Blend me!

สำหรับผู้ติดตามบล็อกที่อาจจะสงสัยว่าทำไมผมจึงหายไปนานนั้น คิดว่าคงได้คำตอบกันแบบคร่าวๆกันไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้ ซึ่งผมก็ได้ชี้แจ้งแบบรวมๆ และคร่าวๆ โดยไม่เจาะลึกให้เข้าใจยากนักไว้เรียบร้อยแล้ว

ที่หายไปนั้นก็ตามอ่านได้ตั้งแต่บทความ “เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง” ถึงบทความ “ผ่าน” แล้วก็คงจะได้คำตอบ ซึ่งจะมาต่อกันที่เนื้อหาในบทความนี้กันครับ

Blend แปลว่า การผสมผสาน การผสม การยำ…

…หรืออะไรก็ตามแต่ Blend me! คือชื่อของบทความนี้ เป็นบทความสั้นๆที่จะมาแจ้งเหตุแห่งความขลุกขลักในชีวิตผมในช่วงนี้ซึ่งคุณอาจจะไม่อยากรู้ก็เป็นได้ แต่แน่นอนมันส่งผลกับ Website ต่างๆของผมทั้งหมด Cactus Blog ,Sansevieria Blog ,Travel Blog etc. ซึ่งถ้าบอกเช่นนี้แล้วอาจจะน่าติดตามขึ้นมาอีกสักนิดหนึ่งก็ได้นะ

ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ผมเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ เป็นช่วงเวลาแห่งความว่างเปล่าที่รอรับปริญญา แน่นอนว่า Freelance Artist หรือศิลปินอิสระ อย่างผมสามารถรับงานได้ตามใจต้องการ แต่ในเวลานี้ผมไม่ต้องการรับงานใดๆทั้งสิ้นก่อนถึงช่วงรับปริญญาที่จะเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งความจริงในการสำเร็จการศึกษา

แน่นอนว่าผมไม่ได้ปล่อยให้เวลาแต่ละวันผ่านไปเฉยๆ ผมพยายามใช้สมองที่มี คั้นเรื่องราวทุกเรื่อง ความสามารถของผม อนาคต อดีต ทุกๆความเป็นไปได้ของผมออกมาเป็นแผนๆหนึ่ง เป็นแผนใหม่ในการดำเนินชีวิตหลังจากเรียนจบ และแน่นอนว่าถ้าเรียนมาแล้วไม่ได้ใช้ก็คงจะไม่ใช่ผมแน่ๆ ผมจะเรียนสิ่งที่ใช้และใช้สิ่งที่เรียนนั่นคือความเป็นจริง เป็นความจริงที่ทำให้ผมมีทักษะที่หลากหลาย แม้ว่ามันจะไม่ได้ลงรายละเอียดลึกหรือเชี่ยวชาญไปในทางใดทางหนึ่งแต่ก็สามารถให้ผมดำรงชีวิตในโลกที่สับสนและงงๆไปได้ไม่ยากนัก

Blend me!

บอกกันอีกครั้งว่านี่คือการผสมผสาน ตอนนี้ 3 ทักษะหลักที่ผมมีกับอีก 1 วิธีการที่เพิ่มเข้ามาในชีวิตของผม มันทำให้ผมต้องคิดหนักมากๆในการจัดตารางและวางแผนกิจกรรมต่างๆให้เกิดประโยชน์และคุณค่ามากที่สุด ซึ่งจะบอกว่าจะทำอะไรได้บ้างก็คงจะเยอะไปหน่อย เอาเป็นย่อๆแล้วกันว่างานศิลปะ ,งานเว็บไซต์และิอินเตอร์เน็ต,ปลูกและขยายพันธุ์ไม้ สามงานนี้เป็นงานที่สามารถทำรายได้ แต่ทำได้แตกต่างกันไปซึ่งข้อดีก็เสียก็ต่างกันไป

ซึ่งสิ่งที่จะมาจัดการกับสิ่งที่ผมทำได้คือสิ่งที่ได้ร่ำเรียนมาล่าสุดนั่นคือวิชาการจัดการ เพื่อมาบริหารทักษะ รายได้ โอกาส เวลา และชีวิตของผมเอง แน่นอนว่าการเรียน MBA นั้นมีการเรียนหลายวิชา แต่ผมก็ได้เลือกวิชาที่จำเป็นต่อชีวิตของผมมากที่สุดมาช่วยในการออกแบบงานของผมแล้ว และสิ่งที่จะเห็นต่อจากนี้คือความเสถียร ความนิ่ง และความมั่นคงในชีวิต รวมถึงเนื้อหาต่างๆที่คุณกำลังจะติดตามจากผลงานของผมนับจากนี้ด้วย

สวัสดี

 

ตัวใหญ่เดินมาตามให้ไปเทอาหารให้

วันนี้ระหว่างที่ทำสวนหลังบ้านอยู่ ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ประหลาดใจอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือตัวใหญ่เดินมาตามผมให้ไปเทอาหารให้

…ระหว่างที่เดินไปหน้าบ้านเพื่อจัดกระถางหน้าบ้านแล้วเดินกลับมาที่หลังบ้านเพื่อจะมาเอาของก็เห็น ตัวใหญ่ เดินวนๆอยู่บนโซนกระบองเพชรของผม ซึ่งมีกระถางตั้งอยู่มากมาย เมื่อผมเดินไปมันก็เดินสวนออกมาทางหน้าบ้านแล้วก็ร้อง…

ผมก็ทักมันไปตามประสาคนเลี้ยงแมวที่ทำสวนอยู่ มันก็นั่งอยู่ระหว่างทางและก็ร้องเรียกอีก ร้องเรียกอีก เหมือนว่าจะเรียกให้ผมไปทำอะไรบางอย่าง แล้วก็นึกขึ้นไำด้ว่ามันให้ไปเทอาหารให้นี่เอง ว่าแล้วก็เดินไป พอผมเดินจะไปเทอาหารมันก็เดินนำไปเลยครับ พอเทเสร็จก็เข้ามากิน

เรื่องนี้คงเป็นเรื่องธรรมดาที่แสนจะธรรมดาสำหรับคนเลี้ยงแมวทั่วไป แต่สำหรับผมกับตัวใหญ่ ผมไม่เคยคิดว่ามันจะฉลาดขนาดเดินไปตามผมที่หลังบ้าน มันคงจะรู้ว่าผมอยู่แถวนั้นประจำ ซึ่งผมไม่เคยคิดว่ามันจะจำหรือรู้ นึกว่ามันเป็นแมวติ๊งต๊องซะอีก เพราะตั้งแต่เด็กมันจะดูมึนๆซื่อบื้อๆ ครับ เหตุการณ์วันนี้ทำให้ผมรู้ว่าเวลาตัวใหญ่หิวมันก็สามารถแสดงอะไรที่ผมไม่เคยรู้ให้ผมรู้ได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่ามันไม่มี แค่ผมไม่เคยรู้เท่านั้นเอง

และเมื่อมันกินเสร็จ ก็วิ่งไปเที่ยวบ้านอื่นต่อ….

กว่าจะวาดได้รูปหนึ่ง ใช้เวลานานไหม?

วันนี้มีเรื่องให้คิดถึงคำถามนี้ขึ้นมา อาจจะเพราะไม่ได้วาดรูปมาก็นานแล้ว ก็เลยนึกย้อนไปถึงวันที่มีคำถามนี้เกิดขึ้น…

กว่าจะวาดได้รูปหนึ่ง ใช้เวลานานไหม?

กว่าจะวาดได้รูปหนึ่ง ใช้เวลานานไหม? เป็นคำถามที่มีลูกค้าถามตอนที่ผมไปเปิดร้านขายโปสการ์ดมังกีซ์โกรฟในงานปล่อยแสง ที่หอศิลป์แถวๆสยาม ตอนนั้นผมจำได้คับคล้ายคับคลาว่าจะตอบไปประมาณว่าวาดรูปหนึ่งไม่นาน แต่คิดนาน

มาถึงวันนี้ดูเหมือนจะมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมลืมตอบไปด้วย…นั่นคือกว่าจะคิดจะวาดก็นานเหมือนกัน..

วันก่อนมีลูกค้าถามถึงลายใหม่จะมีเมื่อไหร่ แน่นอนว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนถาม แต่ผมเองไม่ค่อยได้นึกถึงคำตอบที่แน่นอนเท่าไหร่ จนกระทั่งนึกไปถึงคำถามที่ว่า กว่าจะวาดได้รูปหนึ่ง ใช้เวลานานไหม? นั่นเอง

เมื่อสองความรู้สึกนี้มาบรรจบกัน “จะมีลายใหม่เมื่อไหร่ + วาดรูปหนึ่งใช้เวลานานไหม” ก็ทำให้มีคำตอบที่เหมาะสมสำหรับคำถามว่ากว่าจะวาดได้รูปหนึ่ง ใช้เวลานานไหม? นั่นคือนานมาก… เพราะกว่าจะมีโปสการ์ดออกมาใบหนึ่ง ต้องใช้เวลาขบคิดจินตนาการไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าคิดแล้วออกมาเลย แต่ต้องคิดต้องวาดรูปในอากาศ ร่างภาพในความคิด ทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กว่าจะออกมาเป็นภาพต้นแบบ และปรับแก้ภาพในหัวอีกนับเดือนกว่าจะออกมาเป็นภาพร่างโดยใช้ดินสอ

กว่าจากภาพดินสอจะถูกวาดเป็นโปสการ์ดอย่างที่เห็นนั้น ไม่ได้มีขั้นตอนต่อเนื่องกันอย่างที่คิด เพราะว่าหลังจากร่างแบบแรกแล้ว ผมจะปล่อยให้่มันตกผลึก “มัน” ในที่นี้คือความคิดและจินตนาการ ซึ่งบางทีก็มีการปรับแก้อีกที และบางทีก็วาดใหม่ยกเลิกรูปเดิมทิ้งไปเลยก็มี

และขั้นตอนที่สำคัญที่สุดนั่นคือการวาด แต่ปัญหาคือเมื่อไหร่จะวาด น่าจะเป็นคำถามที่ชัดเจน มันยากมากที่จะบอกว่าเมื่อไหร่จะวาด เหมือนการวาดงานครั้งหนึ่งนั้นต้องใช้สมาธิและความตั้งใจสูงมากๆ ผมมักจะล็อควันเวลาไว้ก่อนจะวาดจริง จะไม่ไปไหนหรือไม่ทำธุระอะไรทั้งนั้น ทั้งๆที่เป็นงานวาดโปสการ์ดการ์ตูน แต่ก็จำเป็นต้องใช้สมาธิและอารมณ์ในการสร้างสรรค์รูปออกมา เพราะว่าโปสการ์ดรูปหนึ่งผมจะวาดครั้งเดียว หมายถึงให้งานจบ ณ ตรงนั้นเลย จะไม่มีแก้นั่นแก้นี่เยอะนัก เพราะทุกอย่างต้องพร้อมก่อนจะวาดแล้ว ทั้งภาพในหัว ทั้งสมาธิ ซึ่งตรงนี้แหละที่จะทำให้มันมาบรรจบกันได้ยาก ความพอดี ที่จะเกิดโปสการ์ดได้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่เรื่องที่ว่าอยากทำก็จะทำได้ (ซึ่งจริงๆก็อาจจะทำได้ แต่คงไม่ได้ดีเท่าที่ใจคิด)

เพราะฉะนั้น การที่มีโปสการ์ดมังกีซ์โกรฟใบใหม่ออกมานั่นหมายถึงผมว่างพอที่จะมีสมาธิและความสร้างสรรค์ ที่มากพอที่จะสร้างผลงานดีๆออกมาได้

ผลงานของผมในมังกีซ์โกรฟ ติดตามชมได้ที่ monkiezgrove.com

สวัสดี

ใช้เวลากับห้องสมุด

ตอนนี้เหมือนผมจะไปห้องสมุดบ่อยกว่าที่เคยครับ เพราะต้องไปค้นคว้าหาข้อมูลมาทำงานวิจัยอิสระครับ งานนี้เกี่ยวกับที่เรียนนะครับ ไม่ได้เกี่ยวกับต้นไม้หรืออื่นๆแต่อย่างใด

แต่การไปห้องสมุดครั้งนึงเนี่ย มันใช้เวลาเยอะมาก ผมเองไม่เคยรู้สึกว่าห้องสมุดมีคุณค่ามาก่อน จนกระทั้งหัดอ่านหนังสือครับ เขาว่าคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 7-8 บรรทัดเท่านั้นครับ ซึ่งน้อยมากๆ แต่อาจจะเป็นแบบผมแต่ก่อนก็ได้ จริงๆก็อ่าน แต่อ่านอย่างอื่นน่ะนะ แต่ไม่ได้อ่านหนังสือวิชาการหรือหนังสือทั่วไปแต่อย่างใด เอาเป็นว่าแต่ก่อนนั้นเป็นการอ่านแบบอ่านเพื่อบันเทิงหรือไม่ก็เพื่อแก้ปัญหาเท่านั้นเอง

แต่วันนี้พฤติกรรมการอ่านของผมเปลี่ยนไปมาก เพราะส่วนใหญ่มักจะเป็นการอ่านเพื่อเรียนรู้ เพราะอยากรู้ เพราะอยากเข้าใจ เพราะว่าจำเป็นต้องรู้ จนกระทั่งอ่านไม่ค่อยจะทัน เพราะเรื่องที่อยากรู้มันเต็มไปหมด ซื้อหนังสือมาก็เยอะ ยืมหนังสือมาก็บ่อย อ่านๆไปเรื่อยๆก็เพลินดีครับ

มาถึงเรื่องการใช้เวลากับห้องสมุดของผมในวันนี้…

ผมใช้เวลากับห้องสมุดวันนี้เพื่อค้นคว้าอยู่ 5-6 ชั่วโมงก่อนที่ห้องสมุดจะปิด เพราะว่าติดธุระเลยมีเวลาจำกัด จึงเข้าไปหาข้อมูลเท่าที่ได้ แต่ครึ่งนึงของเวลาที่มีผมกลับไปหาหนังสืออื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับงานวิจัยอิสระมาอ่านครับ พอมีนิสัยรักการอ่านแล้วกลายเป็นพวกอยากรู้แบบสุดขีด ถ้าไม่รู้ไม่เลิก

จริงๆแล้วผมเป็นคนค่อนข้างจะจริงจังกับเรื่องที่ทำอยู่พอสมควร อะไรที่ยังสงสัย ยังคาใจ หรือหาข้อสรุปไม่ได้ก็จะพยายามค้นหาหรือทำจนเสร็จให้ได้ เป็นข้อดี ที่มีข้อเสียมหาศาล นั่นคือมันทำให้ผมแบ่งเวลายากมาก เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่ชีวิตในวันหนึ่งๆเราจะมุ่งสมาธิไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าทำได้คงต้องอยู่ในถ้ำที่มีแต่ข้อจำกัดให้เหลือแต่สิ่งที่สนใจเท่านั้นเอง

สุดท้ายผมก็คงจะต้องแวะเวียนไปห้องสมุดให้บ่อยและนานกว่าเดิม เพื่อที่จะได้ใช้โอกาสของเวลา สร้างผลประโยชน์ให้ชีิวิตและงานให้มากที่สุด

สวัสดี

มองย้อนไปเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา (2553)

เมื่อกี้ผมลองค้นดูรูปเก่าๆเมื่อถ่ายเมื่อปีที่ผ่านมา พบว่าหลายๆเหตุการณ์ดูเหมือนเพิ่งจะเกิดไปเมื่อไม่นาน แต่พอดูวันที่แล้วมันผ่านไปเมื่อปีที่แล้วทั้งนั้น

เขาว่าคนเราเมื่อมีความสุขเวลาจะผ่านไปเร็ว จริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่รู้แน่ๆคือเวลาที่เรามองย้อนกลับไปข้างหลัง มันดูเหมือนจะใกล้กว่าที่คิด ทั้งๆที่มันห่างไปตั้งหนึ่งปี ความทรงจำต่างๆที่เก็บรวบรวมมาไว้ในหนึ่งปีนั้น ถ้าไม่ได้รูปถ่ายช่วยจำไว้ ชีวิตผมก็คงต้องหลงลืมอะไรหลายๆอย่างไปตามทางที่มันควรจะเป็น

การจำหรือระลึกอะไรได้เยอะๆมันก็ดีอย่างตรงได้ทบทวนว่าได้ทำอะไรลงไปบ้างในเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา บางอย่างก็มีความสุข บางช่วงก็ทุกข์บ้าง แต่ไม่มีช่วงไหนเลยที่ไม่ดี เพราะทุกเหตุการณ์นั้นสอนผมอยู่เสมอว่าได้ทำอะไรลงไปแล้วได้ผลอะไรกลับมา

มีอย่างหนึ่งที่มองไปแล้วคิดถึงมากๆ นั่นคือจุ๊บ ผมไล่ดูรูปจุ๊บในปีที่ผ่านๆมา ผมถ่ายรูปมันไว้เยอะมากๆ เพราะมันน่ารัก และเป็นแมวตัวโปรด มันมีนิสัยที่เป็นตัวของตัวเองสูงมาก เดาใจยากสุดๆแต่ก็มีรูปแบบให้พอจะจับทางได้บ้าง และที่สำคัญมันนุ่มมาก ตอนนี้มันหายไปจากบ้านเกือบสองอาทิตย์แล้ว ผมอยากรู้ว่ามันไปไหน อยู่หรือตายไปแล้ว มันอาจจะถูกรถชนก็เป็นได้ ถ้ามันจะไปติดสาวบ้านอื่นก็คงจะยากเพราะมันโดนทำหมันตั้งแต่เด็ก อาการกระหายประจำปีของแมวหนุ่มจึงไม่เคยเกิดขึ้นกับมัน

จุ๊บเป็นแมวที่แทบจะไม่ส่งเสียงร้องเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนวิลลี่แม่ของมัน ผมชอบแมวแบบนี้ เงียบๆ ไม่สงเสียง นอน เดิน ตามใจของมัน แมวที่มายุ่งวุ่นวายมากๆกับร้องมากๆ นั้นส่วนใหญ่ผมจะไม่ค่อยได้ให้ความสนใจกับมันสักเท่าไรนัก

จริงๆคงจะเป็นผมเองก็ได้ที่แปลก จึงอยู่กับแมวแปลก หรือไม่ก็แมวได้ซึมซับสิ่งแปลกๆจากผมมาก็เป็นได้ จนถึงตอนนี้จุ๊บก็ยังไม่กลับบ้าน ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งมันจะกลับมา…

สวัสดี