เป้าหมายในชีวิต

ตั้งแต่ได้ศึกษาธรรมะมา เป้าหมายอันมากมายที่เคยมีในชีวิตก็ค่อย ๆ ลดลงจนเหลือชัดเจนอยู่อย่างเดียว

แต่การจะถึงเป้าหมายนั้น มีเส้นทางที่แตกต่างกัน แน่นอนว่าในทุกเส้นทางนั้นจะมีมรรคเป็นองค์ประกอบ เมื่อผมได้สรุปเส้นทางในชีวิต ก็พบว่าเหลือแค่สองทางเท่านั้น คือ บวชกับไม่บวช

ผมเป็นคนที่มีองค์ประกอบที่พร้อมสำหรับการบวช คือไม่มีภาระอะไรต้องห่วง ไม่มีอะไรต้องรับผิดชอบ สามารถตัดสินใจด้วยตนเองในทันที ครอบครัวก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังไม่เลือกการบวชด้วยเหตุผลที่ว่า

ผมต้องการจะใช้ความสามารถและความรู้ที่ได้เรียนมา ช่วย “สืบสานเศรษฐกิจพอเพียง” เสียก่อน

ผมเองไม่ได้ใส่ใจกับปริญญาและความรู้ที่ได้ศึกษามา จะทิ้งก็ได้ไม่มีปัญหา แต่จากที่ทบทวนดูว่าทำไมชาตินี้ต้องเกิดมาได้เรียนแบบนั้น มันไม่มีหรอก เบิกกุศลมาให้เรียนตั้งหลายแสนแล้วทิ้งไปเฉย ๆ ฟ้าเขาก็คงให้มาเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือทำกุศลต่อละน่า ถ้าจะให้ฝึกทิ้ง ทิ้งแค่นี้มันก็น้อยไปหน่อย ไม่สะใจ

สรุปคือผมประเมินว่า ฟ้าเขาให้อุปกรณ์ทำความดีมาแล้ว เราจะทิ้งไปหรือจะเอาไปใช้ประโยชน์ และปัจจัยหลักก็คือ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เศรษฐกิจพอเพียงทุกวันนี้มีแต่คนตอแหล ทำหลอกในหลวง เป็นคำที่ก้องอยู่ในหัวผมเรื่อยมา ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมเฝ้าสังเกตคนที่เขาบอกว่าทำเศรษฐกิจพอเพียง และพบว่านั่นมันตอแหลจริง ๆ

เพราะเขาทำแล้วไม่ได้ลดความโลภ โกรธ หลง ไม่ได้ลดกิเลส ทำเศรษฐกิจพอเพียงไม่ลดกิเลสมันจะพอเพียงได้ไง มันก็โลภไปเรื่อย ๆ สิ ไม่โลภเอาวัตถุ ก็โลภเอาโลกธรรม หรือไม่ก็เอาอัตตา ผมเห็นแล้วก็รู้สึกว่า แบบนี้แย่แน่ ๆ มีแต่เปลือก แก่นไม่มีเลย

เศรษฐกิจพอเพียงในความเห็นของผม ต้องเริ่มจากลดกิเลสให้ได้ก่อน ส่วนปลูกพืชปลูกผัก หรืออะไรอื่น ๆ นั้นไว้พัฒนาทีหลัง เพราะถ้าไม่ศึกษาการลดกิเลสให้ได้จริง ทำอะไรไปสักพักเดี๋ยวกิเลสก็โต แรก ๆ ก็อาจจะสร้างภาพพอเพียงได้อยู่ แต่นานไปมันฟุ้งเฟ้อแน่ ๆ

อีกอย่างคือ ผมรู้สึกว่าควรจะทำให้เศรษฐกิจพอเพียงนั้นปรับใช้ได้ในทุกฐานะอาชีพ เพราะเดิมทีผมมีพื้นฐานเป็นคนเมือง ถ้าผมจะศึกษาเศรษฐกิจพอเพียง ผมก็ต้องศึกษาเพื่อให้ได้ความรู้มาปรับใช้กับคนเมืองด้วย

ดังนั้นผมจึงไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นเกษตรกร ผมไม่เน้นผลผลิต ผมเน้นการศึกษาเรียนรู้ว่าทำอย่างไร เราจึงจะลดกิจกรรมที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ลดความโลภโกรธหลงที่ต้นเหตุได้ ซึ่งจากที่ผมประเมินดูแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีใครทำในหัวข้อนี้ชัดเจนนัก ก็เลยคิดว่าจะลองทำดูก่อน ลองเอาภาระในเรื่องนี้ดู ผมคิดว่ามันเป็นกุศลนะ เรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนทำ และเป็นเรื่องที่มีประโยชน์มากเหมือนกัน

ชาตินี้ก็คิดว่าจะทำสิ่งนี้ไป ได้เท่าไหนก็เท่านั้น ตามความสามารถ ตามบารมี ถ้ามันตันนักก็เลิก จะว่าหนีไปบวชก็ใช่ เพราะบารมีไม่พอไง ชาติหน้าค่อยมาฝึกทำใหม่ ถ้าอยู่ในสถานะนักบวชก็คงจะพอทำได้ แต่ไม่คล่องเท่าฆราวาสหรอก มันยืดหยุ่นกว่า ส่งเสริมได้ง่ายกว่า ผมขอสรุปตามความเห็นของผมเลยว่า ถ้าผมทำเรื่องนี้ ฆราวาสจะเจริญได้ง่ายกว่า

พิมพ์มาถึงตรงนี้ก็ลืมบอกไปว่าเป้าหมายคืออะไร เป้าหมายในชีวิตผมก็เลิกโง่บริบูรณ์ละนะ ส่วนผมจะฝึกปฏิบัติในเส้นทางไหนก็ตามที่ได้เล่าไปก่อนหน้านี้ อ่านดูอาจจะเป็นเรื่องใหม่ แต่จริง ๆ เป็นเรื่องที่ตัดสินใจไว้ตั้งแต่ 3-4 ปีก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแค่ไม่เคยได้บอกได้กล่าวกับใครเลยเท่านั้นเอง

dinp 2016

หลังจากอัพเดทล่าสุดเมื่อต้นปี 2015 ที่ผ่านมา นี่ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว มีเหตุผลบางประการที่รู้สึกว่าเว็บไซต์ต้องมีการปรับเปลี่ยนบ้าง ทั้งเนื้อหาและงานออกแบบ

dinp 2016

ผ่านไปปีนึง มีข้อมูลหลายๆอย่างเข้ามา จึงทำให้ตัดสินใจปิดเว็บไซต์เกี่ยวกับต้นไม้ทั้งหมดเลย ทั้งแคคตัส บอนสี ลิ้นมังกร ซึ่งให้เหตุผลไว้ใน “บทเรียนจากการเลี้ยงไม้ประดับ

ทำให้เว็บไซต์มีเนื้อหาน้อยลง แต่ยังคงความเป็นเครือข่ายอยู่ คือไปทำที่นู่นบ้างที่นั่นบ้าง ดูแลกันทั่วถึงบ้างไม่ทั่วถึงบ้าง อย่างในปีที่ผ่านมานี่ก็แทบไม่ได้แตะ Veggie kitchen (blog) เลย จะไปอัพเดทกันในเฟสบุคซะมากกว่า แต่ก็ยังถือว่าน้อย เพราะงานหลักๆ จะไปหนักอยู่ที่เฟสบุค “ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์” นอกนั้นก็อัพเดทบ้าง ไม่ได้อัพเดทบ้าง แม้แต่บล็อกแห่งนี้ก็ยังถูกปล่อยทิ้งร้างกันอยู่นานเลยทีเดียว

หลักการออกแบบของปีนี้ต่างจากปีก่อนๆที่เป็นโทนดำ-แดง-ขาว ปีนี้มาในโทนสี ขาว-น้ำตาล-เขียว ในอารมณ์แบบธรรมชาติๆ เปิดภาพหน้าปกด้วยภาพมอสที่ถ่ายมาตอนไปน้ำตกพริ้วเมื่อนานมาแล้ว พื้นพลังเป็นแพทเทินไม้ไผ่ โดยรู้สึกอยู่ในใจลึกๆว่าอยากให้มีอารมณ์ที่สื่อถึงการเติบโตเล็กๆ ไม่ต้องมากมาย เอาแค่พอมีชีวิต

เมื่อเทียบกับโทนเดิม ซึ่งเป็นดำ-แดง-ขาว ก็เหมือนป่าที่ถูกไฟไหม้ เต็มไปด้วยฝุ่นควัน ถ่าน และขี้เถ้า ในแนวคิดปีนี้ก็คงจะเป็นเหมือนการเติบโตหลังจากที่ถูกไฟป่าไหม้ไปละมั้ง (ก็จินตนาการโยงไปเรื่อยตามประสา)

แต่ก็เอานะ คิดว่ามันคงสบายตาและใช้งานง่ายมากขึ้น ไม่ซับซ้อน อ่านข้อมูลกันนิดหน่อยก็เข้าไปชมเนื้อหาในแต่ละส่วนต่อได้

จากเริ่ม จนจบที่มังสวิรัติ

แสงยามเช้า

เมื่อปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ผมเองก็ยังเป็นคนทั่วไป กินอยู่อย่างคนทั่วไป มื้ออาหารทุกมื้อประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์เป็นเรื่องปกติทั่วไป ผมใช้ชีวิตแบบทั่วไปแบบนี้มาทั้งชีวิต จนกระทั่งทุกวันนี้ ไม่มีเนื้อสัตว์ในมื้ออาหารของผมมานานหลายเดือนแล้ว…

ชีวิตที่ผ่านมา บอกตรงๆ ว่าไม่เคยสนใจเรื่องมังสวิรัติเลย แม้แต่กินเจก็ไม่เคยกิน ไม่สนใจ ไม่เข้าใจ กินไปทำไม…

จนกระทั่งต้นปี 2556 เพื่อนชวนไปค่ายสุขภาพของหมอเขียว จริงๆก็ไม่ได้สนใจสุขภาพอะไรหรอกนะ พอดีว่าว่าง หาอะไรทำ ก็เลยไปกับเขา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในค่ายมีอะไร ให้ทำอะไร ทำไปเพื่ออะไร จะได้อะไร ก็รู้แค่ว่าดีกว่าอยู่บ้าน

การไปค่ายสุขภาพครั้งนั้นได้ก็นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตผมอย่างรุนแรง ความรู้ที่ได้รับจากค่าย ทำให้ผมเข้าใจทุกข์ โทษ ภัย ผลเสีย ของการที่เรายังอยากกินเนื้อสัตว์ ทั้งต่อสุขภาพในระยะยาว และอื่นๆอีกมากมาย แน่นอนว่าผมไม่อยากเป็นคนแก่ที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล อย่างน้อยที่สุดก็อยากจะสุขภาพดีเท่าที่ทำได้ละนะ

บนยอดเขา

กินมังสวิรัติแล้วดียังไง?

จะว่าไปการกินมังสวิรัติเพื่อสุขภาพก็เป็นเหตุผลรองๆ ที่ผมให้ความสำคัญ แต่ก็ได้รับสิ่งที่เห็นผลของการกินมังสวิรัติได้อย่างชัดเจน นั่นคือน้ำหนักลด ซึ่งโดยปกติแล้ว ผมเองเป็นคนที่ไม่ออกกำลังกาย จะขี้เกียจๆไปออกกำลังกายตามแบบที่เขาทำกันด้วยซ้ำ ดังนั้น น้ำหนักที่ลดจนเป็นหลักฐานให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน มาจากการปรับอาหารล้วนๆ ไม่มีกิจกรรมอื่นใดปนเลย

ลดน้ำหนัก

การปรับอาหารมากินมังสวิรัติ ทำให้น้ำหนักของผมลด จากช่วงที่เกือบจะเลย 100 กิโลกรัม ลงมาเหลือราวๆ 80 ปลายๆ และลดลงมาอีกช่วงใหญ่ๆ เมื่อปรับมื้ออาหารให้พอดี เท่าที่จำเป็นในชีวิตจริงๆ ถ้าจะนับผลของการกินมังสวิรัติที่นำมาซึ่งน้ำหนักที่ลดลงของผม ก็คง ราวๆ 10 กิโลกรัม แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วสำหรับร่างกายที่เบาสบายขึ้น

เป็นการลดน้ำหนักโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน เสียแรง เสียเวลา แถมยังประหยัดเงิน ได้สุขภาพภายในที่ดีขึ้นมาอีก ดีไหมล่ะ

ความยุ่งยากในชีวิตที่ลดลง เป็นอีกหนึ่ง ข้อดี คือไม่ต้องลำบากไปหาเนื้อมากิน ไปสรรหาร้านเนื้ออร่อยๆ ไม่ต้องสนใจว่าร้านนี้จะมี หมู ไก่ เนื้อ หรืออะไรยังไง ไม่ต้องคิดมาก หลายคนอาจจะคิดว่ากินผักยุ่งยาก ซึ่งปกติในชีวิตเราก็กินผักกับเนื้อปนกันอยู่แล้ว อันนี้ก็แค่เลิกกินเนื้อ แต่ผักก็ยังกินปกติอยู่นั่นแหละ แค่ลดจากแบบชาวบ้านทั่วไปลงมา สะดวกกว่าเดิมเยอะ

อาหารพื้นบ้าน

อย่างกรณีที่ได้ลดความยุ่งยากในชีวิต คือ ตอนผมไปเช่าบ้านอยู่ที่ปากช่อง ไม่มีตู้เย็น หากว่ายังติดเนื้อสัตว์อยู่ชีวิตก็คงลำบากแน่ๆ ไหนจะต้องซื้อตู้เย็นมาเป็นภาระอีก แต่การเก็บผักนั้นไม่ยากเลย เอามาวางๆไว้ อย่างมากก็แค่เหี่ยวนิดหน่อย แต่ก็ยังกินได้ ยิ่งกะหล่ำปลีนี่เก็บไว้ได้หลายวันเลย ถือว่าการกินมังสวิรัติช่วยให้ชีวิตผมตอนอยู่ต่างถิ่นมันง่ายและสะดวก คล่องตัวขึ้นมาก

สุขภาพดี เป็นอีกสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน แต่จะเกิดขึ้นจากภายในมากกว่า เพราะร่างกายไม่ต้องลำบากมาย่อยเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก กินแต่ละทีอืดเป็นวันๆ ทำให้เหลือพลังงานในการเอาไปซ่อมแซม บำรุงส่วนที่สึกหรออื่นๆ จนทำให้มีความ สุขสบาย เบากาย มีกำลัง รวมทั้งสบายใจที่ได้จากการลด ละ เลิกการกินเนื้อสัตว์อีกด้วย

เห็ด

กินแล้วมีความสุขไหม?

ผมได้คุยกับคนหลายคน ซึ่งเขามองว่าการกินมังสวิรัติลำบาก ไม่อร่อย ทรมานตัวเอง ยังอยากมีความสุขอยู่ ฯลฯ …จริงๆผมเองก็อยากมีความสุขเหมือนกันนะ…

แต่ก่อน …ผมก็เป็นคนชอบกินเนื้อมาก คอหมูย่าง เนื้อย่าง ไก่ย่าง ยิ่งติดมันหวานๆ นี่ยิ่งชอบ สเต็ก ปลาดิบ ซีฟู้ด อะไรต่างๆนาๆ นี่ของโปรดเลย …แล้วถ้ามันกินแล้วมันเป็นสุขแล้วผมจะเลิกกินทำไม ผมกินไปเรื่อยๆ ก็มีความสุขไปเรื่อยๆ มันน่าจะเป็นอย่างนั้นสิ…

จนกระทั่งวันที่ได้พบกับ ความรู้สึกที่ว่า “ สุขกว่าเสพ ” นี่แหละ ที่ทำให้ผมมั่นใจที่จะเลิกกินเนื้อสัตว์ อย่างน้อยมันก็สุขมากพอที่จะทำให้ผมยอมทิ้งสุขที่เคยได้รับเมื่อตอนกินเนื้อละนะ ความรู้สึกนี้อาจจะยากสักหน่อยที่จะเข้าใจ จนกว่าวันที่ใครสักคนยินดีที่จะละเนื้อสัตว์ด้วยใจที่สบายๆ แม้จะเห็นคนอื่นกินต่อหน้าก็ไม่ได้อยากกิน หรือทุกข์ใจอะไร ก็ตอนนั้นแหละคงจะพอ รู้สึกเองว่า “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

แดดยามเย็น

และสิ่งที่แน่นอน คือ มีความสุข …ความรู้สึกดีๆ นี้เกิดขึ้นได้ หลังจากลด ละ เลิก กินเนื้อสัตว์ เชื่อไหมว่าช่วงที่พยายามจะเลิก ผมรู้สึกผิดทุกครั้งเวลาขับรถไปแล้วเห็นรถขนหมู รถขนวัว ผมรู้ว่าปลายทางของมันจะไปที่ไหน และรู้ตัวดีว่าผมเองคือเหตุหนึ่งที่ผลักดันมันไปสู่ที่นั่น

เมื่อเราเลิกกินเนื้อสัตว์ได้แล้ว การเบียดเบียนจึงไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ผมสามารถมองสัตว์เหล่านั้นด้วยความรู้สึกธรรมดาๆ อย่างที่สัตว์โลกเห็นกันทั่วไป ไม่ต้องรู้สึกผิดเหมือนเคย เป็นความสบายใจที่ได้รับมาจากการเลิกกินเนื้อสัตว์ หรือที่ใครๆเขาเรียกกันว่า “ บุญ

วัวข้างทาง

กินมังสวิรัติแล้วอยู่ได้ยังไง?

หลายๆ คนมักจะมองว่า การกินมังสวิรัติ ทำให้ไม่มีแรง เพลีย อ่อนล้า หิว อะไรก็ว่ากันไป ผมเองทดลองกินมังสวิรัติและกำหนดช่วงเวลาทำงาน คือการใช้แรงงาน รวมถึงงานที่ใช้สมองรวมอยู่ด้วย

ผมตื่นตั้งแต่เช้า ราวๆ  7 โมง ก็ขับรถไปที่ไร่เพื่อทำงาน ซึ่งตอนนั้นเป็นงานขุดแปลงผัก สักประมาณ 11 โมงก็กลับมาทำกับข้าวกิน พักสักครู่ใหญ่ๆ บ่าย 1 ก็ออกไปขุดต่อ ขุดเรื่อยๆเหนื่อยก็พัก ตกเย็นก็กลับบ้าน มาทำงานออกแบบที่ในส่วนของพื้นที่ใช้สอยต่างๆ มุมต่างๆของที่ และนอนเวลา 3 ถึง 5 ทุ่มโดยประมาณ

ต้นอ่อนฟักทอง

ผลการทดลองออกมาก็อยู่ได้ตามปกติ มีแรงทำงาน มีสมองออกแบบ แถมยังฟุ้ง จินตนาการบรรเจิด จนบางทีทำให้นอนดึกกว่าปกติก็มี ทั้งหมดนี้ ผมกินมังสวิรัติ และ กินมื้อเดียว ต่อวัน ไม่ได้ดื่มน้ำผลไม้ หรือนม นอกมื้อดื่มเพียงแค่น้ำเปล่า เท่านั้น

อ่านมาจนถึงตรงนี้ ก็คงจะตอบได้แล้วว่า การกินมังสวิรัติก็สามารถทำให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ เหมือนทั่วๆไปละนะ

วิธีกินมังสวิรัติ

การเปลี่ยนมาสู่การกินมังสวิรัติในทันที ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ ต้องอาศัยพลังในการอดทนและความรู้ในการเข้าถึงประโยชน์ของการกินมังสวิรัติอย่างมาก การเริ่มกินในเบื้องต้นก็ควรจะเริ่มจาก ลด ละ เลิก เนื้อสัตว์ไปตามลำดับ

มังสวิรัติ-ซื้อกิน

แรกๆก็อาจจะเริ่มจากการ ลด ลดปริมาณการกินเนื้อลง จากที่เคยกินเนื้อเยอะๆ ก็ลดปริมาณ แล้วเพิ่มผัก เพิ่มแป้งเข้าไปแทนในอัตราส่วนที่ยังอิ่มสบายอยู่

การ ละ เช่นในหนึ่งอาทิตย์ ก็ลองกินมังสวิรัติ สักมื้อ แล้วค่อยขยับมาเป็นสักวัน หรือสักสัปดาห์ เพิ่มช่วงเวลาที่ ละ เนื้อสัตว์ไปเรื่อยๆ หรือจะละเนื้อสัตว์ใหญ่ กินแต่สัตว์เล็กลงมาเรื่อยจนเหลือ ปลา แล้วค่อยพัฒนาต่อไปก็ได้

เมื่อละได้จนรู้สึกว่ามีพลังพอจะ เลิก ได้ก็ให้ตั้งใจเลิกไปเลย ได้ไม่ได้ ไหวไม่ไหว ก็อีกเรื่องหนึ่ง มันจะมีความคิดมากมายที่คอยฉุดเราไว้ไม่ให้เลิก ในตอนนี้เราต้องสู้กับความคิด หรือกิเลสเหล่านั้น

มังสวิรัติ-ทำเองกินเอง

ข้าวยังเป็นหลัก การกินมังสวิรัติของผม ไม่เคยลดข้าวเลย ลดแต่เนื้อสัตว์ แล้วก็เพิ่มผัก เพิ่มข้าวในปริมาณที่อิ่มสบาย อาจจะขัดกับความรู้ในการรักษาสุขภาพและการลดน้ำหนักทั่วๆไปว่าให้ลดข้าว กินโปรตีน กินผัก แต่นี่ผมก็ยังกินข้าวเต็มๆแบบไม่กลัวอ้วน กินผักเยอะๆ น้ำหนักก็ยังลงได้สบายๆ

อีกทั้งข้าวยังเป็นแหล่งสารอาหารด้วย วิตามินมากมายอยู่ในเมล็ดข้าว ถ้าผมเลือกได้ ผมจะเลือกกินข้าวกล้องซึ่งให้คุณค่าสูงสุดในการเคี้ยวหนึ่งคำข้าว

การหากินอาหารมังสวิรัติในชีวิตประจำวัน ดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับชีวิตคนเมือง แต่จากที่ผมได้ทดลองมา ร้านขายอาหารหลายร้านก็ให้ความร่วมมือดีนะ เข้าร้านก๋วยเตี๋ยว ไปสั่งก๋วยเตี๋ยวเอาแต่เส้นกับผัก เข้าร้านข้าวแกง ก็สั่งเอาแต่ผัก เข้าร้านอาหารตามสั่งก็สั่งเมนูปกติ แต่ใส่ผักแทนเนื้อสัตว์ไป ก็ไม่เห็นมันจะลำบากตรงไหน ยิ่งถ้ายังกินไข่อยู่ก็สามารถหาเมนูได้มากมาย เมื่อเราคุ้นเคยในการสั่งเมนูมังสวิรัติ หรือมีร้านที่เรากินประจำ เมื่อนั้นแหละการกินมังสวิรัติจะง่ายขึ้นมาทันที

หรือถ้ายังกล้าๆ กลัวๆ ในการสั่ง ก็ให้เขี่ยเนื้อสัตว์ออกเอา โดยหลักๆแล้วเนื้อหามันก็มีแค่ว่า “ เราอยากกินเนื้อสัตว์หรือไม่อยากกิน “ แค่นั้นเอง ไม่อยากกินก็เขี่ยออก หรือให้คนอื่นไป ถ้ามันอยากกินมากนักก็เอาเข้าปากไป แล้วค่อยว่ากันใหม่

มังสวิรัติ-แม่ทำ

การซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเอง สมัยนี้คนเมืองสามารถหาซื้อผักที่หลากหลายได้ง่ายๆ ยิ่งผักปลอดสารพิษก็มีขายเยอะขึ้น มีให้เลือกตามสะดวก ราคาก็ไม่แพง เมื่อเทียบกับสุขภาพในระยะยาว ส่วนคนที่อยู่ต่างจังหวัดก็หัดปลูกเองกินเองไป

หิวและไม่อยู่ท้อง เป็นอีกหนึ่งปัญหาของคนกินมังสวิรัติ ค่ายสุขภาพได้สอนมาว่า ปัญหาของคนกินเจเช่น ไม่อยู่ท้อง ไม่มีแรง สามารถแก้ปัญหาด้วยการกินถั่ว ธัญพืชต่างๆ เข้าไปเพิ่ม ผมเองก็ไม่เคยกินเจนะ… แต่จากที่ลองดู ถั่วก็สามารถทำให้อยู่ท้องและมีแรงได้จริงๆ จะรู้ได้เลยว่ากินถั่ว กับไม่กินถั่ว ร่างกายก็จะแสดงอาการต่างกัน

ทุ่งหญ้า

ชีวิตมังสวิรัติ

การที่เราจะหันมากินมังสวิรัติ ก็คงจะได้รับเสียงตอบรับจากสังคมรอบข้างกันไปต่างๆ นาๆ  ถือเป็นความท้าทายหนึ่งในการกินมังสวิรัติ เป็นบททดสอบว่าเราเอาจริงไหม เรามั่นใจว่าสิ่งนั้นดีจริงไหม เรามีกำลังใจมากพอไหม เรามีความรู้เกี่ยวกับการกินมังสวิรัติมากพอไหม

ถ้าเรามั่นใจว่าสิ่งที่เรากำลังทำดีจริง และทำอย่างจริงจัง คนรอบข้างจะค่อยๆเปลี่ยนไปตามเรา อาจจะเข้าใจเรามากขึ้น อาจจะเห็นดีกับเรา หรือกระทั่งอาจจะหันมากินมังสวิรัติตามเราก็เป็นไปได้ ส่วนคนที่เขายังไม่เห็นด้วย ก็ให้เข้าใจเขา เขาจะติดการกินเนื้อ จะเข้าใจว่าการกินเนื้อดี หรือจำเป็นต่อชีวิต ก็เป็นความเข้าใจของเขา เราก็กินของเราไป

ถ้าสิ่งที่เราปฏิบัติมันดีจริง เรามั่นคงจริง มันทำให้สุขภาพดี หน้าตาผ่องใส จิตใจดีขึ้น มีผลมากมายที่เห็นได้ชัดจริงๆ …วันหนึ่ง ถ้าเขาสนใจ เขาก็มาถามเองนั่นแหละ

ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับเมนูมังสวิรัติ บทความมังสวิรัติได้ที่ Veggie kitchen , facebook (Veggie Kitchen)

แดดยามเช้า

เดินทางและเรียนรู้

ช่วงหลังๆ มานี้ ไม่ค่อยอยู่บ้านครบเดือนสักที มีภาระกิจ ต้องเดินทางตลอด ไปครึ่งเดือนบ้าง สัปดาห์บ้าง ไปพบเจอเรื่องราวมากมายที่มากกว่าชีวิตประจำวัน

ชีวิตรับงานอิสระแบบผมนี่จะมาจะไปไหนมันก็สะดวก ไม่ต้องมีห่วงอะไรมากมายนัก เพียงแค่จัดการงานที่รับมาให้จบตามเวลาแล้วก็ออกเดินทางไปเรียนรู้ได้ก็เป็นกำไรของชีวิตแล้ว เพราะไม่รู้วันไหนเมื่อไหร่ที่จะต้องจากโลกนี้ไปจึงไม่อยากมีชีวิตอยู่เพื่อเงิน ตามหาเงิน ใช้เงิน อยู่กับเงินๆๆๆ ให้เงินพลักดันชีวิต ดังนั้นจึงพยายามหาเงินให้พอดี และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเรียนรู้

Continue reading เดินทางและเรียนรู้

ชีวิตที่ผ่านเลยมาถึงต้นปี 2556

และแล้วก็ผ่านต้นปีมาจนถึงช่วงกลางเดือนมกราคม ผ่านวันเด็ก ผ่านวันอะไรๆที่ดูจะสำคัญในช่วงปีใหม่มาแล้ว คงจะเป็นช่วงที่ผ่อนคลายและสงบนิ่งมากขึ้น

ก่อนปีใหม่ก็ไม่มีเวลาได้ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาในปี 2555 และวางแผนในปี 2556 เลย มันดูเหมือนจะว่าง แต่พอนึกไปมันก็ไม่ว่าง มีอะไรยุ่งๆ นิดๆ หน่อยๆ เต็มไปหมด มีอะไรให้ทำตลอดเวลาจนลืมนึกไปว่าในปีนี้ยังไม่มีแผนเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไรนัก มีแต่แผนรวมๆระยะยาวเท่านั้นเอง

MonkiezGrove , Cartoon Postcard Animation

ในปีนี้ เท่าที่คิดได้ก็จะกลับมาพัฒนามังกีซ์โกรฟ (www.monkiezgrove.com) อีกครั้ง หลังจากปล่อยให้ร้างไปเกือบสองปี ซึ่งการปัดฝุ่นครั้งนี้ได้ใช้ประสบการณ์และความรู้ที่เก็บเกี่ยวมาในช่วงที่เรียนโทมาใช้ด้วย ทำให้เป็นการวางแผนการสร้างในทุกระยะเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะต่อเนื่อง มั่นคง และยั่งยืนกว่าเคย อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในบทบาทบ้าง ตามความเหมาะสม แต่สุดท้ายสิ่งที่ยังเป็นงานหลักของมังกีซ์โกรฟ คือ การ์ตูนน่ารัก คำนี้จะฝังลงไปในทุกๆกิจกรรมของมังกีซ์โกรฟ

ดอกทานตะวัน

อีกอย่างก็คงจะเป็นการทำอัลบั้มภาพออนไลน์ที่ DINPhoto ( photo.dinp.org ) ภาพที่ถ่ายเก็บไว้เยอะมากๆ ภาพที่ไปเที่ยวถ่ายวิว ถ่ายนู่นถ่ายนี่ ตามประสาคนบ้าถือกล้่องไปที่ไหนก็ถ่ายที่นั่น จะได้นำมาลงแบ่งปันกันให้ชมเสียที เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราอยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปดูโลกบ้าง ก็ค่อยๆติดตามกันเป็นระยะๆ นะครับ จะทยอยๆ ลงไปเรื่อยๆ

ส่วนงานอื่นๆ ก็คงกลับมารับทำเหมือนเดิมหลังจากงดรับงานมาเกือบสองปี เพื่อมุ่งเน้นไปในการเรียนรู้ให้คุ้มค่าที่สุด ณ ตอนนี้เหมือนจุดที่ทุกอย่างคลี่คลาย ค่อยๆกลับมาเป็นเหมือนปกติอย่างช้าๆ สำหรับปีนี้คงได้แค่ทำตามแผนที่วางไว้ สำหรับแผนใหม่คงยังไม่คิด เอาไว้คิดปีหน้าดีกว่า ตอนนี้สะสมทุนอีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในโอกาสหน้า

สำหรับใครที่ยังไม่ได้วางแผนชีวิต ก็ลองใช้เวลานั่งคิด นั่งทบทวน นั่งคุยกับตัวเองดูก็ได้ ว่าชีวิตต้องการอะไร อะไรคือเป้าหมาย ได้มาแล้วยังไงต่อ คิดล่วงหน้าไว้ก่อน สุดท้ายค่อยสกัดด้วยคำว่า “อะไรที่จำเป็น

สวัสดี

ความเข้ากันดีในสาขาอาชีพ และกิจกรรมประจำวัน

วันนี้ระหว่างกำลังจัดต้นไม้หน้าบ้าน ให้มันเป็นระเบียบมากขึ้นโดยการย้ายกระถาง ใส่รวมกันในกระถางใหญ่กระถางเดียวนั้น ก็มีผู้ใหญ่ในหมู่บ้านมาทักทาย

คำถามที่น่าสนใจคือผมจบเกษตร มาหรือปล่าว? นั่นหมายถึงจบเกษตรกรรมนะครับ เพราะผมอาจจะดูจริงจังกับต้นไม้มากก็ได้ ภาพที่เห็นเลยเป็นอย่างนั้น ก็ตอบลุงแกไปว่าเรียนบริหารครับ แกก็บอกว่าดูไม่ค่อยเข้ากันอะไรประมาณนี้ครับ

ความไม่เข้ากัน…

ก็จริงอยู่นะ ชีวิตผมทำอะไรหลายๆอย่างที่ไม่ค่อยเข้ากัน ในสายตาคนอื่น ซึ่งปัจจุบัน ทักษะของผมนั้นหลากหลายจนเกินจะบอกว่าแท้จริงแล้ว ผมเก่งอะไรกันแน่ ผมวิจัยต้นไม้เป็นส่วนตัว ผมเรียนศิลปะ ผมทำอนิเมชั่น ผมทำเว็บไซต์ ผมพิมพ์บทความมากมาย นั่นคือสิ่งที่ผมทำได้ และแน่นอนว่าวิชาบริหารที่ผมเรียนนั้นก็จะมาช่วยให้ทุกอย่างเข้ากันดีมากขึ้น

ทุกอย่างเหมือนส่วนผสมที่ไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ แต่ก็จะพยายามนำมาปรุงให้ได้ แน่นอนว่าถ้าเมนูนี้ออกมามันต้องเป็นเมนูใหม่ของโลกอย่างแน่นอน ดังนั้นผมคิดว่าผมควรจะทำมันต่อไป

การสร้างความถนัดเฉพาะด้าน?

คงจะดีถ้าผมเก่งอะไรจริงจังสักอย่างหนึ่ง ก็คงจะพูดให้ใครๆเขาเข้าใจได้ง่ายว่าผมนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ตัวผมเองไม่ได้ต้องการ ความถนัดเฉพาะด้านคือสิ่งที่สังคมต้องการ เขาต้องการให้เราเป็นแรงงานในส่วนใดส่วนหนึ่งและผลักดันสังคมไป …แต่ปัญหาคือไปในทิศทางไหน?

ผมเองคิดว่าตนเองนั้นไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานให้กับใครคนใดคนหนึ่ง ผมไม่อยากเป็นคนที่ทำงานให้ครอบครัวๆหนึ่งรวย แล้วใช้ชีวิตไปแบบที่สังคมเป็น นั่นคือผมไม่ได้คิดว่าตนเองนั้นเป็นฟันเฟืองในสังคมที่กำลังขับเคลื่อนอยู่แม้แต่น้อย ผมเกิดมาทำไม เพื่ออะไร ผมจำเป็นต้องหาคำตอบนี้ด้วยตนเอง แต่ที่ผมรู้แน่ๆแล้วนั่นคือ ผมไม่ได้เกิดมาแล้วตายไปแบบหนุ่มออฟฟิศแน่นอน ที่บอกนี่ไม่ได้หมายความว่าผมมองมันไม่ดี แต่ผมแค่มองว่ามันดูไม่เข้ากับตัวเองเท่านั้นเอง

และเมื่อเกิดความคิดแบบนั้น ผมจึงเลือกเดินหนทาง อาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์ ( Freelance ) นั่นก็เพื่อตามหาความไม่เข้ากันที่เหมาะสมกับผมนั่นเอง

ความหลากหลายที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ เป็นเพราะผมเลือกที่จะรู้กว้าง แต่ไม่รู้ลึก มันเป็นนิสัยของผมมานานแล้ว ผมชอบศึกษาอะไรไปเรื่อยๆ ทำให้มีทักษะติดตัวค่อนข้างหลากหลาย และมันจะเป็นอย่างนี้ต่อไป จนกว่าผมจะค้นพบคำตอบที่ำำพอจะทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

สวัสดี

กิจกรรมยามว่าง คือเขียนบล็อก

แทบจะไม่เชื่อตัวเองเลยว่า ปัจจุบันกิจกรรมยามว่างของผมคือการนั่งพิมพ์บล็อก เพราะแต่ก่อนนี้ผมไม่ค่อยได้สนใจและ มองคนที่เขียนไดอารี่หรือบล็อกด้วยอคติด้วยซ้ำ

แต่ทุกวันนี้การเขียนบล็อกกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในชีวิตผมไปเสียแลัว อาจจะเป็นอย่างที่โบราณว่าไว้ “เกลียดอะไรก็จะได้อย่างนั้น” แต่ก็ผิดไปนิดหนึ่งก็คือมันเปลี่ยนจากมุมมองด้านลบๆ มาเป็นบวกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะถ้าผมไม่ชอบ ผมคงไม่สามารถนั่งพิมพ์บล็อกทุกวันได้อย่างนี้หรอก

แต่ก่อนนั้น…

เมื่อหลายปีก่อน ผมเห็นเพื่อนที่ร่วมเรียนด้วยกันเขียนบล็อก ผมเองมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระและเสียเวลามาก ทำไมผมต้องมานั่งเสียเวลาเล่าเรื่องตัวเองให้คนอื่นอ่านด้วย มันไม่จำเป็นเลย ซึ่งผ่านไป 4-5 ปีผมก็ยังมีมุมมองนี้อยู่ดี แต่ไม่นานนักเมื่อชีวิตผมเปลี่ยน

ตั้งแต่ชีวิตที่ได้เปลี่ยนไป…

ผมเคยเป็นพนักงานบริษัทเหมือนกับชาวบ้านที่เขาเป็นกัน ชีวิตนั้นก็สุขสบายดีอยู่แล้ว ขาดอย่างเดียวคือการสนองตอบความสามารถในตัวผม ผมเองคิดว่าผมทำอะไรได้มากกว่านั้น ความสามารถผมมากกว่านั้น จึงตัดสินใจลาออกมาทำกิจการเล็กๆที่ใช้ความสามารถตัวเองได้เต็มที่ และคิดได้เต็มที่ ฝันได้เต็มที่ เจ็บได้เต็มที่ มันน่าสนุกถ้าผมจะทำอะไรที่อยากทำในขณะที่ยังจะพอทำอะไรได้อยู่

และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของผม การประกอบกิจการส่วนตัวนั้นจำเป็นต้องลงแรงทุกอย่างที่มี ทักษะที่เคยสั่งสมมาแต่ไม่เคยคิดจะใช้ทำมาหากิน นั่นคือทักษะการทำเว็บไซต์ แต่ก่อนไม่เคยคิดจะทำเว็บไซต์เพราะยุ่งยาก แต่ทุกวันนี้ก็ต้องมานั่งทำเพราะความจำเป็นและก็กลับชอบขึ้นมาอีกด้วย และการเขียนบล็อกก็ก้าวเข้ามา ณ จุดนั้น ในจุดที่ผมจำเป็นต้องเขียนบทความเผื่อโปรโมตเกี่ยวกับกิจการของผมให้คนอื่นได้รับทราบ

และจากการพิมพ์บล็อก (เขียนบล็อก) เพื่อการโฆษณา ปัจจุบันมันกลายเป็นงานอดิเรกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมกลับสนุกที่ได้บันทึก ได้เรียบเรียง ได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่ผมได้รับมา ผมรู้สึกดีเมื่อรู้ว่าตัวเองได้พัฒนาทักษะการพิมพ์ได้ดีขึ้น จากความเห็นบางส่วนของผู้ที่มาตอบ สำหรับตอนนี้ผมก็คงจะเล่าไปถึงแค่ทำไมมันถึงกลายมาเป็นกิจกรรมยามว่างของผมได้ และคิดว่าคงจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับประโยชน์ วิธีการ เกี่ยวกับบล็อกเพิ่มขึ้นด้วยครับ เผื่อว่าจะมีคนสนใจแบบผมบ้าง

สวัสดี

ลูกแมวกลางถนน

เป็นเรื่องราวแปลกๆที่ไม่คิดว่าจะเกิดได้ และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อไปลูกแมวสีดำที่ผมเจอกลางถนนตัวนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป…

เมื่อวันก่อนผมเจอเรื่องราวแปลกเรื่องหนึ่ง ที่ไม่น่าจะเกิดได้บ่อยนัก มันเป็นความบังเอิญในจังหวะที่ลงตัวมากๆ

บ่ายวันเสาร์ผมขับรถออกจากบ้าน…

ผมขับวนออกจากบ้านโดยใช้เส้นทางเลียบทางด่วนรามอินทรา เอกมัย มุ่งหน้าไปยังเหม่งจ๋าย หลังจากที่กลับรถใกล้เกษตรนวมินทร์แล้ว ก็มาถึงช่วงที่รถจะติดนิดหน่อย เพราะว่าจะมีรถออกจากถนนทางลัดด้านซ้ายที่มาจากเกษตรนวมินทร์ ใครอยู่ใกล้ๆคงจะนึกภาพกันออก พอมาถึงจุดที่รถชะลอตัว ผมก็รู้สึกว่ามันชะลอกันแปลกๆ

รถสิบล้อที่อยู่ด้านขวาของผมหยุดนิ่ง สายตาผมมองไปถึงสาเหตุในการหยุดรถ มีลูกแมวสีดำอยู่กลางถนน (น่าจะอายุประมาณ 3-6 เดือน) ซึ่งอยู่ในเลนรถที่ 2 จากขวา มันมาถึงเลนนี้ได้อย่างไรก็ไม่รู้เหมือนกัน รถคันหนึ่งขับผ่านไปอย่างไม่ได้สนใจลูกแมว ลูกแมววิ่งสวนเข้าใต้ท้องรถ ขณะรถคันดังกล่าวขับผ่านไปด้วยความเร็วไม่มากนัก แต่ถ้าพลาดไปคงถึงชีวิต

เป็นเรื่องน่าตกใจที่ลูกแมวตัวสีดำ ตัวนั้นรอดจากการที่รถคันหนึ่งขับผ่าน จริงๆแล้วมันคงจะรอดมาหลายครั้งแล้วด้วย แต่นั่นคืออดีตก่อนที่มันจะมาอยู่กลางถนน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะรอดตลอดไป….

หลังจากที่รถเก๋งขับผ่านไปแล้ว ผมได้ตัดสินใจในวินาทีแห่งชีวิตแมว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ผมขับปาดไปบังหน้าสิบล้อที่กำลังหยุดดูเหตุการณ์ เปิดไฟฉุกเฉิน แล้วเปิดประตูลงมา ในใจคิดว่าจะเอาลูกแมวขึ้นรถให้ได้ก่อนเท่านั้น แต่ด้วยประสบการณ์ของผม การจับแมวที่ตกใจอยู่นั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะถ้ามันตกใจแล้ว มันอาจจะวิ่งไปให้รถเหยียบก็ได้

ณ ตอนนี้รถทุกเลนหยุดนิ่งทั้งหมด ผมเปิดประตูลงไปเพื่อที่จะจับลูกแมว เดินเ้ข้าไปอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้มันตกใจ (จริงๆมันก็ตกใจมากอยู่แล้วละนะ) จังหวะัที่ลูกแมวหันหลังไปผมก็เดินเข้าไปตะครุบตัวมัน ด้วยสองมืออย่างระมัดระวัง…

ผมจับลูกแมวสีดำตัวนั้นไว้ได้ แต่จับได้ไม่เต็มมือเท่าไหร่ เพราะจับตอนจังหวะมันเดิน และสุดท้ายมันก็วิ่งพุ่งไปข้างหน้าด้วยความตกใจอย่างที่คาดไว้ ทิศทางที่มันวิ่งไปคือใต้ท้องรถแทกซี่ที่จอดดูอยู่เลนขวาสุด และวิ่งทะลุไปจนถึงเกาะกลางถนน ซึ่งเป็นพื้นที่ใต้ทางด่วนที่กว้างใหญ่มากๆ ผมเองเห็นอย่างนั้นก็คงหมดหวังที่จะตามไปจับ แต่ก็สบายใจที่มันไปถึงใต้ทางด่วนได้ เพราะอย่างน้อยก็มีที่กว้างพอให้ดำรงชีวิตได้สักพัก ถ้าข้ามถนนกลับมาตอนเช้าๆ รถน้อยๆ ก็คงจะข้ามกลับไปได้สักฝั่งหนึ่งที่เหลือก็คงจะเป็นชะตากรรมของมัน…ลูกแมวสีดำกลางถนน

หลังจากนั้นผมก็ขึ้นรถ และพี่แทกซี่แกก็ลงมาดูว่าแมวเข้าใต้ท้องรถแล้วไปไหนแล้ว ผมก็ส่งสัญญาณบอกว่ามันวิ่งไปที่ใต้ทางด่วนแล้ว จึงออกรถเดินทางไปยังจุดหมายเดิมที่วางไว้ต่อไป

เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ

หลังจากวันเกิดเหตุผมก็ขับผ่านถนนเส้นเดิม มุมเดิมอีกครั้งในใจภาวนาว่าอย่าเป็นซากอะไรสีดำๆบนถนนเลย และมันก็ไม่มีจริงๆ อย่างน้อยผมก็คิดว่าลูกแมวสีดำตัวนั้นมันยังไม่ถึงเวลาของมัน เป็นความบังเอิญมากๆที่มันรอดไปได้ ไม่รู้ว่าจะมีหมาแมวสักกี่ตัวที่เอาชีวิตมาทิ้งในการข้ามถนน เรามักจะเห็นซากหมาแมวตายตามถนนเป็นประจำ ซึ่งพวกมันคงจะไม่ได้ดวงดีรอดไปเสียทุกครั้ง ครั้งใดที่พลาดก็คงหมดทางแก้ตัว

เรื่องดวงดี ดวงไม่ดีนี่ก็เป็นความบังเอิญที่เกินจะคาดเดาได้เสมอ เพราะแม้แต่นกที่บินได้ก็ยังมาตายแบบแบนๆกลางถนนเลย เพราะวันนี้ผมเห็นซากนกพิราบ บนถนนใน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แน่นอนว่าในมหาวิทยาลัยนั้น เราจะขับรถกันไม่เร็ว แต่ถ้านกโดนทับตายได้มันก็เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ…

สวัสดี

To do list กับการควบคุมชีวิต

เหมือนว่าตอนนี้วิถีชีิวิตของผมจะหลุดไปจากที่เคยพอสมควร ช่วงสามเดือนมานี่ไม่ได้เขียน To do list หรือรายการสิ่งที่จะทำในแต่ละวันเหมือนก่อน ทำให้บางวันนั้นดูว่างเปล่าเกินจะจินตนาการ

ผมเป็นคนที่ชอบวางแผนในแต่ละวัน ซึ่งก็มักจะทำตามแผนที่วางไว้อย่างหลวมๆ คือมีแนวทางในแต่ละวันนะ แต่จะเสร็จไม่เสร็จนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆมากมาย เพราะบางทีก็ไม่ได้ว่างทั้งวัน หรือมีเหตุการณ์อะไรเข้ามาเสมอๆ ทำให้ทำตาม To do list ไม่ได้ ซึ่งช่วงหลังๆก็เลยไม่ได้เขียนเหมือนเคย

ปัจจุบันได้ค้นพบแล้วว่าถ้าผมไม่เขียน To do list ไว้บ้าง ชีวิตในแต่ละวันก็มีโอกาสล่องลอยไปตามลมฟ้าอากาศได้มากพอสมควรเลย ความขยันที่เคยมีเมื่อก่อนถูกพัดพาให้ไกลออกไปด้วยลมเย็นๆ ตอนบ่ายแก่ๆ ซึ่งตอนนี้ผมพยายามตั้งสติและกลับมาเป็นตัวเองอย่างที่เคยเป็นอีกครั้ง เพราะนอกจากงานที่กองสุมมากมายแล้วยังมีเรื่องเรียนซึ่งเป็นเรื่องที่รอไม่ได้อยู่อีกด้วย

ใครมีอาการแบบผมแนะนำให้วางแผนชีวิตโดยเขียน To do list ไว้บ้างนะครับ แม้ว่าจะเป็นระยะสั้นแต่ก็ดีกว่าเราไม่ได้วางแผนอะไรเลย

สวัสดี

ปริมาณงานตามพื้นที่หน้าจอ

เวลาที่ผมมีงานหรือมีโปรเจคเข้ามา ก็มักจะบันทึกงานไว้หน้า Desktop ครับ ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาทำอย่างไรนะ แต่ผมชอบไว้ตรงนี้ มันเห็นง่ายดี

แต่เวลามีหลายๆงานเข้ามารุมล้อมกัน บางทีมันก็จะเคลียไม่ค่อยทัน นั่นคืองานมันซ้อนกันหลายงานนั่นแหละครับ ทีนี้พองานเยอะๆเข้าชักจะกินที่ของหน้าจอไปเรื่อยๆละซิ สิ่งนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าผมจำเป็นต้องรีบเคลียงานนะ!!

เมื่องานชักจะเยอะ หน้าจอก็เริ่มรกไปเรื่อยๆ
เมื่องานชักจะเยอะ หน้าจอก็เริ่มรกไปเรื่อยๆ

จริงๆเรื่องงานถ้ามันง่ายขนาดคิดก็เสร็จนี่มันคงจะไม่ยากลำบากชีวิตอะไรนัก เพราะงานของผมมักจะขึ้นกับลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งหัวหน้าผมก็คือผมเอง ดังนั้นคนที่ตัดสินใจให้งานผ่านก็เหลือแค่ลูกค้าครับ ซึ่งบางทีอาจจะต้องมีรอตรวจงานกันนิดหน่อยก่อนจะส่งมอบงานสุดท้ายไป

ซึ่งบางทีพอชนกันหลายๆงาน มันก็ติดอยู่หน้าจอหลายงานครับ บางทีก็ทำให้สับสนอยู่เหมือนกัน ซึ่งนิสัยผมจะยังไม่เคลียงานที่ยังไม่เสร็จครับ คือจะปล่อยไว้หน้าจออย่างนั้นจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ซึ่งอย่างทีรู้ๆกัน งานวีดีโอ งานอนิเมชั่น มันไฟด์ Output ค่อนข้างจะเยอะ บางทีถ้าไฟด์มันเยอะนักผมก็จะเอาไปเก็บในแฟ้มครับ ซึ่งก็อาจจะไม่สะดวกเท่าไหร่ตอนเรียกใช้ละนะ…

หลังจากจัดการงานที่สุมอยู่เสร็จ หน้าจอก็โล่ง
หลังจากจัดการงานที่สุมอยู่เสร็จ หน้าจอก็โล่ง

พองานเสร็จทุกอย่างจะโล่งมากๆ ผมมักตั้งหน้าจอไว้ที่สีดำเพื่อเป็นการประหยัดไฟ (คิดว่าอย่างนั้นนะ) ถ้างานเสร็จเร็วเท่าไหร่หน้าจอก็ยิ่งจะโล่ง ไฟก็จะยิ่งประหยัด ปัจจุบันผมยังใช้จอ CRT อยู่เลยครับ เพราะมันสามารถซื้อจอใหญ่ได้ในราคาเล็กๆ แต่ตอนนี้เริ่มไม่มั่นใจแล้วครับ คิดว่าถ้าจอนี้เสียอาจจะซื้อจอใหม่เป็น LCD หรือเทคโนโลยีอื่นที่ดีกว่าแทน เพราะจออันนี้ผมซื้อมาใช้ก็สี่ปีกว่าแล้วครับ (ซื้อจอมือสองมาใช้)

สวัสดี