ปริญญา

ห่างหายกันไปนานมากกับการพิมพ์บล็อกการอัพเดทบล็อกในหลายๆส่วนของผม ซึ่งก่อนหน้านี้มันนิ่งมากจนแทบจะเรียกได้ว่าหายไปเลยก็ว่าได้

ช่วงสองปีกว่าที่ผ่านมาจนกระทั่ง ล่าสุดหนึ่งสัปดาห์ได้ผ่านไป ผมได้ไปปฏิบัติภารกิจอย่างหนึ่ง นั่นคือไปเรียนปริญญาโท เป็นการเรียนหาความรู้ใหม่ๆ หาประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกในจังหวะที่มีโอกาสที่ดี

ผมเลือกเรียนบริหารธุรกิจจากกว่า 4 -5 ทางเลือกและเหตุผลที่ได้คัดมาแล้วด้วยน้ำหนักอันเหมาะสมและความเป็นไปได้จนถึงการใช้ประโยชน์จากมันในอนาคต จึงได้เลือกเรียนโครงการบริหารธุรกิจภาคค่ำ (YMBA) และเน้นเรียนเวลาค่ำหรือหลังพระอาทิตย์ตกนั่นเอง แม้ว่าโครงการจะมีวันเสาร์อาทิตย์ไว้เป็นตัวเลือก แต่ผมเลือกลงทะเบียนเพียงสาขาเดียวนั่นคือการจัดการวันธรรมดา

ปริญญา

ปริญญา

การเรียนนั้นผ่านมาร่วม 2 ปีกว่า ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจาก YMBA KU แห่งนี้ ซึ่งผมเองเป็นรุ่นที่ 20 และแต่ละรุ่น แต่ละสาขา แต่ละกลุ่ม ก็จะมีธรรมชาติที่แตกต่างกันไป แล้วแต่จะเลือกสรรตามใจ ตามธรรมชาติ

ปริญญาใบแรกของผมนั้นคือศิลปบัณฑิต (BFA) ได้มาจากคณะศิลปกรรม มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นศิลปะประยุกต์โดยเรียนรู้ทั้ง Fine Art และ Digital Art ควบคู่กันไปจนในที่สุดผมได้สำเร็จการศึกษาโดยมีทักษะหลักติดตัวหลายอย่างเช่น อนิเมชั่น การวาดภาพประกอบ และอื่นๆอีกมากมาย

ปริญญาใบที่สอง เป็นปริญญาโท ได้มาเป็นปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (MBA) จากโครงการปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจภาคค่ำ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นการเรียนรู้โดยใช้ประสบการณ์เก่ามาประยุกต์เพราะโครงการนี้เขาต้องการประสบการณ์ทำงานอย่างน้อย 3 ปีก่อนเข้ามาสมัครเรียนได้ สิ่งที่ได้รับมาจากการเรียนบริหารธุรกิจคือการรู้โลกที่ไม่เคยได้รับรู้ ซึ่งแตกต่างกันไปกับตอนปริญญาตรีเมื่อครั้งเรียนศิลปกรรม เป็นการเติมเต็มจินตนภาพและความจริงให้สมดุลกันมากขึ้น

ถ้าจะเปรียบ…

ศิลปกรรมที่ได้เรียนรู้มาก็คงจะเป็นเหมือนวัตถุดิบ เป็นการปรุงอาหาร เป็นการจัดวาง เป็นส่วนผสม เป็นรสชาติ เป็นสิ่งที่จะขาย และบริหารธุรกิจก็คงจะเป็นสูตรอาหาร เป็นกระบวนการ เป็นการมองจากวัตถุดิบจนไปถึงปากของผู้บริโภค การดูแลผู้บริโภค การนำเสนออาหารใหม่ๆ การเข้าใจพฤติกรรมของผู้กิน รวมๆแล้ว ศิลปกรรม+บริหารธุรกิจก็คงจะเป็นสิ่งที่ทำให้การทำอาหารสักจานได้ผลมากกว่าความอร่อยนั่นเอง

เป็นการเปรียบเปรยง่ายๆ เพื่อที่จะตอบคำถามที่ว่า “เรียนปริญญาโทแล้วได้อะไร” เป็นคำถามง่ายๆแต่ต้องฟังกันยาวๆ เพราะมันไม่ได้มีแค่ปริญญาโท มันต้องนับก่อนปริญญาโทด้วย เพราะว่าต้นทุนของแต่ละคนมาไม่เท่ากัน ดังนั้นเรียนแล้วได้อะไรคาดหวังในอะไร คงไม่มีคำตอบที่ครอบจักรวาล ซึ่งผมเองก็คงจะไม่ตอบง่ายๆเช่นกัน เพราะมันดูมักง่ายเกินไปที่จะย่อสิ่งที่เรียนรู้มา 2 ปี รวมกับประสบการณ์เกือบ 20 ปีก่อนหน้านั้นมาเป็นคำพูดสั้นๆ ให้คนเข้าใจ

สำหรับตอนนี้ผมได้เรียนจบและได้รับปริญญาเรียบร้อยแล้ว ถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหลังจากได้พักมานาน

สวัสดี

Let’s plant tree ปลูกต้นไม้กันเถอะ :)

วันก่อนนั่งๆนึกว่าวันนี้จะวาดรูปอะไรดี สิ่งที่เข้ามาในหัวก็คือการปลูกป่า ประสบการณ์ที่กำลังจะฝังรากลึกลงไปในสมองของผมนั่นเอง

หลังจากที่ได้ไปร่วมกิจกรรม ปลูกป่า เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ก็คิดอยู่ตลอดว่าจะเอามาใช้ในชีิวิตประจำวันอย่างไรดีในเมื่อชีวิตในเมืองนั้นต่างกันกับชีวิตที่ได้ไปเจอมาก จนล่าสุดพบได้พบคำตอบหนึ่ง..

จินตนาการและทักษะการวาดรูปของผมเองสามารถสร้างสื่อที่กระัตุ้นให้เกิดความรู้สึกบางอย่างออกมาได้ แต่ก่อนจะสร้างได้นั้นมันก็ต้องมาจากความรู้สึกภายใน ผ่านการผสมของจินตนาการ ผ่านปลายปากกา จนมาสู่ผลงานที่เห็นกันได้ด้านล่าง ซึ่งก็เป็นคำตอบได้ว่าแม้ผมจะไม่ได้ปลูกป่าทุกวัน แต่ก็สามารถสร้างสรรค์สื่อดีๆได้ทุกเวลาเท่าที่ใจต้องการ

Let’s plant tree ปลูกต้นไม้กันเถอะ :)

Let's plant tree ปลูกต้นไม้กันเถอะ :)

สำหรับรูปนนี้อาจจะเล็กไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับขนาดจริงของงาน ซึ่งผู้สนใจก็สามารถรับชมรูปใหญ่กว่านี้กันได้ที่ หมูเด็กปลูกต้นไม้ : MonkiezGrove Cartoon Book นะครับ ก็เป็นเพจเฟสบุคของมังกีซ์โกรฟนั่นเอง

ตอนนี้ยังไม่ได้กลับไปอัพเดทเว็บไซต์มังกีซ์โกรฟเท่าไรนักเพราะกำลังจะเปลี่ยนรูปแบบใหม่นิดหน่อยก็เลยใช้ช่องทางเฟสบุคเสียมากกว่า ถ้าเว็บไซต์ปรับปรุงเสร็จอย่างไรแล้วก็คงจะได้อ่านบทความที่เกี่ยวกับรูปนี้ในแบบลึกซึ้งกันมากกว่าเดิมแน่นอน

MonkiezGrove Cartoon Book

ยังมีรูปอีกมากมายในช่วงนี้ที่ผมได้เริ่มกลับมาวาดอีกครั้งก็จะอยู่ใน Facebook Page : MonkiezGrove Cartoon Book (http://www.facebook.com/monkiezgrovecartoon)

สวัสดี

เรียนจบ สรุปกันหน่อยดีไหม?

จริงๆก็เรียนจบมาสักเดือนหนึ่งแล้ว ทุกวันนี้ก็นั่งคิดว่าจะวางแผนจัดการกับชีวิตหลังจากนี้ยังไงดี จนมาคิดได้ว่าผมเองควรจะสรุปให้อ่านกันหน่อยดีไหมเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ได้รับในการเรียนโทใน 2 ปีที่ผ่านมานี้

ประเด็นคือ…

สำหรับประเด็นที่มีในหัวก็คือประสบการณ์ที่ได้รับ แล้วก็เรียนปริญญาโท MBA แล้วได้อะไร? จะพยายามรวบสองประเด็นนี้เข้าเป็นบทความเดียวกันให้ได้ซึ่งบอกตรงๆกันเลยว่าในบทความนี้ ยังคิดไม่ออก …จะเรียกว่าคิดไม่ออกก็คงจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว คงต้องเรียกว่ายังเรียบเรียงได้ไม่สมบูรณ์เสียมากกว่าเพราะทุกอย่างนั้นอยู่ในหัวหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิด แค่เพียงนั่งนึกแล้วเอามาเรียบเรียงเท่านั้นเอง

วันก่อน…

วันก่อนมีจดหมายจากทางบ้าน (email) เข้ามาแสดงความยินดีที่ผมได้เรียน ป โท (ผมจบแล้วด้วยนะเอ้อ) ซึ่งก็ได้ร่วมแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับการที่เคยสอบเข้าในรุ่น 21 และเวลาในการสอบที่น้อยนิด นั่นคือ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ประเด็นคือเตรียมตัวอย่างไรจึงจะสอบติด? ผมคิดว่าคนที่สนใจจะสอบหรือสมัครเรียน YMBA KU หลายคนก็คงจะเคยเห็นบล็อกผมผ่านตากันไปบ้างไม่มากก็น้อย

ตอนแรกผมเองก็ยังงงๆอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงสอบติด จนกระทั่งวันนี้ก็ยังงงอยู่ ส่วนเรื่องเรียนจบนี่ไม่งงนะครับ บอกตรงๆว่าถ้าขยันเรียน อ่านเยอะๆ หัดวิเคราะห์บ่อยๆ ที่สำคัญคือหัดเขียนครับ การเขียนจะช่วยให้เราสามารถเรียบเรียงสิ่งต่างๆได้ไวขึ้น เชื่อไหมว่าผมเรียนจบมาได้เพราะมีทักษะในการเขียนบล็อกเข้ามาช่วย จนวันนี้ผมเขียนบล็อกไปมากกว่าหลักพันบทความ มันสนุกและช่วยให้เราจำอะไรได้ดีขึ้นด้วยครับ

กลับมาที่ทำไมถึงสอบติด YMBA KU โครงการนี้และหลายๆโครงการของ ม.เกษตร เขาจะคัดคนเบื้องต้นจากคะแนนสอบครับจากนั้นก็คัดอีกทีจากความพร้อมในการเรียนด้วยการสอบสัมภาษณ์ เพราะฉนั้นจึงมีสองด่านที่ต้องทำการบ้านมาดีหน่อยครับ ผมบอกตรงๆว่าในปีหนึ่งๆ รุ่นหนึ่งๆ นั้นมีคนมาสมัครกันเยอะมาก แต่คนได้ก็ไม่เยอะด้วยเหตุแห่งอะไรก็ได้ทั้งปวง แต่ผมเชื่อว่าคนที่เตรียมตัวมาดีย่อมได้เปรียบครับ

สำหรับผมเองถ้าถามว่าทำไมถึงสอบติด จนวันนี้ผมก็ตอบว่ายังงงๆอยู่เหมือนเดิมครับ เพราะผมเองไม่ได้อ่าน ไม่ได้ติว หรือไม่ได้ทบทวนอะไรก่อนสอบเลย ใช้แต่ความรู้เก่าที่ติดตัวมาเท่านั้น น่างงไหมครับ ถ้าจะมีเหตุแห่งการสอบติดที่พอจะตอบเป็นเหตุเป็นผลได้ก็คือความรู้เก่าของผมนั่นแหละครับ ส่วนที่เหลือก็ให้เป็นความบังเอิญไปแล้วกันครับ ซึ่งคงจะอธิบายกันยากสักหน่อย เอาเป็นว่าใครที่สนใจก็ขยันๆแล้วกันนะครับ

ส่วนสรุปเรื่องเรียนก็เอาไว้… บทความหน้าแล้วกันนะยังเรียบเรียงไม่เสร็จ

สวัสดี

เรียนจบโท หางานใหม่?

หลังจากเรียนจบ ก็จะมีคำถามนี้ขึ้นมาบ่อยมาก ซึ่งผมเองก็พยายามที่จะตอบให้มันเข้าใจง่ายๆหน่อยเพราะคำตอบในมุมของผมอาจจะต่างจากคนอื่นไปมากไปนิด

เริ่มจากจุดประสงค์ในการเรียน MBA ของผมกันก่อน…

ถ้าจะถามว่าหลังจากเรียนจบจะเปลี่ยนงานไหมก็ต้องกลับมาที่จุดประสงค์ในการเรียน ผมเลือกตัดสินใจเรียน MBA จากหลายๆตัวเลือกที่ได้คัดมาแล้ว ซึ่งเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดทั้งในด้านความรู้และการขยายโอกาส ซึ่งอาชีพของผมเองก่อนหน้านี้ก็คือ Animator ซึ่งสร้างอนิเมชั่นเป็นหลัก แน่นอนว่ามีอาชีพเสริมที่สร้างรายได้อีกมากมายคงจะกล่าวถึงกันไม่ไหวต้องตามดูกันเอง

และชัดเจนว่าจุดประสงค์ของผมคือ ด้านความรู้และการขยายโอกาส ซึ่งนี่คือสิ่งสำคัญที่สุดในการเรียน การได้รับปริญญามาอัพเกรดสถานะของตนนั้นไม่อยู่ในหัวผมเลย เพราะผมเองไม่ได้คิดจะไปสมัครงานที่ไหนอยู่แล้วเพราะฉนั้นใบปริญญา ใบทรานสคริป นั้นไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ

เรียนจบโท หางานใหม่ไหม?

คำถามที่ต้องตอบกันบ่อยๆ ถ้าเป็นวันนี้ก็จะตอบว่าไม่ เพราะการเรียนโทเป็นการเสริมงานเก่าอยู่แล้ว เป็นงานที่วางแผนไว้ก่อนเรียนโท และอยู่ในแผนแต่แรกแล้ว ซึ่งก็รู้ก่อนเรียนแล้วว่าจะได้่รับอะไรมาพัฒนาความสามารถ ดังนั้นเมื่อเรียนจบผมจึงตัดสินใจพัฒนางานเดิมให้เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆจะดีกว่า แม้ตอนนี้จะยังไม่เห็นดอกผลแต่คิดว่าวันหนึ่งก็คงจะเติบโตอย่างที่ผมหวังไว้แน่ๆ

ถ้าผมคิดจะเรียน ปริญญาโทใบนี้มาเพื่อจะได้รับเงินเดือนและโอกาสในการหางานใหม่ ถ้าผมอยากทำงานในรูปแบบออฟฟิศ หรืออยู่กับองค์กร ผมก็คงไม่ตัดสินใจลาออกจากบริษัทที่เคยทำเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งผลในการเรียนโทของผมอาจจะต่างไปจากคนอื่น ซึ่งมันอาจจะดูคลุมเครือไม่ชัดเจนเหมือนการได้เลื่อนตำแหน่งเพิ่มเงินเดือน แต่ผมเชื่อว่าการนำความรู้มาใช้จริงนั้นจะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนมากกว่าการเรียนๆสอบๆให้จบๆไปเพื่อได้รับปริญญาอย่างแน่นอน ซึ่งการเรียนปริญญาโทของผมนั้น ผมเรียนเพื่อให้ได้มาซึ่ง ความรู้และโอกาสที่มากกว่าเดิมนั่นเอง

ซึ่งนี่เป็นคำตอบของผมซึ่งอาจจะต่างไปตามแต่ละจุดประสงค์ของแต่ละบุคคล เป็นเพียงแค่ความเห็นเท่านั้นเอง…

สวัสดี

Blend me!

สำหรับผู้ติดตามบล็อกที่อาจจะสงสัยว่าทำไมผมจึงหายไปนานนั้น คิดว่าคงได้คำตอบกันแบบคร่าวๆกันไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้ ซึ่งผมก็ได้ชี้แจ้งแบบรวมๆ และคร่าวๆ โดยไม่เจาะลึกให้เข้าใจยากนักไว้เรียบร้อยแล้ว

ที่หายไปนั้นก็ตามอ่านได้ตั้งแต่บทความ “เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง” ถึงบทความ “ผ่าน” แล้วก็คงจะได้คำตอบ ซึ่งจะมาต่อกันที่เนื้อหาในบทความนี้กันครับ

Blend แปลว่า การผสมผสาน การผสม การยำ…

…หรืออะไรก็ตามแต่ Blend me! คือชื่อของบทความนี้ เป็นบทความสั้นๆที่จะมาแจ้งเหตุแห่งความขลุกขลักในชีวิตผมในช่วงนี้ซึ่งคุณอาจจะไม่อยากรู้ก็เป็นได้ แต่แน่นอนมันส่งผลกับ Website ต่างๆของผมทั้งหมด Cactus Blog ,Sansevieria Blog ,Travel Blog etc. ซึ่งถ้าบอกเช่นนี้แล้วอาจจะน่าติดตามขึ้นมาอีกสักนิดหนึ่งก็ได้นะ

ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ผมเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ เป็นช่วงเวลาแห่งความว่างเปล่าที่รอรับปริญญา แน่นอนว่า Freelance Artist หรือศิลปินอิสระ อย่างผมสามารถรับงานได้ตามใจต้องการ แต่ในเวลานี้ผมไม่ต้องการรับงานใดๆทั้งสิ้นก่อนถึงช่วงรับปริญญาที่จะเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งความจริงในการสำเร็จการศึกษา

แน่นอนว่าผมไม่ได้ปล่อยให้เวลาแต่ละวันผ่านไปเฉยๆ ผมพยายามใช้สมองที่มี คั้นเรื่องราวทุกเรื่อง ความสามารถของผม อนาคต อดีต ทุกๆความเป็นไปได้ของผมออกมาเป็นแผนๆหนึ่ง เป็นแผนใหม่ในการดำเนินชีวิตหลังจากเรียนจบ และแน่นอนว่าถ้าเรียนมาแล้วไม่ได้ใช้ก็คงจะไม่ใช่ผมแน่ๆ ผมจะเรียนสิ่งที่ใช้และใช้สิ่งที่เรียนนั่นคือความเป็นจริง เป็นความจริงที่ทำให้ผมมีทักษะที่หลากหลาย แม้ว่ามันจะไม่ได้ลงรายละเอียดลึกหรือเชี่ยวชาญไปในทางใดทางหนึ่งแต่ก็สามารถให้ผมดำรงชีวิตในโลกที่สับสนและงงๆไปได้ไม่ยากนัก

Blend me!

บอกกันอีกครั้งว่านี่คือการผสมผสาน ตอนนี้ 3 ทักษะหลักที่ผมมีกับอีก 1 วิธีการที่เพิ่มเข้ามาในชีวิตของผม มันทำให้ผมต้องคิดหนักมากๆในการจัดตารางและวางแผนกิจกรรมต่างๆให้เกิดประโยชน์และคุณค่ามากที่สุด ซึ่งจะบอกว่าจะทำอะไรได้บ้างก็คงจะเยอะไปหน่อย เอาเป็นย่อๆแล้วกันว่างานศิลปะ ,งานเว็บไซต์และิอินเตอร์เน็ต,ปลูกและขยายพันธุ์ไม้ สามงานนี้เป็นงานที่สามารถทำรายได้ แต่ทำได้แตกต่างกันไปซึ่งข้อดีก็เสียก็ต่างกันไป

ซึ่งสิ่งที่จะมาจัดการกับสิ่งที่ผมทำได้คือสิ่งที่ได้ร่ำเรียนมาล่าสุดนั่นคือวิชาการจัดการ เพื่อมาบริหารทักษะ รายได้ โอกาส เวลา และชีวิตของผมเอง แน่นอนว่าการเรียน MBA นั้นมีการเรียนหลายวิชา แต่ผมก็ได้เลือกวิชาที่จำเป็นต่อชีวิตของผมมากที่สุดมาช่วยในการออกแบบงานของผมแล้ว และสิ่งที่จะเห็นต่อจากนี้คือความเสถียร ความนิ่ง และความมั่นคงในชีวิต รวมถึงเนื้อหาต่างๆที่คุณกำลังจะติดตามจากผลงานของผมนับจากนี้ด้วย

สวัสดี

 

เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง

ณ วันนี้ดูเหมือนจะมีกิจกรรมที่หลายอย่าง ดูจะสับสนในชีวิตพิกล การมีกิจกรรมและงานที่หลากหลายดูจะเป็นข้อดีในชีวิต

แต่ในปัจจุบันนั้นความหลากหลายเหล่านั้นกลับมาเล่นงานผม ในวันหนึ่งผมมีสมาธิอยู่ปริมาณหนึ่ง แน่นอนมันสามารถเพิ่มเป็นอนันต์ได้ถ้าหากผมฝึกบ่อยๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วกิจกรรมหลายๆอย่างนั้น ทำให้ผมกลายเป็นคนสมาธิสั้นไป

การรับข้อมูลข่าวสาร จากทุกๆมุมของเรื่องที่สนใจ มีผลทำให้เราไขว้เขวไปจากเรื่องที่กำลังจดจ่อหรือมุ่งมั่นอยู่ ครั้นไอ้การจะไม่สนใจก็ดูจะเป็นการยากไปหน่อยเพราะส่วนใหญ่กิจกรรมเหล่านั้นก็มักจะอยู่รอบๆ หรือปนอยู่ในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว ก็คล้ายๆกับกินกาแฟตอนเช้า แปรงฟันก่อนนอนอะไรอย่างนั้น

แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป…

แน่นอนว่าถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ผมเองสามารถควบคุมความหลากหลายของตัวเองได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับมัน จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ ณ จุดนี้ที่กำลังพิมพ์อยู่นั้นเป็นเวลาของเทอมสุดท้ายในการเรียนปริญญาโท ของผม ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมไม่ค่อยจะถนัดนัก นั่นคือการวิจัยเชิงสถิติและบรรยายในรูปแบบวิชาการ

ผมเองเรียนศิลปะมา ผมคิดว่าศิลปะเหมือนจักรวาล ไม่มีขอบ ไม่มีสูงสุด ไม่มีต่ำสุด ความคิดผมจึงไม่เคยมารูปแบบหรือกรอบใดๆทั้งนั้น มันกลายเป็นทัศนคติ กลายเป็นนิสัย และกลายเป็นอนาคตของผมไปในเวลาเดียวกัน แต่ในปัจจุบันนี้ผมจำเป็นต้องทำตามกฏเกณ หรือรูปแบบ หรือ แบบทดสอบใดๆก็ตามที่จำเป็นต้องผ่านไปให้ได้ การเปลี่ยนมุมมองที่เคยมีนั้น ไม่ยากเท่ากับการเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำกิจกรรมอย่างหลากหลายในแต่ละวัน

สถานการณ์เปลี่ยนคนก็ต้องเปลี่ยน

เมื่อสถานการณ์บีบคั้นกว่าที่คิด ผมจึงจำเป็นต้องตัดสินใจ และเข้าใจสภาพที่ตัวเองเป็นอยู่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะจำได้ ผมนึกถึงประโยคหนึ่งได้ในขณะที่ตั้งสมาธิ “เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง” ประโยคนี้พุ่งเข้ามาในหัวผมทันที โชคดีที่ผมเคยได้ยินและได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับความหมายของประโยคนี้ ผมเองชินกับความหลากหลาย จนขาดความสามารถในการจดจ่อในสถานการณ์ที่จำเป็นเช่นนี้ เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง เป็นประโยคที่สามารถนำมาใช้ในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างดี

เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง ทำให้ผมรู้ว่าผมควรจะเรียงลำดับความสำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดในสิ่งที่สำคัญมากมายนั้น ถ้าไม่ใช้สติคิดก็คงจะลำบาก เพราะผมเองมีสิ่งสำคัญหลายสิ่งที่ต้องทำไม่ทำก็อาจจะทำให้ชีวิตแย่ก็ได้ แต่สิ่งนี้ การทำวิจัยในครั้งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ ผมพิมพ์บทความนี้เพื่อบอกกับตัวเอง ทุกคำที่พิมพ์ลงไปได้ตอกย้ำข้อความเหล่านี้ในสมองของผม และเป็นสิ่งยืนยันแนวทางของผมเองด้วย ซึ่งเรื่องนี้คงไม่ต้องการ การพิสูจน์หรือการทดลอง แต่จำเป็นต้องทำอย่างจริงจัง เวลาที่เหลือไม่มากในช่วง 1-2 เดือนนี้ผมจะขอใช้เพื่อการทำวิจัยนี้เท่านั้น

สวัสดี

ทำบัญชีซื้อต้นไม้

หลังจากที่ซื้อต้นไม้มานานก็ไม่เคยนึกถึง เมื่อวานอากาศดี พาให้คิดไปไกลว่า…เราซื้อต้นไม้มาเท่่าไหร่กันนะ

หลายคนที่ปลูกเลี้ยงต้นไม้ผมเชื่อว่าไม่ค่อยได้จำกันหรอกครับ เพราะคงจะซื้อบ่อยเหมือนผมนั่นแหละ แต่ใครจะจดไว้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ สำหรับผม มีการจดบันทึกไว้โดยการพิมพ์บล็อกครับ เป็นอีกข้อดีของการเขียนบล็อกคือสามารถตามค้นหาอดีตของตัวเองได้ง่ายครับ สุดท้ายเราก็จะมาทำบัญชีย้อนหลังในการซื้อต้นไม้ และอุปกรณ์ต่างๆที่เีกี่ยวข้องกับการปลูกต้นไม้ของผมกันครับ

แต่อย่างน้อยการทำบัญชีย้อนหลังก็ทำให้เราเรียนรู้ได้ว่าเราทำอะไรไปบ้างในช่วงเวลาเหล่านั้นการลงบัญชีย้อนหลัง ที่ไม่มีหลักฐานครบถ้วนนั้น เป็นเรื่องยากมากๆ หลายรายการต้องนั่งนึกกันเอาเอง หลายรายการต้องลงไปดูว่ามีอะไรอยู่บ้างที่เคยซื้อมา เราควรทำบัญชีตั้งแต่แรกครับ เพราะการทำบัญชีย้อนหลังไม่ใช่เรื่องสนุกและไม่ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนอีกต่างหาก แต่อย่างน้อยการทำบัญชีย้อนหลังก็ทำให้เราเรียนรู้ได้ว่าเราทำอะไรไปบ้างในช่วงเวลาเหล่านั้น

หลังจากทำบัญชีเสร็จผลที่ออกมาทำให้ ผมได้รับความรู้สึกว่า “นี่เราซื้อเยอะขนาดนี้เลยหรอ” แน่นอนครับ การซื้อไปเรื่อย ทีละน้อยๆนั้นให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลาย แต่การซื้ออะไรหนักๆทีเดียวด้วยเงินก้อนใหญ่นี่มันน่าหนักใจจริงๆ จะเปรียบก็เหมือนซื้อเงินสดกับซื้อเงินผ่อนนั่นแหละครับ เมื่อเห็นผลดังนั้นผมเองก็คงจะต้องคิดประหยัด หรือคิดก่อนซื้อเสียบ้าง เพราะรายการซื้อในบัญชีจะแสดงจำนวนเงินที่เราจ่ายไปแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นว่าเราได้ซื้ออะไรที่มันไม่น่าซื้อมาด้วยเหมือนกัน…

สวัสดี

เรื่องเล่าลุยน้ำ

ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้รับรู้เรื่องน้ำท่วมตามแหล่งข่าวสารมากมาย แน่นอนว่าผมเองมีความเสี่ยงด้วยเหมือนกัน แต่ก็คงไม่มีใครอยากโดนน้ำท่วมเป็นแน่

ก่อนอื่น…

นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบเดือนที่แล้ว ผมลังเลที่จะพิมพ์เรื่องนี้ออกมา เพราะไม่รู้จะเรียบเรียงยังไง เพราะมันเป็นเรื่องราวของหนึ่งวันที่อัดแน่นไปด้วยเหตุการณ์มากมายจนผมไม่คิดว่าเวลาหนึ่งวันจะสามารถมีเรื่องราวผ่านมาในชีวิตผมได้เข้มข้นขนาดนี้

หลายคนได้เห็นน้ำท่วมจากในทีวี ภาพในอินเทอร์เน็ต ผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ สิ่งนั้นก็คล้ายๆกับเราดูละครนั่นแหละ มันผ่านประสาทสัมผัสของเราได้เพียงแค่ 2 ใน 5 นั่นคือตาดูหูฟังนั่นเอง สำหรับความเข้าใจนั้นก็ตามประมาณ 2 ใน 5 นั่นแหละการจะเข้าใจคนที่เขาประสบอุทกภัยจริงๆ ถ้าไม่ได้ลงไปรับทุกประสบการณ์เหมือนกันกับเขาคงจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าเข้าใจ…

เรื่องมันมีอยู่ว่า

แน่นอนว่า คนเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก ผมเองก็มีญาติ กระจายอยู่ตามมุมต่างๆของกรุงเทพ และปริมณฑล ซึ่งก็อยู่ในเขตเสี่ยงน้ำท่วมทั้งนั้น เช่น ดอนเมือง รังสิต จนกระทั่งนนทบุรี การที่มีคนที่ผูกพันกับเราอยู่ใต้ภาวะความเสี่ยง เราก็คงจะไม่สามารถกินอิ่มนอนหลับได้ตามปกติ ความเป็นห่วงนั้นเหมือนเชือกดึงรั้งระหว่างคนหนึ่งถึงอีกคนหนึ่ง นั่นคือความสัมพันธ์ เอาง่ายๆเรียกกันว่าร่วมทุกข์ การร่วมทุกข์ร่วมสุข ถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติของคนที่มีความผูกพันกัน

เมื่อน้ำท่วมถึงดอนเมือง มีญาติบางส่วนอพยพหนีน้ำมาที่บ้านผม แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังอยู่ ส่วนจะอยู่ด้วยเหตุผลอะไรนั้น ผมขอละไว้ในฐานที่ไม่เข้าใจ เพราะแต่ละคนมีความจำเป็นและความห่วงกังวลไม่เหมือนกัน ผมไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นคิดได้ทั้งหมด สิ่งที่ผมต้องทำคือเตรียมตัวเตรียมใจในลำดับต่อไป นั่นคือการเข้าไปช่วย หรือส่งความช่วยเหลือเข้าไปในจังหวะที่เกินใจ (ของใคร) จะทนไหว..

และแล้ววันหนึ่งเมื่อถึงเวลาผมก็ได้่รับสัญญาณไว้ ให้เข้าไปช่วยอพยพออกมาได้แล้ว ผมเองรอความคิดนี้มานานแล้ว เพราะถ้าคนเขาคิดว่าไหวเขาจะทน แต่เมื่อเขาคิดว่าไม่ไหว เราก็จะช่วยนั่นไม่ใช่ปัญหา การเดินทางของผมจะเริ่มตั้งแต่จุดนี้…

เริ่มเล่าลุยน้ำ…

การเดินทางของผมในวันนี้ รายละเอียดเยอะมากจึงขอแนบแผนที่ เผื่อว่าดูแล้วจะเห็นภาพมากขึ้น

แผนที่เดินทางลุยน้ำ

ผมเริ่มต้นกับวันที่ฟ้าฝนเป็นใจอากาศค่อนข้างดี ผมตื่นสายนิดหน่อยเพราะติดตามข่าวสาร ถึงเกือบเช้า และทานอาหารเช้าไปนิดหน่อยเพื่อรองท้อง ไม่นานนักมีข่าวมาว่าต้องออกไปช่วยพี่สาวอพยพที่ดอนเมือง ซึ่งก็พ่อก็มารับและออกไปด้วยกันทันที ภารกิจนี้ผมดำเนินเรื่องไปพร้อมกับพ่อครับ

1.ผมเริ่มเดินทางจากบ้าน มุ่งหน้าไปจอดรถที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ซึ่งตอนนั้นน้ำยังไม่ท่วมครับ ไปจอดรถทิ้งไว้เพราะไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ซึ่งต่อจากนี้เราจะเดินทางต่อกันด้วยแท็กซี่ครับ

2.เรานั่งแท็กซี่จาก ม. เกษตร ไปให้ไกล้ดอนเมืองมากที่สุดเท่าที่จะไปได้ พี่แท็กซี่แกส่งแถวๆ สะพานเข้าสนามบินในประเทศนั่นแหละครับ แล้วเราก็ลงและเดินต่อเพื่อที่จะไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อขึ้นรถเมล์ต่อ

3.เราขึ้นรถเมล์ได้ในระยะทางไม่ไกลนักก็ต้อง แต่ก็ยังดีกว่าเดิน เพราะไม่รู้เลยว่าถ้าไม่มีรถเมล์เราจะนั่งอะไรได้ เรารู้แค่เป้าหมายเท่านั้น แต่วิธีนั้นคงได้แต่งมๆไปตามทาง

4. เมื่อลงจากรถเมล์ก็ต้องขึ้นรถทหาร ซึ่งรถทหารสูงมาก พี่ทหารเขาจะมีเก้าอี้ให้ปีน แต่ผมก็ว่ายากอยู่ดี นี่มองจากคนตัวสูงช่วงขายาวยังว่ายาก แล้วคนตัวเล็กๆก็คงจะยากกว่าแน่นอน แต่ด้วยความจำเป็นและทางเลือกที่มีไม่มาก เราจึงเห็นผู้คนหลากหลายในรถทหารคันนี้ครับ

5. รถทหารมาส่งถึงปากซอย เข้าหมู่บ้านของพี่สาว ซึ่งเราลง ณ จุดนี้ รถทหารมุ่งหน้าต่อไปทางรังสิต เพื่อส่งคนให้ถึงยังที่หมายต่อไป ส่วนพวกผมก็เดินเข้าซอยครับ แต่เมื่อกำลังเดินไปถึงหน้าปากซอยเราเห็น รถใหญ่ๆ คล้ายๆรถดับเพลิงกำลังมุ่งหน้าเข้าไปในซอยครับ ซึ่งผมก็ถามเขาเรื่องเส้นทาง สรุปว่าเราติดรถเขาเข้าไปได้ครับ เพราะผ่านทางที่ผมจะลงพอดี

บนรถดับเพลิงคันนี้มีผู้คนมากหน้าหลายตา หลายคนทักทายกันยิ้มให้กันแม้ว่าจะไม่รู้จักกัน ผมกับพ่อดูจะเป็นคนที่ดูแปลกไป นั่นอาจจะเพราะความสดใหม่ ซึ่งต่างกับคนที่อยู่บนหลังคารถที่ดูเปียกและเหนื่อยอ่อน ผมคิดว่าเขาคงเข้าออกช่วยคนกันหลายรอบแล้วเลยเป็นอย่างที่เห็น เพราะรถดับเพลิงที่ผมนั่งนั้นคือรถที่ช่วยขนคนจากด้านในซอยออกมาครับ ซึ่งตอนขาเข้าไปในซอยรถจะว่าง เราเลยติดไปได้ครับ

ระหว่างที่นั่งบนหลังคารถดับเพลิงที่วิ่งผ่านไปอย่างช้าๆ ผมได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ผมได้กลิ่นน้ำ และเสียงรถที่วิ่งผ่านน้ำ แม้ว่าสองข้างทางจะมีคนเดินออกมาตลอด แต่ทุกอย่างดูเงียบ..เหลือเกิน

ผมมองไปที่คนที่บ้านอยู่ข้างทาง เป็นบ้านเช่าเล็กๆแบ่งเป็นล็อคๆที่ติดถนน บนชั้นสองของเขามีแค่ระเบียงที่ติดกับถนน บนระเบียงมีข้าวของบางอย่างที่เอาขึ้นมาวางหนีน้ำรวมทั้งสุนัขและจักรยาน… มีคำทักทายจากคนบนรถดับเพลิง และคำตอบที่ได้ยินก็ประมาณว่า “ไม่รู้จะอพยพไปไหน นี่ก็ขอเขาขึ้นมาอยู่” ครับ ที่ผมเห็นคือผู้อพยพจากชั้นล่างขึ้นมาชั้นบน เขาไม่ได้สบายกันอย่างที่ตาเห็น น้ำเสียงที่ได้ยินบอกให้รู้ว่า ไม่รู้ ไม่รู้ เขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น ไม่รู้ว่าจะไปไหน ไม่รู้ว่าน้ำจะลดเมื่อไหร่ และไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากรอให้มันผ่านพ้นไปเสียที

จนวันนี้ผมไม่รู้ว่าป่านนี้พวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง เพราะเมื่อด้านในอพยพกันออกมาแล้ว อาจจะมีรถหรือคนวนเวียนผ่านมาน้อยลง และถ้าน้ำขึ้นอีกก็คงจะมีแต่เรือที่ผ่านได้ คงจะลำบากกันไม่น้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีคนที่ลำบากและไร้ทางออกมากเท่าไหร่ ในกรุงเทพฯ

6. ผมมาสุดทางของการนั่งรถดับเพลิงและลงเดินต่อไปอีกประมาณ 300 เมตร มันเป็น 300 เมตรที่ไกลมากๆ  เพราะต้องเดินบนน้ำที่สูงระดับน่องจนเกือบถึงเอวผมในบางจุด และเดินมาจนถึงบ้านพี่สาวที่อยู่ในหมู่บ้านด้วยความกังวลเล็กน้อย ว่าถ้าบ้านไหนไฟรั่วผมจะได้รู้ตัวก่อนจะตายรึเปล่า หรือเดินผ่านปุ๊ปตายปั๊บอะไรแบบนี้ เพราะน้ำนั้นท่วมเกือบถึงระดับพื้นบ้านแล้ว ซึ่งบางบ้านก็ยังเปิดน้ำพุหน้าบ้านอยู่เลยแม้จะน้ำท่วมก็ตาม

ผมเห็นสายตาของคนในหมู่บ้านมองด้วยท่าทางไม่เป็นมิตรสักเท่าไรนัก อาจจะเพราะด้วยความเครียดหรือความระแวงคนแปลกหน้าก็ได้ แน่นอนว่าในภาวะเช่นนี้ใครๆก็สามารถเป็นโจรได้ง่ายๆ เพราะข้อมูลข่าวสารที่เราได้รับ ทำให้เรามองเป็นอย่างนั้นจริงๆ

สุดท้ายเมื่อมาถึงก็จัดการอพยพ ยังดีที่พี่สาวมีเรือเล็กๆที่ต่อด้วยท่อพีวีซีและฟิวเจอร์บอร์ดอยู่ในบ้าน ทำให้เราใส่เด็กๆ 8,3 ขวบไว้ในเรือได้ (ตอนแรกผมเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องอุ้่มออกไป) แน่นอนว่ามันดีกว่าที่คิดไว้ เพราะการลากเรือนั้นทุ่นแรงไปได้มากทีเดียว เด็กๆยังสนุกอยู่บ้าง นั่นก็ถือว่าดี เพราะถ้าเด็กๆงอแงแล้ว ผู้ใหญ่อาจจะเครียดกันมากขึ้นซึ่งคงไม่ดีแน่

7. เราเดินออกมาจากหมู่บ้าน โดยมีเด็กๆอยู่ในเรือขนาดเล็กๆ ซึ่งขากลับนั้นยากกว่าเพราะต้องเดินทวนน้ำออกมา มันไม่ใช่น้ำนิ่งๆ แต่เป็นน้ำที่มีกระแสการไหลอยู่ ส่วนจะไหลไปไหนผมไม่รู้เหมือนกัน แต่การเดินทวนน้ำที่ไหลนี่มันเปลืองแรงมากจริงๆ

8.มาถึงจุดนี้ถือเป็นโชคดีของเราครับ มีพ่อลูกคู่หนึ่งเขาขับรถมาส่งอาหารให้เพื่อน เป็นรถที่สูงพอจะลุยน้ำได้แต่ก็ไม่ใหญ่พอจะให้คนทั้งหมดขึ้นไป ณ จุดนี้เป็นจุดแยก ผมให้พี่สาวและชาวคณะอพยพ แยกไป โดยคุณพี่เขาใจดีให้โดยสารไปด้วยครับ และเขาก็จะออกไปจนกระทั่งใกล้ถึงจุดนัดพบ ที่ ม เกษตรเลยครับ เป็นอีกหนึ่งน้ำใจที่ให้กับคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งที่กำลังเผชิญชะตากรรมเดียวกันจริงๆ

ผมเดินลากเรือต่อไปกับพ่อ เพื่อที่จะไปยังอีกจุดหมายหนึ่ง นั่นคือหมู่บ้านย่านรังสิต อยู่ก่อนเมืองเอกครับ ได้ยินว่าน้ำสูงระดับอกของผม และมีคนแก่ประมาณคุณยายอยู่ เป็นคุณยายที่เป็นเครือญาติกันครับ ผมกับพ่อเลยตัดสินใจเอาเรือไปรับครับ และเดินทวนน้ำออกมาได้ไม่นาน เราก็ได้ติดรถออกจากซอยหมู่บ้านไปลงที่ถนนวิภาวดีรังสิตอีกครั้งครับ บังเอิญจริงๆนะครับ ทุ่นแรงไปได้อีกหน่อย ส่วนรถคันนี้ของใครยังไงไม่รู้ครับ รู้แต่มีคนมากหน้าหลายตาในรถเยอะดีครับ

หลังรถเราก็ลากเรือไปด้วยครับ เพราะต้องใช้ต่อในภารกิจหน้า โดยจับเชือกที่ผูกเรือไว้ โดยที่ต้องใช้ขาควบคุมบ้าง เพราะไม่อย่างนั้นเรืออาจจะเซไปโดนชาวบ้านที่กำลังเดินลุยน้ำออกมาได้ครับ

9.เราเดินต่อจากวิภาวดีรังสิต ต่อไปจนเลยอนุสรณ์สถานแห่งชาติไปนิดหน่อยครับ เป็นการเดินที่ยากลำบากมาก เพราะคนเดิน และรถใช้ช่องทางเดียวกันครับ ทางเดินมีทั้งเกือบแห้งและน้ำสูงเป็นช่วงๆ คลื่นที่ซัดมาพร้อมกับการวิ่งผ่านของรถนั้นทำให้การลากเรือลำบากมากครับ เรือที่ผมลากแอบไปกระทบรถที่จอดอยู่หลายคัน หวังว่าเขาคงไม่ว่าอะไร ซึ่งไม่นานนักก็ได้รับการติดต่อว่ามี ญาติอีกฝ่ายสามารถนำเรือเข้าไปช่วยคุณยายได้แล้ว ภารกิจของผมและพ่อจึงจบลงครับ

แต่ระหว่างที่รอการยืนยันข้อมูลนั้น ผมได้นั่งรออยู่ที่มุมหนึ่งของถนน นั่นคือเกาะกลางถนนของวิภาวดีรังสิต เป็นที่ที่ในเวลาธรรมดาคงไม่สามารถมานั่งเล่นๆได้ แต่การได้หยุดนั่งแล้วมองทำให้ผมเห็นอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น ชาวบ้านที่ขนของออกมาโดยมีอุปกรณ์กันน้ำแค่ถุงพลาสติกเท่านั้น บางคนดีหน่อยก็มีกะละมัง แต่ภาพที่เห็นส่วนใหญ่ก็มีแต่แบบนี้ทั้งนั้น

ระหว่างที่ผมนั่งอยู่ก็เกิดอาการหน้ามืดขึ้นมา ผมเองไม่คิดว่าตัวเองจะอ่อนแอขนาดนี้ ก็ได้แต่นั่งคิดไปว่าทำไม ส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นไม่ได้กินอาหารมาอย่างพอเพียง และขาดน้ำครับ ผมนั่งก้มหน้าอยู่ข้างทางได้สักพัก คิดว่าตัวเองน่าจะแย่ลงอีกเพราะเริ่มรู้สึกหนาวเย็น จึงมองไปที่ถนนและเห็นรถสวนมาพอดี รถหลายคันมองสบตาผมและชะลอ เพื่อที่จะสื่อสารอะไรสักอย่าง ผมทำได้แต่ยิ้มและปล่อยให้เขาผ่านไป

จนกระทั่งถึงรถคันหนึ่งผ่านมา ผมเริ่มคิดว่าตัวเองไม่น่าจะไหว เลยโบกเขาและขอน้ำสักหน่อย รถที่ผมโบกนั้นเป็นรถตู้ ที่มีพ่อแม่ลูกนั่งอยู่ ซึ่งเขาก็ช่วยกันหาน้ำให้ผมซึ่งไม่รู้จักกัน และไม่ได้เคยช่วยเหลืออะไรกันมาก่อน เพียงแค่ผ่านมาผ่านไปเท่านั้น ไม่นานนัก เขาก็ยื่นน้ำขวดใหญ่ และบอกผมว่า ” เหลืออยู่เท่านี้เอง” (เหลือ 3/4 ของขวด) ผมเองรับน้ำขวดนั้นมาและกล่าวคำขอบคุณ ผมไม่รู้ว่าน้ำขวดนั้นคือขวดสุดท้ายของเขารึเปล่า รู้แค่ว่าน้ำขวดนี้คงหาไม่ได้ง่ายๆในชีิวิตปกติแน่ๆ เพราะนั่นคือน้ำใจ…

น้ำขวดใหญ่ที่ได้รับมา
น้ำขวดใหญ่ที่ได้รับมา

ผมได้กินน้ำและไม่นานนักร่างกายก็ค่อยๆกลับมาเป็นเหมือนเดิม ภายหลังมาถามเพื่อน เขาบอกว่าผมอาจจะเหนื่อยเกินไปเท่านั้นเองไม่ได้เป็นอะไรหรอก แต่ในใจผมแอบคิดว่าการที่ไม่ออกกำลังกายมันทำให้ผมปวกเปียกขนาดนี้เชียวหรือ?

เมื่อได้รับคำยืนยันว่ากลับได้แล้ว พ่อก็ยกเรือให้ชาวบ้านที่กำลังขนของอพยพหนีน้ำอยู่ใกล้ๆ เขากำลังขนของใส่กะละมังและเดินลอยน้ำ ทันทีที่ได้เรือไปเขาเอาของที่ขนมาใส่เรือและลากเรือไปกับน้ำต่อไป เราคิดว่าเรือนี้คงทำประโยชน์ให้กับเขาได้ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยก็ทำให้สีหน้าของเขายิ้มแย้มทันทีเมื่อได้รับเรือ

10. ไม่นานนัก เราก็โบกรถกลับ เป็นรถกระบะที่มีคนขับอยู่คนเดียว ผมกับพ่อขอนั่งไปด้วย ซึ่งผมเองนอนหมดแรงที่ท้ายกระบะ และค่อยๆจิบน้ำที่ได้มาทีละน้อย บอกตรงๆว่าหมดสภาพมาก ผมเองประมาทในสถานการณ์มากเกินไป คิดว่าตัวเองจะมีแรงพอ แต่ท้ายที่สุดมันก็เกินกำลังไปหน่อย ผมนั่งของเขามาเรื่อยจนถึงหลักสี่ พี่เขาจะเข้าหลักสี่เราก็เลยขอลงช่วงหลักสี่ เพื่อที่จะได้ไปขึ้นรถต่อในถนนวิภาวดีรังสิต

11. ผมยืนรอรถแท็กซี่อยู่ัสักพัก และก็มีรถประมงของ ม เกษตรผ่านมา และเขาจอดส่งคนพอดี ก็เลยขอขึ้นไปด้วยอย่างน้อยก็ได้ไปลง ม. เกษตรพอดี เป็นรถสูงขึ้นยากอีกเหมือนเคย กำลังคิดว่าปกติเขาขนของขึ้นรถกันยังไงนะ สูงจริงๆ ก็คงมีบันไดละนะ

และพอมาถึง ม.เกษตร เขาก็จะเขาประตูฝั่งวิภาวดี ซึ่งผมต้องการไปประตูฝั่งงามวงศ์วาน ก็เลยลงและต่อรถแท็กซี่ไปอีกนิดหน่อย สุดท้ายก็กลับถึงรถ และถึงบ้านอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว

สภาพของซองหมากฝรั่งที่เอาใส่กระเป๋ากางเกงไปด้วย
สภาพของซองหมากฝรั่งที่เอาใส่กระเป๋ากางเกงไปด้วย

เหตุการณ์ในวันนี้สอนให้ผมรับรู้และเข้าใจกับคำว่าน้ำท่วมครบทั้ง 5 สัมผัสกันเลยครับ

ผมได้เห็นน้ำที่ท่วมด้วยตาตนเอง

ผมได้ยินเสียงของผู้ประสบภัยและความเงียบ ทุกๆอย่างรอบตัวด้วยหูของผม

ผมได้สัมผัสน้ำท่วม ที่กำลังเน่าด้วยผิวหนังของผม

ผมได้กลิ่นน้ำ กลิ่นที่นอนอยู่บ้านคงไม่มีวันเข้าใจ ด้วยจมูกของผม

บางครั้งเมื่อน้ำกระเด็นมาเพราะคลื่นที่เกิดจากรถสวนทางกัน ผมก็ได้ลิ้มรสน้ำท่วมกับเขาด้วยเหมือนกัน

ไอ้ที่เขาบอกว่าไม่เจอไม่รู้นี่ผมว่าจริงนะครับ แต่เราก็ไม่จำเ้ป็นต้องไปเจอทุกอย่างก็ได้ครับ มันอาจจะเหนื่อยเกินไป ทำในสิ่งที่เราทำกันได้จะดีกว่า และเข้าใจคนที่ประสบภัยด้วยใจที่เปิดกว้าง ไม่ใช่ตัดสินด้วยมุมของเรานะครับ เพราะถึงแม้เราจะเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกับเขา เราก็ไม่มีวันจะเข้าใจเขาได้หรอกครับ ดังนั้นก็ให้เผื่อใจกับเรื่องนี้ให้มากๆ ใจกว้าง ใจเย็น และอดทนต่อกันนะครับ

สิ่งที่ผมไปเผชิญในครั้งนี้เป็นเพียงแค่เสี้ยวเล็กๆของความเดือนร้อนเท่านั้นครับ ถ้าให้ทุกคนเขียนความเืดือดร้อนของตัวเองออกมาจากน้ำท่วมครั้งนี้ หนึ่งชีวิตก็คงจะอ่านไม่หมด…

แม้ว่าในวันนี้ในบางพื้นที่จะดูคลี่คลายลงแล้ว แต่มันเป็นเพียงแค่วันนี้ครับ เราจำเป็นต้องเตรียมใจรับความผันแปรของธรรมชาติที่เกิดจากน้ำมือของพวกเรากันต่อไปครับ

สวัสดี

หายไปไหนช่วงน้ำท่วม

ช่วงที่ผมไม่อยู่นั้น เนื่องจากอพยพหนี (เที่ยว) น้ำท่วม ใช่ว่าผมจะไม่เดือดร้อนในช่วงน้ำท่วมเสียทีเดียว แต่ผมเลือกที่จะไปรับประสบการณ์ที่แตกต่างกับการอยู่บ้านต้่อนรับน้ำท่วม

แม้ว่าตอนนี้บ้านของผมดูเหมือนจะรอดพ้นวิกฤตน้ำท่วมแล้ว ซึ่งมันก็ยังไม่เคยท่วมส่วนสาเหตุนั้นจะเพราะอะไรก็ช่าง สรุปก็ถือว่าโชคดี เพราะดูในแผนที่น้ำท่วม น้ำมันท่วมรอบๆเขตบ้านไปหมดแล้ว แต่ที่หมู่บ้านยังปกติ แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ผมรับรู้หลังจากกลับมาที่บ้านครับ

การอพยพหนี (เที่ยว) น้ำท่วม สำหรับผมนั้นถือเป็นโอกาสที่ผมจะได้ลองไปรับประสบการณ์ใหม่ๆ เพราะก่อนหน้าที่ผมจะตัดสินใจออกจากบ้านนั้น ผมได้ไปรับประสบการณ์ของคนที่โดนน้ำท่วมมาแล้วครับ นั่นคือการลุยน้ำเข้าไปช่วยพี่สาวย่านดอนเมืองอพยพออกมา สิ่งที่ผมได้รับในวันนั้น คงจะเล่าในบทความต่อไป แต่ผมบอกได้เลยว่านั่นคือประสบการณ์ที่ทำให้ผมมั่นใจที่จะออกไปดีกว่าที่จะทนอยู่

โอกาส กับทางเลือก

แน่นอนว่าประชาชนทุกคนคงจะทำอย่างผมไม่ได้ เพราะเราไม่ได้มีเท่ากัน ทางเลือกเราไม่เท่ากัน ผมมีทางเลือกที่พอจะเป็นไปได้อยู่หลายทาง แน่นอนว่าผมจะไม่เอาตัวเองไปเบียดเบียนคนที่มีความจำเป็นกว่าแน่นอน สิ่งที่ผมคิดนั่นคือการตัดโอกาสการกลายเป็นภาระทางสังคมของตัวผมทิ้งเสีย และย้ายตัวเองไปมองดูจากวงนอก ซึ่งน่าจะดีกับคนส่วนใหญ่มากกว่า

พื้นที่ในกรุงเทพฯนั้นเต็มไปด้วยผู้คน ผมไม่เคยคิดว่ากรุงเทพฯ นั้นสำคัญที่สุดในประเทศ แต่ผมมองในเรื่องของรายละเอียดมากกว่า เมื่อมีคนมาก การจัดการก็ยาก ตรอกซอกซอย ชุมชนสารพัด ซึ่งน่าจะเรียกว่ามหาศาล เมื่อน้ำเข้ากรุงเทพ การช่วยเหลือ การจราจร ทุกอย่างดูจะเป็นสิ่งที่ไม่มีทางจัดสรรได้อย่างลงตัวแน่นอน และนั่นคือเหตุที่ผมตัดสินใจอพยพหนี (เที่ยว) น้ำท่วมไปดีกว่า

อพยพหนี (เที่ยว) น้ำท่วมไปไหน?

ผมเคยคิด เคยฝันไว้ว่าผมจะได้เดินทาง ไปเที่ยวโดยไม่มีกฏอะไรมาหยุดไว้ (ยกเว้นเงิน) ผมอยากจะหยุดในที่ผมอยากจะหยุด ผมอยากจะอยู่ในที่ ที่ผมอย่างจะอยู่ ผมอยากจะทำอะไรก็ได้ในช่วงเวลาที่เป็นของผมอย่างแท้จริง น้ำท่วมครั้งนี้คือโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ที่ผมจะได้ไปค้นหาอะไรในตัวเองเพิ่มขึ้น นี่คือจินตนาการของผม

ความเป็นจริงก็คือผมไปได้ในระยะที่พอจะไหว เขตใกล้ๆกรุงเทพที่น้ำไม่ท่วมและเดินทางไม่ไกล เพราะงบประมาณมีจำกัดมาก และไม่รู้ว่าต้องอยู่นานแค่ไหน เลยต้องคิดคำนวนกันให้ดี ที่พักส่วนใหญ่จะเป็น บ้านเพื่อน บ้านญาติ โรงแรม อะไรประมาณนี้ ซึ่งจะเน้นประหยัดไว้เป็นหลัก เพราะถ้างบหมด นั่นหมายถึงอิสระแห่งจินตนาการของผมก็คงต้องดับลงไป

สรุปแล้วช่วงที่ผมไม่อยู่ ผมก็แทบไม่ได้เข้าอินเทอร์เน็ต เลยครับ จะมีเข้าบ้างก็บางทีเพราะอุปกรณ์ไม่ค่อยอำนวยเท่าไหร่ ส่วนเรื่องผมไปเที่ยวไหนอะไรยังไง รายละเอียดเดี๋ยวค่อยมาเขียนกันอีกทีนะครับ เอาแค่ว่าหนีน้ำท่วมไปเที่ยวแล้วกันนะ

สวัสดี

กลับมาจากหนีน้ำท่วม

จะว่าหนีน้ำท่วมก็คงจะบอกได้ไม่เต็มที่นัก เพราะในความจริงแล้วน้ำยังไม่ท่วมบ้านผมครับ แค่มาล้อมๆไว้เฉยๆ ปัจจุบันผมตัดสินใจกลับมาที่บ้านอีกครั้ง

ผมออกจากบ้านไปพักอยู่ในหลายๆสถานที่ รวม 23 วัน  เป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะผมไม่ได้ไปอยู่อย่างลำบากมากนัก ในทางกลับกันออกจะสบายมากๆด้วยซ้ำ จริงๆแล้วควรจะเรียกว่า การหนีไปเที่ยว มากกว่าการหนีน้ำท่วม…

ผมกลับมาที่บ้านครั้งนี้ผมความเปลี่ยนแปลงมากมายต้นไม้ของผมเปลี่ยนแปลง บ้างก็ตาย แต่ส่วนใหญ่มักจะโต และสร้างความประหลาดใจให้กับผมอย่างมากมาย ผมคงใช้เวลาช่วงแรกๆในการดูแลต้นไม้ที่ปลูกไว้ และใช้เวลาต่อจากนั้นในการเรียบเรียงเรื่องราวมากมายที่ผมได้พบและเจอมาในช่วงน้ำท่วมนี้

สวัสดี