ประวัติตัวใหญ่ แมวผู้พิชิต พิสูจน์ตัวตนแห่งความเป็นแมว

วันนี้มีบทความที่น่าจะยาวอีกบทความมาฝากกัน เป็นการเรียบเรียงประวัติและเรื่องราวของแมวตัวหนึ่งตั้งแต่ผมจำได้จนกระทั่งวันที่มันจากไป

วิลลี่ จุ๊บ และตัวใหญ่
วิลลี่ จุ๊บ และตัวใหญ่

ผมมีแมวที่เลี้ยงมานาน ผูกพันกันมาอยู่สามตัว นั่นคือวิลลี่ ตัวใหญ่ และจุ๊บ ทั้งหมดนี้ไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว แต่การมาพิมพ์บทความครั้งนี้ก็จะเป็นเรื่องในส่วนของตัวใหญ่ ซึ่งแมวตัวอื่นๆจะพิมพ์ในลำดับต่อๆไป

จุดเริ่มต้นของตัวใหญ่

ราวๆ ปี  2543-2545 ประมาณ 12 ปีก่อน แมวแม่ที่ชื่อวิลลี่ของผม ได้คลอดลูกออกมา ครอกนั้นมีลูกแมวราว 3-4 ตัว ตัวใหญ่เป็นแมวที่มีสีแตกต่างจากพี่น้อง เพราะวิลลี่เป็นแมวที่มีเชื้อและลักษณะของแมวไทยโบราณ “แมวศุภลักษณ์” อยู่บ้าง  แต่ก็เริ่มแก่และมีลูกมาหลายรุ่นแล้ว เชื้อเลยเริ่มไม่แข็งแรงเหมือนสมัยมีลูกแรกๆที่ออกมากี่ตัวก็น้ำตาลทั้งนั้น หรือในอีกกรณีก็คือเชื้อพ่อแรงมากจนลูกแมวไม่มีลักษณะของแม่แมวเลย ยกเว้นหางสั้นกุด ซึ่งเป็นลักษณะของวิลลี่นั่นเอง

จุ๊บ แมวเพื่อนบ้าน ตัวใหญ่ ในสวนบ้านเก่า
จุ๊บ แมวเพื่อนบ้าน ตัวใหญ่ ในสวนบ้านเก่า

ที่มาของชื่อ “ตัวใหญ่”

ตัวใหญ่เป็นชื่อหรือจะให้ถูกต้องก็ต้องบอกว่าเอาลักษณะของแมวมาเป็นชื่อ ก็คล้ายๆการตั้งชื่อว่าไอ้ด่าง เจ้าส้มอะไรนี่แหละครับ ที่ตั้งชื่อตัวใหญ่ก็เพราะว่า…

ในหมู่พี่น้องทั้งหมด มีมันตัวเดียวนี่แหละที่ตัวใหญ่กว่าเพื่อน ใหญ่กว่าพี่น้องรุ่นเดียวกันถึงสองเท่า เหมือนไม่ได้มาจากท้่องเดียวกัน ทำให้มันสามารถแย่งกินนมแม่แมวและสามารถดำรงชีวิตมาได้จนทุกวันนี้ ผมจำได้ว่าครอกที่ตัวใหญ่เกิด มีมันตัวเดียวนี่แหละที่รอด เพราะเป็นครอกหลังๆของวิลลี่แล้ว พวกลูกแมวที่คลอดแรกๆ ส่วนใหญ่ก็ให้คนอื่นไปครับ เพราะมันสวยเลยมีคนชอบเยอะ แต่ก็มีตายไปบ้าง

เนื่องจากว่ามันตัวใหญ่และมีสีที่แตกต่างกับชาวบ้าน มันเป็นแมวด่างที่มีลายคล้ายวัวนม เป็นแมวสีขาวดำ ซึ่งสามารถหาได้ทั่วไป ไม่แปลกเท่าไรนักแต่สิ่งที่แปลกคือความตัวใหญ่ในวัยเด็กของมัน ซึ่งสุดท้ายตอนโตก็เท่ากับแมวตัวอื่นๆ

ตัวใหญ่ในวัยเด็กนั้นค่อนข้างที่จะรันทดเล็กน้อย เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าบ้าน เพราะเข้ามาทีไรข้าวของกระจายทุกที มีเพียงวิลลี่เท่านั้นที่มีิสิทธิเข้าบ้านและนอนมุมไหนก็ได้ เพราะมันเป็นแมวที่เรียบร้อยไม่ทำลายข้าวของนั่นเอง ตัวใหญ่ก็เลยต้องอยู่กับจุ๊บนอกบ้านไปตามประสาแมวเด็กและแมววัยรุ่น

ตัวใหญ่กับจุ๊บนั้นถ้านับญาติกันแล้วก็จะเป็นพี่ชายของจุ๊บแบบข้ามหนึ่งช่วงคลอด ก็คือมีตัวใหญ่เกิดมา แล้วก็มีอีกครอก แล้วก็มีครอกของจุ๊บ ซึ่งก็อายุห่างกันราวๆหนึ่งปีนั่นเอง

และเนื่องจากตอนเด็กๆมันชอบทำลายข้าวของ ก็เลยกลายเป็นแมวที่ผมชอบแกล้งมันเล่น เอานำฉีดบ้าง เอาไปแปะต้นไม้บ้าง มันก็ดูเอ๋อๆ ตามลักษณะของแมวที่ใหญ่แต่ตัวให้ได้เห็น และมันก็ยังโดนรังแกจากแมวเจ้าถิ่นอีกด้วย สุดท้ายกลายเป็นแมวโดนรังแกเก็บกดไปเลย

มีครั้งหนึ่งที่ตัวใหญ่มันโดนแมวเจ้าถิ่นจะมาแย่งอาหาร ก็ขู่กันแต่ดูท่าทางจะถอยและยอมแพ้ ผมยืนดูอยู่ในตัวบ้านผ่านกระจกและดูพฤติกรรมมัน สุดท้ายก็เปิดประตูออกไปกะว่าจะช่วยไล่ ตัวใหญ่พอเห็นว่ามีคนในบ้านมาช่วยก็ทำกล้าขู่และไล่แมวเจ้าถิ่นไป นี่ก็เป็นความตลกเล็กๆของแมวที่ขาดความมั่นใจ หรือว่ามันกะจะโชว์ก็ไม่รู้เหมือนกัน

จุ๊บและตัวใหญ่
จุ๊บและตัวใหญ่

จุดเปลี่ยนของตัวใหญ่

เมื่อตัวใหญ่เติบโตก็ถึงวัยที่มันเข้าฤดูโหยหวน หรือฤดูติดสัด ซึ่งมันก็จะร้องหง่าวๆเสียงดังตอนกลางคืน ร้องได้ไม่กี่คืนก็โดนจับไปทำหมัน มันก็เป็นเรื่องปกติของแมวที่โหยมากๆแล้วจะส่งเสียงแสดงความเป็นแมวตัวผู้ที่พร้อมผสมพันธุ์และโดนจับไปทำให้เงียบ แต่ก็มีแมวที่เรียกได้ว่า “ซวย” คือจุ๊บ โดนจับไปทำหมันด้วยพร้อมกันจะได้ทำทีเดียว… เมื่อกลับมาแมวทั้งสองก็อ่อนระโหยโรยแรง เพราะโดนยาชา วันต่อมาบ้านก็เงียบสงบไีร้เสียงแมวหง่าว

ตัวใหญ่นั้นแตกต่างกับจุ๊บตรงที่เป็นแมวที่แสวงหา แมวต่อสู้ แมวค้นหาตัวเอง มันพยายามจะพิสูจน์ตัวเองเสมอๆ อาจจะเพราะมันถึงวัยของมันก็เป็นได้ แม้ว่าจะสู้แต่ก็แพ้ แต่ก็ยังหาจังหวะที่จะสู้เสมอ มันจึงได้แผลกลับมาบ่อยๆ ตัวใหญ่ที่อยู่ที่บ้านลาดพร้าว ไม่สามารถสู้แมวตัวอื่นได้เลย เพราะว่ามันขาดไหวพริบและทักษะต่างๆอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับวิลลี่แม่ของมัน ซึ่งเป็นแมวนักล่าที่เก่งกาจ

จุ๊บ ตัวใหญ่ และวิลลี่
จุ๊บ ตัวใหญ่ และวิลลี่

เมื่อต้องย้ายบ้าน

วันหนึ่งผมและที่้บ้านก็ต้องย้ายบ้าน ซึ่งก็ต้องเอาแมวไปด้วย การย้ายบ้านแมวดูจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก เพราะสงสารมัน แมวตกใจ แมวผวา แมวว้าเหว่ ผมไม่สามารถย้ายวิลลี่มาด้วยได้เพราะมันไม่อยู่แล้ว มันแก่และหายไปในช่วงก่อนย้ายบ้าน ราวๆครึ่งปี

ตัวใหญ่และจุ๊บได้เดินทางมายังบ้านใหม่ ซึ่งมีเนื้อที่สวนน้อยกว่าบ้านเก่า ผมใช้วิธีขังมันในห้องห้องหนึ่ง ให้มันกิน และอึในนั้น จะได้เกิดกลิ่นให้มันจำถิ่นได้ ประมาณว่ากลัวมันจะตกใจวิ่งเตลิดกลับไปบ้านเก่า เพราะห่างกันไปราวๆ 10 กิโลเมตร… จะจำกลิ่นได้ขนาดนั้นรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องใช้ไม้แข็ง ปกติแล้วผมไม่เคยใส่ปลอกคอแมวเพราะผมเองก็ไม่ชอบใส่อะไรให้รำคาญ แน่นอนว่าแมวก็คงจะเหมือนกัน

แต่ปลอกคอแมวก็จำเป็นเพราะต้องใช้ในการล่ามโซ่จำกัดพื้นที่ให้มันอยู่ใต้ต้นไม้ในสวนในบ้าน เพื่อให้มันติดถิ่นให้ได้ บอกตรงๆว่าผมไม่ค่อยได้ค้นข้อมูลเท่าไหร่ ทำเอาตามที่พอคิดว่ามันจะดีได้

ตัวใหญ่เป็นแมวที่ไม่มีปัญหากับปลอกคอและการล่ามโซ่เลย มันนิ่งมากๆ เฉยๆ ดูเหมือนว่ามันจะภูมิใจกับปลอกคอที่ใส่ให้มันด้วยซ้ำ ผิดกับจุ๊บที่พยายามจะเอาปลอกคอออกตลอดเวลา จุ๊บหงุดหงิดและรำคาญปลอกคอมาก มันจะพยายามเอาปลอกคอไปถูกับหลายๆสิ่งเพื่อให้มันหลุด แต่ตัวใหญ่ไม่ได้ใส่ใจกับการมีอยู่ของปลอกคอนัก

ตัวใหญ่หายไป

ตัวใหญ่กลับมานอนบ้านเป็นพักๆ
ตัวใหญ่กลับมานอนบ้านเป็นพักๆ

ช่วงแรกๆที่ย้ายบ้านมาใหม่ ในปีแรกๆ แมวทั้งสอง จุ๊บและตัวใหญ่ก็ยังอยู่กันได้ดี ก็จะมีแว่บๆไปข้างนอกบ้างตามประสาแมว แต่ก็จะกลับมากินข้าวที่บ้านตลอด จนวันหนึ่งตัวใหญ่หายไปอย่างถาวร ไม่กลับมากินข้าวที่บ้าน เหลือแต่จุ๊บที่นอนเฝ้าบ้านตัวเดียว

เมื่อวันเวลาผ่านไปเกือบสองปี ผมพบตัวใหญ่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันนั่นแหละ แต่อยู่ห่างไปราวๆ 6 ซอย มันไปตั้งแก๊งแมว ผมเป็นมันดูเด่นเป็นสง่า ท่ามกลางฝูงแมวหนุ่ม และได้คำตอบว่ามันออกไปค้นหาตัวเองและทำตามฝันแมวนี่เอง เพราะว่าอยู่ที่บ้านเก่า มีแต่แมวเจ้าถิ่นเก่งๆ ย้ายมาบ้านใหม่ชาวบ้านเขาก็มีแมวเด็กๆกันก็เลยแก่กว่าเขา เก่งกว่าเขาเลยสามารถสร้างแก๊งแมวซ่าได้ เห็นเดินอยู่รวมกันราวๆ 3-4 ตัว แต่ก็แอบสงสัยว่าตัวใหญ่ที่เป็นหมันนั้นยังมีอารมณ์แบบแมวตัวผู้จริงจังเหมือนเดิมหรือไม่ หรือเป็นแค่การค้นหาชีวิตและตอบโจทย์ตัวเองตามธรรมชาติของแมวตัวผู้ทั่วไป

ผมปล่อยให้ตัวใหญ่ดำเนินชีวิตไปตามที่มันชอบ เพราะคิดว่าในระยะที่มันหายไปเป็นปีนั้น ก็คงจะมีคนเลี้ยงมันแทนผมแล้ว หรือไม่ก็ไปแย่งอาหารแมวหนุ่มสาวพวกนั้นกินนั่นแหละ เอาว่ามันมีกินอยู่สบายก็พอละ

ตัวใหญ่กลับมา กินข้าวกับจุ๊บ
ตัวใหญ่กลับมา กินข้าวกับจุ๊บ

 วันที่ตัวใหญ่กลับมา

เวลาผ่านไปนับปีหรือมากกว่าสองปีผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน วันหนึ่งตัวใหญ่เดินกลับมาพร้อมร่างกายที่ดูหิวโซ ตอนนี้่ผมยังให้อาหารเม็ดอยู่ครับ และจุ๊บก็ยังอยู่ที่บ้าน ตัวใหญ่กลับมาบ้านและดูยังมีทีท่าที่ยังคุ้นเคยกับจุ๊บมันกินข้าวด้วยกัน เคล้าเคลียกัน ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะผมเคยคิดว่ามันหนีไปเพราะทะเลาะกับจุ๊บรึเปล่า เพราะจุ๊บเองมันก็แก่ขึ้นด้วย แต่สุดท้ายคำตอบที่ว่า ตัวใหญ่เดินทางออกไปค้นหาตัวเองนั้นก็ยังเป็นคำตอบที่ดีอยู่นั่นเอง

ตัวใหญ่สมบูรณ์
ตัวใหญ่สมบูรณ์

ในช่วงที่จุ๊บยังอยู่นั้นตัวใหญ่ก็มาๆไปๆ ไม่ได้มากินทุกวัน แต่ก็ไม่ได้หายหน้าหายตาไปนานๆเหมือนแต่ก่อน สัปดาห์หนึ่งมันก็จะแวะมาสัก 3-4 วันเพื่อมากินข้าว หรือไม่ก็จะเห็นมันนอนเล่นในบ้าน จนกระทั่งในช่วงสิ้นปี 53 จุ๊บได้หายไป และหายไปจนกระทั่งปัจจุบัน แมวที่ติดบ้านอย่างจุ๊บหายไปคงไม่มีอย่างอื่นให้คิดไปได้อีกแล้ว

และเมื่อจุ๊บหายไป ตัวใหญ่ก็ได้มาแทนที่อย่างช้าๆ แต่ก็ไม่เหมือนกัน ตัวใหญ่จะมีระยะห่างและจะไม่ติดบ้านเหมือนจุ๊บ แต่วันหนึ่งมันก็มากินข้าวทุกวันๆ กินอาหารเม็ด จนกระทั่งฟันหมดปาก การกินของแมวแก่ต้องเปลี่ยนจากอาหารเม็ดไปสู่ปลาทูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะมันไม่มีฟันจะเคี้ยวกรุบๆได้เหมือนสมัยวัยรุ่นอีกต่อไป

ตัวใหญ่กับปลาทู
ตัวใหญ่กับปลาทู

เมื่อตัวใหญ่กลับเข้ามาเป็นเจ้าบ้าน

หลังจากที่จุ๊บจากไป ตัวใหญ่ก็เข้ามาเป็นเจ้าบ้านแทน มันอยู่ในที่ที่จุ๊บเคยอยู่ ก็วนเวียนไปรอบพื้นที่บ้าน และบ้านเพื่อนบ้านอีกด้วย โดยที่ประจำของมันก็คือบ้านเพื่อนบ้านที่อยู่ตรงข้ามนั่นแหละครับ

เพื่อนแมววัยรุ่นใกล้บ้าน
เพื่อนแมววัยรุ่นใกล้บ้าน

ตัวใหญ่มีเพื่อนแมว ซึ่งไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นเพื่อนหรือเป็นอะไรดี เป็นแมวสีออกเทาๆ ยังดูเด็กๆ ไม่น่าเกินสามขวบ มีปลอกคอและกระพรวนใว้ตามประสาแมวเลี้ยง ก็คืออาจจะเป็นแมวบ้านไหนสักบ้าน ซึ่งการที่เราจะหาเจ้าของแมวนี่มันยากครับ เหมือนที่เราพยายามตามไปดูว่าวันๆหนึ่งแมวของเราไปทำอะไรที่ไหนอย่างไรนั่นแหละ

เจ้าแมวเทาหางยาวตัวนี้ลักษณะดี สีสวยท่าทางจะอนาคตไกลครับ ตัวเมียตัวผู้ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันชอบมาที่บ้านผมบ่อยมากๆ บางทีก็มากินอาหารที่ตัวใหญ่กินเหลือ หรือแอบชิงกินก่อนก็มี จริงๆแล้วบ้านไหนมีแมวก็จะมีแมวเพิ่มมาตามธรรมชาตินั่นแหละนะ

วัยแก่ของตัวใหญ่

เมื่อตัวใหญ่เข้าสู่ลักษณะที่เป็นแมวแก่ พฤติกรรมของมันก็เปลี่ยนอย่างไป อย่างเช่นกลับมาน่ารักขี้อ้อนเหมือนตอนเด็กๆ ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ แม้ว่าแมวจะแก่แต่ก็มีการเรียนรู้เสมอ เช่นมันชอบส่งเสียงดังขอข้าวขอปลากิน ผมก็ยังไม่ยอมให้ จนมันร้องเสียงหวานๆ ค่อยให้ สุดท้ายพอจะมากินทีไรก็ร้องเสียงอ้อนๆน่ารักทีเดียว มาน่ารักเอาตอนแก่ก็ยังดีกว่าไม่เคยเลย

แมวแก่ ฟันหายไปเกือบหมดปาก
แมวแก่ ฟันหายไปเกือบหมดปาก

เมื่อแก่ฟันของตัวใหญ่ก็หมดปากเหมือนแมวตัวอื่นๆ ที่เมื่อถึงวัยแก่ก็จะให้ปลาทูสดแทนครับ แมวก็จะกินได้ง่าย ปลาที่ให้ก็เป็นเนื้อปลาล้วนๆไม่ได้ผสมข้าวหรืออะไรอย่างอื่น มันก็กินได้เรื่อยๆครับ อย่างจุ๊บนี่กินอยู่นานเลย ส่วนตัวใหญ่นี่จะเรื่องมากกว่าจุ๊บนิดหน่อย

จริงๆจะว่าเรื่องมาก มากก็ว่าได้บ้านผมเพิ่งจะมีปัญหาหัวปลาทูก็ตัวใหญ่นี่แหละ เพราะมันจะกินแต่ตัวและทิ้งหัวไว้ บางทีลืมเก็บหรือเก็บแล้วลืมฝัง เจอแมลงวันมาไข่หนอนไชยุ่บยั่บก็มี (ถ้าฝังดินจะไม่มีกลิ่นและหนอนแมลงวัน)  ปัญหานี้ไม่เคยเกิดเมื่อสมัยจุ๊บเพราะจุ๊บจะกินทั้งตัวทั้งหัว ขนาดหางยังไม่เหลือเลย เอาเป็นว่ามันเก็บเรียบไม่ต้องให้เจ้าของมาเก็บซากส่วนตัวใหญ่นี่จะเหลือหัวกับหางไว้ให้

เรื่องมากอีกเรื่องก็คือความสดของปลา แน่นอนว่าจมูกของแมวนั้นดีกว่าของคนมากนัก บางทีเพิ่งไปซื้อปลามาจากตลาดมันก็ทำเมินว่าไม่สด ทำเดินหนีอะไรประมาณนั้น ขนาดว่าอุ่นไมโครเวฟให้กลิ่นปลาฉุยๆและเป่าพัดลมให้เย็นแล้วยังหยิ่งไม่ยอมกินทันทีอีก วิธีที่จะทำให้มันกินคือปิดประตูบ้านทำเหมือนไม่สนใจ พอเปิดมาก็จะเห็นมันกินหรือไม่ก็เจอเศษปลานั่นเอง

ุ่แมวนายแบบกับลิ้นมังกรด่าง
ุ่แมวนายแบบกับลิ้นมังกรด่าง

มีเรื่องความขี้อ้อนของแมวแก่อีกนิดก็คือวันหนึ่งที่ผมซื้อต้นไม้มาและกำลังจะถ่ายรูปต้นไม้เก็บไว้ ในระหว่างถ่ายก็มีตัวใหญ่มาเข้ากล้องตลอด แถมมองกล้องด้วย เคล้าเคลียทั้งกระถางต้นไม้ ทั้งคนถ่ายประมาณว่าอ้อนจะกินข้าว แต่เปลี่ยนวิธีใหม่นิดหน่อย ตัวใหญ่นี่เวลาหิวข้าวจะน่ารักที่สุดในสามมหาแมว หรือจะทะลุเข้าไปในฝั่งของความน่ารำคาญก็ได้เหมือนกัน คือหิวแล้วเดินตาม เคล้าเคลีย เรียกเจ้าของให้ไปทำข้าวทำปลาให้ มีครั้งหนึ่งที่ผมทำสวนอยู่หลังบ้านแล้วมันก็เดินมาจากหน้าบ้านมาร้องเรียก และเดินไปรอหน้าจานข้าวแมว…

รอเจ้าของกลับบ้าน
รอเจ้าของกลับบ้าน

หรือแม้กระทั่งว่าแมวที่กำลังหิวก็จะรอเจ้าของอยู่หน้าประตูบ้าน รอว่าเมื่อไหร่เจ้าของจะกลับมาสักที แน่นอนว่าเป็นผมที่เห็นมันรออยู่และเมื่อลงไปเปิดประตูก็ได้่รู้สึกถึงอารมณ์ประมาณว่าแมวบ่น ร้องเบาๆอุบอิบๆ…ตามประสาแมวแก่ๆ

อีกเรื่องที่สนใจก็คือตัวใหญ่และจุ๊บ ต่างก็ต้องยอมสยบแก่แมวเจ้าถิ่นตัวนี้ เป็นแมวขาวดำเหมือนตัวใหญ่ แต่ดูหน้าตาแล้วโหดกว่าเยอะ ทั้งร่างกายที่ดูแข็งแรงบึกบึน รวมถึงแววตาของมัน ทำให้หลายครั้งตัวใหญ่ต้องหนีและแพ้พ่ายเพราะนอกจากแก่แล้วยังสู้เขาไม่ได้อีก ดูๆไปอาจจะอายุใกล้ๆกันแต่ความเก๋าต่างกันมาก เดิมทีตัวใหญ่ก็หน้าตาไม่ได้ดูเกเรอยู่แล้ว ออกจะเป็นแมวเอ๋อๆด้วยซ้ำ ดังนั้นถึงมันจะทำหน้าดุสายตากวนและหยิ่งขนาดไหน มันก็ดูไม่ดุอยู่ดี(จากสายตาคน)

แมวเจ้าถิ่น แข็งแรงบึกบึน
แมวเจ้าถิ่น แข็งแรงบึกบึน

คงจะไปสู้กับแมวหง่าว และสารพัดแมวรุ่นใหม่ที่เพิ่งเติบโตแข็งแรงมาไม่ได้มากนัก การตัดสินใจกลับมาตายรังที่บ้านก็น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ดี ที่เหมาะกับช่วงชีวิตสงบๆในบั้นปลายของแมวแก่ๆตัวนึง

ช่วงท้ายของชีวิต

ในช่วงเดือนพฤษจิกายนที่ผ่านมานั้นตัวใหญ่ก็ไม่ได้มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด แต่มาวันหนึ่งมันก็ไม่ได้มากินข้าวกินปลาเหมือนเคย แม้ว่าจะนั่งอยู่หน้าบ้าน อยู่บ้านตรงข้าม มันก็ไม่ได้เข้ามากินข้าวเหมือนอย่างที่เคย จนผิดสังเกตุ แต่ด้วยความที่เคยชินว่ามันชอบออกไปข้างนอก และเคยไปใช้ชีวิตอยู่บ้านอื่นก็ทำให้นึกได้ว่ามันไปกินข้าวบ้านอื่นนั่นเอง

ไม่ยอมมากินข้าว จะจับก็วิ่งหนี
ไม่ยอมมากินข้าว จะจับก็วิ่งหนี

วันสุดท้าย 7 ธันวาคม 2555

วันนี้เป็นวันที่อากาศเช้าเย็นๆ ผมเดินออกไปเพื่อรดน้ำต้นไม้ตอนเช้า และพบตัวใหญ่นอนอยู่ทางในสวนที่บ้าน พบว่ามันผอมมาก หายใจลำบาก น้ำตาไหลซึม ร้องเสียงอ่อยๆตามประสาแมวป่วย ผมรับรู้ด้วยสัญชาติญาณทันทีว่าวันนี้คงเป็นวันสุดท้ายของมันแล้ว ตามธรรมชาติของแมวนั้นก็จะมีบางตัวที่กลับมาลา แล้วก็ตาย หรือไม่ก็หายไปตายไกลๆอย่างสงบ กรณีตัวอย่างเป็นแมวที่มาลาตาย ผมและแม่มาลูบมัน ดูมัน ให้อาหารมันเป็นวันสุดท้าย ผมเองคงไม่ไปฝืนกฏธรรมชาติ และเชื่อว่าเกิดอย่างแมวก็ต้องตายอย่างแมว และไม่ใช้ความคิดของมนุษย์เข้าไปตัดสินการเป็นอยู่หรือตายของมัน

แต่ที่ดูจากอาการก็บอกกันอีกทีเลย จากประสบการณ์เลี้ยงแมวมาหลายตัว ฝังแมวมาก็น่าจะเกิน 10 แบบไม่รวมลูกแมว อาการแบบนี้ไม่รอดแน่นอน แต่ที่ดีใจคือมันเองได้พยายามกลับมาที่บ้าน กลับมาเพื่อสื่อสาร มารออะไรสักอย่าง แมวไม่ต้องการคุณหมอ เพราะมันไม่รู้จักหมอ ตามธรรมชาติแล้วสัตว์จะฟื้นฟูตัวเองได้ดีกว่ามนุษย์รวมถึงการหายาหรือสมุนไพรด้วย การจากไปของมันถือเป็นกฏของธรรมชาติ

การดำเนินชีวิตของผมเป็นไปอย่างปกติ แต่ก็ใช้เวลาลงไปดูมัน ไปลูบหัวมันเป็นระยะๆ จนกระทั่งตอนกลางคืนประมาณ 3 ทุ่มมันก็หายไปจากจุดที่เคยอยู่ตอนกลางวัน

แมวแก่ใกล้ตาย
แมวแก่ใกล้ตาย

8 ธันวาคม 2555

เช้านี้ผมรู้ดีว่าต้องออกไปตามหาศพแมวของตัวเองแน่นอน วันนี้อากาศไม่ร้อนไม่เย็นนัก เป็นเช้าที่เหงาๆตามประสาต้นหนาว ผมได้ยินแม่คุยกับเพื่อนบ้านและแม่ก็มาบอกว่า แมวเราไปตายหน้าบ้านของเพื่อนบ้าน ซึ่งมันก็นอนตายกลางถนน ซึ่งตำแหน่งนั้นในตอนกลางคืนก็จะมีรถไปจอดอยู่ คงจะไปในตายใต้รถละนะ แต่ก็ไม่ได้รับผลอะไรจากรถนะครับ นอนตายบนถนนเฉยๆ ตามสภาพแมวแก่ป่วยตายหรืออะไรก็ตาม สุดท้ายก็ไปจับมันใส่กล่องเพื่อเอาไปขุดฝังต่อไป

ซากแมวตัวใหญ่ ที่ตัวเล็กบนโลก นอนนิ่งบนถนน
ซากแมวตัวใหญ่ ที่ตัวเล็กบนโลก นอนนิ่งบนถนน

ตัวใหญ่เป็นหนึ่งในสามของแมวที่มีบทบาทในชีวิตของผมมากๆ และเป็นแมวตัวสุดท้ายที่อยู่ด้วยกัน จากนี้คงจะไม่หาเลี้ยงสัตว์ใดๆจนกว่าจะมีความพร้อมที่จะสร้างธรรมชาติที่เหมาะแก่การดำรงชีวิตของสัตว์นั้นๆก่อนจะเลี้ยงมัน เพื่อให้มันใช้ชีวิตในแบบของมันให้สมบูรณ์ที่สุด

สวัสดี

การเรียนรู้ กับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ

ธรรมชาตินั้นคือสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การเรียนรู้กับธรรมชาติคือการเรียนรู้และรู้จักกับการเปลี่ยนแปลงแห่งความจริง ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย

ผมเองเป็นคนที่ชอบปลูกต้นไม้มาตั้งแต่เด็ก จริงๆจะบอกว่าชอบปลูกต้นไม้มันก็ไม่ตรงเสียทีเดียว ต้องบอกว่าผมชอบมองอะไรที่มันเติบโตมากกว่า นอกจากต้นไม้แล้ว ยังจะมีอะไรที่เติบโตอย่างที่เราสามารถดูได้ทุกวันได้อีก หลายคนอาจจะบอกว่ามีสัตว์เลี้ยงเช่น หมา แมวนั่นไง แต่ผมก็ต้องตอบว่าบทมันก็ต่างไปจากปลูกต้นไม้ เพราะการดูแลสัตว์เลี้ยงกับการดูแลต้นไม้นั้น มีความแตกต่างกันอย่างมาก และสุดท้ายผมก็เลือกมองการเติบโตของต้นไม้มากกว่า

การเรียนรู้ กับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ

ต้นไม้นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของธรรมชาติ สัตว์ก็กินพืช คนก็กินพืช แล้วพืชกินอะไร? แสง น้ำ ความชื้น อากาศ ธรรมชาติของพืชเติบโตและเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป พืชในธรรมชาติอย่างป่า ภูเขานั้น มีการเติบโตเปลี่ยนแปลงที่เป็นวัฏจักรและเกื้อหนุนกันระหว่างสิ่งมีชีิวิตและสิ่งไม่มีชีวิต

การกำเนิดกับการเปลี่ยนแปลง

ผมเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างจากพืช หรือต้นไม้ ภาพที่ติดตาอยู่ตั้งแต่สมัยเด็กคือเมล็ดข้าวโพดที่ซื้อมาจากห้างแห่งหนึ่ง อยู่ในซองผักทั่วไป ผมเพาะลงที่หน้าบ้านเล็กๆ หยอดเป็นหลุม ไม่กี่วันต่อมา ต้นข้าวโพดน้อยๆทำให้ผมประหลาดใจกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น กับขนาดของมัน ต้นข้าวโพดโตเร็วมากๆ แต่สุดท้ายความทรงจำก็จบลงแค่นั้น และมันคงไม่ได้โตต่อด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง

การเปลี่ยนแปลงในระหว่างการเติบโต

ในระหว่างที่มีการเติบโต ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างเกิดขึ้น ผมเรียนรู้ได้จากไม้ประดับเช่น กระบองเพชร หรือบอนสีที่ผมเลี้ยง ทุกๆขั้นตอนของการเติบโต มีจังหวะ มีปัจจัย มีฤดู และมีสิ่งอื่นๆอีกมากมายที่ส่งผลต่อการเติบโตของต้นไม้ต้นหนึ่ง ลองนึกดูว่าไม้ประดับเช่นกล้วยไม้ กว่าจะได้ดอกงามๆ ต้องให้สารเคมีกี่ชนิดกัน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถเกิดจากมือของเราก็ได้ หรือจากธรรมชาติก็ได้เหมือนกัน

ผมสังเกตุว่าต้นไม้เองก็มีวัย เหมือนกับวัยของคนเรานี่แหละ วัยต้นกล้า วัยรุ่นของต้นไม้ วัยสืบพันธุ์ หรือต้นไม้ยืนต้นก็จะดำรงชีวิตไปเรื่อยๆจนกว่าจะอ่อนแอและตายไป

การเปลี่ยนแปลงไปสู่ซากบนพื้นดิน

หลายครั้งที่ผมได้เห็นการตาย หรือการหยุดการเจริญเติบโตอย่างถาวรของต้นไม้ ผมเองเคยคิดว่าผมชอบการเติบโต แต่พอมามองการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความตายของต้นไม้แล้ว ผมกลับค้นพบเรื่องใหม่ที่ตัวเองไม่รู้ ซึ่งซ่อนอยู่ในใจของผมเอง ผมสนใจการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความตายนี้ด้วย

สรุปแล้วจริงๆ ผมเองคงจะชอบการเปลี่ยนแปลง ถ้าเรียกว่าชอบคงไม่ถูกตรงประเด็นนัก อาจจะเรียกได้ว่า ผมมักจะได้เรียนรู้จากการสังเกตุการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติไม่ว่าจะร้ายหรือดี หรือจริงๆแล้ว คำว่าร้ายและดีนั้น คนเราคงตัดสินเอาเองตามผลประโยชน์ของตนมากกว่า บางทีการจากไปของบางสิ่งก็อาจจะดีก็ได้ บางทีการเกิดของอีกสิ่งก็อาจจะไม่ดีก็ได้ใครจะรู้ เพราะมันขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของแต่ละคนจริงๆ

เมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น คนทีไ่ด้ประโยชน์ก็จะสนับสนุน คนที่เสียประโยชน์ก็จะต่อต้าน ซึ่งก็จะมีผลที่ตามมาอย่างแน่นอน ถ้าการเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้ธรรมชาติเสียประโยชน์ล่ะ ผลที่ตามมาคืออะไร?

สวัสดี

Blend me!

สำหรับผู้ติดตามบล็อกที่อาจจะสงสัยว่าทำไมผมจึงหายไปนานนั้น คิดว่าคงได้คำตอบกันแบบคร่าวๆกันไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้ ซึ่งผมก็ได้ชี้แจ้งแบบรวมๆ และคร่าวๆ โดยไม่เจาะลึกให้เข้าใจยากนักไว้เรียบร้อยแล้ว

ที่หายไปนั้นก็ตามอ่านได้ตั้งแต่บทความ “เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง” ถึงบทความ “ผ่าน” แล้วก็คงจะได้คำตอบ ซึ่งจะมาต่อกันที่เนื้อหาในบทความนี้กันครับ

Blend แปลว่า การผสมผสาน การผสม การยำ…

…หรืออะไรก็ตามแต่ Blend me! คือชื่อของบทความนี้ เป็นบทความสั้นๆที่จะมาแจ้งเหตุแห่งความขลุกขลักในชีวิตผมในช่วงนี้ซึ่งคุณอาจจะไม่อยากรู้ก็เป็นได้ แต่แน่นอนมันส่งผลกับ Website ต่างๆของผมทั้งหมด Cactus Blog ,Sansevieria Blog ,Travel Blog etc. ซึ่งถ้าบอกเช่นนี้แล้วอาจจะน่าติดตามขึ้นมาอีกสักนิดหนึ่งก็ได้นะ

ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ผมเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ เป็นช่วงเวลาแห่งความว่างเปล่าที่รอรับปริญญา แน่นอนว่า Freelance Artist หรือศิลปินอิสระ อย่างผมสามารถรับงานได้ตามใจต้องการ แต่ในเวลานี้ผมไม่ต้องการรับงานใดๆทั้งสิ้นก่อนถึงช่วงรับปริญญาที่จะเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งความจริงในการสำเร็จการศึกษา

แน่นอนว่าผมไม่ได้ปล่อยให้เวลาแต่ละวันผ่านไปเฉยๆ ผมพยายามใช้สมองที่มี คั้นเรื่องราวทุกเรื่อง ความสามารถของผม อนาคต อดีต ทุกๆความเป็นไปได้ของผมออกมาเป็นแผนๆหนึ่ง เป็นแผนใหม่ในการดำเนินชีวิตหลังจากเรียนจบ และแน่นอนว่าถ้าเรียนมาแล้วไม่ได้ใช้ก็คงจะไม่ใช่ผมแน่ๆ ผมจะเรียนสิ่งที่ใช้และใช้สิ่งที่เรียนนั่นคือความเป็นจริง เป็นความจริงที่ทำให้ผมมีทักษะที่หลากหลาย แม้ว่ามันจะไม่ได้ลงรายละเอียดลึกหรือเชี่ยวชาญไปในทางใดทางหนึ่งแต่ก็สามารถให้ผมดำรงชีวิตในโลกที่สับสนและงงๆไปได้ไม่ยากนัก

Blend me!

บอกกันอีกครั้งว่านี่คือการผสมผสาน ตอนนี้ 3 ทักษะหลักที่ผมมีกับอีก 1 วิธีการที่เพิ่มเข้ามาในชีวิตของผม มันทำให้ผมต้องคิดหนักมากๆในการจัดตารางและวางแผนกิจกรรมต่างๆให้เกิดประโยชน์และคุณค่ามากที่สุด ซึ่งจะบอกว่าจะทำอะไรได้บ้างก็คงจะเยอะไปหน่อย เอาเป็นย่อๆแล้วกันว่างานศิลปะ ,งานเว็บไซต์และิอินเตอร์เน็ต,ปลูกและขยายพันธุ์ไม้ สามงานนี้เป็นงานที่สามารถทำรายได้ แต่ทำได้แตกต่างกันไปซึ่งข้อดีก็เสียก็ต่างกันไป

ซึ่งสิ่งที่จะมาจัดการกับสิ่งที่ผมทำได้คือสิ่งที่ได้ร่ำเรียนมาล่าสุดนั่นคือวิชาการจัดการ เพื่อมาบริหารทักษะ รายได้ โอกาส เวลา และชีวิตของผมเอง แน่นอนว่าการเรียน MBA นั้นมีการเรียนหลายวิชา แต่ผมก็ได้เลือกวิชาที่จำเป็นต่อชีวิตของผมมากที่สุดมาช่วยในการออกแบบงานของผมแล้ว และสิ่งที่จะเห็นต่อจากนี้คือความเสถียร ความนิ่ง และความมั่นคงในชีวิต รวมถึงเนื้อหาต่างๆที่คุณกำลังจะติดตามจากผลงานของผมนับจากนี้ด้วย

สวัสดี

 

ลูกแมวกลางถนน

เป็นเรื่องราวแปลกๆที่ไม่คิดว่าจะเกิดได้ และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อไปลูกแมวสีดำที่ผมเจอกลางถนนตัวนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป…

เมื่อวันก่อนผมเจอเรื่องราวแปลกเรื่องหนึ่ง ที่ไม่น่าจะเกิดได้บ่อยนัก มันเป็นความบังเอิญในจังหวะที่ลงตัวมากๆ

บ่ายวันเสาร์ผมขับรถออกจากบ้าน…

ผมขับวนออกจากบ้านโดยใช้เส้นทางเลียบทางด่วนรามอินทรา เอกมัย มุ่งหน้าไปยังเหม่งจ๋าย หลังจากที่กลับรถใกล้เกษตรนวมินทร์แล้ว ก็มาถึงช่วงที่รถจะติดนิดหน่อย เพราะว่าจะมีรถออกจากถนนทางลัดด้านซ้ายที่มาจากเกษตรนวมินทร์ ใครอยู่ใกล้ๆคงจะนึกภาพกันออก พอมาถึงจุดที่รถชะลอตัว ผมก็รู้สึกว่ามันชะลอกันแปลกๆ

รถสิบล้อที่อยู่ด้านขวาของผมหยุดนิ่ง สายตาผมมองไปถึงสาเหตุในการหยุดรถ มีลูกแมวสีดำอยู่กลางถนน (น่าจะอายุประมาณ 3-6 เดือน) ซึ่งอยู่ในเลนรถที่ 2 จากขวา มันมาถึงเลนนี้ได้อย่างไรก็ไม่รู้เหมือนกัน รถคันหนึ่งขับผ่านไปอย่างไม่ได้สนใจลูกแมว ลูกแมววิ่งสวนเข้าใต้ท้องรถ ขณะรถคันดังกล่าวขับผ่านไปด้วยความเร็วไม่มากนัก แต่ถ้าพลาดไปคงถึงชีวิต

เป็นเรื่องน่าตกใจที่ลูกแมวตัวสีดำ ตัวนั้นรอดจากการที่รถคันหนึ่งขับผ่าน จริงๆแล้วมันคงจะรอดมาหลายครั้งแล้วด้วย แต่นั่นคืออดีตก่อนที่มันจะมาอยู่กลางถนน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะรอดตลอดไป….

หลังจากที่รถเก๋งขับผ่านไปแล้ว ผมได้ตัดสินใจในวินาทีแห่งชีวิตแมว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ผมขับปาดไปบังหน้าสิบล้อที่กำลังหยุดดูเหตุการณ์ เปิดไฟฉุกเฉิน แล้วเปิดประตูลงมา ในใจคิดว่าจะเอาลูกแมวขึ้นรถให้ได้ก่อนเท่านั้น แต่ด้วยประสบการณ์ของผม การจับแมวที่ตกใจอยู่นั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะถ้ามันตกใจแล้ว มันอาจจะวิ่งไปให้รถเหยียบก็ได้

ณ ตอนนี้รถทุกเลนหยุดนิ่งทั้งหมด ผมเปิดประตูลงไปเพื่อที่จะจับลูกแมว เดินเ้ข้าไปอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้มันตกใจ (จริงๆมันก็ตกใจมากอยู่แล้วละนะ) จังหวะัที่ลูกแมวหันหลังไปผมก็เดินเข้าไปตะครุบตัวมัน ด้วยสองมืออย่างระมัดระวัง…

ผมจับลูกแมวสีดำตัวนั้นไว้ได้ แต่จับได้ไม่เต็มมือเท่าไหร่ เพราะจับตอนจังหวะมันเดิน และสุดท้ายมันก็วิ่งพุ่งไปข้างหน้าด้วยความตกใจอย่างที่คาดไว้ ทิศทางที่มันวิ่งไปคือใต้ท้องรถแทกซี่ที่จอดดูอยู่เลนขวาสุด และวิ่งทะลุไปจนถึงเกาะกลางถนน ซึ่งเป็นพื้นที่ใต้ทางด่วนที่กว้างใหญ่มากๆ ผมเองเห็นอย่างนั้นก็คงหมดหวังที่จะตามไปจับ แต่ก็สบายใจที่มันไปถึงใต้ทางด่วนได้ เพราะอย่างน้อยก็มีที่กว้างพอให้ดำรงชีวิตได้สักพัก ถ้าข้ามถนนกลับมาตอนเช้าๆ รถน้อยๆ ก็คงจะข้ามกลับไปได้สักฝั่งหนึ่งที่เหลือก็คงจะเป็นชะตากรรมของมัน…ลูกแมวสีดำกลางถนน

หลังจากนั้นผมก็ขึ้นรถ และพี่แทกซี่แกก็ลงมาดูว่าแมวเข้าใต้ท้องรถแล้วไปไหนแล้ว ผมก็ส่งสัญญาณบอกว่ามันวิ่งไปที่ใต้ทางด่วนแล้ว จึงออกรถเดินทางไปยังจุดหมายเดิมที่วางไว้ต่อไป

เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ

หลังจากวันเกิดเหตุผมก็ขับผ่านถนนเส้นเดิม มุมเดิมอีกครั้งในใจภาวนาว่าอย่าเป็นซากอะไรสีดำๆบนถนนเลย และมันก็ไม่มีจริงๆ อย่างน้อยผมก็คิดว่าลูกแมวสีดำตัวนั้นมันยังไม่ถึงเวลาของมัน เป็นความบังเอิญมากๆที่มันรอดไปได้ ไม่รู้ว่าจะมีหมาแมวสักกี่ตัวที่เอาชีวิตมาทิ้งในการข้ามถนน เรามักจะเห็นซากหมาแมวตายตามถนนเป็นประจำ ซึ่งพวกมันคงจะไม่ได้ดวงดีรอดไปเสียทุกครั้ง ครั้งใดที่พลาดก็คงหมดทางแก้ตัว

เรื่องดวงดี ดวงไม่ดีนี่ก็เป็นความบังเอิญที่เกินจะคาดเดาได้เสมอ เพราะแม้แต่นกที่บินได้ก็ยังมาตายแบบแบนๆกลางถนนเลย เพราะวันนี้ผมเห็นซากนกพิราบ บนถนนใน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แน่นอนว่าในมหาวิทยาลัยนั้น เราจะขับรถกันไม่เร็ว แต่ถ้านกโดนทับตายได้มันก็เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ…

สวัสดี