สังเคราะห์ไปตามกาละเทศะ

เริ่มสังเกตว่าเวลาอยู่ที่ไหน ก็วิเคราะห์เรื่องราวแล้วสังเคราะห์ไปตามที่นั้นเวลานั้น อย่างตอนอยู่ที่สวน ก็จะมีแต่เรื่องสวน การปลูกต้นไม้ ปรับที่ปรับทาง วางแผนนั่นนี่ จะสังเคราะห์เรื่องอื่น ๆ ไม่ค่อยไปเท่าไหร่

พอกลับมาอยู่ในเมืองก็สังเคราะห์ไปตามองค์ประกอบของเมือง เข้าเมืองก็มีเวลาอยู่หน้าจอมากขึ้น ทั้งจอทีวีและคอมพิวเตอร์ มันก็ได้รับข้อมูลมากขึ้น พอรับข้อมูลเข้ามามันก็ปรุงตามเลย ว่าจะเอาอะไรมาทำประโยชน์ดี

ชีวิตแต่ละคนก็ไขว่คว้าหาประโยชน์กันทั้งนั้น ตัวผมเองก็เช่นกัน ก็ตั้งใจจะให้ชีวิตในแต่ละวันมันมีประโยชน์สูงสุด แต่มันก็ไม่ขึ้นอยู่กับการตั้งจิตเสียทีเดียวว่าผลประโยชน์นั้นมันจะออกมาเป็นรูปไหน

มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบแวดล้อมด้วยว่า อะไรจะเป็นประโยชน์สูงสุดในที่นั้นในเวลานั้นตามกำลังปัญญาเท่าที่พอจะมีอยู่

การปรับตัวเอง อยู่ป่า <-> อยู่เมือง สลับกันไปมา มันทำให้เห็นอะไรชัดขึ้น ชีวิตมันไม่นิ่ง ไม่ราบเรียบ มีการขยับ ปรับเปลี่ยนรูปแบบของมันอยู่ตลอด ทำให้เราได้สังเกตการปรับตัวเปลี่ยนแปลงของตัวเองไปด้วย ก็สนุกดีเหมือนกัน

ถ้าถามผมว่าชอบอะไร ผมก็จะตอบว่าชอบคนเยอะ ๆ ยิ่งอยู่ในองค์ประกอบที่หลากหลายมากเท่าไหร่ ผมจะรู้สึกว่ามันได้ใช้สมอง ได้ขัดเกลาสติปัญญา แต่ฟ้าเขาก็ไม่จับเราไปอยู่ที่ที่เราชอบ เขาก็ให้เราไปอยู่ป่าสงบ ๆ

ซึ่งอยู่ป่าสงบ ๆ ก็ดีไปอีกแบบ มีเสน่ห์อีกแบบคือมีเวลาให้ละเลียด ตรวจกิเลสบางตัว แบบละเอียด ๆ กันเลย ยิ่งสงบยิ่งมีเวลาวิเคราะห์แจกละเอียดได้เท่าที่สงบนั่นแหละ แต่มันก็เสียอย่าง คือส่วนใหญ่มันเป็นของแห้ง คือต้องเอาของเก่าออกมาสังเคราะห์ ไม่เหมือนพบเจอผู้คน นี่มันได้ของใหม่ ได้ผัสสะใหม่ ๆ แต่เจอคนตลอดก็ไม่ดี บางทีมันก็ไม่มีเวลาให้ได้ตรวจใจ บางวันเรื่องมันก็เยอะ ต่อเนื่อง กว่าจะจบก็ง่วง เวลาจะไปพิจารณามันก็น้อย ทำให้หลายประเด็นตกหล่นไปก็มี