หลงนานเท่าไหร่ หาทางกลับนานกว่านั้น

วันนี้คุยกับเพื่อนในประเด็นกรรมและเวลาส่งผลในการหลงผิด ว่าคนที่เขาหลงผิดเนี่ย กว่าเขาจะสำนึกแล้วกลับมาปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์ได้ต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่

ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เหมือนเราเปิดร้านของชำอยู่ข้างทาง มีคนขับรถมาถามทาง แต่แล้วเขาก็ขับไปผิดทาง ไปผิดแยก ไปตรงข้ามกับที่เราบอกเลย ทีนี้กว่าเขาจะกลับมาได้นี่ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ก็เท่าที่เขาขับหลงไปนั่นแหละ แต่ถึงจะรู้ตัวก็ใช่ว่าจะกลับได้ทันทีนะ ถ้าขับรถไปต่างจังหวัดแล้วขับผิดทาง กว่าจะเจอยูเทินนี่ก็ต้องไปต่อหลายกิโลเมตรเลย

กลับมาที่ตัวอย่างใกล้ตัว อย่างที่เห็นกันว่าผมจะเผยแพร่ธรรมะที่พาไปสู่ความโสดอย่างเป็นสุข แล้วที่นี้มีคนมาอ่านแล้วเขาไม่เชื่อ เรื่องอื่นเขาอาจจะเคยศรัทธา เคยเชื่อ แต่เรื่องนี้เขาไม่เอา เขาก็ไปนู่นเลย ไปมีแฟน ไปแต่งงาน ก็ปฏิบัติตรงข้ามกันเลย มีแฟนว่าหลงไกลแล้ว แต่งงานนี่ไกลลิบ ๆ ไม่เห็นแม้แต่เงา ถ้ายังหลงอยู่ มันก็จะไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ มีลูกมีหลาน ไกลออกไปอีก ทีนี้จะกลับมามันไม่ง่ายแล้ว ชีวิตมันมีภาระแล้ว แค่ผัวเมียก็เป็นภาระหนักแล้ว มีลูกมีหลานนี่ยิ่งหนักหนา จะกลับมาปฏิบัติแบบตัวเบา ๆ นี่ไม่ได้แล้ว จะมีกำแพง มีอุปสรรคขวางกั้น นานเท่าไหร่น่ะหรอ? ก็นานเท่าที่ทำมา และหนักเท่าที่ทำใจไว้ผิดนั่นแหละ

แต่คนที่เขาหลงแล้วมาเจอเรานี่ต่างกันนะ คนไม่เคยได้ฟังแล้วหลงมาก็มี นั่นเขารับวิบากมาแล้ว ต่างจากคนที่ฟังแล้วไปผิดทาง วิบากกรรมมันจะต่างกัน

อย่างใครตามอ่านบทความที่ผมพิมพ์เกี่ยวกับเรื่องความรักเรื่องคนโสดแล้วชัดว่าโสดดีกว่า เลิศกว่า ประเสริฐกว่า แต่กลับไปทำตรงข้ามนั่นแหละ จะยิ่งช้า นาน ไกล ห่างเหิน ทุกข์สะสมหนักนาน แต่ถึงจะทุกข์แสนสาหัสแล้วสำนึกมันจะออกหรือหลุดพ้นไม่ได้ง่าย ๆ เพราะวิบากมันกันไว้ กันไว้เท่าไหร่ก็เท่าที่หลง หนักเท่าไหร่ก็เท่าที่ทำใจไว้ผิด รวมกับกรรมชั่วที่ทำมาด้วยกันกับคู่ครอง และวิบากกรรมเก่าที่เสริมเติมดอกเบี้ยเข้ามาให้ทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อน หลงไปปีสองปี อย่าคิดว่าจะหลุดพ้นได้ทันที มันก็ต้องทนทุกข์ไปอีกปีสองปีหลังสำนึกผิดเป็นอย่างน้อยนั่นแหละ

เปรียบเทียบง่าย ๆ กับความเห็นที่หลายคนชอบยกมาว่ามีคู่ดีมันก็ดี จริง ๆ มันไม่ดี เพราะจับมือกันควงคู่ก็คือการพากันลงต่ำแล้ว ต่ำแค่ไหนก็แล้วแต่กิเลสจะนำพา ทีนี้ตอนกลับก็เหมือนกับต้องปีนขึ้นมาจากขุมนรกนั่นแหละคุณ ตอนแรกมันหลงไง นึกว่านรกเป็นแดนสวรรค์เขาก็จูงมือกันไป แล้วกว่าจะปีนกลับขึ้นมาจุดเดิมได้นะ คือจุดที่เป็นโสดนั่นแหละ ยากแสนสาหัสเลย เพราะคู่ก็คอยฉุดรั้งไว้ ลูกก็คอยฉุดรั้งไว้ สังคมก็คอยฉุดรั้งไว้ ให้วนเวียนทุกข์ในนรกคนคู่นั่นแหละ

อ่านถึงตรงนี้แล้ว ใครจะลองลงนรกไปศึกษาก็ไม่ว่ากัน

เลิกรัก หักทวง

ได้อ่านข่าวช่วงก่อนหน้านี้ เห็นว่ามีพฤติกรรมการทวงของคืนเมื่อจบความสัมพันธ์ตั้งแต่ในระดับการจีบจนไปถึงแต่งงานแล้ว

ของที่ทวงก็มักจะเป็นเงินที่ได้จ่ายไป บ้างก็เป็นค่าอาหาร ค่าสิ่งบันเทิง ค่านิยมอะไรแนว ๆ นั้น ซึ่งจากข่าวผู้ชายก็มักจะเป็นคนทวงผู้หญิง

ผมจะวิจารณ์เรื่องนี้แบบย่อ ๆ กับสังคมไทยที่ผู้หญิงมักจะหลงว่าตนต้องเป็นผู้ได้รับสิ่งของและการดูแลเสมอ

คือเขาให้ของอะไรมาเนี่ย เขาไม่ได้ให้เพื่อที่จะให้ แต่เขาให้เพื่อที่จะได้ เพื่อที่จะรับ การดูแลหรือทรัพย์สินเงินทองใด ๆ ก็ตาม เขาให้เพื่อที่จะมาแลกเปลี่ยนกับบางสิ่งบางอย่าง คนมีกิเลสมันต้องมีเหตุในการให้ที่เป็นมิจฉาอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อผู้ให้ไม่บริสุทธิ์ ก็อย่าไปหวังเลยว่ารับมาแล้วชีวิตมันจะเป็นอยู่ผาสุก

ในสังคมไทยผู้หญิงเคยชินกับการได้รับ ก็รับ รับ รับมาจนไม่ประมาณเลยว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นโทษภัยแก่ตน เห็นเขาให้ก็รับไว้ ไม่ว่าจะด้วยรับในน้ำใจ รับเพราะไร้เดียงสา หรือรับเพราะโลภก็ตามที ให้ทำความเข้าใจไว้เลยว่าคุณรับของเขามา เขาทวงคืนทั้งหมดแน่ ๆ ไม่หมดชาตินี้เขาก็ตามไปทวงต่อในชาติหน้า คุณจะต้องเสียอะไรให้เขาอีกมาก เสียเงิน เสียเวลา เสียตัว เสียอะไรต่อมิอะไรเท่าที่คุณได้รับมา

แน่นอนเขาไม่ได้ให้เปล่า ๆ เขามีดอกเบี้ยด้วย เขาให้คุณ 100 เขาไม่หวังจะได้จากคุณคืน 100 อยู่แล้ว จะเป็น 110 120 หรือ 1,000 มันก็แล้วแต่ความโลภของเขา ดังนั้นคุณไปรับของเขามา คุณก็ต้องเตรียมรับชะตากรรม

อย่าไปโดนภาพของคู่รักหรืออะไรมันหลอกเอา มันไม่มีหรอกคนที่แสนดีจะมาดูแลกันทั้งชีวิต ถ้าเขาดีจริงเขาจะเอาเวลาและทรัพยากรไปดูแลผู้มีพระคุณของเขา เขาไม่มาเสียเวลากับคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานหรอก ที่เขาทำเป็นแสนดี ดูแลเอาใจ นั่นเขาจะลงทุนเพื่อหวังกำไรจากตัวคุณนั่นแหละ วันใดวันหนึ่งที่คุณไม่สามารถทำให้เขาสาสมใจ วันนั้นแหละ รู้กัน

จนกว่าจะสาแก่ใจ

คุยกับเพื่อนเกี่ยวกับการออกจากนรกคนคู่ (ที่คนทั่วไปมักจะเห็นเป็นสวรรค์) ว่าคนเรานี้จะออกได้ตอนไหน เพื่อนก็พูดคำประมาณว่า “จนกว่าจะสาแก่ใจ” คือให้ทุกข์จนกว่าจะสาสมใจนั่นแหละ ทุกข์ให้มันสะใจไปเลย ถึงตอนนั้นเดี๋ยวเขาก็อยากออกเอง

ถ้ายังรู้สึกสุขกับการมีคู่อยู่ นั่นคือกำลังอยู่บนสวรรค์ลวง ก็วิ่งเล่นเพลิดเพลินไปตามประสาคนไร้เดียงสา ค่อย ๆ สะสมอกุศลกรรม ปั้นแต่งวิบากบาปมุมนั้นมุมนี้ สร้างนรกที่ไม่ได้ฝันไว้ให้ตัวเองอย่างช้า ๆ (บางทีก็เร็ว)

คนจะพ้นทุกข์ได้นี่ประตูแรกต้องรู้จักกับทุกข์เสียก่อน ต้องรู้ว่าสิ่งที่เข้าไปเสพนั้นเป็นทุกข์อย่างไร ถ้ายังมีความเห็นว่ามันเป็นสุขมันจะไม่อยากออก แบบนี้ยังไม่ต้องคุยธรรมะกันให้เสียเวลา ก็ให้ไปลองพิสูจน์ดูจนกว่าจะสาแก่ใจ

บางคนแค่คบหาเป็นแฟนก็รู้จักทุกข์มากพอที่จะออกแล้ว แต่ส่วนใหญ่ต้องมากกว่านั้น ต้องแต่งงาน ต้องมีลูก ต้องโดนทอดทิ้ง ทำร้าย หักหลัก ฯลฯ มันถึงจะสาแก่ใจ …จะว่าไปก็เหมือนพวกมาโซคิสม์ ที่เจ็บแล้วสุข เขาทำร้ายแล้วก็สุข มันก็สุขแบบวิปริตตามประสาคนหลง เช่น ทะเลาะกัน ด่าว่ากัน ตบตีกัน ทำร้ายกันแต่ก็ยังยินดีอยู่ด้วยกัน เพราะมันมีสุขลวงซ้อนอยู่ในทุกข์ ถ้ามีแต่ทุกข์ ไม่มีสุขลวง ไม่มีใครเขามีคู่กันหรอก

จริง ๆ คู่รักมันก็ไม่มีอะไรมากกว่าหาผลประโยชน์(เสพกิเลส)ร่วมกัน ฉันได้จากเธอ เธอได้จากฉัน เราต้องมีกันและกัน เป็นอัตตาก้อนหนึ่ง มัดสองคนรวมกันไว้ ไม่เป็นอิสระ ต้องพึ่งอีกฝ่าย ไม่ตั้งอยู่บนหลัก “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” แต่จะว่าไป…เขาก็ไม่คิดจะพึ่งตนเองตั้งแต่คิดจะไปมีคู่นั่นแหละนะ

ส่วนใครที่แค่เห็นคนอื่นมีคู่แล้วเห็นทุกข์ ก็ยินดีด้วย บางเรื่องไม่ต้องลงไปเล่นเองให้เสียเวลา แต่ถ้าใครอยากเล่นละครครอบครัวพ่อแม่(ลูก) ก็เชิญจนกว่าจะทุกข์จนสาแก่ใจ

อยากฆ่าใครให้รักคนนั้น

จากที่อ่านข่าว : ศาลสั่งประหาร”หมอนิ่ม” จ้างฆ่า”เอ็กซ์-จักรกฤษณ์

ถ้าอยากทำร้ายใคร ฆ่าใคร จองเวรจองกรรมกับใคร ก็ให้รักคนนั้น แต่งงานร่วมชีวิตกับคนนั้นไปเลยครับ ท่านจะได้สิทธิ์จองเวรจองกรรมข้ามภพข้ามชาติ รวมถึงอกุศลวิบากนานานับประการเป็นโบนัสพิเศษ โปรโมชั่นนี้สามารถรับได้ทุกช่วงเวลา ไปตราบชั่วนิรันดร์

รักใครมากก็เกลียดคนนั้นมากครับ ชาติแรก ๆ มันอาจจะไม่จัดจ้าน แต่ยิ่งสะสมวิบากร่วมกัน กิเลสมันจะจัดจ้านไปเรื่อย ๆ มันจะหลงมากขึ้น จนรักได้ถึงขนาดฆ่ากัน และเกลียดกันได้ถึงขนาดฆ่ากัน สองขั้วนี้เหวี่ยงไปมาไม่มีวันจบสิ้น รักก็ทุกข์ ชังก็ทุกข์

แล้วจะหนีก็หนีไม่ได้ด้วย วิบากมันลากมาเจอกัน และมันมีอุปาทานว่าฉันชอบแบบนี้ ก็เลยต้องมาร่วมหอลงโลงกันซ้ำไปซ้ำมา ทุกชาติ แรก ๆ มันก็ดีทุกคู่นั่นแหละครับ หลัง ๆ นี่จบไม่สวยทุกคู่ ยังไงก็ต้องทุกข์ แต่ไม่ใช่ว่าทุกข์น้อยแล้วจะไปเห็นประโยชน์มันนะ แบบว่า..ทุกข์นิดหน่อยพอรักต่อไปได้ แบบนี้มันก็เหยื่อของกิเลสดี ๆ นี่เอง มันไม่ได้มีชาตินี้ชาติเดียว มันมีต่อไปอีกไม่รู้จบ

ความผูกจากกรรมนี่มันไม่เท่าไหร่ หมดผลกรรมชุดนั้น ๆ ก็ยังพอหลุดกันได้ แต่ความผูกด้วยกิเลสนี่มันหมดหนทางรอดเลย คุณไปยึดว่าสิ่งนั้นดี คุณก็คว้ามันไว้ทุกชาติ แล้วอย่าคิดว่าจะปล่อยกันได้ง่าย ๆ นะ สำหรับเรื่องคู่ ถึงจะบวชเป็นพระก็เอาไม่อยู่ เจอตัวเวรตัวกรรมลากลงนรกมาเยอะแล้ว จะไปสู่ความเจริญก็มาดักตีหัวลากลงนรก สรุปชีวิตเกิดมาก็ต้องมาเป็นทาสรักทุกชาติ

ไปไหนไกลกว่านี้ไม่ได้ เพราะติดเรื่องคู่ ติดผัว ติดเมีย พอติดแล้วก็ยาวไปเลย ไม่มีหรอกเวลาศึกษาธรรมะ หรือเวลาที่จะใช้ทำดีเท่าคนโสด เพราะต้องหมกตัวสร้างวิบากบาปกับคู่ครองที่หลงว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญ คือเห็นกงจักรเป็นดอกบัวนั่นแหละ ก็เลยเอาเวลาไปทำบาปต่อกันซะเยอะ ชวนกันทำดีนิดหน่อยพอเป็นพิธี สร้างภาพให้ดูดีไปงั้น ๆ

สุดท้ายก็ต้องมารับผลวิบาก คือวนเวียนพบกับคู่เป็นหลักทุกชาติ แล้วทีนี้เวลาอกุศลวิบากจะออก มันก็ออกผลตอนครองคู่กันนี่แหละ ต่างฝ่ายจะต่างทำชั่วต่อกัน ทำร้ายกันโดยดูเหมือนไม่มีสาเหตุอันควร จะทำร้ายกันมากกว่าคนอื่น ก็เพราะมันสั่งสมวิบากร้ายต่อกันมามากนั่นเอง

สรุปคือ ไม่มีความสัมพันธ์รูปแบบไหนทำร้ายกันได้มากเท่ากับคู่ครองอีกแล้ว

วิธีดูว่ามิตรที่มีนั้นกำลังพาเราไปไหน

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “คนที่ประมาทก็เหมือนคนที่ตายไปแล้ว” เช่นกัน หากเราใช้ชีวิตประมาท ไม่รู้ว่าชีวิตกำลังดำเนินไปทางไหน มันก็กำหนดทางตายของเราไปแล้วนั่นเอง

การมีสติในชีวิตประจำวันนั้นไม่เพียงพอที่จะกันนรกอยู่ เพราะหากไม่มีศีลเป็นตัวกำหนดขอบเขตดีชั่วแล้ว สติที่มีนั้น ก็เอาไปทำชั่วได้อย่างแนบเนียนเลยทีเดียว

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนประกาศจะแต่งงาน ก็จะมีคนมากมายเข้าไปยินดี อวยพร ฯลฯ เขามีสติตอนอวยพรไหม? ถ้าถามเขา เขาก็คงว่ามีกัน แต่ทำไมถึงพูดให้คนยินดีในทางผิด การมีคู่นี่คือไปนรกชัด ๆ อยู่แล้ว คนเขายังไปยินดีอวยพรกัน

แต่คนมีศีลเขาจะไม่ไปยินดีด้วย เพราะรู้แน่ชัดว่าคนมีคู่กำลังจับมือกันไปนรก มันจะทำใจยินดีได้อย่างไร มันมีอะไรดี? มันไม่เห็นมีอะไรดีให้ไปสรรเสริญเลย มีแต่ความเสื่อมความต่ำ มีแต่ความทุกข์

มิตรที่ยินดีเมื่อเราทำไม่ดี นั่นแหละคือมิตรที่จะผลักดันเราไปนรก ส่วนมิตรที่ไม่ยินดีเมื่อเราทำไม่ดี นั่นแหละคือมิตรที่จะช่วยให้เราพ้นนรก

ถ้าคนที่กำลังจะไปทำชั่ว เช่นไปแต่งงาน มีมิตรชั่วมาก ๆ เขาก็จะเสริมพลังให้กับกิเลส ให้กับความหลง ให้ยินดีในการครองคู่ ให้ยินดีในการสร้างครอบครัว แม้จะมีมิตรดีอยู่ ก็อาจจะสู้พลังของกิเลสไม่ได้ เพราะเจ้าตัวก็อยากได้อยากเสพ แถมมีคนยุยงให้ได้เสพสมใจกัน มันก็ไปกันใหญ่

เรื่องคู่นั้น ผมถือเป็น check point หนึ่งของความเจริญในทางพุทธศาสนา ถ้าใครผ่านได้จะสบายไปหลายขุม(นรก) เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปกับการท่องเที่ยวในนรก ตัดเรื่องคู่ได้ จะมีพลังทำความดีอีกมหาศาล

เวลาผมประเมินคนที่เขาสอนศาสนาทั่วไป ผมก็ใช้ตรงนี้นี่แหละเป็นตัววัด ว่าความเห็นของเขายังยินดีในการมีคู่หรือไม่ยินดี ถ้ายังไม่ผ่านมันจะมีช่องไว้ให้ตัวเองแอบเสพอยู่ มันจะเห็นได้ คนไปศึกษาก็ยังรับรู้ได้ว่าเขายังเห็นว่าการมีคู่นั้นมีข้อดีอยู่ นั่นแสดงว่าเขายังไม่ผ่าน เราก็รู้ว่า อ๋อ ฐานเขายังไม่ถึงตรงนี้

หลงไปเข้าไปแล้วมันออกยาก (มีครอบครัว)

จากกระทู้ : แต่งงานมีสามี มีลูกแล้ว แต่รู้สึกมันไม่ใช่

หลงไปเข้าไปแล้วมันออกยาก…

ผมว่านะ แต่ละคนที่เขามีคู่ มีลูก นี่เขาก็คิดว่ามันจะต้องมีความสุขกันทุกคนนั่นแหละ คืออย่างน้อยก็สุขกว่าที่เป็นอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาไม่ไปมีกันหรอก แบบนี้ก็เป็นความเห็นทั่วไปของคนในโลก

แต่ที่นี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆไง ความสุขมันมี แต่มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สรุปคือมันเกิดแล้วและมันก็ดับไปแล้ว มันเสพสิ่งเดิมๆ มันก็ไม่สุขเหมือนเดิมแล้ว สภาพสุขที่เคยได้เสพมันหมดไปแล้ว

ความสุขที่ว่านี่มันไม่ได้เกิดจากผัว จากเมีย จากลูกนะ มันเกิดจากจิตที่มันมีกิเลส มันอุปทานแล้วได้เสพสมใจมันก็เลยสุข สุขจากกิเลสแบบนี้เรียกว่าสุขลวง มันก็หลอกให้เราหลงไปเสพเท่านั้นแหละ

จริงๆ คือมันไม่เคยมี เราปั้นขึ้นมาเองว่ามันมี ที่นี้พอมันกลับเป็นสภาพจางคลาย แต่เราหลงยึดว่ามันเคยมี เราก็เป็นทุกข์

เหมือนกินขนมที่ชอบน่ะ คำแรกนี่มันสุขแสนสุขเลยนะ แต่คำที่ 10 ที่ 100 นี่มันสุขไม่เท่าคำแรกหรอก อันนี้จิตมันปั้นขึ้นมาเอง ขนมมันก็เป็นของมันแบบนั้น รสชาติมันก็แบบของมันแบบนั้นแต่แรกไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย มีแต่จิตเราที่เปลี่ยนไป

ความรัก ความหลง แต่งงาน ชีวิตคู่

ความรัก ความหลง แต่งงาน ชีวิตคู่

ตอนแรกก็ว่าจะหยุดเขียนเรื่อง “ความรัก” ไว้ที่บทความ “โสดอย่างเป็นสุข” แล้วว่าจะพักเรื่องรักๆสักพักหนึ่ง

ไปๆมาๆไม่นานเหมือนมีอะไรมาดลใจให้เขียนอีก คงเพราะนึกถึงมุมของคนที่หนีไม่ได้ โดนเต็มๆ หรือกระทั่งหลงไปแต่งงาน

หนี “ความรัก” เนี่ย จริงๆก็คงไม่มีใครหนีกันหรอกนะ มีแต่คนต้อนรับหรือไม่ก็แสวงหา กระทั่งมีชีวิตอยู่เพื่อบูชาความรักก็มีให้เห็นกันมาก(ในละคร) แต่ปัญหาคือมันแยกรักกับหลงไม่ออกนี่แหละ เราก็หลงเขาก็หลงเลยไปกันใหญ่ เมารักกันอยู่นั่นเอง

แต่ก็ไม่เป็นไร เข้าใจจริงๆว่ามันยาก แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะเขียนเรื่องเหล่านี้สักหน่อย อารมณ์ประมาณว่าพลาดหลงรักไปแล้ว มันรักไปแล้ว หลวมตัวไปแล้ว

จริงๆคนที่หลงรักไปแล้วเขาไม่มาอ่านหรอก เขาเอาเวลาไปเสพสุขดีกว่า เอาเวลาไปคุยกับคนรักดีกว่า อ่านไปก็ขัดใจไป เหมือนคนที่อยากดูหนังแล้วไม่อยากให้ใครมาบอกตอนจบ อยากดูเอง ….ความรักก็เหมือนกัน อยากจะลองเล่นดูเองบ้าง ต้องเล่นเอง รู้เอง เจ็บเองจึงจะซึ้ง แต่ก็เอานะ ใครเบื่อๆหรือไม่อยากเล่นตามบทละครเดิมๆก็…ลองอ่านดู เพราะถึงจะรู้จากคนอื่นหรือลองด้วยตัวเอง ตอนจบมันก็เหมือนๆกันนั่นแหละ

…บทความยาวหน่อย…แต่ก็…ลองตามอ่านกันดูนะ