 2 จากขวา มันมาถึงเลนนี้ได้อย่างไรก็ไม่รู้เหมือนกัน รถคันหนึ่งขับผ่านไปอย่างไม่ได้สนใจลูกแมว ลูกแมววิ่งสวนเข้าใต้ท้องรถ ขณะรถคันดังกล่าวขับผ่านไปด้วยความเร็วไม่มากนัก แต่ถ้าพลาดไปคงถึงชีวิต

เป็นเรื่องน่าตกใจที่ลูกแมวตัวสีดำ ตัวนั้นรอดจากการที่รถคันหนึ่งขับผ่าน จริงๆแล้วมันคงจะรอดมาหลายครั้งแล้วด้วย แต่นั่นคืออดีตก่อนที่มันจะมาอยู่กลางถนน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะรอดตลอดไป….

หลังจากที่รถเก๋งขับผ่านไปแล้ว ผมได้ตัดสินใจในวินาทีแห่งชีวิตแมว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ผมขับปาดไปบังหน้าสิบล้อที่กำลังหยุดดูเหตุการณ์ เปิดไฟฉุกเฉิน แล้วเปิดประตูลงมา ในใจคิดว่าจะเอาลูกแมวขึ้นรถให้ได้ก่อนเท่านั้น แต่ด้วยประสบการณ์ของผม การจับแมวที่ตกใจอยู่นั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะถ้ามันตกใจแล้ว มันอาจจะวิ่งไปให้รถเหยียบก็ได้

ณ ตอนนี้รถทุกเลนหยุดนิ่งทั้งหมด ผมเปิดประตูลงไปเพื่อที่จะจับลูกแมว เดินเ้ข้าไปอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้มันตกใจ (จริงๆมันก็ตกใจมากอยู่แล้วละนะ) จังหวะัที่ลูกแมวหันหลังไปผมก็เดินเข้าไปตะครุบตัวมัน ด้วยสองมืออย่างระมัดระวัง…

ผมจับลูกแมวสีดำตัวนั้นไว้ได้ แต่จับได้ไม่เต็มมือเท่าไหร่ เพราะจับตอนจังหวะมันเดิน และสุดท้ายมันก็วิ่งพุ่งไปข้างหน้าด้วยความตกใจอย่างที่คาดไว้ ทิศทางที่มันวิ่งไปคือใต้ท้องรถแทกซี่ที่จอดดูอยู่เลนขวาสุด และวิ่งทะลุไปจนถึงเกาะกลางถนน ซึ่งเป็นพื้นที่ใต้ทางด่วนที่กว้างใหญ่มากๆ ผมเองเห็นอย่างนั้นก็คงหมดหวังที่จะตามไปจับ แต่ก็สบายใจที่มันไปถึงใต้ทางด่วนได้ เพราะอย่างน้อยก็มีที่กว้างพอให้ดำรงชีวิตได้สักพัก ถ้าข้ามถนนกลับมาตอนเช้าๆ รถน้อยๆ ก็คงจะข้ามกลับไปได้สักฝั่งหนึ่งที่เหลือก็คงจะเป็นชะตากรรมของมัน…ลูกแมวสีดำกลางถนน

หลังจากนั้นผมก็ขึ้นรถ และพี่แทกซี่แกก็ลงมาดูว่าแมวเข้าใต้ท้องรถแล้วไปไหนแล้ว ผมก็ส่งสัญญาณบอกว่ามันวิ่งไปที่ใต้ทางด่วนแล้ว จึงออกรถเดินทางไปยังจุดหมายเดิมที่วางไว้ต่อไป

เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ

หลังจากวันเกิดเหตุผมก็ขับผ่านถนนเส้นเดิม มุมเดิมอีกครั้งในใจภาวนาว่าอย่าเป็นซากอะไรสีดำๆบนถนนเลย และมันก็ไม่มีจริงๆ อย่างน้อยผมก็คิดว่าลูกแมวสีดำตัวนั้นมันยังไม่ถึงเวลาของมัน เป็นความบังเอิญมากๆที่มันรอดไปได้ ไม่รู้ว่าจะมีหมาแมวสักกี่ตัวที่เอาชีวิตมาทิ้งในการข้ามถนน เรามักจะเห็นซากหมาแมวตายตามถนนเป็นประจำ ซึ่งพวกมันคงจะไม่ได้ดวงดีรอดไปเสียทุกครั้ง ครั้งใดที่พลาดก็คงหมดทางแก้ตัว

เรื่องดวงดี ดวงไม่ดีนี่ก็เป็นความบังเอิญที่เกินจะคาดเดาได้เสมอ เพราะแม้แต่นกที่บินได้ก็ยังมาตายแบบแบนๆกลางถนนเลย เพราะวันนี้ผมเห็นซากนกพิราบ บนถนนใน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แน่นอนว่าในมหาวิทยาลัยนั้น เราจะขับรถกันไม่เร็ว แต่ถ้านกโดนทับตายได้มันก็เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ…

สวัสดี

To do list กับการควบคุมชีวิต

เหมือนว่าตอนนี้วิถีชีิวิตของผมจะหลุดไปจากที่เคยพอสมควร ช่วงสามเดือนมานี่ไม่ได้เขียน To do list หรือรายการสิ่งที่จะทำในแต่ละวันเหมือนก่อน ทำให้บางวันนั้นดูว่างเปล่าเกินจะจินตนาการ

ผมเป็นคนที่ชอบวางแผนในแต่ละวัน ซึ่งก็มักจะทำตามแผนที่วางไว้อย่างหลวมๆ คือมีแนวทางในแต่ละวันนะ แต่จะเสร็จไม่เสร็จนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆมากมาย เพราะบางทีก็ไม่ได้ว่างทั้งวัน หรือมีเหตุการณ์อะไรเข้ามาเสมอๆ ทำให้ทำตาม To do list ไม่ได้ ซึ่งช่วงหลังๆก็เลยไม่ได้เขียนเหมือนเคย

ปัจจุบันได้ค้นพบแล้วว่าถ้าผมไม่เขียน To do list ไว้บ้าง ชีวิตในแต่ละวันก็มีโอกาสล่องลอยไปตามลมฟ้าอากาศได้มากพอสมควรเลย ความขยันที่เคยมีเมื่อก่อนถูกพัดพาให้ไกลออกไปด้วยลมเย็นๆ ตอนบ่ายแก่ๆ ซึ่งตอนนี้ผมพยายามตั้งสติและกลับมาเป็นตัวเองอย่างที่เคยเป็นอีกครั้ง เพราะนอกจากงานที่กองสุมมากมายแล้วยังมีเรื่องเรียนซึ่งเป็นเรื่องที่รอไม่ได้อยู่อีกด้วย

ใครมีอาการแบบผมแนะนำให้วางแผนชีวิตโดยเขียน To do list ไว้บ้างนะครับ แม้ว่าจะเป็นระยะสั้นแต่ก็ดีกว่าเราไม่ได้วางแผนอะไรเลย

สวัสดี

ปริมาณงานตามพื้นที่หน้าจอ

เวลาที่ผมมีงานหรือมีโปรเจคเข้ามา ก็มักจะบันทึกงานไว้หน้า Desktop ครับ ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาทำอย่างไรนะ แต่ผมชอบไว้ตรงนี้ มันเห็นง่ายดี

แต่เวลามีหลายๆงานเข้ามารุมล้อมกัน บางทีมันก็จะเคลียไม่ค่อยทัน นั่นคืองานมันซ้อนกันหลายงานนั่นแหละครับ ทีนี้พองานเยอะๆเข้าชักจะกินที่ของหน้าจอไปเรื่อยๆละซิ สิ่งนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าผมจำเป็นต้องรีบเคลียงานนะ!!

เมื่องานชักจะเยอะ หน้าจอก็เริ่มรกไปเรื่อยๆ
เมื่องานชักจะเยอะ หน้าจอก็เริ่มรกไปเรื่อยๆ

จริงๆเรื่องงานถ้ามันง่ายขนาดคิดก็เสร็จนี่มันคงจะไม่ยากลำบากชีวิตอะไรนัก เพราะงานของผมมักจะขึ้นกับลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งหัวหน้าผมก็คือผมเอง ดังนั้นคนที่ตัดสินใจให้งานผ่านก็เหลือแค่ลูกค้าครับ ซึ่งบางทีอาจจะต้องมีรอตรวจงานกันนิดหน่อยก่อนจะส่งมอบงานสุดท้ายไป

ซึ่งบางทีพอชนกันหลายๆงาน มันก็ติดอยู่หน้าจอหลายงานครับ บางทีก็ทำให้สับสนอยู่เหมือนกัน ซึ่งนิสัยผมจะยังไม่เคลียงานที่ยังไม่เสร็จครับ คือจะปล่อยไว้หน้าจออย่างนั้นจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ซึ่งอย่างทีรู้ๆกัน งานวีดีโอ งานอนิเมชั่น มันไฟด์ Output ค่อนข้างจะเยอะ บางทีถ้าไฟด์มันเยอะนักผมก็จะเอาไปเก็บในแฟ้มครับ ซึ่งก็อาจจะไม่สะดวกเท่าไหร่ตอนเรียกใช้ละนะ…

หลังจากจัดการงานที่สุมอยู่เสร็จ หน้าจอก็โล่ง
หลังจากจัดการงานที่สุมอยู่เสร็จ หน้าจอก็โล่ง

พองานเสร็จทุกอย่างจะโล่งมากๆ ผมมักตั้งหน้าจอไว้ที่สีดำเพื่อเป็นการประหยัดไฟ (คิดว่าอย่างนั้นนะ) ถ้างานเสร็จเร็วเท่าไหร่หน้าจอก็ยิ่งจะโล่ง ไฟก็จะยิ่งประหยัด ปัจจุบันผมยังใช้จอ CRT อยู่เลยครับ เพราะมันสามารถซื้อจอใหญ่ได้ในราคาเล็กๆ แต่ตอนนี้เริ่มไม่มั่นใจแล้วครับ คิดว่าถ้าจอนี้เสียอาจจะซื้อจอใหม่เป็น LCD หรือเทคโนโลยีอื่นที่ดีกว่าแทน เพราะจออันนี้ผมซื้อมาใช้ก็สี่ปีกว่าแล้วครับ (ซื้อจอมือสองมาใช้)

สวัสดี

To do list

To do list คือการจดบันทึกย้ำเตือนสิ่งที่ต้องทำ ควรจะทำ หรือน่าจะทำ…

การจดนั้นสามารถป้องกันการลืมได้อย่างดี โดยเฉพาะคนลืมง่ายแบบผม โดยปกติแล้วก็จะจดสิ่งที่ต้องทำประจำวันไปในกระดาษแผ่นเล็กๆเสมอๆ เพื่อป้องกันการลืม เพราะการออกจากบ้านแต่ละครั้งมันมีเหตุการณ์ชวนให้หลงลืมจุดประสงค์ที่ตั้งใจไว้จริง หรือแม้แต่การทำงานในบ้าน หรืองานที่ต้องทำในช่วงนั้นๆ ผมก็จะทำ to do list ไว้เสมอ

dinh-to-do-list

นี่เป็น to do list สำหรับงานที่ต้องทำตลอดครึ่งปีแรกของปี 2553 นี้จริงๆอยากเขียนให้หมดทั้งปี แต่แบ่งเป็นสองช่วงไว้ก่อนดีกว่าเผื่ออะไรจะเปลี่ยนแปลงไปได้ สำหรับแผนในครึ่งปีแรกนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการทำเวปไซด์ใหม่ และวาดโปสการ์ดใหม่ๆซึ่งดูแล้วก็เหมือนกับปีก่อนๆ แต่ในส่วนของเวปไซด์นั้น ผมมุ่งเน้นไปทางเวปเครือข่าย เพื่อจะได้ปั้นเวปไซด์ที่สามารถสร้างรายได้ในเวลาต่อๆไป ซึ่งจะนำพารายได้รายเดือนแบบต่อเนื่องมาสู่ผมนั่นเอง(คิดไปว่าอย่างนั้น)

จริงๆแล้วสำหรับแผนการเวปไซด์ของผมนั้นไม่มีอะไรการันตีว่ามันจะสร้างรายได้ให้รุ่งเรืองได้เลย เพราะมันเหมือนเป็นกาีรเสี่ยงล้วนๆ แถมเป็นการลงทุนด้วยเวลาที่ให้ผลตอบแทนช้ามากๆ ยกเว้นแต่ผมจะมีความสามารถในการสร้างเม็ดเงินจริงๆ

จริงๆแล้วผมกำลังลองเสี่ยงดูกับความสามารถที่ผมมีอีกครั้งครับ ผมเองไม่แน่ใจนักว่าผมเก่งหรือเชี่ยวชาญด้านไหนกันแน่ เพราะลองไปจับอะไรแล้วมันก็ดูสนุกและน่าเรียนรู้ไปซะหมด ผมเองไม่เลือกที่จะเรียนรู้อย่างใดอย่างหนึ่งให้เก่ง และแน่นอนความคิดของผมแบบนั้นมันไม่ดีเอาซะเลย เพราะว่าการไม่เก่งด้านใดด้านหนึ่งจะทำให้การหางานลำบากนิดหน่อย และดูอนาคตจะลำบากมากตามไปด้วย

แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่า ผมน่าจะมีเวลาอย่างน้อย 4 – 5 ปีก่อนที่ผมจะต้องเลือกเส้นทางหลักของชีวิตอีกครั้ง ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ก่อนที่ผมจะต้องเริ่มแบกรับภาระในชีวิตด้วยตัวเองทั้งหมด ผมควรจะเสี่ยงเรียนรู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ นี่คือก้อนความคิดของผมที่เป็นแนวทางในการเรียนรู้ในปีที่ผ่านๆมาและปี 2553 นี้นี่เอง

สวัสดี