คนรักฆ่ากันตาย

เหมือนจะเป็นข่าวธรรมดา ๆ ไปซะแล้ว เพราะมีเป็นประจำ แต่กระนั้นคนก็ยังไม่วายจะหาคู่ ไม่พิจารณา ไม่ทำใจในใจให้เข้าใจว่า คนที่จะเข้ามาเป็นคู่นั้นแหละ คือตัวเวรตัวกรรม

เขาก็หากันไป ตามเรื่องตามราว ตามกิเลสที่มี หามาบำเรอกาม บำเรออัตตากันไป ตามที่เห็นว่าดี เห็นว่ามีประโยชน์

แต่ก็ไม่รู้เลยว่าทุกอย่างมันมีต้นทุน มันมีวิบากกรรมเป็นตัวผลัก ได้คนดีมา ก็เสพผลดี กรรมดีที่สะสมไว้ก็รั่วออกไปเรื่องไร้สาระ ส่วนใหญ่ก็ไหลไปกับการกิน เที่ยว …. เสพทุกวัน กุศลที่เคยทำไว้ก็หมดไปทุกวัน

หมดเมื่อไหร่ก็เหมือนเทวดาตกสวรรค์ เริ่มจะเปลี่ยนทิศ จากเสพสุขมาจมทุกข์แทน แต่ก็ไม่อยากออกเพราะมันยังมีสุขให้เสพ (ปั้นสุขลวงขึ้นมาเองตามที่หลง) แม้จะมีทุกข์ก็ตาม สุดท้าย แม้จะสุข 1 หน่วย ทุกข์ 100 ก็ยังเอา เป็นสภาพที่ชาวบ้านงง ว่าทนอยู่ได้อย่างไรทุกข์ขนาดนี้

ดีไม่ดีทุนหมด วิบากร้ายเข้า เขาก็ทำร้ายเอา ฆ่าเอา นอกใจ ตายจาก สารพัดเรื่องที่จะทำให้ทุกข์

คนหาคู่นี่เห็นกงจักรเป็นดอกบัวแท้ ๆ พระพุทธเจ้าตรัสสอนประมาณว่า คนเขาได้คู่ ได้ลูกเขาก็หลงดีใจว่าได้ลาภ แต่นั้นเป็นลาภเลว (อนุตริยสูตร)… คือไม่ได้ดีกว่านั่นแหละ แต่คนหลงก็วนอยู่แต่เรื่องนี้ไง เรื่องได้คู่ได้ลูกนี่แหละ

เอากุศลตัวเองมาเปลี่ยนให้ได้เสพตามกิเลส มันอยากได้อะไรจิตมันก็จดจ่ออยู่อย่างนั้น สุดท้ายมันก็พยายามแส่หาสิ่งนั้นมา ได้มากุศลกรรมที่ทำมาก็หมดไป เหมือนทำดีมามากมายแล้วเทให้หมากิน ตัวเองไม่ได้กินใช้ผลนั้น กิเลสเอาไปกินหมด

คนมากมายเกิดแล้วตายไปเปล่า ๆ เพราะหลงมีคู่นี่แหละ ไม่ได้มีสาระอะไรเล้ย เอามากอดอยู่ได้ ความเห็นที่ว่าการมีคู่นั้นดี เป็นสุข เป็นสิ่งน่าได้น่ามีนั่นแหละ

มงคลชีวิต กับเรื่องคู่

ว่ากันด้วยเรื่องมงคลชีวิต ต่อจากเรื่องคู่เมื่อโพสก่อน ใครตกไปก็ตามไปอ่านกันก่อนได้

พระพุทธเจ้าตรัสมงคลชีวิตข้อแรกไว้ว่า “ไม่คบคนพาล” ข้อแรกนี่คือตัวกรองหยาบของศาสนาพุทธเลย เพราะในความจริงแล้วคนพาลมีอยู่เต็มโลก ซึ่งท่านก็ตรัสไว้อีกว่าคนที่จะพ้นทุกข์ได้จริง ๆ เมื่อเปรียบเทียบแล้วมีจำนวนเพียงแค่ฝุ่นปลายเล็บเมื่อเทียบกับดินทั้งแผ่นดิน

คนพาลจึงทำหน้าที่อย่างคนพาล คือมีไว้พรากคนโง่ออกจากความผาสุกที่แท้จริงโดยเฉพาะ คนที่คบคนพาล ก็จะพาไปหาผิด เช่น มีคู่ก็บอกว่าดี หรือไปมีคู่ก็จะพบความสุข พบความเจริญ ก็เฉโกกันไปตามความฉลาดของคนพาลที่จะแสดงอธรรมว่าเป็นธรรม

ในประเด็นเรื่องคู่ พระพุทธเจ้าปิดแทบทุกประตู คือไม่ส่งเสริม และคำตรัสของท่านเกี่ยวกับเรื่องคู่ เรื่องความรักก็มีมากมายเช่น ” บัณฑิตพึงประพฤติตนเป็นโสด ” นั่นหมายถึงคนพาลจะพาไปในทิศทางตรงข้าม ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ แต่ปลายทางคือจะไปมีคู่ให้ได้

หรือไม่คนเขาก็มักอ้างเล่ห์ว่า มีรักแต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือมีรักแต่ไม่ทุกข์ ซึ่งเป็นความฉลาดของคนพาลอีกเช่นกันในการสร้างวาทกรรมนำกิเลส เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ดังเช่นว่า มีรัก ๑ ก็ทุกข์ ๑ หรือที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ มันจะหนีทุกข์ไปไม่ได้หรอก ยกเว้นไม่ฉลาดพอที่จะเห็นทุกข์ ซึ่งการจะเห็นทุกข์นี่มันก็ยาก และคนพาลย่อมไม่เห็นทุกข์ โทษ ภัยของการยินดีในการครองคู่อยู่แล้ว

หรืออีกความเห็นที่ได้ยินได้ฟังกันบ่อยคืออยู่เป็นคู่บารมีส่งเสริมกันทำดี อันนี้เนียนสุด ๆ ดูดี ดูขาวสะอาด แต่กลิ่นฉุนพอสมควร เพราะความจริง ลักษณะของการเป็นคู่บารที่ปรากฎในพุทธประวัตินั้น จะพบว่าแทบจะไม่มีความอยากในการครองคู่เลย พระพุทธเจ้าก็ดี พระมหากัสสัปปะก็ดี ท่านก็ไม่อยากมีคู่ แต่พ่อแม่ก็บังคับบ้าง บริบทของสังคมบังคับบ้าง คือสภาพของคู่บารมีนี่มันไม่ต้องผลักดัน ไม่ต้องพยายาม ถึงพยายามจะผลักไสเขาก็จะมาอยู่ดี และที่สำคัญคือจะดำรงสภาพคู่อยู่ก็ต่อเมื่อยังไม่มีคำสอนในศาสนาพุทธเผยแพร่อยู่ ดังเช่นกรณีของพระมหากัสสัปปะ ซึ่งมีเรื่องราวคล้าย ๆ กับพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่อยากแต่งงาน นอนก็เอาดอกไม้กั้น ไม่แตะเนื้อต้องตัวกัน ถึงเวลาบวช ก็แยกกันไปคนละทาง อันนี้คือลักษณะเด่นของสาวกของพระพุทธเจ้าคือ เมื่อพบธรรมะก็จะหูผึ่ง จะไม่เอาแล้วเรื่องคู่ จะวิ่งหาธรรมอย่างเดียว

ส่วนยุคนี้มีธรรมประกาศอยู่ ซึ่งตามที่ยกมาก็ชัดพอแล้ว สูตรเดียวก็ชัดแล้ว คือมีรักก็ต้องทุกข์ ดังนั้นจะไปรักให้มันทุกข์ทำไม แต่คนพาลจะไม่พูดแบบนั้น จะไม่คิดแบบนั้น จะไม่เชื่อแบบนั้น คนพาลจะไม่ดำรงในธรรม แต่จะดำรงอยู่ในกาม จะฝักใฝ่ในเรื่องคู่ สามารถคิดหาเหตุผลล้านแปดในการให้น้ำหนักในการที่ตนหรือผู้อื่นจะยินดีในการมีคู่

เรียกว่ามาสร้างคู่บารมีผิดยุค ยุคนี้มันต้องโสดปฏิบัติธรรมจึงจะเจริญได้ไว ถ้าจะสร้างบารมีกันก็ยุคที่ไม่มีธรรมของพุทธประกาศอยู่ ถ้ามาหลงยุคสร้างบารมีกันในยุคนี้นี่จะเรียกว่าขัดขวางความเจริญกันซะมากกว่า เพราะยังไงก็ขัดกับคำพระพุทธเจ้าชัด ๆ อยู่แล้ว อย่างน้อยก็ไม่เจริญถึงขั้นเป็นบัณฑิตสักที ดังคำกล่าวว่า ” บัณฑิตพึงประพฤติตนเป็นโสด

คนส่วนมากก็จะไปหลงติดกับธรรมของคนพาลกันมาก ยากนาน ยึดยื้อกันอยู่หลายภพหลายชาติ เพราะเชื่อแล้วมันฝัง กลายเป็นอุปาทาน ทีนี้บวกพลิงกิเลสยิ่งยึดใหญ่ เพราะมันชอบเสพไง มันก็หาคำ หาประโยค หาแนวคิด หาวาทกรรมมาให้ได้เสพสมใจได้หมดนั่นแหละ

ต่อมาที่ข้อคบบัณฑิต ข้อนี้เป็นตัวคัดคนเข้าพุทธเลย ว่าจะทำใจได้รึเปล่า บัณฑิตก็คนที่ทำตามคำสอนพระพุทธเจ้านั่นแหละ ไม่ใช่แค่พูดได้นะ แต่ทำได้จริงด้วย แล้วทำได้อย่างยั่งยืน ยาวนาน ไม่เวียนกลับ ไม่แปรเปลี่ยน คงทนถาวรด้วย ไม่ใช่เข้ามาอาศัยศาสนาศึกษา อาศัย สอนไป สอนไปว่าแล้วก็สึกไปมีเมีย อันนี้ไม่ใช่แล้ว บัณฑิตนี้มันก็ต้องคัดหน่อย จะคัดมันก็ต้องใช้ปัญญา ส่วนข้อ 3 บูชาบุคคลที่ควรบูชาจะเป็นตัวย้ำสัมมาทิฏฐิ ส่วนคนโง่ เขาก็บูชาคนพาลอยู่นั่นแหละ สรรเสริญธรรมของคนพาล ยินดีในธรรมของคนพาล ทิศมันจะกลับกัน

นี่ก็พยายามย่นย่อได้เท่านี้ มงคล 38 ก็เอาแค่ 3 ข้อแบบไม่เต็มก็ดูจะยาวมากแล้ว ก็เอาเท่านี้แล้วกันครับ ใครที่อ่านแล้วก็พิจารณาหาประโยชน์กันไป ไม่ต้องเพ่งหาโทษนะ อันนั้นไม่มีประโยชน์อะไร เสียเวลาเปล่า ๆ

หลงนานเท่าไหร่ หาทางกลับนานกว่านั้น

วันนี้คุยกับเพื่อนในประเด็นกรรมและเวลาส่งผลในการหลงผิด ว่าคนที่เขาหลงผิดเนี่ย กว่าเขาจะสำนึกแล้วกลับมาปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์ได้ต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่

ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เหมือนเราเปิดร้านของชำอยู่ข้างทาง มีคนขับรถมาถามทาง แต่แล้วเขาก็ขับไปผิดทาง ไปผิดแยก ไปตรงข้ามกับที่เราบอกเลย ทีนี้กว่าเขาจะกลับมาได้นี่ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ก็เท่าที่เขาขับหลงไปนั่นแหละ แต่ถึงจะรู้ตัวก็ใช่ว่าจะกลับได้ทันทีนะ ถ้าขับรถไปต่างจังหวัดแล้วขับผิดทาง กว่าจะเจอยูเทินนี่ก็ต้องไปต่อหลายกิโลเมตรเลย

กลับมาที่ตัวอย่างใกล้ตัว อย่างที่เห็นกันว่าผมจะเผยแพร่ธรรมะที่พาไปสู่ความโสดอย่างเป็นสุข แล้วที่นี้มีคนมาอ่านแล้วเขาไม่เชื่อ เรื่องอื่นเขาอาจจะเคยศรัทธา เคยเชื่อ แต่เรื่องนี้เขาไม่เอา เขาก็ไปนู่นเลย ไปมีแฟน ไปแต่งงาน ก็ปฏิบัติตรงข้ามกันเลย มีแฟนว่าหลงไกลแล้ว แต่งงานนี่ไกลลิบ ๆ ไม่เห็นแม้แต่เงา ถ้ายังหลงอยู่ มันก็จะไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ มีลูกมีหลาน ไกลออกไปอีก ทีนี้จะกลับมามันไม่ง่ายแล้ว ชีวิตมันมีภาระแล้ว แค่ผัวเมียก็เป็นภาระหนักแล้ว มีลูกมีหลานนี่ยิ่งหนักหนา จะกลับมาปฏิบัติแบบตัวเบา ๆ นี่ไม่ได้แล้ว จะมีกำแพง มีอุปสรรคขวางกั้น นานเท่าไหร่น่ะหรอ? ก็นานเท่าที่ทำมา และหนักเท่าที่ทำใจไว้ผิดนั่นแหละ

แต่คนที่เขาหลงแล้วมาเจอเรานี่ต่างกันนะ คนไม่เคยได้ฟังแล้วหลงมาก็มี นั่นเขารับวิบากมาแล้ว ต่างจากคนที่ฟังแล้วไปผิดทาง วิบากกรรมมันจะต่างกัน

อย่างใครตามอ่านบทความที่ผมพิมพ์เกี่ยวกับเรื่องความรักเรื่องคนโสดแล้วชัดว่าโสดดีกว่า เลิศกว่า ประเสริฐกว่า แต่กลับไปทำตรงข้ามนั่นแหละ จะยิ่งช้า นาน ไกล ห่างเหิน ทุกข์สะสมหนักนาน แต่ถึงจะทุกข์แสนสาหัสแล้วสำนึกมันจะออกหรือหลุดพ้นไม่ได้ง่าย ๆ เพราะวิบากมันกันไว้ กันไว้เท่าไหร่ก็เท่าที่หลง หนักเท่าไหร่ก็เท่าที่ทำใจไว้ผิด รวมกับกรรมชั่วที่ทำมาด้วยกันกับคู่ครอง และวิบากกรรมเก่าที่เสริมเติมดอกเบี้ยเข้ามาให้ทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อน หลงไปปีสองปี อย่าคิดว่าจะหลุดพ้นได้ทันที มันก็ต้องทนทุกข์ไปอีกปีสองปีหลังสำนึกผิดเป็นอย่างน้อยนั่นแหละ

เปรียบเทียบง่าย ๆ กับความเห็นที่หลายคนชอบยกมาว่ามีคู่ดีมันก็ดี จริง ๆ มันไม่ดี เพราะจับมือกันควงคู่ก็คือการพากันลงต่ำแล้ว ต่ำแค่ไหนก็แล้วแต่กิเลสจะนำพา ทีนี้ตอนกลับก็เหมือนกับต้องปีนขึ้นมาจากขุมนรกนั่นแหละคุณ ตอนแรกมันหลงไง นึกว่านรกเป็นแดนสวรรค์เขาก็จูงมือกันไป แล้วกว่าจะปีนกลับขึ้นมาจุดเดิมได้นะ คือจุดที่เป็นโสดนั่นแหละ ยากแสนสาหัสเลย เพราะคู่ก็คอยฉุดรั้งไว้ ลูกก็คอยฉุดรั้งไว้ สังคมก็คอยฉุดรั้งไว้ ให้วนเวียนทุกข์ในนรกคนคู่นั่นแหละ

อ่านถึงตรงนี้แล้ว ใครจะลองลงนรกไปศึกษาก็ไม่ว่ากัน