[2] พัดลมตัวแรก หลังจากผ่านมา 200 กว่าวัน

diary-0002-พัดลมตัวแรก

2. พัดลมตัวแรก หลังจากผ่านมา 200 กว่าวัน

พัดลมอันนี้เป็นพัดลม usb ซึ่งเหมาะกับที่บ้านนี้ใช้ไฟ 12v จากชุดโซล่าเซลล์ (เอามาแปลงเป็น usb ด้วยที่ชาร์จในรถ)

ตอนที่มาพัฒนาที่นี่แรก ๆ ผมเช่าบ้านเขาอยู่กว่าร้อยวัน ก็มีพัดลมให้ใช้ เพราะมีไฟฟ้าตามปกติ แต่พอบ้านที่สวนสร้างเสร็จ ก็ย้ายมาอยู่แบบไม่มีไฟฟ้า ต่อมามีโซล่าเซลล์ก็ยังไม่ได้ซื้อพัดลม

ก็อยู่แบบธรรมชาติมา 200 กว่าวัน ร้อนเย็นกันไปตามธรรมชาติ ก็มีลำบากนิดหน่อยตอนเย็นที่เลิกงานแล้วอาบน้ำเข้าห้อง คือมันมีความร้อนสะสมในร่างกาย อาบน้ำแล้วก็ยังเหงื่อออก พัดลมตัวนี้ก็เข้ามาช่วยตรงนี้ได้บ้าง

พัดลมตัวนี้ก็ไม่ได้ซื้อหรอก พอดีว่าแม่ซื้อมือถือใหม่ แล้วเขาแถมมาในชุดน่ะนะ เลยขอมาใช้

ผัดมะเขือยาว กับเห็ดชิเมจิ

ผัดมะเขือยาวกับเห็ดชิเมจิ

ผัดมะเขือยาว กับเห็ดชิเมจิ

เห็นเห็ดชิเมจิ ลดราคาอยู่ในห้าง เหลือ 12 บาท ทุกทีจำได้ว่า 20 กว่าบาทนะ คราวนี้ถูกจัง เลยหยิบมาแพคหนึ่ง

เอามาผัดกับมะเขือยาว ใส่น้ำมันนิดหน่อย ปรุงด้วยเกลือ กับน้ำตาลนิด ๆ ใส่อ่อมแซ่บป่า เข้าไปอีกหน่อย กะทะนี้เป็นกับข้าวมื้อแรกที่กินในครั้งนี้ แล้วก็เติมถั่วต้มอีกนิดหน่อย อยู่ได้ทั้งวัน

ไชยา

ไชยา

ไชยา

กลับมารอบนี้ที่ดูจะเข้าท่าที่สุดก็ไชยานี่แหละ โตพอจะกินได้ น่าจะได้สองมื้อต่อต้นนะ ปลูกเอาไว้ สี่ต้น ต้นนี้งามที่สุด

เดี๋ยวกินเสร็จก็เอาไปปักชำต่อ เห็นมันงามแล้วก็มีกำลังใจจะขยาย เพราะตอนแรกปักเป็นปียังไม่โตเลย ดินที่นี่เป็นดินไร่เก่าที่ถูกใช้อย่างเดียว ไม่ได้บำรุงเลย แถมที่นี่ยังแดดแรง ลมแรง ต้นไม้เลยออกไปทางขาดน้ำกันเยอะ

[1] ผ่านไปเกือบสามเดือน หญ้างามเหลือเกิน

diary-0001-ผ่านไปเกือบสามเดือน

1. ผ่านไปเกือบสามเดือน หญ้างามเหลือเกิน

ไม่ได้มาที่บ้านสวน(ที่ยังไม่เป็นสวนสักที) มาเกือบสามเดือน มาถึงก็พบว่า หญ้ารกมาก บางมุมก็สูงเกือบสองเมตร บังแปลงผักที่ทำไว้มิดเลย ก็ค่อยๆ ทำไป ถือว่าได้ปุ๋ยฟรี

เรื่องเก่า ๆ มีเวลาค่อยย้อนไปเขียนแล้วกันนะ เล่ากันตั้งแต่ปัจจุบันนี่แหละ เป็นไงมาไงก็ติดตามกันไป

วอเตอร์เครสฮาวาย กับการรอคอย

วอเตอร์เครสฮาวาย กับการรอคอย

วอเตอร์เครสฮาวาย กับการรอคอย

ผักที่เห็นในรูปนี้ ได้มาจากสวนของพี่จิตอาสาในเครือข่ายของแพทย์วิถีธรรม เป็นวอเตอร์เครสใบใหญ่ ที่ใบของมันนั้นจะใหญ่เป็นปกติ ซึ่งต่างจากอีกพันธุ์หนึ่งที่ต้องเอาเข้าร่มใบถึงจะใหญ่ แต่ถึงจะเข้าร่มและบำรุงดีแค่ไหนใบก็ไม่ใหญ่ขนาดนี้ ต้นนี้ผมปลูกไว้หน้าบ้าน ตากแดด ให้น้ำตามแต่ฝนตก แต่ใบก็ยังใหญ่อย่างที่เห็น

ใบใหญ่แบบนี้กินง่ายกว่าใบเล็ก เรียกว่าเป็นชิ้นเป็นอันมากกว่า ส่วนพวกใบเล็กนี่ก็เอาไปปั่นเป็นน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นไป พอมีใบใหญ่ ก็เลยจะเอาแบบใบใหญ่มากินเป็นผักสดแทน

ผมเคยอยากได้เจ้าวอเตอร์เครสพันธุ์นี้มานาน ซึ่งเคยเห็นจากรูปที่เขาเอามาแบ่งกันดูในกลุ่มเฟสบุค เขาเรียกมันว่า “วอเตอร์เครสฮาวาย” ผมดูจากองค์ประกอบแล้วก็น่าจะเป็นพันธุ์เดียวกับที่มีตอนนี้ แต่ตอนนั้นก็ไม่ง่ายเลยที่จะดับความอยากได้ลงได้

สมัยก่อนที่ผมเลี้ยงไม้ประดับนี่เรียกว่าอยากได้อะไรก็ต้องพยายามหามาให้ได้ แต่ก็ไม่ได้อยากจนเกินฐานะมากนัก อย่างไม้ประดับในกระถาง 4 นิ้วต้นน้อยๆ เท่ากล่องไม้ขีด จะซื้อในราคา 500 บาทก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาในสมัยนั้น เรียกว่าอยากได้อะไรก็จะพยายามเสาะหา แสวงหาให้ได้มา แน่นอนว่าไอ้ที่แพงกว่านั้นก็มี แต่โชคยังดีที่ผมยังไม่ได้ถลำลึกไปขนาดนั้น

พอมาเจอวอเตอร์เครสฮาวายนี่ก็อยากได้ พิจารณาประโยชน์ต่าง ๆ ของมันดูแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ดีกว่าพันธุ์เดิมที่มี ใบใหญ่กว่าเดิมและดูไม่รกเท่าเดิม ความอยากได้นี่มันก็ทำให้ทุกข์ เพราะอยากได้แต่มันแสวงหาไม่ได้ไง ตอนนั้นมันไม่มีขายอยู่ทั่วไป ในอินเตอร์เน็ตก็ไม่มีขาย มีแต่เขาปลูกกันเองแล้วแบ่ง ๆ กัน ไอ้เราจะไปขอนี่ก็รบกวนเขามากไป เพราะเคยมีประสบการณ์ ขอรับเมล็ด, แลกเปลี่ยนต้นไม้ ทำให้รู้ว่ามันเป็นเรื่องยุ่งยากพอสมควร

ก็เลยเลือกที่จะอดทนรอ รอให้มันมาตามธรรม ให้มันเป็นไปตามเหตุอันสมควร ได้เมื่อควรจะได้เท่านั้น ไม่ไปเร่งรัด ไม่ต้องไปแสวงหา แต่จะแค่คิดเอานี่มันไม่ง่ายนะ ความอยากมันไม่ตายแค่พิจารณากันตื้น ๆ หรือจะใช้ปล่อยวางกันซื่อ ๆ นี่มันเอากิเลสไม่อยู่หรอก

มันต้องพิจารณาโทษของความอยาก ความใจร้อน เร่งผล อยากได้ไว ๆ ฯลฯ ให้มันเห็นความจริงว่า กิเลสของเรานั้นมันไม่งามเพียงใด มันถึงจะจางคลายลงไปได้ อย่างน้อยผมก็ทำให้มันจางลงในระดับที่มันไม่ไปเบียดเบียนใคร และไม่ทำให้ตัวเองต้องทนทุกข์เพราะความอยากนั้น

สุดท้ายก็ยินดีที่จะรอนั่นแหละ ก็รอเป็นปีเหมือนกันนะ พอไม่ได้มีความอยากมันก็ลืม ๆ ไป จนไปเห็นที่สวนของพี่จิตอาสา แต่ก็ไม่ได้วิ่งเข้าไปตะครุบทันทีนะ ก็รู้ว่ามันมีประโยชน์ ถ้าได้มันมาก็จะดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร มันยังไม่ถึงรอบของมัน สุดท้ายเขาก็ช่วยตัดมาให้ 5 กิ่งอ้วน ๆ ซึ่งก็ได้เอามาขยายพันธุ์ต่อที่บ้านในที่สุด

ก็ลองกินไปรอบหนึ่ง ตอนนี้ก็ค่อยๆ ขยายพันธุ์อยู่ จากกระถางหนึ่งไปสู่อีกกระถางหนึ่ง พอมันโตเราก็ตัดยอดไปปักชำเพิ่ม ยังไม่รีบกินหรอก กินผักอื่น ๆ ไปก่อน มันมีประโยชน์ก็จริง แต่ก็ต้องใจเย็น ๆ ต้องอดทน ต้องรอ ผมว่าการรอคอยนี่มันงดงามนะ การที่เราใจเย็นอดทนรออะไรได้นี่มันดีมากเลย แม้มันจะอยู่ตรงหน้าแล้วก็อดทนให้มันมาถึงจริง ๆ ไม่รีบวิ่งเข้าไปหามัน เพราะไม่แน่มันอาจจะมาหลอกให้เราอยากเล่นก็ได้ เราอยากเราก็ทุกข์ แล้วเราจะไปเปิดโอกาสให้เราทุกข์ให้มันโง่ทำไม

ผู้สมควรบวชให้ผู้อื่น ต้องเป็นพระอรหันต์

ภิกษุพึงเป็นพระอรหันต์ จึงให้กุลบุตรบวชได้!!

ไปอ่านเจอมาในพระไตรปิฎก เรียกว่าโหดมากทีเดียว แต่ก็เป็นส่ิงที่สมควรที่สุด ในการบวช ในการให้นิสัย รวมทั้งให้มีสามเณรคอยดูแล… ควรเป็นพระอรหันต์

จะยกพระสูตรนึงมาให้อ่านนะครับ ( เล่ม ๒๒ ข้อ ๒๕๑-๒๕๓)

“[๒๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ พึงให้
กุลบุตรอุปสมบทได้ ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ประกอบด้วยศีลขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ ๑ ประกอบด้วยสมาธิขันธ์อันเป็น
ของพระอเสขะ ๑ ประกอบด้วยปัญญาขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ ๑ ประกอบด้วยวิมุติขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ ๑ ประกอบด้วยวิมุติญาณทัศนขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล พึงให้กุลบุตรอุปสมบทได้ ฯ”

ในข้ออื่นๆ ก็มีความไปในทิศทางเดียวกัน

ยกตัวอย่างคำว่า ศีลขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ คำว่า “อเสขะ” คือไม่ต้องศึกษาแล้ว มีตำแหน่งเดียวคือพระอรหันต์นั่นแหละ สรุปคือต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัศนะ ในระดับของพระอรหันต์นั่นเอง แม้เป็นพระอริยะระดับอื่นๆ ก็ยังไม่สมควร

สรุปคือถ้าไม่เป็นอรหันต์นี่บวชให้ใครไม่ได้นะครับ จะฝืนบวชก็ได้ แต่ไม่เจริญหรอก

ซึ่งสูตรที่ยกมานี้เข้ากับคำตรัสที่ว่า “บัณฑิตพึงตั้งตนไว้ในคุณอันสมควรก่อน สอนผู้อื่นภายหลัง จึงไม่มัวหมอง” นั่นหมายถึงจะไปสอนใครก็ทำตัวเองให้ได้ก่อน การบวชนี่เป็นไปเพื่อการหลุดพ้นจากกิเลสเป็นหลัก ดังนั้นตนเองต้องทำให้ได้ก่อน

ถ้าสาวกพระพุทธเจ้ามาอ่านสูตรนี้ผมว่าสะดุ้งเลยนะ ถ้ามีหิริโอตตัปปะ มันจะรู้สึกเองว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร สมมุติถ้าผมเป็นนักบวชนี่ ผมก็คงไม่กล้าบวชให้ใคร หรือถึงเคยทำไปโดยไม่รู้ ก็เลิกทำล่ะงานนี้ ฝืนทำต่อก็นรกกินหัวเปล่าๆ

ส่วนจะมีสูตรไหนอนุโลมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่ผมว่ายึดสูตรนี้ไว้ก็ไม่เลวเหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องเน้นปริมาณนักบวชหรอก เน้นคุณภาพก็พอ ศาสนาพุทธนี่ไม่ได้เน้นปริมาณนะ เอาปริมาณเข้าว่าไม่ได้ เพราะคนเห็นผิดเท่าดินทั้งแผ่นดิน คนเห็นถูกเท่าฝุ่นที่ติดปลายเล็บ ดังนั้นจึงควรจะเน้นคุณภาพเป็นหลัก

อเจลสูตร

อเจลสูตร

ผมกำลังศึกษาเกี่ยวกับจิตตคฤหบดี และมีสมมติฐานว่าท่านน่าจะเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่พระอนาคามีอย่างที่เขาว่ากัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามีฆราวาสเป็นพระอรหันต์ ซึ่งในส่วนตัวผมก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะเป้าหมายของพุทธนั้นเป็นเรื่องของการหลุดพ้นจากกิเลส ใครก็หลุดพ้นได้ถ้าปฏิบัติจนถึงผล

กลับมาในอเจลสูตร เป็นสูตรที่ผมประทับใจเมื่อได้อ่าน อเจลกัสสปซึ่งเป็นสหายเก่าของจิตตคฤหบดี ที่ไม่ได้เจอกันนาน ไปแสวงหาปฏิบัติธรรมตามที่ตนเข้าใจ

เมื่อจิตตคฤหบดีได้พบก็ทักทายกันทั่วไป สักพักก็เปิดบทสนทนาด้วย เนื้อความประมาณว่า ที่ท่านไปปฏิบัติกว่า 30 ปี นั้นได้มรรคผลอะไรบ้างล่ะ

อเจลกัสสปก็ตอบว่า ไม่ได้อะไรนอกจากเป็นชีเปลือย หัวโล้น สลัดฝุ่น…

ว่าแล้วอเจลกัสสปก็ถามกลับไปว่าแล้วท่านล่ะ จิตตคฤหบดี ก็ตอบไปว่า เราไม่มีกามแล้ว ไม่มีอกุศลแล้ว บรรลุฌาน ๔ พระพุทธเจ้าพยากรว่าท่านไม่มีสังโยชน์ใดที่จะเป็นเหตุให้กลับมายังโลก (โลกียะ) อีกแล้ว (ในส่วนตัวผม แค่เนื้อความตอนนี้ก็มากพอที่จะยืนยันว่าเป็นอรหันต์แล้ว)

ฟังแล้วอเจลกัสสปก็ประทับใจ เกิดอยากบวชขึ้นมาทันที จิตตคฤหบดีก็เลยพาไปพบกับหมู่สงฆ์จนได้บวชและปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ในที่สุด… จบสูตรนี้

…..ชอบสูตรนี้ตรงที่ว่า ๑. เป็นมิตรสหายที่ดีต่อกันแล้วพากันไปเจริญ ในสูตรนี้ไม่ได้มีการพูดข่มใดๆ เลย เพียงแค่รับฟังกันตามความเป็นจริง
๒. ถามกันตรงๆ ว่าปฏิบัติธรรมมานานแล้วมีมรรคผลอะไรนี่แหละ …. ในปัจจุบันยอมรับเลยว่า การจะไปถามใครแบบนี้เขาจะโกรธเอา แต่ในสูตรนี้นี่เพื่อนเก่าไม่ได้เจอกันมานานมาก เรียกว่าห่างไปนาน มาเจอกันก็ยังถามได้ ผมว่ามันดีนะ จริงๆก็อยากถามเหมือนกันว่า แบบที่คุณๆ ปฏิบัติกันอยู่มันมีมรรคผล มีความวิเศษ มีอะไรดีๆ เกิดขึ้น ในชีวิตบ้าง… บางทีก็อยากจะถามไปเหมือนกันว่า ไอ้ที่ปฏิบัติอยู่เนี่ย มันลด โลภ โกรธ หลงอย่างไร? ….แต่ก็คงยาก ไปถามใคร เขาก็คงไม่ชอบใจ 555 (เพราะจะถามเจาะไปเรื่อยๆ) สมัยนี้ก็คงยกไว้แค่คนที่ถือวิสาสะกันจริงๆ เท่านั้น มิตรสหายทั่วๆไป นี่ผมไม่กล้า…

อีกสูตรหนึ่งที่มีน้ำหนักคือ ปุตตสูตร มีเนื้อความประมาณว่า หญิงชาวพุทธวิงวอนขอให้ลูกตัวเองเป็นอย่างจิตตคฤหบดีและหัตถกอาฬวกอุบาสก แต่ถ้าจะบวชก็ให้เป็นอย่างพระโมคคัลลานะ,พระสารีบุตร *ขอให้ลูกจงอย่าเป็นเช่นพระเสขะผู้ยังไม่บรรลุอรหัตผล …. นั่นหมายถึงที่ยกมาก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นอรหันต์ทั้งหมด

minimal life (2559)

minimal life (2559)

https://www.facebook.com/minimallife.path/

เป็นการปรับเนื้อหาเพจอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นรอบที่สาม จากเริ่มต้นก็มีแต่เรื่องไม้ประดับ แล้วก็ปรับมาเป็นการปลูกพืชผักทั่วไป ในท้ายที่สุดนี้ก็จะปรับให้เข้ากับชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่ คือยกสิ่งที่ผมกำลังศึกษามาใส่เลย

สิ่งที่ผมกำลังศึกษานั้นไม่ใช่แค่การปลูกพืชผักให้ได้ผลเท่านั้น แต่เป็นการศึกษาพฤติกรรมของคนที่พึ่งพาธรรมชาติบนวิถีชีวิตที่ดำเนินไปสู่การกินน้อยใช้น้อยที่สุด แต่ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นสูงสุด จะเรียกแนวทางการศึกษานี้ว่า “วิถีใจพอ

ซึ่งจะมีลักษณะของการลด ละ เลิก สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ไปโดยลำดับ นั่นหมายถึงเนื้อหาที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากการปลูกพืชผักก็คือแนวคิดและการแบ่งปันประสบการณ์การใช้ชีวิตนั่นเอง

dinp 2016

หลังจากอัพเดทล่าสุดเมื่อต้นปี 2015 ที่ผ่านมา นี่ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว มีเหตุผลบางประการที่รู้สึกว่าเว็บไซต์ต้องมีการปรับเปลี่ยนบ้าง ทั้งเนื้อหาและงานออกแบบ

dinp 2016

ผ่านไปปีนึง มีข้อมูลหลายๆอย่างเข้ามา จึงทำให้ตัดสินใจปิดเว็บไซต์เกี่ยวกับต้นไม้ทั้งหมดเลย ทั้งแคคตัส บอนสี ลิ้นมังกร ซึ่งให้เหตุผลไว้ใน “บทเรียนจากการเลี้ยงไม้ประดับ

ทำให้เว็บไซต์มีเนื้อหาน้อยลง แต่ยังคงความเป็นเครือข่ายอยู่ คือไปทำที่นู่นบ้างที่นั่นบ้าง ดูแลกันทั่วถึงบ้างไม่ทั่วถึงบ้าง อย่างในปีที่ผ่านมานี่ก็แทบไม่ได้แตะ Veggie kitchen (blog) เลย จะไปอัพเดทกันในเฟสบุคซะมากกว่า แต่ก็ยังถือว่าน้อย เพราะงานหลักๆ จะไปหนักอยู่ที่เฟสบุค “ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์” นอกนั้นก็อัพเดทบ้าง ไม่ได้อัพเดทบ้าง แม้แต่บล็อกแห่งนี้ก็ยังถูกปล่อยทิ้งร้างกันอยู่นานเลยทีเดียว

หลักการออกแบบของปีนี้ต่างจากปีก่อนๆที่เป็นโทนดำ-แดง-ขาว ปีนี้มาในโทนสี ขาว-น้ำตาล-เขียว ในอารมณ์แบบธรรมชาติๆ เปิดภาพหน้าปกด้วยภาพมอสที่ถ่ายมาตอนไปน้ำตกพริ้วเมื่อนานมาแล้ว พื้นพลังเป็นแพทเทินไม้ไผ่ โดยรู้สึกอยู่ในใจลึกๆว่าอยากให้มีอารมณ์ที่สื่อถึงการเติบโตเล็กๆ ไม่ต้องมากมาย เอาแค่พอมีชีวิต

เมื่อเทียบกับโทนเดิม ซึ่งเป็นดำ-แดง-ขาว ก็เหมือนป่าที่ถูกไฟไหม้ เต็มไปด้วยฝุ่นควัน ถ่าน และขี้เถ้า ในแนวคิดปีนี้ก็คงจะเป็นเหมือนการเติบโตหลังจากที่ถูกไฟป่าไหม้ไปละมั้ง (ก็จินตนาการโยงไปเรื่อยตามประสา)

แต่ก็เอานะ คิดว่ามันคงสบายตาและใช้งานง่ายมากขึ้น ไม่ซับซ้อน อ่านข้อมูลกันนิดหน่อยก็เข้าไปชมเนื้อหาในแต่ละส่วนต่อได้

มดกับการเพาะเมล็ด

มดกับการเพาะเมล็ด

มดกับการเพาะเมล็ด

ผมเจอกับปัญหาที่เมล็ดถูกมดกิน ลงดินไปเท่าไหร่ก็หายเท่านั้น ไม่เคยงอกขึ้นมา จนสังเกตุเห็นว่าหลุมที่ได้หยอดเมล็ดไปนั้นมีร่องรอยของมด
ซึ่งมดจะเข้าไปกัดกินเมล็ดพันธุ์ก่อนที่จะงอก หรือหลังจากงอกเป็นต้นอ่อนแล้วมันก็ยังกินอยู่บ้าง ทำให้อัตราการรอดน้อย ถ้ารอดก็ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่

ก็เลยลองเพาะเมล็ดโดยใช้ถาดรองน้ำ พอดีไม่มีวัสดุเลยเอาอ่างผสมปูนสองอันมารองน้ำกันมด จริงๆอะไรก็ได้ที่สร้างพื้นที่เป็นน้ำไม่ให้มดเข้ามา สรุปก็เป็นทางเลือกที่ดี เมล็ดมีการงอกตามปกติ

ซึ่งวิธีเลี่ยงมดนี้อาจจะลำบากนิดหน่อยที่ต้องหาวัสดุอุปกรณ์มาแก้ปัญหา หลายคนอาจจะคิดว่าถ้าใช้สารเคมีก็ไม่ต้องยุ่งยาก แต่ผมคิดว่าการเลี่ยงสารเคมี รวมทั้งหลีกเลี่ยงวิธีการที่จะไปเบียดเบียนชีวิตสัตว์นั้นเป็นทางเลือกที่ดีกว่า