ลูกแมวกลางถนน

เป็นเรื่องราวแปลกๆที่ไม่คิดว่าจะเกิดได้ และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อไปลูกแมวสีดำที่ผมเจอกลางถนนตัวนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป…

เมื่อวันก่อนผมเจอเรื่องราวแปลกเรื่องหนึ่ง ที่ไม่น่าจะเกิดได้บ่อยนัก มันเป็นความบังเอิญในจังหวะที่ลงตัวมากๆ

บ่ายวันเสาร์ผมขับรถออกจากบ้าน…

ผมขับวนออกจากบ้านโดยใช้เส้นทางเลียบทางด่วนรามอินทรา เอกมัย มุ่งหน้าไปยังเหม่งจ๋าย หลังจากที่กลับรถใกล้เกษตรนวมินทร์แล้ว ก็มาถึงช่วงที่รถจะติดนิดหน่อย เพราะว่าจะมีรถออกจากถนนทางลัดด้านซ้ายที่มาจากเกษตรนวมินทร์ ใครอยู่ใกล้ๆคงจะนึกภาพกันออก พอมาถึงจุดที่รถชะลอตัว ผมก็รู้สึกว่ามันชะลอกันแปลกๆ

รถสิบล้อที่อยู่ด้านขวาของผมหยุดนิ่ง สายตาผมมองไปถึงสาเหตุในการหยุดรถ มีลูกแมวสีดำอยู่กลางถนน (น่าจะอายุประมาณ 3-6 เดือน) ซึ่งอยู่ในเลนรถที่ 2 จากขวา มันมาถึงเลนนี้ได้อย่างไรก็ไม่รู้เหมือนกัน รถคันหนึ่งขับผ่านไปอย่างไม่ได้สนใจลูกแมว ลูกแมววิ่งสวนเข้าใต้ท้องรถ ขณะรถคันดังกล่าวขับผ่านไปด้วยความเร็วไม่มากนัก แต่ถ้าพลาดไปคงถึงชีวิต

เป็นเรื่องน่าตกใจที่ลูกแมวตัวสีดำ ตัวนั้นรอดจากการที่รถคันหนึ่งขับผ่าน จริงๆแล้วมันคงจะรอดมาหลายครั้งแล้วด้วย แต่นั่นคืออดีตก่อนที่มันจะมาอยู่กลางถนน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะรอดตลอดไป….

หลังจากที่รถเก๋งขับผ่านไปแล้ว ผมได้ตัดสินใจในวินาทีแห่งชีวิตแมว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ผมขับปาดไปบังหน้าสิบล้อที่กำลังหยุดดูเหตุการณ์ เปิดไฟฉุกเฉิน แล้วเปิดประตูลงมา ในใจคิดว่าจะเอาลูกแมวขึ้นรถให้ได้ก่อนเท่านั้น แต่ด้วยประสบการณ์ของผม การจับแมวที่ตกใจอยู่นั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะถ้ามันตกใจแล้ว มันอาจจะวิ่งไปให้รถเหยียบก็ได้

ณ ตอนนี้รถทุกเลนหยุดนิ่งทั้งหมด ผมเปิดประตูลงไปเพื่อที่จะจับลูกแมว เดินเ้ข้าไปอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้มันตกใจ (จริงๆมันก็ตกใจมากอยู่แล้วละนะ) จังหวะัที่ลูกแมวหันหลังไปผมก็เดินเข้าไปตะครุบตัวมัน ด้วยสองมืออย่างระมัดระวัง…

ผมจับลูกแมวสีดำตัวนั้นไว้ได้ แต่จับได้ไม่เต็มมือเท่าไหร่ เพราะจับตอนจังหวะมันเดิน และสุดท้ายมันก็วิ่งพุ่งไปข้างหน้าด้วยความตกใจอย่างที่คาดไว้ ทิศทางที่มันวิ่งไปคือใต้ท้องรถแทกซี่ที่จอดดูอยู่เลนขวาสุด และวิ่งทะลุไปจนถึงเกาะกลางถนน ซึ่งเป็นพื้นที่ใต้ทางด่วนที่กว้างใหญ่มากๆ ผมเองเห็นอย่างนั้นก็คงหมดหวังที่จะตามไปจับ แต่ก็สบายใจที่มันไปถึงใต้ทางด่วนได้ เพราะอย่างน้อยก็มีที่กว้างพอให้ดำรงชีวิตได้สักพัก ถ้าข้ามถนนกลับมาตอนเช้าๆ รถน้อยๆ ก็คงจะข้ามกลับไปได้สักฝั่งหนึ่งที่เหลือก็คงจะเป็นชะตากรรมของมัน…ลูกแมวสีดำกลางถนน

หลังจากนั้นผมก็ขึ้นรถ และพี่แทกซี่แกก็ลงมาดูว่าแมวเข้าใต้ท้องรถแล้วไปไหนแล้ว ผมก็ส่งสัญญาณบอกว่ามันวิ่งไปที่ใต้ทางด่วนแล้ว จึงออกรถเดินทางไปยังจุดหมายเดิมที่วางไว้ต่อไป

เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ

หลังจากวันเกิดเหตุผมก็ขับผ่านถนนเส้นเดิม มุมเดิมอีกครั้งในใจภาวนาว่าอย่าเป็นซากอะไรสีดำๆบนถนนเลย และมันก็ไม่มีจริงๆ อย่างน้อยผมก็คิดว่าลูกแมวสีดำตัวนั้นมันยังไม่ถึงเวลาของมัน เป็นความบังเอิญมากๆที่มันรอดไปได้ ไม่รู้ว่าจะมีหมาแมวสักกี่ตัวที่เอาชีวิตมาทิ้งในการข้ามถนน เรามักจะเห็นซากหมาแมวตายตามถนนเป็นประจำ ซึ่งพวกมันคงจะไม่ได้ดวงดีรอดไปเสียทุกครั้ง ครั้งใดที่พลาดก็คงหมดทางแก้ตัว

เรื่องดวงดี ดวงไม่ดีนี่ก็เป็นความบังเอิญที่เกินจะคาดเดาได้เสมอ เพราะแม้แต่นกที่บินได้ก็ยังมาตายแบบแบนๆกลางถนนเลย เพราะวันนี้ผมเห็นซากนกพิราบ บนถนนใน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แน่นอนว่าในมหาวิทยาลัยนั้น เราจะขับรถกันไม่เร็ว แต่ถ้านกโดนทับตายได้มันก็เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ…

สวัสดี

กำแพงกระจก

ก่อนที่จะพิมพ์ตอนนี้ ย้อนนึกไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมลังเล ว่าจะเล่า หรือไม่เล่าดี และเล่าอย่างไร จบอย่างไรดี เป็นเรื่องที่ทำให้นึกอะไร อะไร..ในใจ ได้มากมายเหลือเกิน…

วันนี้ผมก็ไปอ่านหนังสือที่มหาวิทยาลัยเหมือนเคย เหมือนหลายๆวันที่ผ่านมา ผมสามารถแก้ปัญหาที่เกิดจากความขี้เกียจต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวผมในแต่ละวันได้ ด้วยการเปลี่ยนที่…

หลังจากเวลาผ่านไปจากเที่ยงวัน จนตกเย็น และหลังจากที่อ่านและลองทำโจทย์ต่างๆเสร็จไปบ้างผมและเพื่อนๆก็แยกย้ายกลับบ้าน ระหว่างที่เดินไปที่อาคารจอดรถ เพื่อที่จะไปเอารถที่จอดอยู่กลับบ้านไปด้วย ก็บังเอิญว่าเจอนกตัวหนึ่งอยู่ในอาคารจอดรถ ซึ่งด้านในจะเหมือนพื้นที่ให้เช่าและกั้นด้วยกระจกเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่กำแพงก็เป็นกระจก

ผมมองนกตัวนั้น มันพยายามอย่างมากที่จะบินออกจากอาคารแห่งนี้ แต่สิ่งที่มันทำคือบินชนกระจก ครั้งแล้วครั้งเล่า ผมยืนดูมันอยู่พักหนึ่ง ก็สังเกตุเห็นว่าปากมันแปลกๆ นกปกติคงจะไม่อ้าปากแน่ๆ แต่นกตัวนี้เวลายืนเฉยๆมันอ้าปาก ผมเลยเดาๆเอาว่ามันน่าจะเจ็บจากการที่บินไปกระแทกกระจกนับครั้งไม่ถ้วน ผมไม่รู้ว่าก่อนที่ผมจะเห็น มันอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่แล้ว แต่ก็คิดในใจว่าถ้าผมเดินเข้าไปตามที่คิดว่าอยากจะช่วยมัน มันก็คงจะบินหนีซึ่งก็คงจะไปชนกับกระจกอีกแน่ ซึ่งอาจจะทำให้มันเจ็บหนักขึ้น

เสียงนกที่ร้องอย่างผิดปกติ เหมือนเรียกร้องอิสระที่เคยเป็นของมัน ตอนนี้มันเหมือนติดอยู่ในอะไรก็ไม่รู้ เห็นต้นไม้ เห็นฟ้า อยู่ข้างหน้า แต่พยายามไปเท่าไหร่ก็ชนอะไรก็ไม่รู้ เหมือนกำแพงอากาศที่มันไม่สามารถข้ามไปได้ กระจกของอาคารจอดรถคงจะใสมากทีเดียว จนเห็นอิสระได้ชัดเจนเกินไป แต่ในความใสก็ทำให้มันไม่เห็นกระจกเลย ทำให้นกน้อยๆตัวนั้น ชนกระจกครั้งแล้วครั้งเล่า

มาถึงตอนนี้ผมแยกกับเพื่อนที่มาอ่านหนังสือด้วยกัน โดยที่ผมตัดสินใจว่าจะไม่ทำอะไร เพราะกลัวว่าทำไปจะแย่กว่าเดิม ในระหว่างที่เดินหันหลังมาผมได้ยินเสียงน้องๆผู้หญิงเดินมาและพูดถึงนกตัวนั้น ทำให้ผมเดินออกไปได้อย่างสบายใจขึ้นนิดหน่อย ผมเดินไปหาห้องน้ำและพบว่ามันปิด ก็เลยเดินขึ้นไปอีกชั้นในอาคารจอดรถก็พบว่ามันปิดอีกเช่นกัน เลยเดินลงบันไดมายืนอยู่ที่เดิม

ข้างหน้าผมคือนกตัวหนึ่งที่สับสนในทิศทาง มันเริ่มออกอาการเมาๆ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ยืนดูมักสักพัก เสียงร้องของมันทำให้ผมรู้สึกผิดที่เดินหันหลังให้มัน จึงเดินไปด้วยความคิดว่า มันคงเพลียและผมจะจับมันง่ายขึ้น…

แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้น มันไม่ได้เพลียขนาดที่ผมจะจับมันได้ และมันก็บินหนีผมไปตามที่ผมคิด แต่ทิศทางที่มันบินหนีกลับเข้าลึกไปในตัวอาคารเข้าไปอีก…

ผมเดินตามมันไป ระหว่างทางพบเพื่อนที่เพิ่งแยกกันไป ดูเหมือนเขาจะไปทำธุระที่ธนาคารและพึ่งจะเสร็จ ผมกับเขาเดินไปทางที่มีนกตัวหนึ่งยืนงงๆอยู่ ผมบอกเขาว่า ผมพยายามจะจับมันเพราะมันดูแย่เต็มที เขาเสนอความคิดว่าน่าจะมีพวกตาข่ายจับมัน

การจับนกนั้นไม่ง่ายเลย ถ้าจับนกด้วยมือเปล่าได้ เมนูอาหารที่เป็นนกก็คงเพิ่มมากกว่านี้เป็นแน่ แต่การจับนกนั้นก็ต้องมีอุปกรณ์ช่วยด้วย มันถึงจะสำเร็จโดยง่าย ระหว่างที่เดินคิดและระหว่างที่มันพยายามจะบินให้ห่างผมไปนั้นก็เดินไปเจอห้องน้ำพอดี ห้องน้ำนี้อยู่ใกล้กับทางออกของอาคารอีกฝั่งหนึ่ง ผมที่ซึ่งยังคิดไม่ออกว่าจะหาอะไรมาจับมันดี ก็คิดว่าไปเข้าห้องน้ำก่อนก็น่าจะดี

ระหว่างที่เข้าห้องน้ำไปก็หันไปดู ก็เห็นว่านกน้อยๆตัวนั้นกำลังบินไปที่ทางออก ซึ่งทางออกนั้นเป็นทางเล่นระดับ ซึ่งต้องเดินลงไปและ เดินขึ้น เพื่อออกไปยังอิสระ แต่แน่นอนว่าเรามีการประดับที่สวยงาม ห้องที่อยู่ด้านล่างก่อนจะพบอิสระนั้นเต็มไปด้วยกำแพงกระจกซึ่งหลอกไว้ด้วยธรรมชาติด้านนอก ประตูเล็กๆที่เปิดอยู่นั้น มันใหญ่พอที่นกจะบินออกไปได้อย่างสบาย แต่ชัดเจนพอที่จะำทำให้มันแยกออกระหว่างทางออกและกระจก

ผมมองดูมันอยู่อย่างนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ในระยะห่างแค่สายตามองเห็น ผมอยู่ห่างจากมันมากเพราะคิดว่าไม่อยากไปใกล้จนกดดันมัน แต่ความเครียดและสัญชาตญาณของมัน ทำให้มันต้องขยับและพยายามหลีกหนีออกไปให้เร็วที่สุด มันบินออกไปอีกครั้งและชนกระจกอีกครั้ง ความเร็วและความแรงก็เหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ผลไม่เหมือนกัน

นกน้อยที่สะสมความเจ็บปวดและความอ่อนล้าแทบทนไม่ไหว กระเด็นออกมานานหงายขาชักสั่น ผมรีบเดินเข้าไปหามันทันที นี่คือโอกาสที่ผมจะได้พามันออกไปข้างนอก ผมรีบเดินไปจับมันมาไว้ในอุ้งมือ นกยังขยับตัวได้อยู่และพยายามดิ้น แต่ผมคงไม่ปล่อยไปง่ายๆ เพราะนี้คือโอกาสของมันด้วย ผมพามันออกไปด้านนอกอาคารซึ่งด้านหลังก็จะเป็น คลองรอบมหาวิทยาลัย และ ต้นไม้รอบรั้วซึ่งห่างจากถนนพอสมควร

นกเจ็บที่พอจะขยับได้บินออกจากมือของผมไปซุกยังพงหญ้า ผมเดินไปหามันอีกครั้งเพื่อที่จะพาไปให้ไกลๆกว่าเดิม แต่มันก็บินหนีไปเกาะเถาไม้เตี้ยๆ ซึ่งสูงระดับฟุตใกล้ๆ ผมเลิกที่จะสนใจมัน เพราะคิดว่ามันก็จะดีขึ้นแล้ว และมีแรงพอที่จะหนีผมด้วย หลังจากนี้ถ้ามันไม่เซ่อมาก ก็คงจะได้กลับบ้านไวๆ หรือถ้าพาร่างกายเจ็บๆไปบินเล่นแถวถนนก็อาจจะเสี่ยงที่จะเป็นนกแผ่นได้ ทั้งนี้ก็คงสุดแล้วแต่กรรมของมัน ซึ่งกรรมของผมและมันนั้นคงได้สิ้นสุดแค่นี้ ขอให้มีความสุข

หลังจากนั้นผมก็ลาเพื่อนกลับ ต่างคนต่างกลับบ้านไปอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบกันไป ระหว่างทางรถติดพอสมควร ผมนั่งนึกถึงเรื่องนี้ เรื่องที่ผ่านไปไม่นาน ผมจะเอามาเล่าดีไหม…

เรื่องของ กำแพงกระจก…
ในชีวิตของเรา เราเคยรู้บ้างไหมว่าอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้าคืออะไร ภาพที่มองนั้นชัดเจน จนไม่เห็นปัญหา ผมคิดถึงนกตัวนั้นและย้อนไปนึกถึงตัวเอง มีบ้างไหมที่ผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ และมีบ้างไหมที่คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนั้น เรามองเห็น เราคิดว่าเข้าใจ แต่ไม่เคยผ่านมันไปได้…

สวัสดี

กลับไปเป็นนิสิตอีกครั้ง

กลับไปเป็นนิสิตอีกครั้ง หลักจากห่างหายจากการเรียนในห้องเรียนมาเกือบสี่ปี วันนี้ไปเรียนครั้งแรก หลังจากได้รับคัดเลือกเข้าเรียนที่ ymba ม.เกษตร เหมือนทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว …ไม่เป็นไรผมจะเล่าให้ฟัง

15 พฤศจิกายน 2552 สมัครสอบ ผมไปยื่นใบสมัครสอบที่ คณะบริหาร ม.เกษตร ซึ่่งในใบประกาศเขาบอกว่าวันนี้เป็นวันรับสมัครวันสุดท้าย และผมก็มีเวลาแค่วันนั้นพอดี ผมเองจำไม่ได้ว่าช่วงนั้นทำอะไรอยู่ จำได้แต่ว่างานยุ่งมากๆเลย พอไปถึงที่ เกษตรเขาก็ให้เลือกว่าจะสอบเข้าสาขาไหนบ้าง ถ้าเลือกสองสาขาแบบว่าสำรองได้ก็ 900 สาขาเดียวก็ 700 ร้อย

ด้วยความมุ่งมั่นที่ตัวผมมี และจากการวิเคราะห์จากคำบอกเล่าของเพื่อนที่เรียนบริหาร SME มาแล้วนั้น ผมจึงตัดสินใจเรียนภาคค่ำวันธรรมดา ซึ่งเรียนด้วยกัน 3 วันคือจันทร์ พุธ และศุกร์ ที่ผมตัดสินใจเช่นนี้นั้น อาจเพราะมีเหตุผลเดียวนั่นคืออยากเก็บวันเสาร์อาทิตย์ไว้ใช้เวลาไปไหนมาไหนบ้าง ซึ่งสิ่งนั้นมันจะดูสำคัญในเชิงสังคม(ของผมเอง)มากพอสมควรเลยทีเดียว และหลังจากนี้ก็รอสอบไป..

29 พฤศจิกายน 2552 วันสอบ และแล้ววันสอบข้อเขียนก็มาถึง เวลาที่ผมใช้ทบทวนนั้นมีไม่มาก ประมาณ 1 อาทิตย์กว่าๆเท่านั้น ซึ่งในเวปบอร์ดของ ymba รุ่น 15 เขาก็บอกว่าข้อสอบแนว GMAT ผมเองก็ไม่รู้หรอกมันคืออะไร ก็ไปหาตามร้านหนังสือทั่วไป ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่เจอ…

ด้วยความที่ว่าจะไปตามหาหนังสือมันก็ดูจะลำบากไป ก็เลยให้เพื่อนๆช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับบริหาร และข้อมูลแนวข้อสอบที่ใกล้เคียง สรุปผมโหลดข้อสอบเลชอะไรมาไม่รู้ครับ ไม่ได้เกี่ยวเลย แต่ก็ดันอ่านไปตั้งหลายข้อ แต่จริงๆก็ไม่ได้อ่านมากหรอกครับ วาดรูปไปสลับกับอ่านไปบ้าง เน้นไปทางวาดรูปซะเยอะหน่อย แล้วก็ดูเวปพวกบริหารบ้างตามที่เพื่อนส่งให้

มาถึงวันสอบแล้วทีนี้ ผมไปตั้งแต่เช้า แต่เช้าของผมคือสายของคนอื่นและแน่นอน คนเต็มไปหมด คนสอบสาขาบริหารการจัดการ รอบวันธรรมดามีอยู่ประมาณ 128 คน ซึ่งยังไม่รวมคนที่เลือกอันดับสองที่ผิดหวังมาจากสาขาอื่นๆด้วย เฉลี่ยๆแล้วน่าจะประมาณ มากกว่า 200 คนที่เลือก บริหารการจัดการ รอบวันธรรมดา

ครับมันไม่ง่ายเลยที่จะผ่านโจทย์นี้ไปได้ ผมตัองแข่งขันกับคนเกินกว่าร้อย เพื่อที่จะได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 30 กว่าคนที่ได้โอกาสเรียนที่นี่ ( ดูจากสถิติของรุ่นที่ผ่านมานะ ) แต่ก็เป็นเรื่องปกติของผมครับ ก่อนสอบผมมักจะทำใจให้สบาย หลังสอบก็ทำใจให้สบาย สรุปคือจะสอบตอนไหนผมก็สบาย สบายเหมือนเดิมครับอาจจะดูไม่ดีที่ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่นี่คือธรรมชาติของผมจริงๆครับ

การสอบของวันนี้เริ่มช้ากว่ากำหนดการที่ตั้งไว้ จากตอนแรกให้เวลา 3 ชม เหลือ 2 ชม โดยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบได้ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยไม่ได้ชี้แจง ไม่เป็นไรยังไงเราก็เท่ากันทุกคน แล้วก็เข้าห้องสอบครับ โจทย์ถือว่าไม่ยากมากมายเท่าไรนัก ผมใช้ความรู้ระดับ ม 6 + ดวง + ความน่าจะเป็นช่วยในการแก้ไขปัญหาแต่ละข้อจริงๆครับ และในระหว่างการสอบมีเหตุการณ์ำำไฟดับ ซึ่งผมคิดว่าคนที่อยู่หลังห้องเสียเปรียบเรื่องแสงพอสมควร แต่ห้องไม่ถึงกับมืดครับ ผมนั่งข้างหน้าอยู่ในแนวประตู ซึ่งเปิดออกหลังจากไฟดับก็ถือว่าไม่เลวเท่าไหร่ ก็ดูสมเหตุสมผลกับคนสายตาไม่ค่อยดีอย่างผมนั่นเอง

เดินออกจากห้องสอบ พร้อมค่าประมาณในหัวที่่ต้องเตรียมไปตอบ พ่อแม่พี่น้อง กับคำถามที่ว่าทำได้ไหม ผมก็จะตอบไปว่าทำได้ 30 อีก 40 ไม่แน่ใจ อีก 30 นั้นเดา… ครับนี่คือคำพูดที่ตอบให้กับทุกคนที่ถามเรื่องสอบ ดูตรงไปตรงมาดีไหมครับ แต่มันก็ประมาณนี้แหละนะ ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไป

8 ธันวาคม 2552 ประกาศผลสอบข้อเขียน และแล้วก็ถึงวันประกาศผลสอบ ผมลุ้นตั้งแต่เช้าเลยครับ ตื่นมารอกดรีเฟรชอัพเดทในหน้าเวป ymba กันตั้งแต่ตื่นนอนเลยทีเดียว ลุ้นไปลุ้นมาก็ง่วงเลยเดินไปนอนต่อ ตื่นมาดูอีกทีก็บ่ายๆครับ ผลออกมาน่าตกใจมาก ผมสอบผ่านครับ ซึ่งติดอยู่ในรายชื่อ 1 ใน 48 คน หมายความว่ามีคนอีกกว่า 70 คนต้องผิดหวังอย่างแน่นอน ซึ่งในขั้นตอนต่อไปก็ต้องไปสอบสัมภาษณ์กันล่ะครับ ซึ่งในการสอบสัมภาษณ์นี้ ผมก็สบายๆอีกเหมือนเดิมครับและแล้วก็มาถึงวันที่ ….

15 ธันวาคม 2552 สอบสัมภาษณ์ วันนี้อากาศดีครับ ผมออกจากบ้านแต่เช้าด้วยชุดเก่งพร้อมความมั่นใจเต็มร้อย พอไปถึงก็รับบัตรคิวรอสอบสัมภาษณ์ ซึ่งระหว่างนั่งรอผมก็ได้สังเกตุเห็น….

ผมแต่งตัวสบายเกินไปหน่อยครับ แน่นอนว่าชุดเก่งของผมเป็นชุดสบายๆซึ่งก็คือเสื้อเชิตกางเกงยีนต์เสริมหล่อด้วยรองเท้าหนังสุดโปรดที่เอาไว้ใส่ยามออกงานเท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับคนแถวนั้นถือว่าดูแปลก..แต่จริงครับ ตอนนี้ผมกำลังอยู่ท่ามกลางดงใส่สูทผูกไท ทุกคนสวยหล่อและดูดีกันจริงๆ เอาละซิ งานนี้ผมจะเอาอะไรไปเป็นจุดขายดี ในเมื่อตัวโปรดักส์ของผมนั้นใส่แพคเกจที่ดูไม่ค่อยเหมาะสมมา แล้วจะทำอย่างไร แน่นอนครับ ผมเองไม่ได้กังวลกับมันเท่าไหร่นัก…

ถึงเวลาเรียกสอบสัมภาษณ์ และผมเองก็มั่นใจมากสำหรับความมุ่งมั่น ความพร้อมด้านการเรียน ความพร้อมด้านการเงิน ซึ่งดูๆแล้วเขาจะให้ส่วนนี้มีน้ำหนักมากในการสอบสัมภาษณ์ครั้งนี้ ติดตรงการแต่งตัวนี่แหละครับ ด้านอาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์เกิดสงสัยตั้งแต่แรกเห็น ซึ่งผมก็สามารถอธิบายได้ในรูปแบบและธรรมชาิติของผมให้ ท่านอาจารย์แกเข้าใจได้ ส่วนท่านจะเข้าใจว่าอย่างไรจริงๆก็อีกเรื่องหนึ่งนะครับ

สุดท้ายอาจารย์ท่านก็บอกว่าคะแนนสอบสัมภาษณ์นี้มีแค่ไม่กี่คะแนนซึ่งจะส่งผลน้อยมาก เพราะยังไงถ้าคนที่สอบข้อเขียนได้คะแนนเยอะ แต่สอบสัมภาษณ์ ก็ยังติดอยู่ในผู้ได้โอกาศอันดับต้นๆอยู่ดี ซึ่งพอได้ยินดังนี้แล้ว ความกังวลเล็กน้อยก็เกิดขึ้นมาว่า หมายความว่าถึงจะได้คะแนนสอบสัมภาษณ์เต็ม แต่สอบข้อเขียนน้อยก็ไม่ติด….สินะ

ไม่เป็นไรครับ มาถึงขั้นนี้แล้ว เราจะปล่อยให้มันเป็นไปตามดวงครับ ซึ่งมันก็เป็นอย่างนี้แต่แรกแล้ว

22 ธันวาคม 2552 ประกาศผลสัมภาษณ์ อีกแล้วครับ ผมผ่านมาได้อีกด่านอีกแล้ว คราวนี้จาก 48 คนลดเหลือ 38 คน ผมก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนกันตั้ง 10 คน แต่เท่าที่รู้ๆเขารับ 30 คนครับ ผมอยู่อันดับ 34 ซึ่งหมายความว่านั่นคือสำรองอันดับสี่ และมันหมายความว่าต้องมาคนสละสิทธิ์สี่คนผมถึงจะได้เข้าไปเรียน

ตอนนี้่ผมเองไม่มีข้อมูลอะไรแล้วครับ ไม่มีสถิติเก่าไม่มีอะไรทั้งนั้น ลุ้นอย่างเดียว โดยขั้นตอนการสละสิทธิ์คืองานไม่โอนเงินเข้าไปในวันที่กำหนด ซึ่งก็ต้องลุ้นในวันสิ้นสุดการจ่ายเงินของตัวจริง

11 ธันวาคม 2553 โอกาสของตัวสำรอง แน่นอนครับว่าตัวสำรองทุกคนก็ต้องการเป็นตัวจริง แต่ในความจริงแล้วนั้น ไม่มีใครได้เป็นตัวจริงทั้งหมด ซึ่งโอกาสของผมช่างดูริบหรี่เสียจริง ผมโทรไปแถมที่คณะ ได้คำตอบมาว่า มีคนสละสิทธิ์แค่สองคน และดูเหมือนคนที่สำรองอยู่เขาจะเรียนด้วย นี่คือคำตอบที่ผมตีความมาจากคำพูดของเจ้าหน้าที่ และยังมีทิ้งท้ายว่าจะรู้แน่ชัดอีกทีก็วันที่ 13 เย็นๆ…

14 ธันวาคม 2553 แน่นอนว่าผมเองชอบความแน่นอน ซึ่งความแน่นอนนั้นดูจะไม่แน่นอนตลอดเวลา ผมยังมีความหวังบนความสิ้นหวังในนาทีสุดท้าย ของวันที่ 14 เวลา บ่ายแก่ๆ รวบรวมสมาธิโทรไปถามว่าผมจะได้โอกาสนั้นหรือไม่ เหตุที่ผมต้องการคำตอบขนาดนี้ เพราะว่าผมต้องการสมาธิในการทำงาน แน่นอนช่วงนี้ผมติดงานอยู่ครับ และเป็นงานที่ต้องใช้สมาธิสูงมาก ผมจำเป็นต้องตัดเรื่องกวนใจออกให้หมด ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ผมกังวลใจจริงๆ

ผมโทรไปที่คณะ และได้คำตอบมาว่า ตัวสำรองใช้สิทธิ์เข้าเรียนกันหมดแล้ว ซึ่งเมื่อได้ยินคำตอบนั้นผมก็ตัดใจแล้วครับ ซึ่งจริงๆแล้วผมคุยเรื่องทางเลือกอื่นๆเช่นมหาวิทยาลัยอื่นกับเพื่อนไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าต้อง ลองกันใหม่นะ

ผ่านไปไม่นานนัก มีโทรศัพท์เข้ามาที่โทรศัพท์บ้าน ซึ่งปกติผมไม่ค่อยอยู่รับเท่าไหร่ น้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคยบอกให้ผมรู้ในทันทีว่านี่คือโอกาส ใช่ครับ อย่างที่ผมคิดจริงๆ ทาง ymba โทรมาบอกว่าผมได้สิทธิ์เรียนโดยมีข้อกำหนดว่าผมต้องจ่ายแคชเชียร์เชคก่อนเที่ยงวันที่ 15 หรือวันพรุ่งนี้ และผมก็ตอบตกลงในทันที แน่นอนว่าเรื่องเงินนั้นคุณพ่อผมเป็นคนจัดการให้ครับ ซึ่งท่านก็นำมาให้ในเย็นวันนั้นนั่นเอง

15 ธันวาคม 2553 ผมมามหาลัย พร้อมความกังวลเล็กน้อยครับ ว่าผมได้เรียนจริงๆหรอ มันดูเหมือนเรื่องโกหกยังไงไม่รู้ แต่มันก็ดูสนุกดี และผมก็โทรไปถามวิธีกับทางคณะอีกครั้งด้วยเหตุผลทางใจหลายๆอย่าง สุดท้ายก็เอาเชคไปจ่ายให้่ที่คณะพร้อมเซ็นชื่อครับ ตอนเซ็นก็เห็นว่าผมเป็นคนสุดท้ายพอดี ที่ได้โอกาสนี้ ต้องขอบคุณผู้สละสิทธิ์ทุกท่านที่มีส่วนช่วยให้ผมไม่เสียเวลากังวลใจไปอีกหนึ่งปีครับ

หลังจากตอนเช้า ผมกลับมาทำงานต่อ และออกไปเรียนปรับพื้่นฐานอีกครั้งในเวลา 6 โมงเย็น สำหรับการเดินทางนั้นไม่ยุ่งยากนัก เพราะหนึ่งในเหตุผลที่ผมเลือกเกษตรนั่นคือความสะดวกในการเดินทางจากทุกทิศทุกทาง และใกล้บ้านผมเป็นหลัก ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 20-30 นาทีครับ

พอไปถึงก็คนเต็มห้องเลยครับ รู้สึกว่าวันนี้จะเรียนรวมกันทุกสาขาเพราะเป็นการปรับพื้นฐานครับ แน่นอนว่าคนที่จบศิลปกรรมอย่างผมมานั้นคงต้องปรับกันเยอะเลย แต่ดูท่าเพื่อนๆในรุ่นจะเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องอยู่แล้วครับ ซึ่งผมคิดว่าดีครับ จะได้มีคนปรึกษาเยอะๆ และผมก็มั่นใจว่าผมก็มีสิ่งที่เขาจำเป็นต้องใช้อยู่เหมือนกัน

เรียนๆกันไปก็มีพักด้วย ผมเดินลงไปเจอกับชามก๋วยเตี๋ยวนับร้อยที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะรอให้นิสิตทุกท่านรับไปทานกันให้อิ่มหนำสำราญกาย สบายใจ ซึ่งเรื่องอาหารว่างนี่ผมก็ได้ยินมาจากเพื่อนบ่อยๆครับ แต่ที่ผมเห็นตรงหน้านี่มัน…เป็นมื้อหลักได้เลยทีเดียว วันนี้ผมกินบะหมี่ไปสองชามครับ จริงๆจะกินชามเดียว แต่พอดีว่างๆไม่มีอะไรทำ แล้วเห็นว่าทำมาเยอะ แต่คนมาน้อยก็เลยช่วยเขากินอีกชาม ก็อร่อยดีครับ

สุดท้ายนี้เรื่องเรียนคงให้เป็นเรื่องของอนาคตต่อไปครับ ส่วนจุดประสงค์ในการเรียนหรือการเลือกเรียนนั้นคงต้องอธิบายกันในตอนต่อๆไป ถ้ามีโอกาส

และสุดท้ายนี้ เรื่องทั้งหมดนี้สอนให้รู้ว่า ” ดวงดีช่วยผมได้ “

สวัสดีครับ