เมื่อไม่มีแมว

วันก่อนได้เห็นภาพที่ได้ถูกแบ่งปันกันตามเฟสบุค เป็นภาพที่มีคนอุ้มลูกแมวหลายๆตัวไว้ในอ้อมกอด ดูแล้วก็นึกถึงตอนที่เคยมีแมวตัวใหญ่ๆ สามตัวที่มันยังอยู่รวมกัน หลายครั้งก็ได้อุ้มมันแบบนั้นเหมือนกันนะ

อุ้มแมวสามตัว
อุ้มแมวสามตัว

Continue reading เมื่อไม่มีแมว

Welcome to DUCK BLOG

เปลี่ยนแปลงกันอีกครั้ง ของบล็อกแห่งนี้ เมื่อหลายปีก่อนก็มีหลายชื่อแต่ในปัจจุบันก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น DUCK BLOG บล็อกเป็ด อะไร อย่างไร ทำไม เดี๋ยวเล่ากันต่อเลย

ความเปลี่ยนแปลง

เดิมทีบล็อกแห่งนี้เคยเป็นช่องทางการเผยแพร่ข่าวสารของ MonkiezGrove ในเวลาต่อมาก็ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็น Dinh Blog ซึ่งจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน ประสบการณ์ต่างๆของ Dinh เมื่อเวลาผ่านไปมีเรื่องราวมากมายค่อยๆถูกแยกออกไปเป็นบล็อกอื่นเรื่อยๆ เช่น cactus , caladium ฯลฯ และในครั้งนี้ก็เช่นกันเป็นความเปลี่ยนแปลงของเนื้อหาในบล็อกแห่งนี้อีกครั้ง

ในครั้งนี้เป็นการแยกเนื้อหาที่มีความจริงจังเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของ Dinh ออกไปอีกบล็อกหนึ่ง ซึ่งจะเน้นไปทางการดำเนินชีวิต การแบ่งปันประสบการณ์ชีวิต และนั่นหมายถึงการหั่นความหมายของ Dinh Blog ออกไปจนเหลือเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงกลายมาเป็น DUCK BLOG อย่างที่เห็นกันอยู่นี่ บล็อกเป็ดๆ อะไรแบบเป็ดๆ หลายอย่างไม่จริงจัง ขำๆกันไป

สิ่งที่เหลืออยู่

ในปัจจุบันบล็อกแห่งนี้ก็ถูกแบ่งภาคออกไปจนความสำคัญ หรือสาระเริ่มจะไม่มีแล้ว คล้ายๆว่าเหลือแต่บ่นๆ ดินฟ้าอากาศ เล่านู่น กล่าวนี่ อะไรแค่ประมาณนี้ สิ่งที่เหลืออยู่ในตอนนี้อาจจะจับประเด็นไม่ได้นักว่าเหลืออะไร แต่บล็อกเป็ดก็จะดำเนินต่อไปแบบเป็ดๆ เมื่อมีอะไรสำคัญๆก็อาจจะแยกร่างออกไปอีกก็เป็นได้ ดังนั้นสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือความเป็นเป็ดนั่นแหละ

ทำไมต้อง DUCK BLOG

ผมชอบเป็ดนะ เป็ดทำอะไรได้หลายอย่าง แน่นอนว่าดูเหมือนจะไม่เก่งสักอย่าง แต่นั่นมันมองจากสายตาของคน คำตัดสินของคนเป็นอย่างไรก็รู้กันอย่างนั้น แต่ถ้ามองในมุมเป็ด มันคงจะมีความสุขมากๆที่ทำอะไรได้หลายๆอย่าง เพราะความหลากหลายนี่เองจะทำให้เกิดการเรียนรู้ในภาพกว้าง

ผมเองเป็นคนไม่ชอบลงรายละเอียดในสิ่งไหนลึกๆ พอเข้าไปพบ ไปสัมผัส ก็มักจะถอนตัวออกมาในเวลาไม่นานนัก จะไม่จมอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนาน ชอบเรียนรู้ไปเรื่อยๆมากกว่า เอาแค่พอรู้แล้วก็ถอยมาดูอีกที เพราะศาสตร์ต่างๆในโลกนี้ดูเหมือนจะไม่มีแก่นสารใดๆ ดังนั้นผมเองยังค้นหาต่อไปว่าสิ่งไหนหรือสิ่งใดที่ควรจะให้เวลากับมันจริงๆ หรือควรจะจริงจังกับสิ่งนั้นจริงๆสักที

ชีวิตที่ผ่านเลยมาถึงต้นปี 2556

และแล้วก็ผ่านต้นปีมาจนถึงช่วงกลางเดือนมกราคม ผ่านวันเด็ก ผ่านวันอะไรๆที่ดูจะสำคัญในช่วงปีใหม่มาแล้ว คงจะเป็นช่วงที่ผ่อนคลายและสงบนิ่งมากขึ้น

ก่อนปีใหม่ก็ไม่มีเวลาได้ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาในปี 2555 และวางแผนในปี 2556 เลย มันดูเหมือนจะว่าง แต่พอนึกไปมันก็ไม่ว่าง มีอะไรยุ่งๆ นิดๆ หน่อยๆ เต็มไปหมด มีอะไรให้ทำตลอดเวลาจนลืมนึกไปว่าในปีนี้ยังไม่มีแผนเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไรนัก มีแต่แผนรวมๆระยะยาวเท่านั้นเอง

MonkiezGrove , Cartoon Postcard Animation

ในปีนี้ เท่าที่คิดได้ก็จะกลับมาพัฒนามังกีซ์โกรฟ (www.monkiezgrove.com) อีกครั้ง หลังจากปล่อยให้ร้างไปเกือบสองปี ซึ่งการปัดฝุ่นครั้งนี้ได้ใช้ประสบการณ์และความรู้ที่เก็บเกี่ยวมาในช่วงที่เรียนโทมาใช้ด้วย ทำให้เป็นการวางแผนการสร้างในทุกระยะเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะต่อเนื่อง มั่นคง และยั่งยืนกว่าเคย อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในบทบาทบ้าง ตามความเหมาะสม แต่สุดท้ายสิ่งที่ยังเป็นงานหลักของมังกีซ์โกรฟ คือ การ์ตูนน่ารัก คำนี้จะฝังลงไปในทุกๆกิจกรรมของมังกีซ์โกรฟ

ดอกทานตะวัน

อีกอย่างก็คงจะเป็นการทำอัลบั้มภาพออนไลน์ที่ DINPhoto ( photo.dinp.org ) ภาพที่ถ่ายเก็บไว้เยอะมากๆ ภาพที่ไปเที่ยวถ่ายวิว ถ่ายนู่นถ่ายนี่ ตามประสาคนบ้าถือกล้่องไปที่ไหนก็ถ่ายที่นั่น จะได้นำมาลงแบ่งปันกันให้ชมเสียที เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราอยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปดูโลกบ้าง ก็ค่อยๆติดตามกันเป็นระยะๆ นะครับ จะทยอยๆ ลงไปเรื่อยๆ

ส่วนงานอื่นๆ ก็คงกลับมารับทำเหมือนเดิมหลังจากงดรับงานมาเกือบสองปี เพื่อมุ่งเน้นไปในการเรียนรู้ให้คุ้มค่าที่สุด ณ ตอนนี้เหมือนจุดที่ทุกอย่างคลี่คลาย ค่อยๆกลับมาเป็นเหมือนปกติอย่างช้าๆ สำหรับปีนี้คงได้แค่ทำตามแผนที่วางไว้ สำหรับแผนใหม่คงยังไม่คิด เอาไว้คิดปีหน้าดีกว่า ตอนนี้สะสมทุนอีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในโอกาสหน้า

สำหรับใครที่ยังไม่ได้วางแผนชีวิต ก็ลองใช้เวลานั่งคิด นั่งทบทวน นั่งคุยกับตัวเองดูก็ได้ ว่าชีวิตต้องการอะไร อะไรคือเป้าหมาย ได้มาแล้วยังไงต่อ คิดล่วงหน้าไว้ก่อน สุดท้ายค่อยสกัดด้วยคำว่า “อะไรที่จำเป็น

สวัสดี

MonkiezGrove Free stuff : การ์ตูนแจกฟรี กับมังกีซ์โกรฟ

ปี 2013 หลังจากเปิดตัวเว็บไซต์มังกีซ์โกรฟในรูปแบบ MG 2013 ไปแล้ว ซึ่งหลายๆ ท่านก็อาจจะได้เห็นและไม่ได้เห็นไปบ้างแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงของมังกีซ์โกรฟ เท่านั้นเอง

ในปี 2013 ยังมีของขวัญ อีกชิ้นที่มังกีซ์โกรฟ จะนำมามอบให้กับทุกท่าน นั่นก็คือการ์ตูนแจกฟรี ซึ่งปกติเราก็จะแจกในช่องทางของ Social network อย่างเฟสบุคในหน้าของ MonkiezGrove Cartoon Book อยู่แล้ว ก็เลยมาทำหน้าแจกกันให้เป็นกิจจะลักษณะไปเลย คนเข้ามาดูเข้าจะได้แยกออกว่า อ่อหน้านี้แจก หน้านี้บ่น หน้านี้แสดงผลงานและแนวคิดอะไรประมาณนี้ ซึ่งก็จะแบ่งเพื่อให้ทุกท่านได้เข้าถึงและใช้งานเว็บไซต์ของเราได้ง่ายยิ่งขึ้น

MonkiezGrove Free stuff : การ์ตูนแจกฟรี กับมังกีซ์โกรฟ

MonkiezGrove Free stuff
MonkiezGrove Free stuff

ชื่อเว็บไซต์ของเราก็ง่ายๆ MonkiezGrove Free stuff หรือ ของฟรีมังกีซ์โกรฟ หรือมังกีซ์โกรฟแจกของฟรี ประมาณนี้ละนะ หน้าปก (รูปไตเติ้ล) ก็เพิ่งจะออกแบบไม่นานให้ออกมาน่ารักสดใสเบาๆ สามารถตามไปเกี่ยวกับแนวคิดในการออกแบบปกได้ที่ “Free stuff : Title image” แล้วจะรู้ว่าแต่ละภาพ ของการ์ตูนมังกีซ์โกรฟนี่ไม่ได้มาจากความว่างเปล่านะเอ้่อ มันมีที่มาที่ไปทั้งนั้น

มาถึงที่จะมาแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผลงานต้นปีนี้ หลังจากปีใหม่ก็ปล่อยผลงาน ฟรีการ์ดปีใหม่ กันไปแล้ว มาคราวนี้ก็มาปล่อยผลงาน ฟรีการ์ดวาเลนไทน์ หรือ การ์ดความรัก กันบ้าง ซึ่งก็จะเป็นชุดผลงานในแนวคิด Love & Heart ความรักกับหัวใจ เกี่ยวกับความรัก ความหวาน หัวใจ เรื่องราวของความรัก ผสมปนเป ออกแบบมาสู่ผลงานทั้งหมด 8 แบบ ดังนี้

 Love & Heart : ความรักและหัวใจ ฟรีวาเลนไทน์การ์ด

Love & Heart : ความรักและหัวใจ
Love & Heart : ความรักและหัวใจ

สำหรับในตอนนี้ก็มีมาแนะนำเพียงเท่านี้ หากว่ามีผลงานเพิ่มก็อาจจะนำมาแนะนำอีกก็ได้ เพราะเห็นว่ายังเป็นของใหม่อยู่ หลายๆท่านอาจจะยังไม่คุ้นเคยนัก ถ้าสนใจก็สามารถติดตามไปอ่านได้ที่

Link : MonkiezGrove Free stuff

Link : Love & Heart : ความรักและหัวใจ ฟรีวาเลนไทน์การ์ด

สวัสดี

ประวัติตัวใหญ่ แมวผู้พิชิต พิสูจน์ตัวตนแห่งความเป็นแมว

วันนี้มีบทความที่น่าจะยาวอีกบทความมาฝากกัน เป็นการเรียบเรียงประวัติและเรื่องราวของแมวตัวหนึ่งตั้งแต่ผมจำได้จนกระทั่งวันที่มันจากไป

วิลลี่ จุ๊บ และตัวใหญ่
วิลลี่ จุ๊บ และตัวใหญ่

ผมมีแมวที่เลี้ยงมานาน ผูกพันกันมาอยู่สามตัว นั่นคือวิลลี่ ตัวใหญ่ และจุ๊บ ทั้งหมดนี้ไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว แต่การมาพิมพ์บทความครั้งนี้ก็จะเป็นเรื่องในส่วนของตัวใหญ่ ซึ่งแมวตัวอื่นๆจะพิมพ์ในลำดับต่อๆไป

จุดเริ่มต้นของตัวใหญ่

ราวๆ ปี  2543-2545 ประมาณ 12 ปีก่อน แมวแม่ที่ชื่อวิลลี่ของผม ได้คลอดลูกออกมา ครอกนั้นมีลูกแมวราว 3-4 ตัว ตัวใหญ่เป็นแมวที่มีสีแตกต่างจากพี่น้อง เพราะวิลลี่เป็นแมวที่มีเชื้อและลักษณะของแมวไทยโบราณ “แมวศุภลักษณ์” อยู่บ้าง  แต่ก็เริ่มแก่และมีลูกมาหลายรุ่นแล้ว เชื้อเลยเริ่มไม่แข็งแรงเหมือนสมัยมีลูกแรกๆที่ออกมากี่ตัวก็น้ำตาลทั้งนั้น หรือในอีกกรณีก็คือเชื้อพ่อแรงมากจนลูกแมวไม่มีลักษณะของแม่แมวเลย ยกเว้นหางสั้นกุด ซึ่งเป็นลักษณะของวิลลี่นั่นเอง

จุ๊บ แมวเพื่อนบ้าน ตัวใหญ่ ในสวนบ้านเก่า
จุ๊บ แมวเพื่อนบ้าน ตัวใหญ่ ในสวนบ้านเก่า

ที่มาของชื่อ “ตัวใหญ่”

ตัวใหญ่เป็นชื่อหรือจะให้ถูกต้องก็ต้องบอกว่าเอาลักษณะของแมวมาเป็นชื่อ ก็คล้ายๆการตั้งชื่อว่าไอ้ด่าง เจ้าส้มอะไรนี่แหละครับ ที่ตั้งชื่อตัวใหญ่ก็เพราะว่า…

ในหมู่พี่น้องทั้งหมด มีมันตัวเดียวนี่แหละที่ตัวใหญ่กว่าเพื่อน ใหญ่กว่าพี่น้องรุ่นเดียวกันถึงสองเท่า เหมือนไม่ได้มาจากท้่องเดียวกัน ทำให้มันสามารถแย่งกินนมแม่แมวและสามารถดำรงชีวิตมาได้จนทุกวันนี้ ผมจำได้ว่าครอกที่ตัวใหญ่เกิด มีมันตัวเดียวนี่แหละที่รอด เพราะเป็นครอกหลังๆของวิลลี่แล้ว พวกลูกแมวที่คลอดแรกๆ ส่วนใหญ่ก็ให้คนอื่นไปครับ เพราะมันสวยเลยมีคนชอบเยอะ แต่ก็มีตายไปบ้าง

เนื่องจากว่ามันตัวใหญ่และมีสีที่แตกต่างกับชาวบ้าน มันเป็นแมวด่างที่มีลายคล้ายวัวนม เป็นแมวสีขาวดำ ซึ่งสามารถหาได้ทั่วไป ไม่แปลกเท่าไรนักแต่สิ่งที่แปลกคือความตัวใหญ่ในวัยเด็กของมัน ซึ่งสุดท้ายตอนโตก็เท่ากับแมวตัวอื่นๆ

ตัวใหญ่ในวัยเด็กนั้นค่อนข้างที่จะรันทดเล็กน้อย เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าบ้าน เพราะเข้ามาทีไรข้าวของกระจายทุกที มีเพียงวิลลี่เท่านั้นที่มีิสิทธิเข้าบ้านและนอนมุมไหนก็ได้ เพราะมันเป็นแมวที่เรียบร้อยไม่ทำลายข้าวของนั่นเอง ตัวใหญ่ก็เลยต้องอยู่กับจุ๊บนอกบ้านไปตามประสาแมวเด็กและแมววัยรุ่น

ตัวใหญ่กับจุ๊บนั้นถ้านับญาติกันแล้วก็จะเป็นพี่ชายของจุ๊บแบบข้ามหนึ่งช่วงคลอด ก็คือมีตัวใหญ่เกิดมา แล้วก็มีอีกครอก แล้วก็มีครอกของจุ๊บ ซึ่งก็อายุห่างกันราวๆหนึ่งปีนั่นเอง

และเนื่องจากตอนเด็กๆมันชอบทำลายข้าวของ ก็เลยกลายเป็นแมวที่ผมชอบแกล้งมันเล่น เอานำฉีดบ้าง เอาไปแปะต้นไม้บ้าง มันก็ดูเอ๋อๆ ตามลักษณะของแมวที่ใหญ่แต่ตัวให้ได้เห็น และมันก็ยังโดนรังแกจากแมวเจ้าถิ่นอีกด้วย สุดท้ายกลายเป็นแมวโดนรังแกเก็บกดไปเลย

มีครั้งหนึ่งที่ตัวใหญ่มันโดนแมวเจ้าถิ่นจะมาแย่งอาหาร ก็ขู่กันแต่ดูท่าทางจะถอยและยอมแพ้ ผมยืนดูอยู่ในตัวบ้านผ่านกระจกและดูพฤติกรรมมัน สุดท้ายก็เปิดประตูออกไปกะว่าจะช่วยไล่ ตัวใหญ่พอเห็นว่ามีคนในบ้านมาช่วยก็ทำกล้าขู่และไล่แมวเจ้าถิ่นไป นี่ก็เป็นความตลกเล็กๆของแมวที่ขาดความมั่นใจ หรือว่ามันกะจะโชว์ก็ไม่รู้เหมือนกัน

จุ๊บและตัวใหญ่
จุ๊บและตัวใหญ่

จุดเปลี่ยนของตัวใหญ่

เมื่อตัวใหญ่เติบโตก็ถึงวัยที่มันเข้าฤดูโหยหวน หรือฤดูติดสัด ซึ่งมันก็จะร้องหง่าวๆเสียงดังตอนกลางคืน ร้องได้ไม่กี่คืนก็โดนจับไปทำหมัน มันก็เป็นเรื่องปกติของแมวที่โหยมากๆแล้วจะส่งเสียงแสดงความเป็นแมวตัวผู้ที่พร้อมผสมพันธุ์และโดนจับไปทำให้เงียบ แต่ก็มีแมวที่เรียกได้ว่า “ซวย” คือจุ๊บ โดนจับไปทำหมันด้วยพร้อมกันจะได้ทำทีเดียว… เมื่อกลับมาแมวทั้งสองก็อ่อนระโหยโรยแรง เพราะโดนยาชา วันต่อมาบ้านก็เงียบสงบไีร้เสียงแมวหง่าว

ตัวใหญ่นั้นแตกต่างกับจุ๊บตรงที่เป็นแมวที่แสวงหา แมวต่อสู้ แมวค้นหาตัวเอง มันพยายามจะพิสูจน์ตัวเองเสมอๆ อาจจะเพราะมันถึงวัยของมันก็เป็นได้ แม้ว่าจะสู้แต่ก็แพ้ แต่ก็ยังหาจังหวะที่จะสู้เสมอ มันจึงได้แผลกลับมาบ่อยๆ ตัวใหญ่ที่อยู่ที่บ้านลาดพร้าว ไม่สามารถสู้แมวตัวอื่นได้เลย เพราะว่ามันขาดไหวพริบและทักษะต่างๆอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับวิลลี่แม่ของมัน ซึ่งเป็นแมวนักล่าที่เก่งกาจ

จุ๊บ ตัวใหญ่ และวิลลี่
จุ๊บ ตัวใหญ่ และวิลลี่

เมื่อต้องย้ายบ้าน

วันหนึ่งผมและที่้บ้านก็ต้องย้ายบ้าน ซึ่งก็ต้องเอาแมวไปด้วย การย้ายบ้านแมวดูจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก เพราะสงสารมัน แมวตกใจ แมวผวา แมวว้าเหว่ ผมไม่สามารถย้ายวิลลี่มาด้วยได้เพราะมันไม่อยู่แล้ว มันแก่และหายไปในช่วงก่อนย้ายบ้าน ราวๆครึ่งปี

ตัวใหญ่และจุ๊บได้เดินทางมายังบ้านใหม่ ซึ่งมีเนื้อที่สวนน้อยกว่าบ้านเก่า ผมใช้วิธีขังมันในห้องห้องหนึ่ง ให้มันกิน และอึในนั้น จะได้เกิดกลิ่นให้มันจำถิ่นได้ ประมาณว่ากลัวมันจะตกใจวิ่งเตลิดกลับไปบ้านเก่า เพราะห่างกันไปราวๆ 10 กิโลเมตร… จะจำกลิ่นได้ขนาดนั้นรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องใช้ไม้แข็ง ปกติแล้วผมไม่เคยใส่ปลอกคอแมวเพราะผมเองก็ไม่ชอบใส่อะไรให้รำคาญ แน่นอนว่าแมวก็คงจะเหมือนกัน

แต่ปลอกคอแมวก็จำเป็นเพราะต้องใช้ในการล่ามโซ่จำกัดพื้นที่ให้มันอยู่ใต้ต้นไม้ในสวนในบ้าน เพื่อให้มันติดถิ่นให้ได้ บอกตรงๆว่าผมไม่ค่อยได้ค้นข้อมูลเท่าไหร่ ทำเอาตามที่พอคิดว่ามันจะดีได้

ตัวใหญ่เป็นแมวที่ไม่มีปัญหากับปลอกคอและการล่ามโซ่เลย มันนิ่งมากๆ เฉยๆ ดูเหมือนว่ามันจะภูมิใจกับปลอกคอที่ใส่ให้มันด้วยซ้ำ ผิดกับจุ๊บที่พยายามจะเอาปลอกคอออกตลอดเวลา จุ๊บหงุดหงิดและรำคาญปลอกคอมาก มันจะพยายามเอาปลอกคอไปถูกับหลายๆสิ่งเพื่อให้มันหลุด แต่ตัวใหญ่ไม่ได้ใส่ใจกับการมีอยู่ของปลอกคอนัก

ตัวใหญ่หายไป

ตัวใหญ่กลับมานอนบ้านเป็นพักๆ
ตัวใหญ่กลับมานอนบ้านเป็นพักๆ

ช่วงแรกๆที่ย้ายบ้านมาใหม่ ในปีแรกๆ แมวทั้งสอง จุ๊บและตัวใหญ่ก็ยังอยู่กันได้ดี ก็จะมีแว่บๆไปข้างนอกบ้างตามประสาแมว แต่ก็จะกลับมากินข้าวที่บ้านตลอด จนวันหนึ่งตัวใหญ่หายไปอย่างถาวร ไม่กลับมากินข้าวที่บ้าน เหลือแต่จุ๊บที่นอนเฝ้าบ้านตัวเดียว

เมื่อวันเวลาผ่านไปเกือบสองปี ผมพบตัวใหญ่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันนั่นแหละ แต่อยู่ห่างไปราวๆ 6 ซอย มันไปตั้งแก๊งแมว ผมเป็นมันดูเด่นเป็นสง่า ท่ามกลางฝูงแมวหนุ่ม และได้คำตอบว่ามันออกไปค้นหาตัวเองและทำตามฝันแมวนี่เอง เพราะว่าอยู่ที่บ้านเก่า มีแต่แมวเจ้าถิ่นเก่งๆ ย้ายมาบ้านใหม่ชาวบ้านเขาก็มีแมวเด็กๆกันก็เลยแก่กว่าเขา เก่งกว่าเขาเลยสามารถสร้างแก๊งแมวซ่าได้ เห็นเดินอยู่รวมกันราวๆ 3-4 ตัว แต่ก็แอบสงสัยว่าตัวใหญ่ที่เป็นหมันนั้นยังมีอารมณ์แบบแมวตัวผู้จริงจังเหมือนเดิมหรือไม่ หรือเป็นแค่การค้นหาชีวิตและตอบโจทย์ตัวเองตามธรรมชาติของแมวตัวผู้ทั่วไป

ผมปล่อยให้ตัวใหญ่ดำเนินชีวิตไปตามที่มันชอบ เพราะคิดว่าในระยะที่มันหายไปเป็นปีนั้น ก็คงจะมีคนเลี้ยงมันแทนผมแล้ว หรือไม่ก็ไปแย่งอาหารแมวหนุ่มสาวพวกนั้นกินนั่นแหละ เอาว่ามันมีกินอยู่สบายก็พอละ

ตัวใหญ่กลับมา กินข้าวกับจุ๊บ
ตัวใหญ่กลับมา กินข้าวกับจุ๊บ

 วันที่ตัวใหญ่กลับมา

เวลาผ่านไปนับปีหรือมากกว่าสองปีผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน วันหนึ่งตัวใหญ่เดินกลับมาพร้อมร่างกายที่ดูหิวโซ ตอนนี้่ผมยังให้อาหารเม็ดอยู่ครับ และจุ๊บก็ยังอยู่ที่บ้าน ตัวใหญ่กลับมาบ้านและดูยังมีทีท่าที่ยังคุ้นเคยกับจุ๊บมันกินข้าวด้วยกัน เคล้าเคลียกัน ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะผมเคยคิดว่ามันหนีไปเพราะทะเลาะกับจุ๊บรึเปล่า เพราะจุ๊บเองมันก็แก่ขึ้นด้วย แต่สุดท้ายคำตอบที่ว่า ตัวใหญ่เดินทางออกไปค้นหาตัวเองนั้นก็ยังเป็นคำตอบที่ดีอยู่นั่นเอง

ตัวใหญ่สมบูรณ์
ตัวใหญ่สมบูรณ์

ในช่วงที่จุ๊บยังอยู่นั้นตัวใหญ่ก็มาๆไปๆ ไม่ได้มากินทุกวัน แต่ก็ไม่ได้หายหน้าหายตาไปนานๆเหมือนแต่ก่อน สัปดาห์หนึ่งมันก็จะแวะมาสัก 3-4 วันเพื่อมากินข้าว หรือไม่ก็จะเห็นมันนอนเล่นในบ้าน จนกระทั่งในช่วงสิ้นปี 53 จุ๊บได้หายไป และหายไปจนกระทั่งปัจจุบัน แมวที่ติดบ้านอย่างจุ๊บหายไปคงไม่มีอย่างอื่นให้คิดไปได้อีกแล้ว

และเมื่อจุ๊บหายไป ตัวใหญ่ก็ได้มาแทนที่อย่างช้าๆ แต่ก็ไม่เหมือนกัน ตัวใหญ่จะมีระยะห่างและจะไม่ติดบ้านเหมือนจุ๊บ แต่วันหนึ่งมันก็มากินข้าวทุกวันๆ กินอาหารเม็ด จนกระทั่งฟันหมดปาก การกินของแมวแก่ต้องเปลี่ยนจากอาหารเม็ดไปสู่ปลาทูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะมันไม่มีฟันจะเคี้ยวกรุบๆได้เหมือนสมัยวัยรุ่นอีกต่อไป

ตัวใหญ่กับปลาทู
ตัวใหญ่กับปลาทู

เมื่อตัวใหญ่กลับเข้ามาเป็นเจ้าบ้าน

หลังจากที่จุ๊บจากไป ตัวใหญ่ก็เข้ามาเป็นเจ้าบ้านแทน มันอยู่ในที่ที่จุ๊บเคยอยู่ ก็วนเวียนไปรอบพื้นที่บ้าน และบ้านเพื่อนบ้านอีกด้วย โดยที่ประจำของมันก็คือบ้านเพื่อนบ้านที่อยู่ตรงข้ามนั่นแหละครับ

เพื่อนแมววัยรุ่นใกล้บ้าน
เพื่อนแมววัยรุ่นใกล้บ้าน

ตัวใหญ่มีเพื่อนแมว ซึ่งไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นเพื่อนหรือเป็นอะไรดี เป็นแมวสีออกเทาๆ ยังดูเด็กๆ ไม่น่าเกินสามขวบ มีปลอกคอและกระพรวนใว้ตามประสาแมวเลี้ยง ก็คืออาจจะเป็นแมวบ้านไหนสักบ้าน ซึ่งการที่เราจะหาเจ้าของแมวนี่มันยากครับ เหมือนที่เราพยายามตามไปดูว่าวันๆหนึ่งแมวของเราไปทำอะไรที่ไหนอย่างไรนั่นแหละ

เจ้าแมวเทาหางยาวตัวนี้ลักษณะดี สีสวยท่าทางจะอนาคตไกลครับ ตัวเมียตัวผู้ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันชอบมาที่บ้านผมบ่อยมากๆ บางทีก็มากินอาหารที่ตัวใหญ่กินเหลือ หรือแอบชิงกินก่อนก็มี จริงๆแล้วบ้านไหนมีแมวก็จะมีแมวเพิ่มมาตามธรรมชาตินั่นแหละนะ

วัยแก่ของตัวใหญ่

เมื่อตัวใหญ่เข้าสู่ลักษณะที่เป็นแมวแก่ พฤติกรรมของมันก็เปลี่ยนอย่างไป อย่างเช่นกลับมาน่ารักขี้อ้อนเหมือนตอนเด็กๆ ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ แม้ว่าแมวจะแก่แต่ก็มีการเรียนรู้เสมอ เช่นมันชอบส่งเสียงดังขอข้าวขอปลากิน ผมก็ยังไม่ยอมให้ จนมันร้องเสียงหวานๆ ค่อยให้ สุดท้ายพอจะมากินทีไรก็ร้องเสียงอ้อนๆน่ารักทีเดียว มาน่ารักเอาตอนแก่ก็ยังดีกว่าไม่เคยเลย

แมวแก่ ฟันหายไปเกือบหมดปาก
แมวแก่ ฟันหายไปเกือบหมดปาก

เมื่อแก่ฟันของตัวใหญ่ก็หมดปากเหมือนแมวตัวอื่นๆ ที่เมื่อถึงวัยแก่ก็จะให้ปลาทูสดแทนครับ แมวก็จะกินได้ง่าย ปลาที่ให้ก็เป็นเนื้อปลาล้วนๆไม่ได้ผสมข้าวหรืออะไรอย่างอื่น มันก็กินได้เรื่อยๆครับ อย่างจุ๊บนี่กินอยู่นานเลย ส่วนตัวใหญ่นี่จะเรื่องมากกว่าจุ๊บนิดหน่อย

จริงๆจะว่าเรื่องมาก มากก็ว่าได้บ้านผมเพิ่งจะมีปัญหาหัวปลาทูก็ตัวใหญ่นี่แหละ เพราะมันจะกินแต่ตัวและทิ้งหัวไว้ บางทีลืมเก็บหรือเก็บแล้วลืมฝัง เจอแมลงวันมาไข่หนอนไชยุ่บยั่บก็มี (ถ้าฝังดินจะไม่มีกลิ่นและหนอนแมลงวัน)  ปัญหานี้ไม่เคยเกิดเมื่อสมัยจุ๊บเพราะจุ๊บจะกินทั้งตัวทั้งหัว ขนาดหางยังไม่เหลือเลย เอาเป็นว่ามันเก็บเรียบไม่ต้องให้เจ้าของมาเก็บซากส่วนตัวใหญ่นี่จะเหลือหัวกับหางไว้ให้

เรื่องมากอีกเรื่องก็คือความสดของปลา แน่นอนว่าจมูกของแมวนั้นดีกว่าของคนมากนัก บางทีเพิ่งไปซื้อปลามาจากตลาดมันก็ทำเมินว่าไม่สด ทำเดินหนีอะไรประมาณนั้น ขนาดว่าอุ่นไมโครเวฟให้กลิ่นปลาฉุยๆและเป่าพัดลมให้เย็นแล้วยังหยิ่งไม่ยอมกินทันทีอีก วิธีที่จะทำให้มันกินคือปิดประตูบ้านทำเหมือนไม่สนใจ พอเปิดมาก็จะเห็นมันกินหรือไม่ก็เจอเศษปลานั่นเอง

ุ่แมวนายแบบกับลิ้นมังกรด่าง
ุ่แมวนายแบบกับลิ้นมังกรด่าง

มีเรื่องความขี้อ้อนของแมวแก่อีกนิดก็คือวันหนึ่งที่ผมซื้อต้นไม้มาและกำลังจะถ่ายรูปต้นไม้เก็บไว้ ในระหว่างถ่ายก็มีตัวใหญ่มาเข้ากล้องตลอด แถมมองกล้องด้วย เคล้าเคลียทั้งกระถางต้นไม้ ทั้งคนถ่ายประมาณว่าอ้อนจะกินข้าว แต่เปลี่ยนวิธีใหม่นิดหน่อย ตัวใหญ่นี่เวลาหิวข้าวจะน่ารักที่สุดในสามมหาแมว หรือจะทะลุเข้าไปในฝั่งของความน่ารำคาญก็ได้เหมือนกัน คือหิวแล้วเดินตาม เคล้าเคลีย เรียกเจ้าของให้ไปทำข้าวทำปลาให้ มีครั้งหนึ่งที่ผมทำสวนอยู่หลังบ้านแล้วมันก็เดินมาจากหน้าบ้านมาร้องเรียก และเดินไปรอหน้าจานข้าวแมว…

รอเจ้าของกลับบ้าน
รอเจ้าของกลับบ้าน

หรือแม้กระทั่งว่าแมวที่กำลังหิวก็จะรอเจ้าของอยู่หน้าประตูบ้าน รอว่าเมื่อไหร่เจ้าของจะกลับมาสักที แน่นอนว่าเป็นผมที่เห็นมันรออยู่และเมื่อลงไปเปิดประตูก็ได้่รู้สึกถึงอารมณ์ประมาณว่าแมวบ่น ร้องเบาๆอุบอิบๆ…ตามประสาแมวแก่ๆ

อีกเรื่องที่สนใจก็คือตัวใหญ่และจุ๊บ ต่างก็ต้องยอมสยบแก่แมวเจ้าถิ่นตัวนี้ เป็นแมวขาวดำเหมือนตัวใหญ่ แต่ดูหน้าตาแล้วโหดกว่าเยอะ ทั้งร่างกายที่ดูแข็งแรงบึกบึน รวมถึงแววตาของมัน ทำให้หลายครั้งตัวใหญ่ต้องหนีและแพ้พ่ายเพราะนอกจากแก่แล้วยังสู้เขาไม่ได้อีก ดูๆไปอาจจะอายุใกล้ๆกันแต่ความเก๋าต่างกันมาก เดิมทีตัวใหญ่ก็หน้าตาไม่ได้ดูเกเรอยู่แล้ว ออกจะเป็นแมวเอ๋อๆด้วยซ้ำ ดังนั้นถึงมันจะทำหน้าดุสายตากวนและหยิ่งขนาดไหน มันก็ดูไม่ดุอยู่ดี(จากสายตาคน)

แมวเจ้าถิ่น แข็งแรงบึกบึน
แมวเจ้าถิ่น แข็งแรงบึกบึน

คงจะไปสู้กับแมวหง่าว และสารพัดแมวรุ่นใหม่ที่เพิ่งเติบโตแข็งแรงมาไม่ได้มากนัก การตัดสินใจกลับมาตายรังที่บ้านก็น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ดี ที่เหมาะกับช่วงชีวิตสงบๆในบั้นปลายของแมวแก่ๆตัวนึง

ช่วงท้ายของชีวิต

ในช่วงเดือนพฤษจิกายนที่ผ่านมานั้นตัวใหญ่ก็ไม่ได้มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด แต่มาวันหนึ่งมันก็ไม่ได้มากินข้าวกินปลาเหมือนเคย แม้ว่าจะนั่งอยู่หน้าบ้าน อยู่บ้านตรงข้าม มันก็ไม่ได้เข้ามากินข้าวเหมือนอย่างที่เคย จนผิดสังเกตุ แต่ด้วยความที่เคยชินว่ามันชอบออกไปข้างนอก และเคยไปใช้ชีวิตอยู่บ้านอื่นก็ทำให้นึกได้ว่ามันไปกินข้าวบ้านอื่นนั่นเอง

ไม่ยอมมากินข้าว จะจับก็วิ่งหนี
ไม่ยอมมากินข้าว จะจับก็วิ่งหนี

วันสุดท้าย 7 ธันวาคม 2555

วันนี้เป็นวันที่อากาศเช้าเย็นๆ ผมเดินออกไปเพื่อรดน้ำต้นไม้ตอนเช้า และพบตัวใหญ่นอนอยู่ทางในสวนที่บ้าน พบว่ามันผอมมาก หายใจลำบาก น้ำตาไหลซึม ร้องเสียงอ่อยๆตามประสาแมวป่วย ผมรับรู้ด้วยสัญชาติญาณทันทีว่าวันนี้คงเป็นวันสุดท้ายของมันแล้ว ตามธรรมชาติของแมวนั้นก็จะมีบางตัวที่กลับมาลา แล้วก็ตาย หรือไม่ก็หายไปตายไกลๆอย่างสงบ กรณีตัวอย่างเป็นแมวที่มาลาตาย ผมและแม่มาลูบมัน ดูมัน ให้อาหารมันเป็นวันสุดท้าย ผมเองคงไม่ไปฝืนกฏธรรมชาติ และเชื่อว่าเกิดอย่างแมวก็ต้องตายอย่างแมว และไม่ใช้ความคิดของมนุษย์เข้าไปตัดสินการเป็นอยู่หรือตายของมัน

แต่ที่ดูจากอาการก็บอกกันอีกทีเลย จากประสบการณ์เลี้ยงแมวมาหลายตัว ฝังแมวมาก็น่าจะเกิน 10 แบบไม่รวมลูกแมว อาการแบบนี้ไม่รอดแน่นอน แต่ที่ดีใจคือมันเองได้พยายามกลับมาที่บ้าน กลับมาเพื่อสื่อสาร มารออะไรสักอย่าง แมวไม่ต้องการคุณหมอ เพราะมันไม่รู้จักหมอ ตามธรรมชาติแล้วสัตว์จะฟื้นฟูตัวเองได้ดีกว่ามนุษย์รวมถึงการหายาหรือสมุนไพรด้วย การจากไปของมันถือเป็นกฏของธรรมชาติ

การดำเนินชีวิตของผมเป็นไปอย่างปกติ แต่ก็ใช้เวลาลงไปดูมัน ไปลูบหัวมันเป็นระยะๆ จนกระทั่งตอนกลางคืนประมาณ 3 ทุ่มมันก็หายไปจากจุดที่เคยอยู่ตอนกลางวัน

แมวแก่ใกล้ตาย
แมวแก่ใกล้ตาย

8 ธันวาคม 2555

เช้านี้ผมรู้ดีว่าต้องออกไปตามหาศพแมวของตัวเองแน่นอน วันนี้อากาศไม่ร้อนไม่เย็นนัก เป็นเช้าที่เหงาๆตามประสาต้นหนาว ผมได้ยินแม่คุยกับเพื่อนบ้านและแม่ก็มาบอกว่า แมวเราไปตายหน้าบ้านของเพื่อนบ้าน ซึ่งมันก็นอนตายกลางถนน ซึ่งตำแหน่งนั้นในตอนกลางคืนก็จะมีรถไปจอดอยู่ คงจะไปในตายใต้รถละนะ แต่ก็ไม่ได้รับผลอะไรจากรถนะครับ นอนตายบนถนนเฉยๆ ตามสภาพแมวแก่ป่วยตายหรืออะไรก็ตาม สุดท้ายก็ไปจับมันใส่กล่องเพื่อเอาไปขุดฝังต่อไป

ซากแมวตัวใหญ่ ที่ตัวเล็กบนโลก นอนนิ่งบนถนน
ซากแมวตัวใหญ่ ที่ตัวเล็กบนโลก นอนนิ่งบนถนน

ตัวใหญ่เป็นหนึ่งในสามของแมวที่มีบทบาทในชีวิตของผมมากๆ และเป็นแมวตัวสุดท้ายที่อยู่ด้วยกัน จากนี้คงจะไม่หาเลี้ยงสัตว์ใดๆจนกว่าจะมีความพร้อมที่จะสร้างธรรมชาติที่เหมาะแก่การดำรงชีวิตของสัตว์นั้นๆก่อนจะเลี้ยงมัน เพื่อให้มันใช้ชีวิตในแบบของมันให้สมบูรณ์ที่สุด

สวัสดี

MonkiezGrove before 5th

ใกล้จะปีใหม่ ใกล้จะปีหน้า ใกล้จะครบรอบ 5 ปี มังกีซ์โกรฟกันอีกครั้ง ช่วงปีที่ 4 ถึงปีที่ 5 มานี้นั้น แทบจะเรียกได้ว่าไร้กิจกรรมใดๆกันเลยทีเดียว

เนื่องจากช่วงต้นปี 2555 ผมติดเรียน ค่อนข้างยุ่งมากจนกระทั่งกลางปีก็ยังไม่ลงตัวเท่าไรนัก พอปลายปีก็มีโปรเจคของ AIRA Garden เข้ามาอีก กว่าจะออกแบบกว่าจะทำเสร็จก็กินเวลากันเกือบ 3 เดือน ยังดีที่มีเวลาให้พอจินตนาการวาดรูปลงที่ MonkiezGrove Cartoon Book (facebook) กันบ้าง ทำให้ผู้สนใจหรือแฟนๆของมังกีซ์โกรฟพอหายคิดถึงกันได้บ้าง

MonkiezGrove ก่อนจะเข้าสู่ปีที่ 5

ก่อนจะเข้าสู่ปีที่ 5 นี้ก็ต้องยอมรับกันก่อนเลยว่าช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานั้นแทบจะว่างเปล่า แต่ก่อนจะสิ้นปีนี้ ผมจะปรับปรุงเว็บไซต์มังกีซ์โกรฟอีกครั้ง เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ที่ปรับปรุงเพราะว่าจะทำให้มันใช้งานง่ายขึ้นกว่าเดิมอีก ง่ายขึ้นกว่าเดิมมากๆ ง่ายทั้งคนดูและคนเขียน เพราะก่อนหน้านี้บอกตรงๆ เลยว่าทักษะเขียนเว็บไซต์นั้นค่อนข้างจะน้อย แต่ตอนนี้ก็พัฒนามาอยู่ในขั้นที่พอจะใช้งานได้นานและไม่ปรับเปลี่ยนกันบ่อยๆ และคิดว่าในปี 5 นี่แหละ ที่จะเป็นปีที่ได้มีโอกาสสร้างผลงานมากมายออกมาให้ทุกท่านชม ติดตามกันต่อไปนะครับ

MonkiezGroveMonkiezGrove Cartoon Book

Social network ที่เข้ามาช่วยให้หลายๆท่านสร้างเครือข่ายโดยไม่ต้องมีเว็บไซต์ให้ยุ่งยาก มังกีซ์โกรฟเองก็เช่นกัน หากเป็นช่องทางหนึ่งที่เราจะได้พบกับผู้ที่สนใจงานของเรา เราก็จะสร้างมันขึ้นมา

MonkiezGrove Cartoon Book

ปัจจุบันมังกีซ์โกรฟ มีแฟนเพจอยู่ประมาณ 700 ท่าน แม้จะเพิ่มขึ้นไม่มากมายจนผิดหูผิดตา แต่เราก็ยังดีใจทุกครั้งที่ผลงานของเราที่สร้างนั้น ได้ทำให้แฟนเพจหลายๆท่านมีความสุขที่ได้พบเห็นงานน่ารักๆของเรา ซึ่งผลงานของมังกีซ์โกรฟนั้นก็จะเน้นไปในทางน่ารักสดใส และเชิงสร้างสรรค์ เพราะต้องการจะแบ่งปันภาพสวยๆ อารมณ์ดีๆ แก่ผู้รับชม

สำหรับผู้สนใจที่ยังไม่เคยเข้าไปดู MonkiezGrove Cartoon Book ก็เข้าไปแวะชมได้ใน MonkiezGrove Cartoon Book (https://www.facebook.com/monkiezgrovecartoon) ถ้าท่านใดมีบัญชีของเฟสบุคก็สามารถติดตาม like&share ได้ตามอัธยาสัย

ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงทุกวันนี้

สวัสดี

ลงแขกเกี่ยวข้าว รับลมหนาวปลายนา

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปเรียนรู้และสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เคยเป็นเพียงคำพูด เรื่องเล่า หรือกลายเป็นเรื่องที่ถูกลืมไปแล้ว นั้นคือประเพณีของไทยอย่างการลงแขกเกี่ยวข้าว

เป็นอีกครั้งที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมกับทางทีวีบูรพา และเครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา ในกิจกรรมเรี่ยวแรงสู่เรียวรวง ตอน “ลงแขกเกี่ยวข้าว รับลมหนาวปลายนา” ณ จังหวัด ยโสธร วันที่ 9-11 พฤษจิกายน 2555

ภาพประทับใจ จากเครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา
ภาพประทับใจ จากเครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา

สำหรับ กิจกรรมนี้จำเป็นต้องออกเดินทางกันตั้งแต่วันศุกร์เช้า เพราะว่าเราจำเป็นต้องใช้เวลาในการเดินทางค่อนข้างนานทีเดียวครับสำหรับคน ทั่วไปอาจจะยากหน่อยเพราะต้องลาหยุดกันสักหนึ่งวัน แต่สำหรับบางคนก็ไม่ใช่ปัญหา และผมเองก็ชินแล้วครับ เพราะร่วมทางไปกับทีวีบูรพามาหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่ สวนลุงนิล และครั้งล่าสุด หว่านข้าวสู่ผืนนา หว่านศรัทธาสู่หัวใจ และอีกหลายๆ กิจกรรมที่เคยร่วมกับทีวีบูรพาเช่น กินข้าวอย่างรู้แจ้ง ตนค้นตนอวอร์ด เป็นต้น ก็อ่านย้่อนกันได้่นะครับ

สำหรับบทความเหล่านี้คงจะเป็นการเล่าเรื่องประกอบประสบการณ์ต่างๆที่ได้มา มีน้ำมีเนื้อคละเคล้าปนกันไปเลยแล้วกันนะครับ

เรื่องราวทั้งหมดถูกบันทึกและเรียบเรียงไว้ดังนี้…

ผมเคยคิดว่าจะพยายามบันทึกเรื่องราว รวมไว้ให้ได้ในบทความเดียว แต่พอมานั่งเรียบเรียงเอาเข้าจริงๆก็พบว่าแต่ละบทความนั้นมีความยาวมากเหลือเกิน จึงแบ่งส่วนให้ผู้อ่านได้เลือกอ่านได้ง่ายขึ้น

สำหรับเนื้อ ข้อมูล และรูปภาพเกี่ยวกับกิจกรรมนี้ สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่ : เครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา

บทสรุป ลงแขกเกี่ยวข้าว รับลมหนาวปลายนา

ผมพยายามจะคัดกรองและแยกประเด็นที่ผมสามารถเก็บเกี่ยวได้จากกิจกรรมลงแขกเกี่ยวข้าว เป็นสิ่งเกี่ยวมาได้ ได้มากกว่าข้าว มากกว่าผลผลิต มากกว่าความรู้ นั่นคือประสบการณ์

ร้อยรู้ ไม่สู้ หนึ่งทำ

คำว่าประสบการณ์หมายถึงการได้รับจากการสัมผัสพบเจอ เป็นสิ่งที่หาได้ยากกว่าความรู้ ความรู้หาจากหนังสือ คำบอกเล่า หรือคิดขึ้นเองได้ แต่ประสบการณ์จำเป็นต้องลงไปเก็บเกี่ยวเพื่อที่จะได้มา นั่นคือสิ่งที่ผมตีความและเข้าใจได้จากภาษิตที่ว่า ร้อยรู้ ไม่สู้ หนึ่งทำ

ความเรียบง่ายในวิถีชาวนา

ผมได้พบเจอกับความเรียบง่ายในวิถีของชาวนา ซึ่งถือเป็นวิถีดั้งเดิมของไทย การกินอยู่ที่เรียบง่าย ชีวิตที่เรียบง่าย  ความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายไม่ต้องคิดอะไรมาก ทำให้ผมกลับมาคิดทบทวนว่าสิ่งที่ผมมีอยู่ในปัจจุบันนี้คืออะไรกันแน่ ในเมื่ออยู่แบบชาวนาก็อยู่ได้ กินอิ่มนอนหลับ แล้วชีวิตปัจจุบันของคนเมืองคืออะไรทั้งๆที่มีเงิน แต่กลับไม่มีความสุข เปลือกที่เราหุ้มอยู่คืออะไร ความพอดีของเราอยู่ตรงไหน ในเมื่อภาพของความพอดีของชาวนานั้นจบตรงที่ความเรียบง่ายในการใช้ชีวิต แต่ภาพของความพอดีของคนเมืองกลับหาไม่เจอ มองไม่เห็น จินตนาการไม่ออก เราติดอยู่ในโลกที่จินตนาการถูกนำพาด้วยการตลาดจนแยกไม่ออกว่าสิ่งไหนพอดี พอเพียง หรือจำเป็นจริงๆ ความเรียบง่ายในวิถีชาวนาทำให้ผมต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่

คุณธรรมแห่งชาวนา

การทำนาอินทรีย์ หรือคำว่าคุณธรรมเป็นนามธรรมสิ่งที่พูดได้ง่ายพิสูจน์ได้ยาก สิ่งที่จำเป็นต้องใช้คือศรัทธาและความสำนึก ชาวนาคุณธรรมที่ผมพบเจอ เรียกตนเองว่าพ่อแม่ชาวนา เป็นความรู้สึกลึกๆที่เข้ามาสร้างความเชื่อมั่น การเข้าไปสัมผัสวิถีชีวิตถึงบ้าน ทำให้รู้สึกเชื่อ ศรัทธา ในสิ่งที่พบจนแทบไม่ต้องการพิสูจน์ว่าข้าวที่ได้รับนั้นมาจากนาอินทรีย์จริงหรือไม่ เพราะผู้ปลูกให้เรากินนั้นมีความรู้สึกเห็นผู้กินเป็นลูกหลาน เป็นเพื่อนร่วมโลก เป็นความผูกพัน ดังนั้นความรู้สึกนี้จึงก้าวข้ามมูลค่าในราคาข้าว การขาย หรือการตลาด สู่การส่งผ่านคุณค่าแห่งอาหารจากชาวนาสู่ผู้กิน เป็นข้าวที่รวมไว้ซึ่งความสำนึกรับผิดชอบและความรักที่มีต่ออื่น ถ้าจะให้เทียบหลักการในปัจจุบันก็น่าจะเป็น Marketing 3.0+ นี่คือสิ่งที่ชาวนาคุณธรรมได้ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว

คนเมืองคนป่า

เขาว่าถ้าจับคนเมืองเข้าป่าคนเมืองก็ตาย หรือถ้าจับคนป่าเข้าเมืองคนป่าก็ตายเหมือนกัน ผมกำลังนึกถึงวันที่มีเหตุอันจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะภัยพิบัติ สงคราม หรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง เมื่อถึงสภาพนั้นจริงๆก็คงเป็นดั่งคำข้างต้น สังเกตุจากที่น้ำท่วมในบ้านเราในปี 2554 ที่ผ่านมา เพียงแค่น้ำท่วม ก็เกิดความไม่มั่นคงทางอาหารแล้ว

อาหารถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในชีวิต ไม่มีกินก็ตายไปสักวันหนึ่ง การเรียนรู้แยกแยะว่า สิ่งใดกินได้สิ่งใดกินไม่ได้ นั้นไม่ได้มีอยู่ในห้องเรียนในปัจจุบัน เป็นความรู้สำคัญที่ถูกมองข้ามไปส่วนสาเหตุนั้นคงเพราะเราเคยชินกับการไม่เปลี่ยนแปลง ผมเองคงไม่รอให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ผมเลือกที่จะเดินเข้าไปค้นหาความรู้และประสบการณ์ของคนป่าเพื่อเติมเต็มธรรมชาติที่ขาดหายไป

การเีรียนรู้

การเรียนรู้และการพัฒนาในบุคคลของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันตามอดีตที่ผ่านมา ผมไม่สามารถบอกปัจจัยแห่งการเรียนรู้ได้แน่ชัดเพราะมีหลายอย่างโยงใยและสัมพันธ์กันอย่างซับซ้่อนในมิติแห่งการเรียนรู้ ซึ่งจะข้ามไปตรงที่ผลและประสิทธิภาพในการเรียนรู้เลยก็แล้วกัน

บางคนมีวิธีการเรียนรู้แตกต่างกันทำให้ได้ประสิทธิภาพและผลลัพธ์แตกต่างกันไป สิ่งนั้นไม่ได้สำคัญเท่ากับเรารู้ตัวเองหรือเปล่าว่าเราสามารถเรียนรู้สิ่งไหนได้ดี หรือไม่ดีเพราะอะไรอย่างไรแบบไหน ที่ไหน ปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้เรียนรู้ต้องวิเคราะห์ตัวเองเพื่อที่จะสามารถเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์ได้ในแต่ละสถานการณ์ได้อย่างคุ้มค่า่มากที่สุด

สุ จิ ปุ ลิ

สุ จิ ปุ ลิ คือ หัวใจของนักปราชญ์ เป็นสิ่งที่ผมจะทิ้งท้ายไว้ให้ โดยจะยกตัวอย่างตัวผมเอง

สุ ย่อมาจาก สุตตะ แปลว่าการฟัง
จิ ย่อมาจาก จิตตะ แปลว่า การคิด
ปุ ย่อมาจาก ปุจฉา แปลว่า การถาม
ลิ ย่อมาจาก ลิขิต แปลว่า การเขียน

แน่นอนว่าการฟังนั้นเป็นหัวใจสำคัญและจุดเริ่มต้น การฟังควรมีสมาธิและจดจ่ออยู่กับเนื้อหาโดยมุ่งจับประเด็นที่สำคัญให้ได้ โดยนำมาคิดตามหรือคิดทบทวน เรื่องราวเหล่านั้นอยู่เสมอ จนเกิดการตกผลึกทางความคิด เมื่อไม่เข้าใจหรือลังเลในประเด็นก็ควรจะถาม การถามเป็นทางออกในการสร้างความรู้เพิ่มเติมที่ดี การยอมโง่เพียงชั่วครู่ดีกว่าการไม่ฉลาดอย่างถาวร ดังนั้นบางคำถามที่ดูโง่อาจจะสร้างความรู้ใหม่ให้่เราโดยการคิดในลำดับต่อมา

ลิ หรือลิขิต เป็นสิ่งที่เป็นทำอยู่ การเขียน การบันทึก เป็นการย้อนรอยความรู้ ความคิด เรื่องราว ประสบการณ์ลงบนกระดาษหรือหน้าจอผ่านนิ้ว สายตาและสมองที่กลั่นกรองออกมา สำหรับในตอนนี้ผมจะเน้นไปทางลิขิต เพราะสามารถยกตัวอย่างได้ง่ายๆ ส่วนการฟัง คิด ถาม ก็แล้วแต่ใครจะประยุกต์ใช้

ผมเริ่มเห็นข้อดีในการเขียนบล็อกก็นานมาแล้ว มันทำให้เราได้บันทึกซ้ำในกิจกรรมที่เคยทำมา ได้นำมาขบคิดอีกครั้ง เป็นการนำประสบการณ์เก่าๆมาคิดใหม่และบันทึกลงไปในสมองพร้อมๆกับที่ผมพิมพ์ การพิมพ์หรือเขียนสำหรับผมก็เหมือนการทบทวนและสร้างความรู้ขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งชุด ถือเป็นกำไรขั้นแรกที่ได้จากการเขียน ส่วนที่เหลือให้เป็นผลพลอยได้ของผู้อ่านก็แล้วกันนะครับ

สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณทีวีบูรพา เครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา พ่อแม่ชาวนาคุณธรรม และเพื่อนสมาชิกร่วมเดินทางที่ได้แบ่งปันเรื่องราวและประสบการณ์แก่กัน

บทสรุปทั้งหมดจบเพียงเท่านี้ อ่านเรื่องราวอื่นๆ…

ลงแขกเกี่ยวข้าว รับลมหนาวปลายนา [4] วันสุดท้าย

มาถึงวันสุดท้ายของการเดินทางมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของผมในครั้งนี้ครับ ในวันนี้ก็จะมีกิจกรรมหลักก็คือการลงแขกเกี่ยวข้าวครับ ซึ่งในวันนี้ก็จะเป็นวันที่ทุกคนได้ร่วมกิจกรรมพร้อมกันทุกบ้าน

11 พฤษจิกายน 2555

ฟ้ายามเช้าหน้าบ้านพ่อประมวล
ฟ้ายามเช้าหน้าบ้านพ่อประมวล

คืนเมื่อวานผ่านไป ไวเหมือนโกหก ผมจำได้ภาพสุดท้ายก็คือภาพของมุ้ง แล้วทุกอย่างก็หายไป ได้ยินอีกครั้งก็เสียงไก่ขัน ไม่มีความฝันทั้งดีและร้ายใดๆเกิดขึ้น เป็นการนอนหลับที่สบายและเต็มอิ่มอีกวัน อาจจะเพราะมีอากาศที่ดีหมุนเวียนอยู่โดยรอบ ทำให้การพักผ่อนมีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เช้านี้เราก็ทยอยกันอาบน้ำอาบท่า และเมื่อเสร็จแล้วก็จะเดินจากบ้านพ่อประมวล ไปที่ศูนย์ข้าวคุณธรรม ซึ่งห่างไปไม่ไกลนัก การเดินยามเช้าทำให้เห็นวิถีชีวิตชาวบ้าน บรรยากาศ และภาพสวยๆมากมาย

กระเทียมกับแสงยามเช้า
กระเทียมกับแสงยามเช้า

เช้าๆแบบนี้ก็จะมีน้ำข้าวกล้องงอกยามเช้าเพื่อให้พลังงานกันเหมือนเคย คำว่าเหมือนเคยใช้เฉพาะการมาอยู่ที่นี่ ถ้าอยู่บ้านปกติก็คงได้อย่างมากแค่กาแฟหนึ่งแก้ว ซึ่งก็ไม่ได้สร้างสรรค์เท่าไรนัก ถ้าหากเลือกได้ก็อยากได้น้ำข้าวกล้องงอกทุกวัน แต่สุดท้ายคงต้องลงมือทำเอง หวังว่าสักวันคงจะมาถึงวันนั้น

มะละกอและผลไม้อื่นๆเต็มต้น
มะละกอและผลไม้อื่นๆเต็มต้น

สำหรับที่นี่ในเวลาเช้าๆแบบนี้ ก่อนที่บ้านอื่นๆจะมาถึงที่นี่ (บ้านผมมาถึงก่อนทุกทีเลย) ก็เลยมีเวลาเดินดูรอบๆครับ ที่นี่มีผลไม้อยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่นมะละกอที่ปลูกอยู่ตามขอบพื้นที่ต่างๆ มีลูกดกมากมาย แต่ก็ยังไม่ได้เก็บไปกินจนต้นโล้น ผมสังเกตุว่ามะละกอทุกต้นก็จะมีลูกติดอยู่ ความรู้สึกที่ว่าอีสานแห้งแล้งกันดารขาดแคลนทรัพยากรของผมเมื่ออดีตถูกทำลายลงอย่างย่อยยับตั้งแต่มาที่นี่ครั้งที่แล้ว ทำให้ผมได้เข้าใจว่าการเป็นอยู่ที่ดีนั้นเกิดจากการบริหารอย่างแท้จริง เมื่ออยู่กับธรรมชาติ ก็ต้องบริหารอย่างธรรมชาติเท่านั้นจึงจะอยู่รอดได้อย่างปกติสุข

กิจกรรมในยามเช้าแบบนี้เราก็จะมาปลูกแตงโมกันครับ หลังเกี่ยวข้าวเสร็จชาวนาที่นี่ก็จะปลูกแตงโม ซึ่งจะทำการไถกลบฟางให้ย่อยสลายในดินและนำเมล็ดแตงโมมาปลูก โดยไม่ต้องรดน้ำตลอดระยะเวลาการปลูก เพราะแตงโมเหล่านี้เขาให้กินน้ำค้างในหน้าหนาวเอาครับ ง่ายๆก็คือน้ำค้างก็เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของแตงโมในฤดูนี้แล้ว ลองคิดกันดูว่าทุนเท่าไหร่ ที่เหลือก็กำไรจากผลผลิตล้วนๆครับ และที่สำคัญเขาว่าแตงโมน้ำค้างนี่หวานมากๆเสียด้วย ซึ่งอาจจะมีกิจกรรมเก็บแตงโมซึ่งจัดโดยทีวีบูรพาและเครือข่ายในปีหน้าก็ได้ ยังไงก็ลองติดตามกันดูนะครับ

ปลูกแตงโม
ปลูกแตงโม

วิธีปลูกแตงโมก็ง่ายๆครับ หลุมหนึ่งสองเมล็ดระยะห่าง 1 เมตร รอบทิศโดยประมาณ คนเดียวก็สามารถปลูกได้ในพื้นที่กว้างโดยใช้เวลาไม่นานนัก การปลูกพืชนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยากสามารถสอนกันได้ง่าย การเคลื่อนไหวก็ศึกษากันได้ ถ้าให้ดีก็มาพัฒนากันตามหลัก motion study ได้ แต่จริงๆไปจริงจังกับมันมากก็เปลืองสมองเปล่าๆ เอาแค่พอดีๆ ปลูกกันขำๆ ทำเท่าที่จะทำได้ก็พอครับ

ข้าวต้ม ข้าว 150 สายพันธุ์ ข้าวโพด ฟักทอง แครอท และไข่ดาว
ข้าวต้ม ข้าว 150 สายพันธุ์ ข้าวโพด ฟักทอง แครอท และไข่ดาว

หลังจากปลูกแตงโมกันแล้ว ก็กลับมากินข้าวต้มครับ เป็นข้าวสารพัดสี ผมคิดว่าน่าจะเป็นข้าว 150 สายพันธุ์ รวมกับข้าวโพด แครอท ฟักทอง โปะหน้าด้วยไข่ดาวหรือไข่ตามแต่ตามใครจะใส่ครับ ข้าวต้มนี่มีรสชาติกลมกล่อมไม่ต้องปรุงเพิ่มครับ ทานได้เรื่อยๆ ผมเติมไปสามชาม กะว่าจะอยู่ยาวถึงบ่ายๆได้เลย  ข้าวบนถนนตอนแรกคิดว่าจะไม่กินแล้วเพราะอิ่มน้ำข้าวกล้องงอกอยู่เลย แต่พอได้ลองแล้วก็ติดใจ อยากซึมซับรสชาติแบบนี้เพิ่มอีกจนต้องกลายเป็นตักสามรอบกันเลย

หลังจากกินข้าวต้มกันเสร็จ เราก็จะเดินทางไปลงแขกเกี่ยวข้าวกันนะครับ ซึ่งแปลงนาที่เราจะไปเกี่ยวข้าวนั้นก็อยู่ห่างจากศูนย์ข้าวคุณธรรมไปไม่ถึง 10 นาทีหากเดินทางโดยใช้รถ ระหว่างทางก็จะเห็นชาวนาระหว่างทางเอาข้าวขึ้นมาตากบนถนน หรือที่เขาเรียกว่าข้าวรถเหยียบ รึเปล่าผมก็ไม่แน่ใจนัก แต่ที่แน่ๆก็เป็นตัวบ่งบอกว่าถนนนี้ไม่ค่อยจะมีรถวิ่งครับ

ข้าวที่เกี่ยวด้วยรถเกี่ยวข้าว
ข้าวที่เกี่ยวด้วยรถเกี่ยวข้าว

ระหว่างทางก็มองไปที่นาข้างทางนะครับ นาแบบในรูปนี้เขาใช้รถเกี่ยวเลยดูแถวเป็นเป็นแนวครับ การใช้รถเกี่ยวข้าวทำให้ผลผลิตบางส่วนเสียไปในกระบวนการเกี่ยวข้าวโดยใช้รถครับ เอาง่ายๆว่ามีร้อยได้ไม่เต็มร้อย แต่ก็มีข้อดีที่เกี่ยวได้ไวครับ สำหรับชาวนาที่มีข้าวหลายๆไร่แต่ไม่สามารถหาแรงงานมาช่วยกันเกี่ยวได้ก็อาจจำเป็นต้องใช้รถเกี่ยวข้าวครับ

เสน่ห์ไม้ริมนาแต่การเกี่ยวข้าวโดยใช้คนเกี่ยวจะทำให้ได้ข้าวที่มีคุณภาพและปริมาณมากกว่าเมื่อเทียบกับผลผลิตที่ได้ในพื้นที่เท่ากันครับ แต่ข้อเสียก็คือการใช้คนเกี่ยว ซึ่งดูๆแล้วจะต้นทุนสูงกว่าเครื่องจักรในปัจจุบัน

เมื่อเดินทางมาถึงแปลงนาเป้าหมายของเรา ก็จะเตรียมตัวกันเล็กน้อยครับ ใครมีหมวกก็ใส่หมวกใครมีผ้าก็โพกผ้าไว้หน่อยกันแดดเผา ระหว่างรอเพื่อนๆสมาชิกคันอื่น ผมก็มองไปเห็นต้นไม้ใหญ่ริมนา ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไรผมจึงชอบต้นไม้ใหญ่ริมนาที่ผลัดใบมากๆ อาจจะเพราะมันสวย มันโดดเด่น หรืออะไรก็ได้ แต่ต้นไม้ที่เหี่ยวแห้งริมนามักจะตกเป็นเป้าหมายของกล้่องผมเป็นประจำครับ

พักทานน้ำก่อนถ่ายรูปหลังจากที่ทุกคนมาพร้อมกันแล้ว เราก็จะมาลงแขกเกี่ยวข้าวกัน โดยจะมีพ่อแม่ชาวนาคุณธรรมร่วมเกี่ยวข้าวและคอยแนะนำให้ความรู้และประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการลงแขกเกี่ยวข้าวอยู่ตลอด ทำให้ได้ทั้งทำกิจกรรมและได้ความรู้ไปในตัวเลยทีเดียว สำหรับในวันนี้ผมใส่กางเกงขาสั้นมาเกี่ยวข้าว เพราะอยากรู้ว่ามันจะคันรึเปล่า สรุปเกี่ยวไป ลุยข้าวไป ก็ไม่เห็นคันเลย ยุงกัดยังคันมากกว่าหลายเท่า ทิ้งไว้เป็นแค่ความรู้ครับ ถ้าลงเกี่ยวข้าวครั้งหน้าก็ขายาวอยู่เพราะอยากลองเพียงแค่อยากรู้เท่านั้น สำหรับวันนี้โชคยังเข้าข้างเหมือนเคยที่มีเมฆมาช่วยบังสร้างร่มเงาให้แม้จะไม่มีเงาต้นไม้

หลังจากเกี่ยวข้าวกันพอได้เวลาอันเหมาะสม เราก็มาพักทานน้ำและถ่ายรูปหมู่รวมกันเป็นที่ระลึก ของกิจกรรมในครั้งนี้ครับ การเดินทางไปกับทีวีบูรพาก็ดีตรงนี้แหละ มีตากล้องคอยเก็บภาพให้เราตลอด ปกติผมไปเที่ยวเองก็ต้องเป็นตากล้องเลยไม่ค่อยมีรูปกับเขา แต่ถ้ามาแบบนี้รับรองมีรูปสวยๆแน่ๆ ส่วนจะมากจะน้อยค่อยวัดกันอีกที

ไก่ในบ้าน

หลังจากที่ลงแขกเกี่ยวข้าวกันเสร็จแล้ว เราก็จะกลับมาบ้านพ่อประมวลเพื่อ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และเก็บของเตรียมที่จะเดินทางกลับ ระหว่างรออาบน้ำพ่อประมวลก็พาเดินดูรอบบ้าน มีไก่ที่อยู่ในห้องไก่ เป็นไก่ที่เลี้ยงแบบมีพื้นที่ให้เดินไปเดินมาอยู่บ้าง พ่อประมวลบอกว่าถึงจะเปิดไว้ มันก็ไม่ออกมา ถึงจะออกมาเดี๋ยวก็กลับไปเอง

ไก่ที่นี่เลี้ยงในพื้นที่จำกัด แต่ไม่จำกัดอิสระของไก่ ไก่สามารถเดินไปเดินมาในระยะ 2*3 เมตร ได้ โดยไก่เหล่านี้จะให้ไข่เกือบทุกๆวัน โดยจะมีตะกร้าแขวนไว้ ซึ่งเวลาไก่จะมาออกไข่ก็จะเข้าไปออกในตะกร้าทำให้จัดเก็บได้ง่าย  และเดินดูต่อไปที่ถังหมัก หมักแตงโม หมักหอยเชอรี่ เพื่อทำน้ำหมักไว้ใช้ในหลายๆโอกาส รวมถึงแนะนำรถไถซึ่งมีอายุใช้งานมาหลายปี เรียกได้ว่าคุ้มเกินคุ้ม เป็นวิถีของชาวนาที่กินอยู่อย่างพอเพียงมีน้่อยใช้น้อย มีมากใช้น้อย ชีวิตก็เลยเรียบง่ายและเป็นสุข สังเกตุได้จากรอยยิ้มของพ่อแม่ชาวนานั่นเอง

ผักกาดสร้อย

หลังจากอาบน้ำเก็บของกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็จะกลับมาทานข้าวกลางวันกันที่ศูนย์ข้าวคุณธรรมกันครับ มื้อกลับนี่ค่อนข้างยิ่งใหญ่มากทีเดียว มีของกินมากมาย โดยเฉพาะไก่ย่าง?? ผมเองมาร่วมกิจกรรมในครั้งที่แล้วกินแต่มังสวิรัติตลอด 3 วันก็ยังเฉยๆ พอเดินทางมาในครั้งนี้่ เป็นปลาเห็นไก่แล้วก็แอบตกใจเล็กน้อยครับ ก็คือผมไม่ได้คาดหวังว่าจะได้กินมันครับ ในทางกลับกันก็เกิดความรู้สึกว่าไม่ค่อยจะอยากกินมันด้วยซ้ำ แต่ไหนๆมันก็ตายแล้ว จะให้ตายเปล่าก็ยังไงอยู่ สุดท้ายก็รับปลารับไก่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมครับ

ผักด้านบนเขาว่าเป็นผักกาดสร้่อยครับ เป็นผักที่มีรสชาติและกลิ่นฉุนคล้ายวาซาบิ ผมเองเป็นคนชอบกลิ่นของวาซาบิอยู่แล้วเลยลองกันเพลินเลย ของดีมีทั่วไทยจริงๆครับ ปัญหาอยู่ที่รู้ไม่รู้นั่นแหละ

ป้ายกิจกรรมรอถ่ายรูปหมู่หลังกินข้าวก็มีกิจกรรมกันเล็กน้อย โดยมีการแจกเสื้อครับ สำหรับผมนั้นลืมไปได้เลยเพราะไม่มีขนาดพอตัว แม้จะอยากได้เท่าไรก็คงต้องรอซื้อกันตอนเขาออกงานออกบูธกันครับ ถึงตอนนั้นก็คงจะมีให้เลือกหลายขนาดหลายลาย

เครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนาแล้วก็จะมีการถ่ายภาพหมู่ครับ เก็บภาพประทับใจแจกของที่ระลึกกันไป สำหรับเหล่าสมาชิกผู้ร่วมกิจกรรมก็จะได้ข้าวใหม่ๆ เป็นของที่ระลึกให้ไปหุงหอมกินกันที่บ้านให้ระลึกถึงกลิ่นหอมของบ้านนากันต่อไป สำหรับประสบการณ์ที่ได้รับนั้นอาจจะแตกต่างกันไปตามผู้รับครับ แต่คิดว่าทุกท่านที่ไปคงจะเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกดีๆในหลายด้านอย่างแน่นอน

ผมเองไม่คิดว่าจะได้มาในกิจกรรมนี้เพราะยังจัดการงานตัวเองยังไม่เสร็จ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจมาอีกครั้งเพื่อที่จะมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่หายากยิ่ง นั่นคือการลงแขกเกี่ยวข้าว  ผมเองเป็นนักออกแบบอิสระ ยังพอจัดสรรเวลาและปรับตารางงานได้บ้าง สุดท้ายก็ต้องบอกว่าทุกครั้งที่มาได้รับสิ่งที่ยากเกินกว่าจะจินตนาการได้ทุกที จะว่าเหมือนครั้งก่อนก็ไม่ใช่ มันแตกต่างกันแต่ก็มีส่วนคล้ายกันอยู่บ้าง สำหรับส่วนที่เหลือผมคงจะทิ้งไว้ในอีกบทความหนึ่งซึ่งจะเป็นบทสรุปของความคิดของผมต่อสิ่งที่ได้รับจากกิจกรรมในครั้งนี้ครับ

 

เรื่องราวการเดินทางทั้งหมดก็จบเพียงเท่านี้ อ่านบทสรุปเพิ่มเติม…

 

ลงแขกเกี่ยวข้าว รับลมหนาวปลายนา [3] วันที่สองภาคบ่าย

วันที่สองของการเดินทาง สำหรับในบทความนี้เป็นบทความในช่วงบ่ายของวันที่สอง หลังจากที่เราได้ทำกิจกรรมตามแต่ละบ้านมาแล้ว เรื่องราวของตอนนี้เราก็จะมาแบ่งปันประสบการณ์กันนะครับ

10 พฤษจิกายน 2555 เวลา บ่าย 3 โมง

จุดนัดหมาย ศูนย์ข้าวคุณธรรม สาขาโนนค้อทุ่ง
จุดนัดหมาย ศูนย์ข้าวคุณธรรม สาขาโนนค้อทุ่ง

เราเดินทางจากบ้านของแม่แต๋นมายัง ศูนย์ข้าวคุณธรรม สาขาโนนค้อทุ่ง จังหวัดอำนาจเจริญนะครับ ใช้เวลาเดินทางไม่นานเท่าไรนัก สำหรับบ้านผมนั้นมาถึงเป็นกลุ่มแรกเลย ก็เลยได้มีเวลาเดินเล่นชมสถานที่ได้มากหน่อย ตากล้องทีวีบูรพาแดดในวันนี้ก็แรงดีทีเดียวครับ แดดดีแบบนี้เหมาะแก่ฤดูการเกี่ยวข้าวมากครับ เพราะถ้าฝนตกในช่วงข้าวสุกแบบนี้จะทำให้ข้าวเสียหาย ทำให้เกี่ยวยาก ซึ่งก็ให้ผลเสียมากมายตามมาครับ การป้องกันก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก นอกจากเกี่ยวให้ไวหรือภาวนาเท่านั้นเอง

สำหรับการมากับทีวีบูีรพา ก็จะมีการเก็บภาพเป็นระยะๆ นะครับ เพราะเป็นรายการทีวีละนะ ก็จะมีกล้องผ่านเรามาเป็นระยะๆเหมือนกันดังนั้นกล้องผ่านมาก็ต้องทำตัวธรรมชาติแบบกึ่งดูดีกันหน่อย เผื่อเขาจะได้เก็บภาพไปใช้ได้ครับ เห็นตากล้องแล้วก็ลำบากเหมือนกัน ต้องไปรอไปเตรียมถ่ายก่อนตลอดไม่งั้นก็เก็บภาพไม่ได้ทั้งร้อนทั้งหนัก แต่ก็เป็นงานละนะ

เห็ดฟางใหญ่ๆ

อาหารที่เรากินแต่ละมื้อนั้นมีแต่ของดีทั้งนั้นครับ ทั้งคุณภาพ ปริมาณและความปลอดภัยนั้น ถ้าเอาราคาไปเทียบกับราคาในกรุงเทพ การเดินทางมาในครั้งนี้คงได้กำไรตั้งแต่อาหารที่กินแล้วครับ อย่างเห็ดในรูปด้านบนนี่ก็มีแต่ขนาดใหญ่ๆ

น้ำข้าวกล้องงอก
น้ำข้าวกล้องงอก

แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งที่ปลูก ขนาดของเห็ดจะเป็นตัวกำหนดราคาครับ สำหรับที่เคยเห็นในตลาดยังไม่ค่อยเห็นมีขนาดใหญ่เท่าที่นี่เลยครับ

บ่ายๆแบบนี้หลายคนคงจะยังอิ่มกันอยู่ แต่เมื่อมาถึงก็มีน้ำข้าวกล้องงอกให้ดื่มกันให้สบายท้องมากยิ่งขึ้นครับ น้ำข้าวกล้องงอกสดใหม่นี่หากินในกรุงเทพยากมากครับ เดินไปตามตลาดเช้าทั่วไปนี่ไม่เคยเห็นนะ เห็นแต่หมูปิ้ง ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้อะไรประมาณนี้เท่านั้นเอง นี่ถ้าได้ดื่มทุกเช้าคงจะดีมาก เพราะได้ทั้งคุณค่าและพลังงานช่วยทำให้หิวช้ากว่าเดิมได้ดีมาก จากเดิมที่ก่อนเวลาพักก็จะอยู่ต่อได้นานขึ้นอย่างแน่นอน

เรื่องราวและต้นกำเนิดของเครือข่ายฯ
เรื่องราวและต้นกำเนิดของเครือข่ายฯ

หลังจากหลายๆบ้านมาถึงที่หมายกันจนครบแล้ว ก็เข้าถึงกิจกรรมต่อไป นั่นคือการเล่าเรื่องที่ไปที่มาของข้าวคุณธรรม ชาวนาคุณธรรม เครือข่ายตนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา การเริ่มต้นต่างๆถูกเล่าผ่านชาวนาคุณธรรม คุณอดุลย์ พาณิชย์ (ฉายารึเปล่าไม่แน่ใจ) ร่วมกับพี่เช็ค (สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ) ที่มาเล่าเรื่องราวให้กลุ่มผู้ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ได้รู้เรื่องราวและต้นกำเนิดตั้งแต่จุดเริ่มต้น แรงบัลดาลใจ รวมถึงความคาดหวังที่จะเกิดขึ้น ผมได้ฟังแล้วยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และเห็นด้วยว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามากๆ สำหรับเนื้อหาผมแนะนำให้ตามไปอ่านในนิตยสาร ฅ ฅน นะครับ พี่เช็คบอกว่าเขียนไว้ด้วย ซึ่งอาจจะลองสอบถามกับทางทีวีบูรพาก็ได้

เหตุผลที่ผมไม่อยากเล่าในบล็อกแห่งนี้เพราะเนื้อหามันค่อนข้างจะแน่น และผมเองก็จำได้บ้างไม่ได้บ้างอาจจะปะติดปะต่อขาดๆเกินๆ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด หรือหลงประเด็นกันไปได้ครับ ยังไงถ้าอยากรู้ต้องถามจากแหล่งที่มาที่แนะนำไปข้างต้นครับ

ฟ้ายามเย็นที่โนนค้อทุ่ง
ฟ้ายามเย็นที่โนนค้อทุ่ง

หลังจากที่ทราบที่มาและความเป็นไปรวมถึงอนาคตที่คาดหวังร่วมกันแล้ว ก็ได้พากลุ่มสมาชิกเดินชมพื้นที่ครับ ก็มีโรงสี โรงบรรจุ วิถีชีวิตรอบๆ ครับ เป็นการแนะนำกระบวนการผลิตในเบื้องต้นให้กลุ่มสมาชิกได้รับรู้ในเบื้องต้น หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปตามบ้านสมาชิกชาวนาคุณธรรมเพื่อ อาบน้ำอาบท่า จัดการธุระส่วนตัวก่อนจะมาทานข้าวเย็นครับ สำหรับค่ำนี้ผมได้พักกายในบ้านของพ่อประมวลครับ เมื่อถึงที่พักก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากอาบน้ำคุยกับสมาชิกใหม่ในบ้าน

ลืมบอกไปว่าการพักในแต่ละวันจะเปลี่ยนสมาชิกในบ้าน เพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสทำความรู้จักกันมากขึ้นครับ สำหรับผมก็เป็นคนอยากรู้ก็เลยชอบถามอะไรเยอะแยะตามประสาครับ แบบว่าคิดไปเองในสิ่งที่ไม่รู้ ก็กลัวจะพลาดถามกันง่ายๆเลยจะดีกว่า

แบ่งปันความรู้สึกหลังจากอาบน้ำอาบท่าเราก็จะมารวมกินข้าวเย็นร่วมกันครับ มื้อนี้อร่อยเหมือนเคยครับ การเดินทางครั้งนี้ไม่มีคำว่าท้องหิวครับ มีแต่คำว่า “กินอีกแล้วหรอ” , “ยังอิ่มอยู่เลย” อะไรประมาณนี้ เขาเลี้ยงดูปูเสื่อกันอย่างดีตามวิถีของชาวนาคุณธรรมครับ

หลังจากทานข้าวกันเสร็จแล้วก็จะมาไหว้พระฟังธรรมกันครับ โดยหลวงพ่อจากวัดป่าสวนธรรมร่วมใจ(ถ้าจำผิดพลาดขออภัยครับ) การฟังเทศน์ฟังธรรมจากพระสายวัดป่านั้นเป็นธรรมที่เป็นธรรมดา เป็นการพูดกันธรรมดาให้เข้าใจได้ง่าย ซึ่งเป็นหลักของพระพุทธเจ้านั่นคือหากไปเทศน์ที่ไหน ให้เทศน์ภาษาของที่นั่น ให้คนได้เข้าใจ ประมาณนี้ครับผิดพลาดประการใดรบกวนชี้แนะผมด้วยนะ และก็มีกิจกรรมแบ่งปันเรื่องราวของแต่ละบ้าน ประกอบภาพกันครับ หลายๆบ้านก็ออกมาแบ่งปันเรื่องราวและประสบการณ์กันครับ จะมีความต่างก็นิดหน่อยตามสภาพพื้นที่ของแต่ละบ้านครับ สำหรับบ้านผมก็เ้ป็นบ้านสุดท้ายก็ออกไปเล่าแบบงงๆ ครับ จำได้บ้างไม่ได้บ้างต้องปะติดปะต่อกับเพื่อนไปเรื่อยๆ ก็เป็นการแบ่งปันให้เพื่อนสมาชิกรับรู้ความแตกต่างที่ใกล้เคียงกันนะครับ

ข้าวหลามเผาสดใหม่
ข้าวหลามเผาสดใหม่

ต่อจากเล่าประสบการณ์ในแต่ละบ้านกันแล้วก็จะมีพิธีเทียนและผูกข้อมือโดยพ่อแม่ชาวนาคุณธรรมครับ ซึ่งก็เป็นพิธีที่ค่อนข้างมีผลทางใจมากทีเดียว เพราะเป็นช่วงเวลาที่หลายๆท่านได้พูดสิ่งที่คิดหรือความในใจออกมาให้เพื่อนๆได้รับฟังกันถือเป็นการแบ่งปันความรู้สึกที่ดีครับ และพรจากพ่อแม่ชาวนาคุณธรรมก็ถือเป็นพรที่ดีด้วยเก็บกลับบ้านไปเป็นแรงผลักดันและกำลังใจกันได้มากมายเลยทีเดียว

หลังจากแบ่งปันกันเสร็จแล้ว ก็ได้เวลากลับบ้านครับ สำหรับใครที่อยากคุยต่อก็จะมีข้าวหลามเป็นมื้อค่ำครับ สำหรับผมก็รอกินข้าวหลามกับเขาอยู่เหมือนว่าแตกต่างกับที่เคยกินมากขนาดไหน ผลก็คือข้าวเหนียวนิ่มมากครับ เป็นข้าวหลามที่กินร้อนๆ จากกองไฟกันเลยทีเดียว

สำหรับการเดินทางครั้งนี้ ในมุมมองของผมนั้นทีเด็ดอยู่ที่การแลกเปลี่ยนอย่างอิสระ กลางวงสนทนาเกลอเมืองเกลอทุ่งครับ วงนี้บอกตรงๆว่ามีแต่ประสบการณ์ ความรู้ ปรัชญา แนวคิด อัดแน่นอยู่เต็มเปี่ยมครับ บอกตรงๆว่าผมเองก็ได้รับความรู้ใหม่ๆมากมายจากวงนี้เหมือนกัน

แต่เมื่อถึงเวลางานเลี้ยงต้องมีวันเลิกราครับ ยังไงเราก็ต้องกลับไปพักผ่อนเพื่อกิจกรรมสำคัญในวันพรุ่งนี้อีกวันนั่นคือการลงแขกเกี่ยวข้าวครับ ติดตามอ่านบทความต่อไปกันได้เลย

วันที่สองก็จบเพียงเท่านี้ อ่านวันสุดท้ายต่อได้ที่…