เหยียบเบรคก่อนจะพุ่งตกนรก

เขายังไม่พร้อม ก็ไม่ต้องไปผลักดัน
ให้พร้อมค่อยช่วย

พ่อครูสมณะโพธิรักษ์
๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๘
สวนป่านาบุญ ๑

นรกคนดีอันหนึ่งที่สุดจะเผ็ดแสบร้อนก็คือ “การติดการช่วยคน” นี่แหละ และส่วนมากมันจะช่วยพลาด คือมีเจตนาจะช่วยให้มันดีขึ้น กลับกลายเป็นช่วยดึงกันลงนรก คนช่วยก็ลงนรก คนที่ถูกช่วยก็ลงนรก

หลักการประมาณอันหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้เอามาวัดเสมอ ว่าควรหรือยังไม่ควรลงมือช่วย คือความพร้อมของเขา แม้เราจะพร้อม แต่ถ้าเขายังไม่พร้อม ก็ยังไม่ต้องทำ มันยังไม่ถึงเวลา เขายังไม่พร้อมให้เราช่วย อย่าไปทำเกินหน้าที่

ธรรมะพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ อันนี้ เป็นกรรมฐานที่เป็นเหมือนกับติดเบรค ให้ตนเอง ไม่พลาดพุ่งเกินไปจนลงนรก

จนกว่าจะสาแก่ใจ

คุยกับเพื่อนเกี่ยวกับการออกจากนรกคนคู่ (ที่คนทั่วไปมักจะเห็นเป็นสวรรค์) ว่าคนเรานี้จะออกได้ตอนไหน เพื่อนก็พูดคำประมาณว่า “จนกว่าจะสาแก่ใจ” คือให้ทุกข์จนกว่าจะสาสมใจนั่นแหละ ทุกข์ให้มันสะใจไปเลย ถึงตอนนั้นเดี๋ยวเขาก็อยากออกเอง

ถ้ายังรู้สึกสุขกับการมีคู่อยู่ นั่นคือกำลังอยู่บนสวรรค์ลวง ก็วิ่งเล่นเพลิดเพลินไปตามประสาคนไร้เดียงสา ค่อย ๆ สะสมอกุศลกรรม ปั้นแต่งวิบากบาปมุมนั้นมุมนี้ สร้างนรกที่ไม่ได้ฝันไว้ให้ตัวเองอย่างช้า ๆ (บางทีก็เร็ว)

คนจะพ้นทุกข์ได้นี่ประตูแรกต้องรู้จักกับทุกข์เสียก่อน ต้องรู้ว่าสิ่งที่เข้าไปเสพนั้นเป็นทุกข์อย่างไร ถ้ายังมีความเห็นว่ามันเป็นสุขมันจะไม่อยากออก แบบนี้ยังไม่ต้องคุยธรรมะกันให้เสียเวลา ก็ให้ไปลองพิสูจน์ดูจนกว่าจะสาแก่ใจ

บางคนแค่คบหาเป็นแฟนก็รู้จักทุกข์มากพอที่จะออกแล้ว แต่ส่วนใหญ่ต้องมากกว่านั้น ต้องแต่งงาน ต้องมีลูก ต้องโดนทอดทิ้ง ทำร้าย หักหลัก ฯลฯ มันถึงจะสาแก่ใจ …จะว่าไปก็เหมือนพวกมาโซคิสม์ ที่เจ็บแล้วสุข เขาทำร้ายแล้วก็สุข มันก็สุขแบบวิปริตตามประสาคนหลง เช่น ทะเลาะกัน ด่าว่ากัน ตบตีกัน ทำร้ายกันแต่ก็ยังยินดีอยู่ด้วยกัน เพราะมันมีสุขลวงซ้อนอยู่ในทุกข์ ถ้ามีแต่ทุกข์ ไม่มีสุขลวง ไม่มีใครเขามีคู่กันหรอก

จริง ๆ คู่รักมันก็ไม่มีอะไรมากกว่าหาผลประโยชน์(เสพกิเลส)ร่วมกัน ฉันได้จากเธอ เธอได้จากฉัน เราต้องมีกันและกัน เป็นอัตตาก้อนหนึ่ง มัดสองคนรวมกันไว้ ไม่เป็นอิสระ ต้องพึ่งอีกฝ่าย ไม่ตั้งอยู่บนหลัก “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” แต่จะว่าไป…เขาก็ไม่คิดจะพึ่งตนเองตั้งแต่คิดจะไปมีคู่นั่นแหละนะ

ส่วนใครที่แค่เห็นคนอื่นมีคู่แล้วเห็นทุกข์ ก็ยินดีด้วย บางเรื่องไม่ต้องลงไปเล่นเองให้เสียเวลา แต่ถ้าใครอยากเล่นละครครอบครัวพ่อแม่(ลูก) ก็เชิญจนกว่าจะทุกข์จนสาแก่ใจ

วิธีดูว่ามิตรที่มีนั้นกำลังพาเราไปไหน

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “คนที่ประมาทก็เหมือนคนที่ตายไปแล้ว” เช่นกัน หากเราใช้ชีวิตประมาท ไม่รู้ว่าชีวิตกำลังดำเนินไปทางไหน มันก็กำหนดทางตายของเราไปแล้วนั่นเอง

การมีสติในชีวิตประจำวันนั้นไม่เพียงพอที่จะกันนรกอยู่ เพราะหากไม่มีศีลเป็นตัวกำหนดขอบเขตดีชั่วแล้ว สติที่มีนั้น ก็เอาไปทำชั่วได้อย่างแนบเนียนเลยทีเดียว

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนประกาศจะแต่งงาน ก็จะมีคนมากมายเข้าไปยินดี อวยพร ฯลฯ เขามีสติตอนอวยพรไหม? ถ้าถามเขา เขาก็คงว่ามีกัน แต่ทำไมถึงพูดให้คนยินดีในทางผิด การมีคู่นี่คือไปนรกชัด ๆ อยู่แล้ว คนเขายังไปยินดีอวยพรกัน

แต่คนมีศีลเขาจะไม่ไปยินดีด้วย เพราะรู้แน่ชัดว่าคนมีคู่กำลังจับมือกันไปนรก มันจะทำใจยินดีได้อย่างไร มันมีอะไรดี? มันไม่เห็นมีอะไรดีให้ไปสรรเสริญเลย มีแต่ความเสื่อมความต่ำ มีแต่ความทุกข์

มิตรที่ยินดีเมื่อเราทำไม่ดี นั่นแหละคือมิตรที่จะผลักดันเราไปนรก ส่วนมิตรที่ไม่ยินดีเมื่อเราทำไม่ดี นั่นแหละคือมิตรที่จะช่วยให้เราพ้นนรก

ถ้าคนที่กำลังจะไปทำชั่ว เช่นไปแต่งงาน มีมิตรชั่วมาก ๆ เขาก็จะเสริมพลังให้กับกิเลส ให้กับความหลง ให้ยินดีในการครองคู่ ให้ยินดีในการสร้างครอบครัว แม้จะมีมิตรดีอยู่ ก็อาจจะสู้พลังของกิเลสไม่ได้ เพราะเจ้าตัวก็อยากได้อยากเสพ แถมมีคนยุยงให้ได้เสพสมใจกัน มันก็ไปกันใหญ่

เรื่องคู่นั้น ผมถือเป็น check point หนึ่งของความเจริญในทางพุทธศาสนา ถ้าใครผ่านได้จะสบายไปหลายขุม(นรก) เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปกับการท่องเที่ยวในนรก ตัดเรื่องคู่ได้ จะมีพลังทำความดีอีกมหาศาล

เวลาผมประเมินคนที่เขาสอนศาสนาทั่วไป ผมก็ใช้ตรงนี้นี่แหละเป็นตัววัด ว่าความเห็นของเขายังยินดีในการมีคู่หรือไม่ยินดี ถ้ายังไม่ผ่านมันจะมีช่องไว้ให้ตัวเองแอบเสพอยู่ มันจะเห็นได้ คนไปศึกษาก็ยังรับรู้ได้ว่าเขายังเห็นว่าการมีคู่นั้นมีข้อดีอยู่ นั่นแสดงว่าเขายังไม่ผ่าน เราก็รู้ว่า อ๋อ ฐานเขายังไม่ถึงตรงนี้