กลับไปเป็นนิสิตอีกครั้ง

กลับไปเป็นนิสิตอีกครั้ง หลักจากห่างหายจากการเรียนในห้องเรียนมาเกือบสี่ปี วันนี้ไปเรียนครั้งแรก หลังจากได้รับคัดเลือกเข้าเรียนที่ ymba ม.เกษตร เหมือนทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว …ไม่เป็นไรผมจะเล่าให้ฟัง

15 พฤศจิกายน 2552 สมัครสอบ ผมไปยื่นใบสมัครสอบที่ คณะบริหาร ม.เกษตร ซึ่่งในใบประกาศเขาบอกว่าวันนี้เป็นวันรับสมัครวันสุดท้าย และผมก็มีเวลาแค่วันนั้นพอดี ผมเองจำไม่ได้ว่าช่วงนั้นทำอะไรอยู่ จำได้แต่ว่างานยุ่งมากๆเลย พอไปถึงที่ เกษตรเขาก็ให้เลือกว่าจะสอบเข้าสาขาไหนบ้าง ถ้าเลือกสองสาขาแบบว่าสำรองได้ก็ 900 สาขาเดียวก็ 700 ร้อย

ด้วยความมุ่งมั่นที่ตัวผมมี และจากการวิเคราะห์จากคำบอกเล่าของเพื่อนที่เรียนบริหาร SME มาแล้วนั้น ผมจึงตัดสินใจเรียนภาคค่ำวันธรรมดา ซึ่งเรียนด้วยกัน 3 วันคือจันทร์ พุธ และศุกร์ ที่ผมตัดสินใจเช่นนี้นั้น อาจเพราะมีเหตุผลเดียวนั่นคืออยากเก็บวันเสาร์อาทิตย์ไว้ใช้เวลาไปไหนมาไหนบ้าง ซึ่งสิ่งนั้นมันจะดูสำคัญในเชิงสังคม(ของผมเอง)มากพอสมควรเลยทีเดียว และหลังจากนี้ก็รอสอบไป..

29 พฤศจิกายน 2552 วันสอบ และแล้ววันสอบข้อเขียนก็มาถึง เวลาที่ผมใช้ทบทวนนั้นมีไม่มาก ประมาณ 1 อาทิตย์กว่าๆเท่านั้น ซึ่งในเวปบอร์ดของ ymba รุ่น 15 เขาก็บอกว่าข้อสอบแนว GMAT ผมเองก็ไม่รู้หรอกมันคืออะไร ก็ไปหาตามร้านหนังสือทั่วไป ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่เจอ…

ด้วยความที่ว่าจะไปตามหาหนังสือมันก็ดูจะลำบากไป ก็เลยให้เพื่อนๆช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับบริหาร และข้อมูลแนวข้อสอบที่ใกล้เคียง สรุปผมโหลดข้อสอบเลชอะไรมาไม่รู้ครับ ไม่ได้เกี่ยวเลย แต่ก็ดันอ่านไปตั้งหลายข้อ แต่จริงๆก็ไม่ได้อ่านมากหรอกครับ วาดรูปไปสลับกับอ่านไปบ้าง เน้นไปทางวาดรูปซะเยอะหน่อย แล้วก็ดูเวปพวกบริหารบ้างตามที่เพื่อนส่งให้

มาถึงวันสอบแล้วทีนี้ ผมไปตั้งแต่เช้า แต่เช้าของผมคือสายของคนอื่นและแน่นอน คนเต็มไปหมด คนสอบสาขาบริหารการจัดการ รอบวันธรรมดามีอยู่ประมาณ 128 คน ซึ่งยังไม่รวมคนที่เลือกอันดับสองที่ผิดหวังมาจากสาขาอื่นๆด้วย เฉลี่ยๆแล้วน่าจะประมาณ มากกว่า 200 คนที่เลือก บริหารการจัดการ รอบวันธรรมดา

ครับมันไม่ง่ายเลยที่จะผ่านโจทย์นี้ไปได้ ผมตัองแข่งขันกับคนเกินกว่าร้อย เพื่อที่จะได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 30 กว่าคนที่ได้โอกาสเรียนที่นี่ ( ดูจากสถิติของรุ่นที่ผ่านมานะ ) แต่ก็เป็นเรื่องปกติของผมครับ ก่อนสอบผมมักจะทำใจให้สบาย หลังสอบก็ทำใจให้สบาย สรุปคือจะสอบตอนไหนผมก็สบาย สบายเหมือนเดิมครับอาจจะดูไม่ดีที่ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่นี่คือธรรมชาติของผมจริงๆครับ

การสอบของวันนี้เริ่มช้ากว่ากำหนดการที่ตั้งไว้ จากตอนแรกให้เวลา 3 ชม เหลือ 2 ชม โดยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบได้ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยไม่ได้ชี้แจง ไม่เป็นไรยังไงเราก็เท่ากันทุกคน แล้วก็เข้าห้องสอบครับ โจทย์ถือว่าไม่ยากมากมายเท่าไรนัก ผมใช้ความรู้ระดับ ม 6 + ดวง + ความน่าจะเป็นช่วยในการแก้ไขปัญหาแต่ละข้อจริงๆครับ และในระหว่างการสอบมีเหตุการณ์ำำไฟดับ ซึ่งผมคิดว่าคนที่อยู่หลังห้องเสียเปรียบเรื่องแสงพอสมควร แต่ห้องไม่ถึงกับมืดครับ ผมนั่งข้างหน้าอยู่ในแนวประตู ซึ่งเปิดออกหลังจากไฟดับก็ถือว่าไม่เลวเท่าไหร่ ก็ดูสมเหตุสมผลกับคนสายตาไม่ค่อยดีอย่างผมนั่นเอง

เดินออกจากห้องสอบ พร้อมค่าประมาณในหัวที่่ต้องเตรียมไปตอบ พ่อแม่พี่น้อง กับคำถามที่ว่าทำได้ไหม ผมก็จะตอบไปว่าทำได้ 30 อีก 40 ไม่แน่ใจ อีก 30 นั้นเดา… ครับนี่คือคำพูดที่ตอบให้กับทุกคนที่ถามเรื่องสอบ ดูตรงไปตรงมาดีไหมครับ แต่มันก็ประมาณนี้แหละนะ ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไป

8 ธันวาคม 2552 ประกาศผลสอบข้อเขียน และแล้วก็ถึงวันประกาศผลสอบ ผมลุ้นตั้งแต่เช้าเลยครับ ตื่นมารอกดรีเฟรชอัพเดทในหน้าเวป ymba กันตั้งแต่ตื่นนอนเลยทีเดียว ลุ้นไปลุ้นมาก็ง่วงเลยเดินไปนอนต่อ ตื่นมาดูอีกทีก็บ่ายๆครับ ผลออกมาน่าตกใจมาก ผมสอบผ่านครับ ซึ่งติดอยู่ในรายชื่อ 1 ใน 48 คน หมายความว่ามีคนอีกกว่า 70 คนต้องผิดหวังอย่างแน่นอน ซึ่งในขั้นตอนต่อไปก็ต้องไปสอบสัมภาษณ์กันล่ะครับ ซึ่งในการสอบสัมภาษณ์นี้ ผมก็สบายๆอีกเหมือนเดิมครับและแล้วก็มาถึงวันที่ ….

15 ธันวาคม 2552 สอบสัมภาษณ์ วันนี้อากาศดีครับ ผมออกจากบ้านแต่เช้าด้วยชุดเก่งพร้อมความมั่นใจเต็มร้อย พอไปถึงก็รับบัตรคิวรอสอบสัมภาษณ์ ซึ่งระหว่างนั่งรอผมก็ได้สังเกตุเห็น….

ผมแต่งตัวสบายเกินไปหน่อยครับ แน่นอนว่าชุดเก่งของผมเป็นชุดสบายๆซึ่งก็คือเสื้อเชิตกางเกงยีนต์เสริมหล่อด้วยรองเท้าหนังสุดโปรดที่เอาไว้ใส่ยามออกงานเท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับคนแถวนั้นถือว่าดูแปลก..แต่จริงครับ ตอนนี้ผมกำลังอยู่ท่ามกลางดงใส่สูทผูกไท ทุกคนสวยหล่อและดูดีกันจริงๆ เอาละซิ งานนี้ผมจะเอาอะไรไปเป็นจุดขายดี ในเมื่อตัวโปรดักส์ของผมนั้นใส่แพคเกจที่ดูไม่ค่อยเหมาะสมมา แล้วจะทำอย่างไร แน่นอนครับ ผมเองไม่ได้กังวลกับมันเท่าไหร่นัก…

ถึงเวลาเรียกสอบสัมภาษณ์ และผมเองก็มั่นใจมากสำหรับความมุ่งมั่น ความพร้อมด้านการเรียน ความพร้อมด้านการเงิน ซึ่งดูๆแล้วเขาจะให้ส่วนนี้มีน้ำหนักมากในการสอบสัมภาษณ์ครั้งนี้ ติดตรงการแต่งตัวนี่แหละครับ ด้านอาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์เกิดสงสัยตั้งแต่แรกเห็น ซึ่งผมก็สามารถอธิบายได้ในรูปแบบและธรรมชาิติของผมให้ ท่านอาจารย์แกเข้าใจได้ ส่วนท่านจะเข้าใจว่าอย่างไรจริงๆก็อีกเรื่องหนึ่งนะครับ

สุดท้ายอาจารย์ท่านก็บอกว่าคะแนนสอบสัมภาษณ์นี้มีแค่ไม่กี่คะแนนซึ่งจะส่งผลน้อยมาก เพราะยังไงถ้าคนที่สอบข้อเขียนได้คะแนนเยอะ แต่สอบสัมภาษณ์ ก็ยังติดอยู่ในผู้ได้โอกาศอันดับต้นๆอยู่ดี ซึ่งพอได้ยินดังนี้แล้ว ความกังวลเล็กน้อยก็เกิดขึ้นมาว่า หมายความว่าถึงจะได้คะแนนสอบสัมภาษณ์เต็ม แต่สอบข้อเขียนน้อยก็ไม่ติด….สินะ

ไม่เป็นไรครับ มาถึงขั้นนี้แล้ว เราจะปล่อยให้มันเป็นไปตามดวงครับ ซึ่งมันก็เป็นอย่างนี้แต่แรกแล้ว

22 ธันวาคม 2552 ประกาศผลสัมภาษณ์ อีกแล้วครับ ผมผ่านมาได้อีกด่านอีกแล้ว คราวนี้จาก 48 คนลดเหลือ 38 คน ผมก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนกันตั้ง 10 คน แต่เท่าที่รู้ๆเขารับ 30 คนครับ ผมอยู่อันดับ 34 ซึ่งหมายความว่านั่นคือสำรองอันดับสี่ และมันหมายความว่าต้องมาคนสละสิทธิ์สี่คนผมถึงจะได้เข้าไปเรียน

ตอนนี้่ผมเองไม่มีข้อมูลอะไรแล้วครับ ไม่มีสถิติเก่าไม่มีอะไรทั้งนั้น ลุ้นอย่างเดียว โดยขั้นตอนการสละสิทธิ์คืองานไม่โอนเงินเข้าไปในวันที่กำหนด ซึ่งก็ต้องลุ้นในวันสิ้นสุดการจ่ายเงินของตัวจริง

11 ธันวาคม 2553 โอกาสของตัวสำรอง แน่นอนครับว่าตัวสำรองทุกคนก็ต้องการเป็นตัวจริง แต่ในความจริงแล้วนั้น ไม่มีใครได้เป็นตัวจริงทั้งหมด ซึ่งโอกาสของผมช่างดูริบหรี่เสียจริง ผมโทรไปแถมที่คณะ ได้คำตอบมาว่า มีคนสละสิทธิ์แค่สองคน และดูเหมือนคนที่สำรองอยู่เขาจะเรียนด้วย นี่คือคำตอบที่ผมตีความมาจากคำพูดของเจ้าหน้าที่ และยังมีทิ้งท้ายว่าจะรู้แน่ชัดอีกทีก็วันที่ 13 เย็นๆ…

14 ธันวาคม 2553 แน่นอนว่าผมเองชอบความแน่นอน ซึ่งความแน่นอนนั้นดูจะไม่แน่นอนตลอดเวลา ผมยังมีความหวังบนความสิ้นหวังในนาทีสุดท้าย ของวันที่ 14 เวลา บ่ายแก่ๆ รวบรวมสมาธิโทรไปถามว่าผมจะได้โอกาสนั้นหรือไม่ เหตุที่ผมต้องการคำตอบขนาดนี้ เพราะว่าผมต้องการสมาธิในการทำงาน แน่นอนช่วงนี้ผมติดงานอยู่ครับ และเป็นงานที่ต้องใช้สมาธิสูงมาก ผมจำเป็นต้องตัดเรื่องกวนใจออกให้หมด ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ผมกังวลใจจริงๆ

ผมโทรไปที่คณะ และได้คำตอบมาว่า ตัวสำรองใช้สิทธิ์เข้าเรียนกันหมดแล้ว ซึ่งเมื่อได้ยินคำตอบนั้นผมก็ตัดใจแล้วครับ ซึ่งจริงๆแล้วผมคุยเรื่องทางเลือกอื่นๆเช่นมหาวิทยาลัยอื่นกับเพื่อนไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าต้อง ลองกันใหม่นะ

ผ่านไปไม่นานนัก มีโทรศัพท์เข้ามาที่โทรศัพท์บ้าน ซึ่งปกติผมไม่ค่อยอยู่รับเท่าไหร่ น้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคยบอกให้ผมรู้ในทันทีว่านี่คือโอกาส ใช่ครับ อย่างที่ผมคิดจริงๆ ทาง ymba โทรมาบอกว่าผมได้สิทธิ์เรียนโดยมีข้อกำหนดว่าผมต้องจ่ายแคชเชียร์เชคก่อนเที่ยงวันที่ 15 หรือวันพรุ่งนี้ และผมก็ตอบตกลงในทันที แน่นอนว่าเรื่องเงินนั้นคุณพ่อผมเป็นคนจัดการให้ครับ ซึ่งท่านก็นำมาให้ในเย็นวันนั้นนั่นเอง

15 ธันวาคม 2553 ผมมามหาลัย พร้อมความกังวลเล็กน้อยครับ ว่าผมได้เรียนจริงๆหรอ มันดูเหมือนเรื่องโกหกยังไงไม่รู้ แต่มันก็ดูสนุกดี และผมก็โทรไปถามวิธีกับทางคณะอีกครั้งด้วยเหตุผลทางใจหลายๆอย่าง สุดท้ายก็เอาเชคไปจ่ายให้่ที่คณะพร้อมเซ็นชื่อครับ ตอนเซ็นก็เห็นว่าผมเป็นคนสุดท้ายพอดี ที่ได้โอกาสนี้ ต้องขอบคุณผู้สละสิทธิ์ทุกท่านที่มีส่วนช่วยให้ผมไม่เสียเวลากังวลใจไปอีกหนึ่งปีครับ

หลังจากตอนเช้า ผมกลับมาทำงานต่อ และออกไปเรียนปรับพื้่นฐานอีกครั้งในเวลา 6 โมงเย็น สำหรับการเดินทางนั้นไม่ยุ่งยากนัก เพราะหนึ่งในเหตุผลที่ผมเลือกเกษตรนั่นคือความสะดวกในการเดินทางจากทุกทิศทุกทาง และใกล้บ้านผมเป็นหลัก ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 20-30 นาทีครับ

พอไปถึงก็คนเต็มห้องเลยครับ รู้สึกว่าวันนี้จะเรียนรวมกันทุกสาขาเพราะเป็นการปรับพื้นฐานครับ แน่นอนว่าคนที่จบศิลปกรรมอย่างผมมานั้นคงต้องปรับกันเยอะเลย แต่ดูท่าเพื่อนๆในรุ่นจะเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องอยู่แล้วครับ ซึ่งผมคิดว่าดีครับ จะได้มีคนปรึกษาเยอะๆ และผมก็มั่นใจว่าผมก็มีสิ่งที่เขาจำเป็นต้องใช้อยู่เหมือนกัน

เรียนๆกันไปก็มีพักด้วย ผมเดินลงไปเจอกับชามก๋วยเตี๋ยวนับร้อยที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะรอให้นิสิตทุกท่านรับไปทานกันให้อิ่มหนำสำราญกาย สบายใจ ซึ่งเรื่องอาหารว่างนี่ผมก็ได้ยินมาจากเพื่อนบ่อยๆครับ แต่ที่ผมเห็นตรงหน้านี่มัน…เป็นมื้อหลักได้เลยทีเดียว วันนี้ผมกินบะหมี่ไปสองชามครับ จริงๆจะกินชามเดียว แต่พอดีว่างๆไม่มีอะไรทำ แล้วเห็นว่าทำมาเยอะ แต่คนมาน้อยก็เลยช่วยเขากินอีกชาม ก็อร่อยดีครับ

สุดท้ายนี้เรื่องเรียนคงให้เป็นเรื่องของอนาคตต่อไปครับ ส่วนจุดประสงค์ในการเรียนหรือการเลือกเรียนนั้นคงต้องอธิบายกันในตอนต่อๆไป ถ้ามีโอกาส

และสุดท้ายนี้ เรื่องทั้งหมดนี้สอนให้รู้ว่า ” ดวงดีช่วยผมได้ “

สวัสดีครับ

To do list

To do list คือการจดบันทึกย้ำเตือนสิ่งที่ต้องทำ ควรจะทำ หรือน่าจะทำ…

การจดนั้นสามารถป้องกันการลืมได้อย่างดี โดยเฉพาะคนลืมง่ายแบบผม โดยปกติแล้วก็จะจดสิ่งที่ต้องทำประจำวันไปในกระดาษแผ่นเล็กๆเสมอๆ เพื่อป้องกันการลืม เพราะการออกจากบ้านแต่ละครั้งมันมีเหตุการณ์ชวนให้หลงลืมจุดประสงค์ที่ตั้งใจไว้จริง หรือแม้แต่การทำงานในบ้าน หรืองานที่ต้องทำในช่วงนั้นๆ ผมก็จะทำ to do list ไว้เสมอ

dinh-to-do-list

นี่เป็น to do list สำหรับงานที่ต้องทำตลอดครึ่งปีแรกของปี 2553 นี้จริงๆอยากเขียนให้หมดทั้งปี แต่แบ่งเป็นสองช่วงไว้ก่อนดีกว่าเผื่ออะไรจะเปลี่ยนแปลงไปได้ สำหรับแผนในครึ่งปีแรกนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการทำเวปไซด์ใหม่ และวาดโปสการ์ดใหม่ๆซึ่งดูแล้วก็เหมือนกับปีก่อนๆ แต่ในส่วนของเวปไซด์นั้น ผมมุ่งเน้นไปทางเวปเครือข่าย เพื่อจะได้ปั้นเวปไซด์ที่สามารถสร้างรายได้ในเวลาต่อๆไป ซึ่งจะนำพารายได้รายเดือนแบบต่อเนื่องมาสู่ผมนั่นเอง(คิดไปว่าอย่างนั้น)

จริงๆแล้วสำหรับแผนการเวปไซด์ของผมนั้นไม่มีอะไรการันตีว่ามันจะสร้างรายได้ให้รุ่งเรืองได้เลย เพราะมันเหมือนเป็นกาีรเสี่ยงล้วนๆ แถมเป็นการลงทุนด้วยเวลาที่ให้ผลตอบแทนช้ามากๆ ยกเว้นแต่ผมจะมีความสามารถในการสร้างเม็ดเงินจริงๆ

จริงๆแล้วผมกำลังลองเสี่ยงดูกับความสามารถที่ผมมีอีกครั้งครับ ผมเองไม่แน่ใจนักว่าผมเก่งหรือเชี่ยวชาญด้านไหนกันแน่ เพราะลองไปจับอะไรแล้วมันก็ดูสนุกและน่าเรียนรู้ไปซะหมด ผมเองไม่เลือกที่จะเรียนรู้อย่างใดอย่างหนึ่งให้เก่ง และแน่นอนความคิดของผมแบบนั้นมันไม่ดีเอาซะเลย เพราะว่าการไม่เก่งด้านใดด้านหนึ่งจะทำให้การหางานลำบากนิดหน่อย และดูอนาคตจะลำบากมากตามไปด้วย

แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่า ผมน่าจะมีเวลาอย่างน้อย 4 – 5 ปีก่อนที่ผมจะต้องเลือกเส้นทางหลักของชีวิตอีกครั้ง ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ก่อนที่ผมจะต้องเริ่มแบกรับภาระในชีวิตด้วยตัวเองทั้งหมด ผมควรจะเสี่ยงเรียนรู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ นี่คือก้อนความคิดของผมที่เป็นแนวทางในการเรียนรู้ในปีที่ผ่านๆมาและปี 2553 นี้นี่เอง

สวัสดี

จุ๊บเช้านี้

จุ๊บเช้านี้ เป็นอีกวันที่มันจะชอบมานอนรอหน้าประตูบ้าน และเมื่อเปิดประตูไป บานประตูก็จะไปถูไถกับพุงอ้วนๆ ที่มีขนฟูๆของมัน

วันนี้จุ๊บรออยู่หน้าประตูเหมือนเดิม ผมเปิดประตูไปครึ่งหนึ่ง แล้วหยุดอยู่ที่กลางตัวมัน หวังว่ามันจะลุกออกไปเอง แต่วันไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ มันก็ยังนั่งอยู่อย่างนั้น อยู่อย่างที่ประตูพาดผ่านหลังแมวหมู ดูแล้วนึกขำในใจ เราจะมาดูอาการของมันกัน

หลังจากมันถอยมาแล้วผมก็ไปเก็บของที่รถ และมองดูอาการของมันไปด้วยในเวลาเดียวกับ ภาพที่ปรากฏคือแมวที่เพิ่งตื่นสามารถหิวได้ทันที มันลุกขึ้นมาพร้อมเลียปาก แสดงอาการเตรียมพร้อมที่จะกินอย่างเต็มที่ทีเดียว

jub-morning-meal

สุดท้ายพอเก็บของเสร็จก็ไปเท อาหารเช้าให้แมวที่หิวโหยเป็นพิเศษได้กินกัน

สวัสดี

จุ๊บ ออน โซฟา

ช่วงเหมือนวิตกจริต กลับบ้านดึกๆทุกครั้งต้องเดินมาเปิดไฟ ดูที่ห้องรับแขกว่ามีสิ่งที่ใจอยากให้เป็นอย่างนั้นคือไม่ สิ่งนั่นก็คือมีจุ๊บนอนอยู่…

หลังจากกลับมาจากทำธุระนอกบ้านทุกครั้งซึ่งส่วนใหญ่จะดึกที่บ้านก็จะมืดและเงียบ เพราะนอนกันหมดแล้ว ผมเปิดประตูเดินเข้าไปในบ้าน และเดินเข้าไปดูที่ห้องรับแขก ดูว่าจุ๊บอยู่รึเปล่า และเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่กลับดึก ผมถามตัวเองว่าทำไม อาจจะเพราะความอุ่นใจก็เป็นได้ ที่เห็นมันนอนหลับอย่างสบายทุกครั้งที่นอนโซฟา ที่นุ่มและปลอดภัย

jub-cat-sofa-sleep

แต่วันนี้จุ๊บไม่หลับครับ เปิดไฟไปดูก็นอนตาแป๋ว ไม่นานก็ลุกขึ้นมาให้เปิดประตูบ้านให้ จุดประสงค์น่าจะเป็นอยากกินปลาทู แต่ตอนนี้มีแต่อาหารเม็ดก็เลยเทให้มัน ความหิวแลกมาด้วยนอนข้างนอก สำหรับจุ๊บมันคงไม่ได้คิดขนาดนั้น มันหิวก็เลยขอ ง่วงก็นอนที่ไหนก็คงจะไม่สำคัญเท่าไรนัก แต่ที่แน่ๆ มันชอบนอนบนโซฟา…

สวัสดี

อรุณสวัสดิ์แมวหมู

เมื่อวานก่อนตื่นนอนลงไปดูบอนสีตามปกติ และก็พบจุ๊บตามปกติ…

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เล็กๆตัวใหม่ที่แม่ซื้อมาให้ ดูๆแล้วเหมือนเก้าอี้ซักผ้า แต่มันก็นั่งสบายกว่าเก้าอี้พลาสติก อาจจะเพราะมั่นใจว่ามันจะไม่หัก.. จุ๊บนอนอยู่ข้างหลังผม บนตู้ที่ใช้เก็บของ ตื่นมาอย่างงัวเงียและกระโดดลงมาเดินผ่านผมไป

จุ๊บไปหยุดอยู่กลางทาง หันมามองหน้าผมแล้วร้อง “เหมียว” เป็นสัญญาณว่า ไปให้ทำหน้าที่ได้แล้ว นั่นคือให้อาหารมันนั่นเอง จริงๆมันแสนรู้ขนาดนี้แล้วก็น่าจะเปิดถุงอาหารเองได้แล้วนะ แต่มันอาจจะขี้เกียจก็ได้ หรือไม่ก็เป็นแมวมารยาทดี

ผมเดินผ่านในบ้านไปเพื่อเปิดประตูหน้าบ้านที่ยังลงกลอนไว้อยู่ และเมื่อเปิดออกมาก็จะพบกับจุ๊บ ซึ่งภาพแบบนี้เป็นเหตุการณ์ที่เดาได้ง่ายสุดๆว่าจุ๊บจะมารอ ณ จุดนี้ ซึ่งมันก็คงรู้เหมือนกันว่าผมคงจะเดินมาเปิดประตูแน่นอน

jub-cat-wait-fish

นี่คือภาพแมวจุ๊บกับจานอาหารที่ว่างเปล่า ที่บ้านผมใช้จานสแตนเลส ซึ่งมีอยู่ใบเดียวที่ซื้อมาสำหรับแมวโดยตรงกันเลยทีเดียว เพราะเคยใช้ชามพลาสติกแล้วมันเสื่อมสภาพและพังไวมากๆจะไม่เปลี่ยนมันก็ไม่ดี ก็เลยใช้จานแบบนี้มาเกือบ 10 ปีแล้ว

แถมท้ายด้วยคลิปวีดีโอจุ๊บ โชว์โหม่งประตู และเลียปากแพล่บ ๆ ( อาการเห็นหน้าผมแล้วหวังว่าจะได้กินปลาทู )

อาหารว่างของจุ๊บ

อาหารแมว หรืออาหารว่างสำหรับจุ๊บนั้น ดูจะเป็นอะไรที่กินเพื่ออยู่จริงๆสำหรับ อาหารเม็ดสำหรับแมวแก่ๆตัวนี้..

ช่วงหลังมานี่ประมาณ หนึ่งเดือนถึงสองเดือนที่ผ่านมา ผมมีกิจกรรมเยอะ และไม่ค่อยได้แวะห้าง จึงไม่ได้ซื้อปลาทูมาให้จุ๊บเหมือนเดิม และแม้ว่าจะไม่ได้กินปลาทู มันก็ยังคงดูอ้วนเหมือนเดิม…

jub_eat_snack

เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่แม่ลองเปลี่ยนยี่ห้ออาหารแมวอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่ผมคิดว่ามันได้ผล เพราะว่าจุ๊บดูสนใจกับอาหารที่เทให้มากขึ้น ให้เวลากับการกินต่อครั้งมากขึ้น และอาหารมีกลิ่นแรงมากขึ้น หมายถึงกลิ่นปลานะครับ

ลักษณะนิสัยของจุ๊บคือชอบกินแล้วเดินไปมาๆซักพักจะมากินใหม่ ( สำหรับอาหารเม็ด ) ซึ่งในตอนกลางวันนั้น จุ๊บซึ่งใช้วิธีนี้ก็จะไม่ค่อยได้กินอาหารเท่าไหร่ เพราะหลังจากมันกินรอบแรกเสร็จแล้ว ระหว่างพักก็จะมีนกพิราบที่มาปักหลังอยู่แถวบ้านผม มากินอาหารสลับไปกับจุ๊บ เลยทำให้อาหารแมวที่เทไว้ให้หมดตอนไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน คล้ายๆว่าต้องเทไว้เผื่อนกและจุ๊บในเวลาเดียวกัน

แต่ตอนเย็นนั้น ไม่มีนกพิราบ นกพิราบจะมาคอยอาหารตั้งแต่สายๆไปจนถึงบ่ายก็จะเริ่มบินหายไป ผมคิดว่ามันคงทำรังใกล้ และสวนอาหารของมันก็คืออาหารแมวของจุ๊บ ทุกครั้งที่ผมลงมาเปิดประตูบ้านก็จะเจอนกพิราบสลับกับจุ๊บเสมอๆ

จริงๆแล้วนั้น อาการกินๆหยุดๆเป็นขนมของแมวนี่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดกับแมวทุกตัวรึเปล่า เพราะแต่ก่อนเลี้ยงหลายตัว มันจะแย่งกันกินจนต้องรอให้ใหม่อีกรอบหนึ่ง และถึงกับต้องมีสองจานแมว จะได้ไม่ต้องแย่งกัน และทุกครั้งอาหารเม็ดก็จะหมดในพริบตา นั่นคือเหตุการณ์ครั้งยังเลี้ยงแมว 3 – 4 ตัว สำหรับตอนนี้เหลือตัวเดียวแล้ว จุ๊บมันคงคิดว่าไม่ต้องไปแย่งกับใคร เลยกินแบบขนมกินเล่นมันซะเลย

สำหรับจุ๊บตอนนี้ก็เริ่มเป็นแมวแก่ๆแล้ว เรื่องอาหารเลยต้องแอบสังเกตุมันนิดหน่อย จะได้ปรับให้มันกินได้อร่อยๆต่อไป

สวัสดี

จุ๊บแมวหมู นอนขนฟู บนตู้โต๊ะ

หน้าหนาวนี้ผ่านมาผ่านไปเหมือนจะเร็วไวเหลือเกิน หมายถึงอากาศหนาวที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ซักพักก็พัดมาใหม่ ไม่แน่นอนนั่นเอง

และวันนี้ก็มีรูปแมวหน้าหนาวมาให้ดูกัน ซึ่งจะสังเกตุได้ว่ามันขนฟูขึ้น อาจเพราะอากาศที่หนาวเลยทำให้มันดูขนฟู แมวตัวนั้นคือจุ๊บนั่นเอง

morning_sweet_jub_cat1

วันนี้ผมไปเจอมันนอนอยู่ครับ ตอนแรกก็ไม่ได้สังเกตุ จุ๊บชอบเปลี่ยนที่นอนไปเรื่อยๆ บางทีก็เจอในกระถาง บางทีก็เจอริมรั้ว บางทีก็เจอในพงหญ้า บางทีก็เจอบนกำแพงบ้าน การที่ผมได้เจอจุ๊บในที่แปลกในแต่ละครั้งนั้น มันทำให้ผมแปลกใจทุกทีเลยทีเดียว

morning_sweet_jub_cat2

ลองซูมเข้าไปใกล้ๆครับ เป็นหน้าแมวเพิ่งตื่นดูเกเรขวางโลกไม่น้อย เหมือนเป็นคนละตัวกับที่มาอ้อนขอปลาทูกินตอนบ่ายๆจริงๆ

morning_sweet_jub_cat3

ไปยุ่งกับมันซักพักมันก็เริ่มเมินแล้วครับตามประสาแมวหนุ่ม ที่มักไม่ค่อยสนใจอะไรนัก แต่ถ้าไปแมวเด็กๆ ไปถ่ายรูปเล่นกับมันแบบนี้มันก็จะเล่นด้วยครับ หรือไม่อีกอย่างคือจุ๊บมันรักสงบครับ… จริงๆมันก็เล่นไม่เป็นแต่เด็กแล้ว เป็นแมวกรุ้มกริ่ม

morning_sweet_jub_cat4

สุดท้ายเลยปล่อยมันนอนขดตัวกลมขนฟูอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ จริงๆวางเบาะไว้ให้มันอีกมุมหนึ่ง มันนอนไปได้ซักพักก็เลิกนอน เพราะตอนนั้นฝนตกลมแรงสาดเข้ามาทำให้เบาะเปียก ระหว่างที่เปียกนั้นจุ๊บมันคงจะมาดูแล้วดูว่ามันนอนไม่ได้มันก็เลยจำไว้ครับ หลังจากนั้นผมเอาเบาะไปตากจนแห้งดีแล้ว กลิ่นอับก็ไม่มี แล้วเอามาวางที่เดิม แต่มันก็ไม่กลับมานอนครับ คงจะจำฝังใจจริงๆนั่นแหละ เดี๋ยวว่าจะลองเปลี่ยนมุมวางเบาะดูเผื่อมันจะชอบ

สวัสดี

เรื่องเล่าไม่ประจำวัน ความหิวของจุ๊บ ความฝันของตัวใหญ่

เรื่องเล่าวันนี้ ที่ไม่เล่าประจำวันก็เพราะว่า มันไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องแมวสองตัวให้อ่านกัน…

เริ่มจากจุ๊บก่อน วันนี้ผมเปิดประตูหลังบ้านไปชมบอนสีตามปกติ และก็เหมือนเดิมตามปกตินั่นคือจุ๊บจะนอนอยู่ที่ประตู พอเปิดไปก็ชนมันพอดี ก็ดันๆมันไปมันก็ลุกออกไป ทีนี้พอมันเดินไปนิดหนึ่งก็หันกลับมาร้อง ผมก็ยืนดูบอนสีอยู่ หันไปมองมันก็ร้องอีก มันเดินไปอีกนิดก็หันมาร้องอีก หลาย เหมียวมาก ซึ่งปกติหลายปีผ่านมาผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงจุ๊บร้องเลย คนที่บ้านก็คิดว่ามันเป็นแมวใบ้ แต่ตอนนี้มันเริ่มร้องบ่อยขึ้น

กลับมาที่หลังบ้าน บอนสี และแมวจุ๊บ ผมยืนดูมัน มันหันกลับมาดูผม มองหน้าผม และร้องอีกครั้ง ผมพอจะเดาความต้องการของมันได้เลยบอกมันว่า ” รอแปปหนึ่ง เดี๋ยวจะไปเทให้ ” เทที่ว่านี้คือเทอาหารแมวนั้นเอง ผมเข้าบ้านปิดประตูหลัง เปิดตู้เย็นหยิบแก้ว หยิบขวดน้ำ เทน้ำ กินน้ำและเอาขวดใส่ตู้เย็นและวางแก้วไว้ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูหน้าบ้านเพื่อออกไปกินข้าว

เมื่อเปิดประตูหน้าบ้านก็พบจุ๊บอยู่หน้าบ้านนอนพิงประตูอยู่เลย เหมือนว่ามาจองที่อย่างไรอย่างนั้น ผมดันมันออกไปและลูบหัวมันทีหนึ่งเล่นกับมันนิดหน่อยแล้วเทอาหารแมวให้มัน

ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ผมเพิ่งคิดได้เมื่อกี้ว่า ที่จุ๊บมันมานอนหลังบ้านมันรู้หรือเปล่าว่าผมจะออกมาดูบอนสี หรือมันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ…?

————————————————–

กลับมาที่เรื่องตัวใหญ่กันบ้าง หลังจากผมออกไปกินข้าวและขับรถกลับมานั้น ในระหว่างเข้าซอยในหมู่บ้านผมเป็นฝูงแมวสามตัว และหนึ่งในนั้นคือตัวที่ผมคุ้นเคยดี…

tuayai

ตัวใหญ่เป็นแมวที่อยู่กับบ้านผมมานาน และไม่นานนี้หลังจากเราได้ย้ายมาบ้านใหม่ที่นี่นั้น ตัวใหญ่เริ่มจะออกไปข้างนอกบ่อยขึ้น และบ่อยขึ้นจนไม่กลับมาให้เห็นเป็นเดือนๆเลย ซึ่งก่อนหน้านี้ผมคิดว่ามันตายไปแล้วด้วยซ้ำ

ตัวใหญ่เป็นแมวหนุ่มที่ดูเหมือนจะเก็บกด ตอนเด็กๆก็โดนเจ้านายรังแก ( ผมเอง ) โตมาแม้จะตัวใหญ่ก็ไม่มีความมั่นใจ อยู่ที่บ้านเก่าที่ลาดพร้าวก็ต้องกลัวแมวเจ้าถิ่นเขาเดินมาก็ยอมให้อาหารกิน โดนขู่ก็วิ่งหนี…

และหลังจากที่ผมพบฝูงแมวสามตัววันนี้ และหลังจากที่ผมรู้ว่าหนึ่งในนั้นคือตัวใหญ่ ผมจึงขับรถไปเทียบเพื่อลองเรียกมันดู ตัวใหญ่นั่งนิ่งมองดูผม ในขณะที่แมวตัวอื่นดูงงๆและตกใจ ผมรู้ทันทีว่าตัวใหญ่ได้อยู่ในที่ ที่มันชอบแล้ว มันมีฝูงของมัน มีกลุ่มของมัน มีเพื่อนของมัน และมันก็ดูจะอาวุโสที่สุดในกลุ่มเสียด้วย

แม้ว่ามันจะไม่ได้กลับบ้าน แต่เห็นมันวนเวียนอยู่แถวบ้านก็ยังอุ่นใจ อย่างน้อยที่แน่นอนเลยคือต้องมีคนคอยให้อาหารมันแน่ๆ เพราะมันไม่ได้ดูผอมอย่างที่คิดเลย และปลอกคอของตัวใหญ่นั้นก็ยังติดอยู่ แต่ของจุ๊บนั้นหลุดไปแล้ว

จุ๊บไม่ชอบปลอกคอเอามากๆ อยากจะถอดจะเป็นจะตาย แต่ตัวใหญ่ไม่มีอาการแบบนั้น เมื่อถึงสถานะการที่มีข้อจำกัดดูเหมือนตัวใหญ่จะทนได้ดีกว่าจุ๊บหลายเท่านัก จริงๆอาจจะไม่เรียกว่าทนก็ได้ อาจจะเป็นไม่รู้อะไรเลย หรือไม่ก็ไม่สนใจอะไรเลยนั่นเอง

สำหรับวันนี้ ผมดีใจที่ได้เจอตัวใหญ่อีกครั้ง

สวัสดี

หมาข้างบ้าน

ดูแมวในบ้านกันมาก็เยอะแล้ว คราวนี้มาดูหมาข้างบ้านกันดีกว่า…

thedognextdoor

สองตัวนี้อยู่แถวๆบ้านผมเองครับ เดินข้ามถนนไปหน่อยก็เจอบ้านที่เลี้ยงหมาครับ ผมชอบเดินไปดู ดูๆใกล้แล้วไอ้ไซบีเรียน ฮัสกี้ นี้หน้ามันก็ตลกอยู่ไม่น้อย แต่ก่อนเคยคิดว่ามันเป็นหมาเท่ห์ แต่สองตัวนี้มันตลกจริงๆ

แรกๆเดินไปหาก็เห่าๆหน่อยแหละครับ หลังๆเริ่มไม่เห่า ไม่รู้ว่าจะทำให้ผมตายใจรึเปล่า แต่มันก็ดูไม่เป็นมิตรเท่าโกลเดนละนะ

คราวนี้ลองเดินไปดูๆตอนแรกมันก็นอนเล่นๆกันอยู่ เห็นผมคงนึกว่าอาหารเลยวิ่งมากันใหญ่ พยายามจะเอาหัวลอดรั้วมา แต่ตัวก็ใหญ่ลอดได้แต่หัวนั่นแหละ มองๆไปก็เห็นมันสั่นหางดิ๊กๆเลย แต่ก็ไม่กล้าไปจับมันหรอกนะครับ ยังเกรงใจอยู่ แต่ดูจากอาการของมันก็พอรู้เลยว่า …อ่อ นี่มันหมาเหงานี่เอง ตัวซ้ายหน้าตาเกเรนิดหน่อย แต่ตัวขวานี่หน้าตาท่าทางเหมือนพยายามเป็นมิตรสุดๆ แต่ผมไม่หลงกลมันหรอกครับ ยื่นมือไปมันอาจจะงับมือผมเป็นของว่างก็ได้

แต่จะว่าไปพันธุ์นี้มันก็ไม่น่ากลัวเท่าบางแก้วละนะ ท่าทางไม่เป็นมิตรสุดๆเลย ผมเองไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องหมาหรอกครับ ฟังๆเขาพูดเอา เห็นมากับตาตัวเองบ้างก็นิดหน่อย เอาเป็นว่าสองตัวนี้ดูน่ารักดีก็เลยถ่ายรูปมาเขียนถึงแล้วกัน

สวัสดี

คนค้นฅน อวอร์ดครั้งที่ 1

ครั้งนี้ผมไปร่วมงานกับทีวีบูรพาอีกแล้วครับ เป็นงานมอบรางวัลครับ งานนี้ผมเป็นผู้ติดตามแม่ผมไปอีกทีครับผม เล่าเรื่องพร้อมๆกับดูรูปกันไปเลยแล้วกัน

konkonkon_award1

ไปถึงก็ต้องไปลงทะเบียนกันก่อนเลยครับ เจอพี่ประวิทย์ที่เคยดูแลตอนไปสวนลุงนิลมาทักทายพร้อมอำนวยความสะดวกให้ และได้บัตรที่นั่งมา เป็นเบอ V5 ถ้านับดูในใจแล้ว V มันห่างจาก A มากเลยนะนั่น ไม่ป็นไรครับ ผมชอบนั่งหลังๆอยู่แล้ว

konkonkon_award2

บรรยากาศริมทางเดินนะครับ ผู้คนมากมาย ต่างพากันมาด้วยความปิติยินดี งานนี้รวมแต่คนดีๆมีคุณภาพจริง

konkonkon_award3

คนตรงกลางนี่แม่ผมเองครับ สำหรับคนซ้ายและขวาคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว

konkonkon_award4

ถ่ายกับคุณหมอที่แกไปผลิตยาช่วยผู้ป่วยที่แอฟริกาครับ ผมเองก็ไม่เคยรู้เรื่องของแกหรอกครับ เพิ่งมารู้เอางานนี้แหละ ปกติผมจะไม่ดูทีวีซักเท่าไหร่ ก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่องกับเขา ขวาก็แม่ผมเอง ซ้ายก็พี่ป้อมเป็นสมาชิกตนคอเดียวกันที่ไปสวนลุงนิลด้วยกันครับ

konkonkon_award5

แม่ผม หมอเกษตร หมอล๊อต และพี่ป้อม ก่อนจะมาถึงรูปนี้พี่ป้อมแกพูดถึงหมอล๊อตบ่อยๆครับว่าอยากได้รูปด้วย เห็นหมอแกเดินไปมาไม่ได้ถ่ายซักที ผมเองก็ไม่รูอีกเหมือนเดิมครับว่าหมอแกเป็นคนยังไง ได้ฟังที่แกทำก็นึกว่าเป็นหมอแก่ เห็นอีกทีนี่หนุ่มขนาดเรียกพี่กันทีเดียว ขออภัยในความไม่รู้ของผมด้วย

konkonkon_award6

เข้ามานั่งกันในงานแล้วครับ ผมได้นั่งอยู่ด้านขวาด้านบน ซึ่งมองเห็นเวทีได้ชัดเจนครับ แต่เก้าอี้แอบเมื่อยก้นนิดหน่อย

konkonkon_award7

พีธีกรคุณประสานและคุณแก้วตาทำหน้าที่ดำเนินการในครั้งนี้ครับ

konkonkon_award8

ศิลปินที่มาร้องเพลงเปิดรางวัลหนึ่งครับ เขาคือ จุ๋ย จุ๋ยส์ ผมเองก็ไม่เคยฟังเพลงเขาอยู่เหมือนกัน แต่พอเริ่มต้นนั้น การจะไม่สนใจเขาคงเป็นไปไม่ได้เลย การแสดงของเขาดึงดูดให้คนสนใจ ในทันทีตั้งแต่ยังไม่เริ่มแสดงเลยก็ว่าได้ เพราะ แกเล่นใช้ไมค์ตั้ง 3 ตัวซึ่งดูยังไงก็ไม่ใช่ทั่วไป นี่คงเป็นจุดขายของเขา และด้วยเสน่ห์แนวเพลงของเขาช่างแปลกจริงๆ จะเปรียบก็คงเหมือน..อาหารในบาตรพระ ละมั้ง

konkonkon_award9

ส่งท้ายด้วยปฏิญาณตน ความหมายโดยรวมประมาณว่า เราจะเป็นคนดีครับ

จบงานดูแล้วดีทีเดียว ผมค่อนข้างประทับใจที่อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้ว่ามีคนเก่งและมีคุณค่าต่อสังคมอีกมากมาย ทำให้คิดว่าตัวเองทำอย่างไรที่จะเป็นถึงจุดนั้น…คิดไปคิดมาก็คิดได้ว่าเป็นตัวเองให้ดีที่สุดนี่แหละ เพราะแต่ละคนก็มีคุณค่าในตัวเองต่างกันไป..

หลังจากนี้ผมคงต้องหยิบหนังสือเกี่ยวกับผู้คนเหล่านี้มาอ่านมากขึ้นซะแล้ว…..

สวัสดีครับ