ถ้าไม่เผยแพร่เรื่องเกี่ยวกับการไม่กินเนื้อสัตว์ จะให้ทำอะไร?

ผมก็คิดทบทวนนะ ว่าการไม่กินเนื้อสัตว์นี่จะทำให้ลดการกักขัง,ทำร้าย,ฆ่า ซึ่งมันก็เป็นประโยชน์ของสัตว์และเป็นประโยชน์ของตนเองด้วย คือเราไม่มีกรรมไปเกี่ยวข้องกับการเบียดเบียน สรุปคือเป็นทั้งประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน

แล้วเรามีความรู้และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ จะให้เก็บไว้เปล่า ๆ มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา แต่ก็ใช่ว่าจะผลักดันให้เกิดผลในอุดมคติ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ความรู้มันก็ช่วยได้แค่คนที่ต้องการรู้เท่านั้น คนน้ำเต็มแก้วก็ต้องปล่อยเขาไป

เพราะสุดท้ายทำยังไงมันก็ไม่ทันหรอก โลก(โลกีย์/กิเลส) มันกลืนกินคนได้เร็วกว่า ดูสิ ทุกวันนี้เขารีวิวอาหาร อร่อยอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องไปกินเนื้อแบบนั้นแบบนี้ เคยมีไหมที่จะเห็นคนไปแย้ง ว่านั่นกิเลส นั่นกาม ไม่มีหรอก เขาก็ไหล ๆ ไปรวมกันนั่นแหละ

แต่ถ้าเราเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการไม่กินเนื้อสัตว์นี่ เขามาฮึ่ม ๆ ใส่เลยนะ กับกิเลสโลก ๆ ทั่ว ๆ ไป เขาไม่ค่อยสู้กันนะ เขามาสู้กับคนที่เผยแพร่ธรรมที่พาให้ไม่เบียดเบียน นี่มันยังไง แต่ก็ไม่สงสัยหรอก ก็มันหน้าที่เขา เขาก็ทำตามหน้าที่เขา

ส่วนเราก็ทำตามหน้าที่เรา เผยแพร่ไป นึกมุกใหม่ได้ก็เผยแพร่กันไป ถ้ามุกตันก็ทบทวนธรรมศึกษาโลกไปเดี๋ยวก็นึกออกสักวัน

ผมคิดว่ามันไม่มีอะไรดีเท่าเราเผยแพร่สิ่งดีออกไปหรอก ก็ประมาณให้เหมาะก็พอ ก็ต้องติกันให้กระทบถึงอัตตา แต่ก็ไม่ถึงขั้นทะเลาะบาดหมางกัน เพราะคนสมัยนี้ด้าน หนา มารยาเยอะ ถ้าลงน้ำหนักไม่มาก ประนีประนอม มันไม่เข้า ไม่สะเทือนผิวเขาเลย

คิดดูสิ ทุกข์ ดิ้นรน แสวงหา เพราะความหลง ความอยากกินของตนแท้ ๆ แต่ต้องไปเบียดเบียนเขามา ถึงขนาดต้องให้คนไปฆ่าเขามากิน ก็ยังกินกันหน้าตาเฉย กิเลสมันจะหนาขนาดไหน ตื้น ๆ แค่นี้เขายังไม่รู้กันเลย

นี่ขนาดว่ามีคนเขาขยันเผยแพร่กันขนาดนี้ยังไม่เห็นผลเลย แล้วถ้าไม่ทำอะไรเลยมันจะแย่ลงขนาดไหนเนี่ย

พระพุทธเจ้าตรัสในโอวาทปาฏิโมกข์ว่าทำความดีให้ถึงพร้อม ไม่ใช่ให้ปล่อยวางความดี คือดีน่ะทำไป ถ้าจะปล่อยวางค่อยไปปล่อยตอนเขาจะฆ่า ถ้าเผยแพร่เรื่องไม่กินเนื้อสัตว์แล้วเขาจะฆ่า ก็คงจะปล่อยวางตอนนั้น ไม่ใช่ว่ากลัวตายหรอกนะ ก็แค่สงสารเขาว่าเขาต้องทำบาปด้วยเรื่องแบบนี้

และนี่เองคือรูปแบบเดียวกับที่คนดีในกลียุคต้องหนีเข้าป่า 7 วัน 7 คืน ให้คนชั่วเขาฆ่ากันให้หมดโลก แล้วค่อยออกมาใหม่ มันจะปล่อยวางดีกันตรงนี้นี่แหละ คือจุดที่ทำดีแล้วเบียดเบียน ทำร้ายกัน เราก็เลิกยึดดีนั้น แล้วหนีออกจากคนพาลไปหาดีใหม่ทำเท่านั้นเอง

พุดโถ่ พุดถัง เถียงกินเนื้อสัตว์

ว่าจะพิมพ์เรื่องนี้หลายทีแล้วก็ลืมทุกที วันนี้ได้โอกาส นำเรื่องนี้มาพิมพ์กัน ว่าทำไมเมื่อปฏิบัติธรรมไปแล้วจึงเลิกกินเนื้อสัตว์

ซึ่งก็มีเถียงกันมากมาย อ้างเหตุให้ได้ จะกิน จะกิน จะกินให้ถูกตามธรรมด้วย เอาข้อธรรมมาอ้างให้ได้กินนั่นแหละ ชีวิตมันจะต้องลำบากปกป้องตนเอง เสียเวลากับการปกป้องตนเองไปเพื่ออะไร

หลายวันก่อนระลึกถึงพระสูตรหนึ่ง ค้นเจอว่าเป็น เวฬุทวารสูตร ว่าด้วยธรรมที่ควรน้อมเข้ามาในตน ผมเคยใช้พระสูตรนี้อธิบายเรื่องการไม่กินเนื้อสัตว์อยู่ช่วงหนึ่ง แต่คราวนี้มันนึกขึ้นได้ว่า จริง ๆ มันก็ง่าย ๆ แค่นี้เอง ทำไมคนไม่เข้าใจ

เนื้อความก็ประมาณว่า สัตว์เขาอยากมีชีวิต เขาไม่อยากตาย เราก็ไม่อยากตายเช่นกัน เมื่อเราเข้าใจเช่นนั้น เราจึงไม่ฆ่าเขา และยังชักชวนให้คนไม่ฆ่า มีความยินดีในการไม่ฆ่า… เอาแค่นี้ก่อน

เอาแค่ภาษาแค่นี้ผมว่าคนมีปัญญาก็ทะลุได้แล้วนะ เลิกกินได้เลย เอ้อนี่ เราก็ไม่อยากให้ใครฆ่าเราไปให้ใครกิน ดังนั้นเราจึงไม่กินเนื้อใครซะเลย มันก็ตรรกกะง่าย ๆ คือถ้าไม่โง่จนเกินไปก็น่าจะพอเข้าใจ

แต่ผมก็เข้าใจอีกอย่างคือ ยุคนี้มันใกล้กลียุค คนมีวิบาก แม้ธรรมง่าย ๆ ก็ฟังไม่เข้าใจ มันจะมืดบอดไปหมด ไม่น้อมเข้ามาในใจ ไม่เห็นอกเห็นใจสัตว์อื่น ทำตัวเป็นใหญ่ ทำตัวเป็นเทพ อยู่เหนือสัตว์อื่น จิตมันเลยไม่น้อมไปว่า สัตว์อื่นทุกข์อย่างไร แม้เราโดนเช่นนั้น เราก็ทุกข์อย่างนั้น

ถ้าธรรมะเจริญจริง มันไม่ยากหรอกที่จะเห็นอกเห็นใจคนอื่น สัตว์อื่น เมตตาที่เพิ่มขึ้นมันจะมีผล มันจะเปลี่ยนแปลง มันจะมีความรู้สึกผิด กลัวบาป เพราะรู้ชัดในกรรมว่าทำไปแล้วโดนแน่ ๆ ผลของกรรมมันกลับมาเอาคืนแน่ ๆ ในเมื่อมันไม่ได้ติดเนื้อสัตว์มันก็ไม่รู้จะไปกินเอาวิบากร้ายทำไม

ใครอยากศึกษาต่อก็ไปตามอ่านกันเอา แต่ที่เถียง ๆ กิน นี่ยังไม่เจริญเท่าไหร่หรอก ก็มีแต่ตรรกะ สภาวะไม่ได้ เพราะถ้าจะเจริญอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คนนั้นก็ต้องไม่ฆ่า อันนี้คนทั่วไปก็พอจะทำได้ พอมาชักชวนให้คนอื่นไม่ฆ่า สายปฏิบัติกินเนื้อสัตว์นี่น้ำท่วมปากแล้ว พูดไม่ออก จะไปชวนคนที่เขาฆ่าสัตว์มาขายให้เลิกฆ่าก็พูดไม่ออก กลัวไม่มีเนื้อสัตว์กิน พอมาข้อสุดท้าย คือกล่าวชม มีความยินดีในการไม่ฆ่า ไปไม่เป็นเลยทีนี้ เพราะตัวเองก็กำลังเถียงสู้ (แม้จะเถียงในใจ)อยู่กับคนที่เขายินดีไม่ฆ่าสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ มันก็เลือกข้างชัดเจนอยู่แล้วว่า อยู่ฝั่งยินดีให้สัตว์โดนฆ่า ยินดีให้สัตว์ตาย ปล่อยวางธรรมแล้วถือเอาเนื้อสัตว์มากินมันซะเลย

ถ้าจิตมันไม่ยินดีให้สัตว์ตายนั้น ร่างกายมันจะเคลื่อนตาม มันจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตนเอง ไปทีละนิด ลด ละ เลิกไปตามฐาน ตามปัญญาที่มี

ฝึกหนีในวันสงกรานต์

ติดตามข่าวช่วงวันสงกรานต์มาหลายปี ยังไม่มีทิศทางที่จะลดความจัดและอันตรายลงได้เลย ก็แน่ละ เราจะกำลังเคลื่อนไปสู่กลียุค กิเลสและความหยาบมันก็ต้องจัดจ้าน เสื่อมทรามกันมากขึ้นเป็นธรรมดา

ทำให้ผมนึกถึงตอนกลียุคที่ว่า คนชั่วเขาจะฆ่ากัน 7 วัน 7 คืน ส่วนคนดีหนีไปอยู่ในป่า

นี่ขนาดสงกรานต์ไม่กี่วัน ยังไม่อยากออกไปไหนเลย เข้าใจเลยว่ากลียุคมันออกไปไหนไม่ได้ ออกไปตายอย่างเดียว นี่ขนาดวันสงกรานต์ บางคนเขาจำเป็นต้องออกไปทำธุระ ถูกสาดน้ำไม่พอ อาจจะยังโดนด่าอีก

ไอ้ความคิดประมาณว่า “นี่วันสงกรานต์ ไม่อยากถูกสาดก็อย่าออกจากบ้าน” อะไรประมาณนี้ มันเป็นคำเตือนให้เราปรับใจว่าโลกนี้มันหยาบแค่ไหน เราจะได้ไม่ต้องไปสู้ เก่งสุดก็แค่หนี

คุณจะสู้กับคนพาลยังไงก็แพ้ ดีไม่ดีถูกเขาด่ากลับ ทำร้ายกลับ หรือไม่ก็ฆ่า พระพุทธเจ้าท่านให้ห่างไกลคนพาล ไม่ต้องไปคลุกคลี ใกล้ชิดหรือคบค้าสมาคมด้วย

ถ้าอยากสงบก็หนีเข้าไว้ จัดองค์ประกอบชีวิตให้ไม่ต้องไปพบปะคนไม่ดี เข้าหากลุ่มคนดีแทน ก็จะปลอดภัย คือหนีไปก็ต้องมีที่หนีด้วยนะ หนีไปอยู่คนเดียวมันก็ลำบาก แต่หนีไปอยู่กับกลุ่มคนดีมันก็สบายหน่อย

เพราะบางทีเราหนีความวุ่นวายของเทศกาลข้างนอก แต่มากินเหล้าเมายากันในบ้าน บางทีก็ทำให้มีเรื่องเกิดปัญหาได้เหมือนกัน พาทุกข์ได้เหมือนกันนั่นแหละ

หรือถ้าหาอะไรดี ๆ ทำไม่ได้ หรือกิจกรรมของกลุ่มคนดีไม่ได้ ก็อยู่คนเดียว ไม่ไปหลงเมาหลงชั่วกับเขา นั่นก็ดีที่สุดเท่าที่พอจะเป็นไปได้แล้ว

ปลาซัคเกอร์เป็นภัยต่อระบบนิเวศน์?

จากกระทู้ : พบข่าว เจอปลาซัคเกอร์ ให้โยนบกให้ตาย เพื่อช่วยระบบนิเวศน์ เราไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้เหรอคะ

ช่วงนี้เจอข่าวปลาซัคเกอร์เป็นภัยต่อระบบนิเวศน์ ก็มีหลายคนที่ออกมาให้ความเห็นว่า ฆ่าได้ เพื่อรักษาปลาชนิดอื่น…

ผมว่ามันก็ชี้ให้เห็นถึงความตกต่ำของศีลธรรมในตัวคนนะ คืออะไรที่จะเกิดความเดือดร้อนต่อสิ่งที่ตนเองยึดว่าดี ก็เลยกำจัดสิ่งนั้น ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุจริงๆ

ในส่วนตัวผมไม่เห็นว่าการที่ปลาซักเกอร์จะเต็มแม่น้ำแล้วมันจะเกิดผลกระทบอะไรกับผมเลย แม้ปลาอื่นๆหมดไปก็ยังไม่เกิด เพราะจากนี้ไปจนถึงกลียุค คนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็ไปหาผักหาหญ้ากิน ดังนั้นจะมีหรือไม่มีปลาอะไรในแม่น้ำมันก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่

ถ้าเราไม่มองเรื่องกินเรามองเรื่องสิ่งแวดล้อมล่ะ จริงๆแล้ว คนนี่แหละไปทำให้ระบบวิเวศน์มันพัง ปลามันก็อยู่ของมันดีๆ ไปจับมันมากิน มันก็ลดจำนวนลงทุกวันๆ อันนี้ไม่เป็นศัตรูต่อระบบนิเวศน์ที่น่ากำจัดกว่าหรือ หรือไม่ก็โรงงานที่ปลอยสารพิษ การเกษตรที่ใช้สารเคมี ทำให้แหล่งน้ำและระบบนิเวศน์เสียหายกว่าเยอะเลย มันมีสิ่งที่มีพลังทำลายมากกว่าปลาซัคเกอร์อีกมาก

โดยธรรมชาติแล้ว มันไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้นานหรอก แม้ปลาซัคเกอร์ก็ตาม วันหนึ่งจะมีบางอย่างเกิดขึ้นมาทำลายปลาซักเกอร์เอง จะเป็นสัตว์อื่นก็ได้หรือจะเป็นคนก็ได้ โลกนี้หมุนไปบนความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ไม่มีวันที่ปลาซัคเกอร์จะครองแม่น้ำในไทยได้ทั้งหมดตลอดไป แต่วันที่คนบาปจะครองโลกนั้นมีอยู่ แต่ถึงกระนั้นสิ่งนั้นก็ไม่ได้ตั้งอยู่ถาวร สุดท้ายคนบาปที่ไร้ศีลธรรมก็ฆ่ากันตายจนหมดโลก แล้วคนดีที่แอบซ่อนอยู่ก็ค่อยๆ ออกมาฟื้นฟูโลกให้กลับมาสดใสงดงามอีกที หลังผ่านกลียุคไปแล้ว (อ้างอิงจากเหตุการณ์ในกลียุคที่พระพุทธเจ้าทำนายไว้)

ปัญหาที่ควรแก้จริงๆ ไม่ใช่ปลาซัคเกอร์หรอก แต่เป็นความตกต่ำของศีลธรรมในตนที่เห็นว่าการฆ่านั้นดี แม้จะให้เหตุผลใดๆ ก็ตามที (บางทีพูดยกตนเหมือนเสียสละ) แก้ปัญหานี้ก่อนจะดีกว่า เพราะสุดท้ายปลาซัคเกอร์ก็มีกรรมของมัน แต่คนที่ไปฆ่ามันก็ต้องรับกรรมที่ไปฆ่านั้นเอง ก็เลือกพิจารณากันไปว่าจะรับกรรมแบบไหน

ปล. แม้มีความยินดีในการฆ่าก็เป็นกรรมนะ :)