สู่แดนบุญ

สู่แดนบุญ

สู่แดนบุญ

ในค่ายพระไตรปิฎกเมื่อปีก่อน มีพี่จิตอาสามาขอให้ออกแบบโลโก้ให้ เป็นโลโก้ร้านสินค้าสุขภาพ และบอกด้วยความเกรงใจว่าเป็นงานส่วนตัวนะ

ปกติผมจะเป็นคนคิดงานนาน คิดวน ทวนซ้ำ ออกแบบไปมาในหัวบ้าง ในกระดาษบ้าง แต่งานนี้ถือว่าออกมาเร็ว เพราะคิดในได้งานพระไตรปิฎกครั้งนั้นแหละ แรงบันดาลใจก็มาจากดอกบัวในภาพพื้นหลังเวที

ผมออกแบบโดยใช้ฟอร์มข้าวหลามตัด ซึ่งเป็นฟอร์มเดียวกับโลโก้ของบุญนิยมทีวี และมีแนวคิดว่ามันน่าจะต้องเกี่ยวกับการเติบโต (มรรคไปจนถึงผล) ก็เลยใช้บัว 4 เหล่าเข้ามาเป็นองค์ประกอบ

การจะเข้า “สู่แดนบุญ” อย่างแท้จริงนั้น บุญจะต้องเป็นบุญที่แท้จริงด้วย คือต้องเกิดบุญอย่างถูกสัมมาทิฎฐิ หมายถึงเกิดการชำระกิเลสออกไปโดยลำดับ

จุดเริ่มต้นของโลโก้นี้คือจุดล่างสุด คือบัวเหล่าที่สี่ (อเวไนยสัตว์ – สัตว์ที่สอนไม่ได้) ที่ชี้ลงไปด้านล่าง และดำเนินต่อมาตามดอกบัวที่โตและบานขึ้นโดยลำดับ(เวไนยสัตว์ – สัตว์ที่สอนได้) โดยมีใบบัวนั้นเป็นสิ่งสังเคราะห์อาหาร ใบบัวทั้งหกใบนั้นแทนอายตนะ 6 (สื่อติดต่อ 6 อย่างที่ผ่านทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) หมายถึงว่าคนจะเจริญได้นั้นต้องมีการกระทบ(ผัสสะ) เกิดขึ้น เหมือนกับบัวที่โตได้เพราะได้พลังงานจากแสงที่สังเคราะห์จากใบ

ตอนผมคิดโลโก้นี้ ผมก็คิดถึงบัว 4 เหล่าในมุมมองของคนคนเดียว คือคนทุกคนก็เกิดขึ้นมาจากความหลงผิด แต่ก็กลับตัวกลับใจ พัฒนาตัวเองจนรู้ตื่นเบิกบานได้โดยลำดับ ซึ่งผมก็คิดว่าน่าจะเหมาะกับองค์ประกอบของพี่จิตอาสาท่านนั้น คือแม้ว่าจะไม่ได้ดีสมบูรณ์แบบในวันนี้ ยังต้องค้าขายอยู่ ยังไม่สามารถเลี้ยงชีพด้วยความดีล้วน ๆ แบบครูบาอาจารย์ได้ แต่การค้าขายสิ่งที่มีประโยชน์ในราคาถูกมันก็ไม่ใช่สิ่งที่แย่ไปเสียทีเดียว เพราะยังสามารถดำเนินในแนวทางสัมมาอาชีวะและบริหารสินค้าไม่ให้เป็นมิจฉาวณิชชาได้อยู่

เมื่อวานได้ไปงานเปิดร้านของพี่เขา ก็ได้เกิดความเข้าใจใหม่ว่า “นี่ไม่ใช่งานส่วนตัว” แต่เป็นธุรกิจเพื่อส่วนรวม คือเปิดร้านขายของดี ราคาถูกและใช้พื้นที่ในการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น นี่มันงานส่วนรวมชัด ๆ …แหม่ ตอนแรกเราก็ตีโจทย์ไม่แตก ก็นึกว่าจะหากินกันตายเฉย ๆ แต่ก็นะ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็สมควรตามเหตุปัจจัยของมันนั่นแหละ โลโก้นี้หลายคนเขาก็ชอบนะ ผมก็ชอบ จริง ๆ ก็ดีตั้งแต่ชื่อแล้วนั่นแหละ

อายุขัยของพระโพธิสัตว์

ได้ฟังครูบาอาจารย์วิเคราะห์เรื่องอายุขัยของพระโพธิสัตว์ในการเรียนพระไตรปิฎกที่ผ่านมา ผมก็สรุปความได้ว่า อายุขัยของพระโพธิสัตว์ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบในโลก เช่น องค์โคตมะ เกิดใกล้กลียุค ท่านก็มีอายุ 80 ปี ส่วน องค์ศรีอริยฯ เกิดในยุคที่คนอายุ 80,000 ปี (คนทำดีมากและไม่ทำชั่วเลยอายุยืน) ท่านก็อายุ 80,000 ปี ….แล้วท่านก็บอกว่าถ้าเราทำชั่ว ครูบาอาจารย์จะอายุสั้น แม้ตนเอง สัตว์อื่น ฯลฯ ก็จะอายุสั้น

ผ่านมาอีกวัน ระหว่างเดินทางไปทำธุระก็มาคิดทบทวนว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น (อาจจะฟังไม่ครบเลยไม่ได้ยินว่าทำไม เลยต้องมานั่งคิดเอง…)

ก็คิดได้ว่า … ก็น่าจะเพราะพระพุทธเจ้าไม่มีอัตตา เลยไม่มีความอยากเพื่อตน ก็คงเหลือแต่เฉพาะการคงอยู่เพื่อที่จะทำประโยชน์แก่ผู้อื่น สัตว์อื่น ฯลฯ นั่นก็หมายความว่า เหตุปัจจัยที่จะมีผลต่ออายุขัยของท่าน ไม่ใช่ตัวท่านเอง แต่เป็นผู้อื่น สัตว์อื่น ฯลฯ

นั่นหมายถึงพระโพธิสัตว์ทั้งหลายน่าจะประเมินการตั้งอิทธิบาท(การทำให้มีอายุยืน) ตามองค์ประกอบของโลก …แต่ส่วนที่ท่านจะประเมินอย่างไรผมก็ไม่อาจรู้ได้ ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงสมมุติฐานเท่านั้น

เมื่อเห็นดังนั้นผมก็ได้ทดสอบสมมุติฐานนั้นในฐานของตัวเอง ซึ่งธุระในครั้งนี้ก็เป็นกิจกรรมในหมู่คนดีอยู่พอดี ก็เลยทดลองปล่อยชีวิตไปตามกรรม (กุศลกรรม) ว่ากรรมนั้นจะพาไปทางไหน เขาจะให้ไปเจอใคร ได้คุยกับใคร ให้กลับกับใคร ให้ไปนั่งรถคันไหน แล้วเขาจะพาไปไหน ก็ลองไปกับเขาดู ซึ่งก็พิจารณาในขีดที่เป็นกุศล ดีเราก็ไป ไม่ดีเราก็ไม่ไป แต่ถ้าอยู่กับหมู่คนดี ความเห็นส่วนใหญ่ของเขาก็ไปทำดีทั้งนั้น

สรุปว่าลองแล้ว ใจมันก็สบายดีนะ ดีกว่าไปวางแผนนั่นนู่นนี่ แต่แผนตั้งต้นน่ะมีอยู่ คือถ้าเขาไม่ชวนเราให้ไปกับเขา เราก็นั่งรถเมล์กลับบ้านเอง แต่พอเขาชวนเราก็เอาแผนเดิมของเราทิ้งไปแล้ววางแผนใหม่ไปเรื่อย ๆ ตามองค์ประกอบใหม่ที่มันเข้ามาสังเคราะ์ตามเวลาที่เปลี่ยนไป

กลายเป็นว่าวันนี้ได้สิ่งดีมากกว่าการตัดสินใจกลับบ้านเองอีก ได้ฟังเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรมเขาคุยกัน เล่าสภาวะกัน ได้ฟังครูบาอาจารย์สอน ฯลฯ

…วางใจมันก็ดีเหมือนกันนะ นี่แค่ทำได้นิดเดียวนะเนี่ย เสี้ยวเดียว แว่บเดียว แต่ระดับผู้ที่หมดอัตตา ท่านน่าจะได้เจอกับสภาพนี้ตลอดเวลา ผมก็เริ่มรู้สึกว่าสภาพนั้นมันน่าได้น่าเป็นน่ามีเหมือนกันนะนี่

การอยู่โดยไม่เอาอัตตาเป็นตัวตั้ง ไม่มีความเอาแต่ใจแม้ในช่วงหนึ่งก็สุขมากแล้ว ก็ทำให้เข้าใจว่า อ๋อ..การปล่อยให้การคงอยู่ของเราสังเคราะห์ไปกับสังคมสิ่งแวดล้อมมันเป็นแบบนี้นี่เอง

มันก็เลยทำให้เกิดความเข้าใจเรื่องอายุขัยของพระโพธิสัตว์เพิ่มขึ้นมานิด ๆ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ในระหว่างเรียนค่ายพระไตรปิฎกที่ผ่านมา ก็ได้ยินเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม กล่าวถึงการขอเอาครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งบ้าง ขอเอาหมู่กลุ่มที่ปฏิบัติธรรมเป็นที่พึ่งบ้าง ฯลฯ

ผมได้ฟังแล้วก็ประทับใจ เมื่อเห็นรอบของศรัทธาที่เจริญขึ้น มีความรักตั้งมั่นและหยั่งลงเป็นสภาพที่นิ่งขึ้น ไม่หวั่นไหว ไม่ส่ายไปมา ทำให้ผมนึกถึงประโยคในบทสวดที่ว่า “สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ” คือ ขอเอาสงฆ์ เป็นที่พึ่ง

สงฆ์ในความหมายของศาสนาพุทธคือผู้ที่มุ่งปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนเกิดมรรคผลลดจนถึงดับกิเลสได้จริง จะเป็นฆราวาสก็ได้ นักบวชก็ได้

โดยทั่วไปคนก็มักจะไม่ได้เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งหรอก เขาก็เอาผัวเอาเมียเอาลูก ไม่ก็ทรัพย์สินเงินทอง วัตถุข้าวของ เกียรติ ศักดิ์ศรี ฯลฯ เป็นที่พึ่ง แต่คนที่มีศรัทธามากมีปัญญามาก จะรู้เลยว่าเอาสิ่งเหล่านั้นเป็นที่พึ่งไม่ได้ มันไม่มั่นคงไม่แน่นอน แปรเปลี่ยนเป็นเหตุให้ทุกข์ได้เสมอ

เมื่อผมได้ยินว่าเขาเหล่านั้น ตั้งจิตเอาครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งบ้าง ขอเอาหมู่กลุ่มที่ปฏิบัติธรรมเป็นที่พึ่งบ้าง ฯลฯ ผมก็รู้เลยว่าเขาจะมุ่งไปสู่การพ้นทุกข์ในวันใดก็วันหนึ่งแน่นอน และจะเจริญมากขึ้นตามศรัทธาที่แนบแน่น ทุติยัมปิ(แม้ครั้งที่สอง…) ตะติยัมปิ(แม้ครั้งที่สาม…) แข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่หวั่นไหวต่อโลก เป็นศรัทธาที่ตั้งมั่น พากเพียรปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จนเจริญไปถึงระดับที่ไม่มีวันหวนกลับจะไปเอาสิ่งอื่นใดนอกจากพุทธะ ธรรมะ สังฆะ มาเป็นที่พึ่งทางใจอีกต่อไป

เป้าหมายในชีวิต

ตั้งแต่ได้ศึกษาธรรมะมา เป้าหมายอันมากมายที่เคยมีในชีวิตก็ค่อย ๆ ลดลงจนเหลือชัดเจนอยู่อย่างเดียว

แต่การจะถึงเป้าหมายนั้น มีเส้นทางที่แตกต่างกัน แน่นอนว่าในทุกเส้นทางนั้นจะมีมรรคเป็นองค์ประกอบ เมื่อผมได้สรุปเส้นทางในชีวิต ก็พบว่าเหลือแค่สองทางเท่านั้น คือ บวชกับไม่บวช

ผมเป็นคนที่มีองค์ประกอบที่พร้อมสำหรับการบวช คือไม่มีภาระอะไรต้องห่วง ไม่มีอะไรต้องรับผิดชอบ สามารถตัดสินใจด้วยตนเองในทันที ครอบครัวก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังไม่เลือกการบวชด้วยเหตุผลที่ว่า

ผมต้องการจะใช้ความสามารถและความรู้ที่ได้เรียนมา ช่วย “สืบสานเศรษฐกิจพอเพียง” เสียก่อน

ผมเองไม่ได้ใส่ใจกับปริญญาและความรู้ที่ได้ศึกษามา จะทิ้งก็ได้ไม่มีปัญหา แต่จากที่ทบทวนดูว่าทำไมชาตินี้ต้องเกิดมาได้เรียนแบบนั้น มันไม่มีหรอก เบิกกุศลมาให้เรียนตั้งหลายแสนแล้วทิ้งไปเฉย ๆ ฟ้าเขาก็คงให้มาเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือทำกุศลต่อละน่า ถ้าจะให้ฝึกทิ้ง ทิ้งแค่นี้มันก็น้อยไปหน่อย ไม่สะใจ

สรุปคือผมประเมินว่า ฟ้าเขาให้อุปกรณ์ทำความดีมาแล้ว เราจะทิ้งไปหรือจะเอาไปใช้ประโยชน์ และปัจจัยหลักก็คือ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เศรษฐกิจพอเพียงทุกวันนี้มีแต่คนตอแหล ทำหลอกในหลวง เป็นคำที่ก้องอยู่ในหัวผมเรื่อยมา ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมเฝ้าสังเกตคนที่เขาบอกว่าทำเศรษฐกิจพอเพียง และพบว่านั่นมันตอแหลจริง ๆ

เพราะเขาทำแล้วไม่ได้ลดความโลภ โกรธ หลง ไม่ได้ลดกิเลส ทำเศรษฐกิจพอเพียงไม่ลดกิเลสมันจะพอเพียงได้ไง มันก็โลภไปเรื่อย ๆ สิ ไม่โลภเอาวัตถุ ก็โลภเอาโลกธรรม หรือไม่ก็เอาอัตตา ผมเห็นแล้วก็รู้สึกว่า แบบนี้แย่แน่ ๆ มีแต่เปลือก แก่นไม่มีเลย

เศรษฐกิจพอเพียงในความเห็นของผม ต้องเริ่มจากลดกิเลสให้ได้ก่อน ส่วนปลูกพืชปลูกผัก หรืออะไรอื่น ๆ นั้นไว้พัฒนาทีหลัง เพราะถ้าไม่ศึกษาการลดกิเลสให้ได้จริง ทำอะไรไปสักพักเดี๋ยวกิเลสก็โต แรก ๆ ก็อาจจะสร้างภาพพอเพียงได้อยู่ แต่นานไปมันฟุ้งเฟ้อแน่ ๆ

อีกอย่างคือ ผมรู้สึกว่าควรจะทำให้เศรษฐกิจพอเพียงนั้นปรับใช้ได้ในทุกฐานะอาชีพ เพราะเดิมทีผมมีพื้นฐานเป็นคนเมือง ถ้าผมจะศึกษาเศรษฐกิจพอเพียง ผมก็ต้องศึกษาเพื่อให้ได้ความรู้มาปรับใช้กับคนเมืองด้วย

ดังนั้นผมจึงไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นเกษตรกร ผมไม่เน้นผลผลิต ผมเน้นการศึกษาเรียนรู้ว่าทำอย่างไร เราจึงจะลดกิจกรรมที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ลดความโลภโกรธหลงที่ต้นเหตุได้ ซึ่งจากที่ผมประเมินดูแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีใครทำในหัวข้อนี้ชัดเจนนัก ก็เลยคิดว่าจะลองทำดูก่อน ลองเอาภาระในเรื่องนี้ดู ผมคิดว่ามันเป็นกุศลนะ เรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนทำ และเป็นเรื่องที่มีประโยชน์มากเหมือนกัน

ชาตินี้ก็คิดว่าจะทำสิ่งนี้ไป ได้เท่าไหนก็เท่านั้น ตามความสามารถ ตามบารมี ถ้ามันตันนักก็เลิก จะว่าหนีไปบวชก็ใช่ เพราะบารมีไม่พอไง ชาติหน้าค่อยมาฝึกทำใหม่ ถ้าอยู่ในสถานะนักบวชก็คงจะพอทำได้ แต่ไม่คล่องเท่าฆราวาสหรอก มันยืดหยุ่นกว่า ส่งเสริมได้ง่ายกว่า ผมขอสรุปตามความเห็นของผมเลยว่า ถ้าผมทำเรื่องนี้ ฆราวาสจะเจริญได้ง่ายกว่า

พิมพ์มาถึงตรงนี้ก็ลืมบอกไปว่าเป้าหมายคืออะไร เป้าหมายในชีวิตผมก็เลิกโง่บริบูรณ์ละนะ ส่วนผมจะฝึกปฏิบัติในเส้นทางไหนก็ตามที่ได้เล่าไปก่อนหน้านี้ อ่านดูอาจจะเป็นเรื่องใหม่ แต่จริง ๆ เป็นเรื่องที่ตัดสินใจไว้ตั้งแต่ 3-4 ปีก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแค่ไม่เคยได้บอกได้กล่าวกับใครเลยเท่านั้นเอง

เอาภาระในงานศาสนา

จากบทความ : สืบสานศาสนานานเท่านาน …

เข้ากับเรื่องที่ผมโพสไปก่อนหน้านี้พอดี (ลองอ่านโพสก่อนหน้านี้และบทความที่แนบมานี้ก่อนเข้าเรื่องครับ)

ใช่! ผมรู้ตัวว่ามีความรู้ รู้ตัวว่ามีบารมีโดดเด่นมาในเรื่องของความรัก เรื่องคนคู่ แต่ผมไม่ทำให้มันชัดเจน เพราะลึก ๆ แล้วผมรู้ว่าโลกธรรมเรื่องนี้มันหนักมาก ตัวผมเอง ออกจะไปทางไม่เอาภาระศาสนา ผมรู้สึกว่าสภาพของผมเหมือนคนที่มีคลังแสงที่เพียบพร้อม แต่ไม่คิดจะใช้

และงานตรงนี้ยังไม่มีคนทำ ครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่มีเวลามาไขเรื่องยิบย่อยเช่นนี้ เมื่อบ่ายวันนี้ ผมตั้งใจแล้วว่าจะรับงานในหมวดนี้ เป็นหมวดที่ผมมั่นใจที่สุด แม้จะเป็นแรงน้อย ๆ ที่พยายามจะช่วย ผมก็จะพยายามทำ

คำของพ่อครูกระแทกใจผมมาก เหมือนที่ครั้งหนึ่งผมถูกถ้อยคำบางคำของครูบาอาจารย์กระแทกใจจนต้องลุกขึ้นมาพิมพ์บทความ มันเจ็บอยู่ข้างใน เหมือนคนที่รู้ทั้งรู้ว่าทำได้แต่ไม่ทำ ท่านไม่ได้พูดกับผมโดยตรงหรอก แต่ผมฟังแล้วรู้ด้วยตัวของผมเอง ว่าต้องทำ มาถึงตอนนี้ก็เหมือนโดนถีบเป็นครั้งที่สอง

แต่ครั้งนี้ผมก้าวมาก่อนจะโดน ผมตัดสินใจด้วยตัวเองก่อนที่จะมาเห็นโพสนี้ เหมือนกับผมได้ก้าวกระโดดก่อนที่พื้นจะถล่ม

ใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วหมั่นไส้จนอยากจะอ้วกก็ขออภัย นี่มันก็เหมือนอวดเหลือเกิน เหมือนสำคัญตัวผิด แต่ผมขอยืนยันว่าผมมั่นใจนะ เรื่องความรักเรื่องคนคู่นี่เป็นเรื่องที่ผมใช้เวลาศึกษาเยอะที่สุดที่ผ่านมาในชาตินี้แล้ว จะมาพิสูจน์กันก็ได้ แต่อย่าเพิ่งตีทิ้งผมเลย ก็ลองศึกษากันดูไปเรื่อย ๆ หรือท่านใดคิดว่ามีภูมิมากกว่าในเรื่องนี้ จะเพิ่มความรู้ให้ผม ผมก็ยินดีรับฟัง แต่ถ้าผมจะถามกลับหลังฟังเพื่อให้คลายสงสัยในความเห็นนั้น ๆ สักหน่อย ก็ขอโอกาสไว้ ณ ที่นี้ด้วย ผมเชื่อว่ามี! คนที่สูงกว่าผมมีอยู่ แต่แค่ตอนนี้ท่านเหล่านั้นยังไม่แสดงตัวเท่านั้นเอง (ส่วนท่านที่แสดงตัวแล้วก็ยกไว้)

นี่ผมพิมพ์ขนาดนี้ ก็เหมือนเอาหัวมาวางพาดไว้บนเขียงแล้ว ถ้าพลาดผมก็โดนลงมีด ไม่ใช่จากคนอื่นหรอก จากวิบากกรรมผมเองนี่แหละ ถ้าผมไม่มั่นใจว่าจะทำได้จริง ผมไม่พิมพ์ให้ตัวเองตายเล่น ๆ หรอก

ที่พิมพ์ไว้ก็ไม่ใช่อะไร จะออกศึกมันก็ต้องลั่นกรองรบสักหน่อย พอเป็นพิธี คนเขาสนใจเขาจะได้เข้ามาศึกษา คนไหนไม่สนเขาจะได้หลบ

กรอบหลัก ๆ ของผมคือ การกระชากหน้ากากให้เห็นหน้าจริงของกิเลสในความรักโลกีย์ เท่าที่ผมจะมีความรู้ความสามารถ

[38] การผสมดินสำหรับเพาะเมล็ด

diary-0038-การผสมดินเพาะเมล็ด

38. การผสมดินสำหรับเพาะเมล็ด

ดินที่ใช้เพาะเมล็ดนั้นมีผลค่อนข้างมาก สำหรับการเพาะเมล็ด

จากที่ผมได้ทดลองมา เมล็ดชุดเดียวกัน แต่เพาะลงในดินที่ผสมสูตรต่างกัน อัตราการงอกก็ต่างกัน

จากตัวอย่างนี้ คือการเพาะเมล็ดมะเขือเทศ ในตอนแรกนั้นใช้ดินผสมทรายอย่างเดียว กว่าเมล็ดจะงอกก็ใช้เวลาเป็นสิบวัน

ต่อมาทดลองผสมดินเพาะใหม่ ใส่ขุยมะพร้าวไปเพิ่ม ใส่ใบกระถินผสมไปเพิ่ม เมล็ดชุดเดิมกลับงอกได้ใน 5 วัน แถมอัตราการงอกดูเหมือนจะสูงกว่าสองเท่าด้วย

อุณหภูมิกับความชื้นมีผลมากในการงอกของเมล็ด อย่างล่าสุดผมทดลองเพาะเมล็ดฟักทอง ซึ่งได้ผลคือวันต่อมา ต้นกล้าก็งอกออกมาแล้ว ต่างจากการหยอดเมล็ดฟักทองในแปลงผักโดยตรง แบบนั้นกว่าจะขึ้นก็เป็นสัปดาห์ แต่ข้อดีของการหยอดในแปลงเลยคือได้โตต่อเนื่อง

พืชผักบางชนิดก็ไม่เหมาะที่จะหยอดในแปลงทันที แยกมาเพาะเมล็ด ค่อย ๆ ดูแลต้นกล้าจะเหมาะกว่า

ในส่วนดินผสมสำหรับปลูกนั้น ผมก็คงจะทดลองไปเรื่อย ๆ โดยหลัก ๆ ก็จะหาวัสดุที่ทำให้ดินร่วนซุย เก็บความชื้นได้ดี ไม่มีธาตุอาหารที่เกินความจำเป็น ส่วนที่เหลือก็ควบคุมความร้อนและความชื้นให้เหมาะก็พอ

มิจฉาธรรมในเรื่องคนคู่

เป็นเรื่องที่มีภัยต่อสังคมค่อนข้างมาก พอ ๆ กับพระอลัชชีเลยทีเดียว แต่มันละเอียดแนบเนียนกว่ามาก

มีผู้ตั้งตนเป็นผู้รู้หลายคน กล่าวถึงเรื่องความรัก แต่ก็มักจะไม่พ้นการวนเวียนอยู่ในภพคนคู่ คือสื่อสารออกมาแล้วสื่อในลักษณะที่ไม่ทำให้คลายกำหนัด ไม่ทำให้ปล่อยวางความอยากมีคู่ ซ้ำยังไปเพิ่มอุปาทานว่าต้องเลือกคู่ดีแบบนั้นแบบนี้จึงจะดี มีคู่แบบนั้นแบบนี้มีได้ ไม่ผิด อะไรแนว ๆ นี้

ผมจะขีดเส้นแบ่งชัด ๆ ให้ คือ พูดให้คนเลิกหลงอยากมีคู่ กับพูดให้คนหลงอยู่ในการมีคู่ ซึ่งมันจะเป็นสัมมาทางหนึ่ง มิจฉาทางหนึ่ง แต่ในส่วนสัมมานั้นจะมีอนุโลมอยู่ คือถ้ามันจะไปมีให้ได้ มันหื่นกระหายใคร่อยากจนทนไม่ไหวแล้ว อกมันจะแตกตายแล้ว ก็ให้เลือกคู่ที่ชั่วน้อยที่สุด คือมีศีลเป็นคุณสมบัติหลัก คือแพ้กิเลสอย่างไรให้เจ็บน้อยที่สุด จะไม่มีมาเชิดหน้าชูตาอวดคู่หรอก จะอาย จะหลบ จะไม่แสดงตัวตนมากนัก อันนี้คือหิริ ของผู้ที่มีความเห็นถูกอยู่บ้าง ส่วนพวกเห็นผิดนี่ปฏิบัติธรรมหาคู่แล้วเอามาโชว์กันออกหน้าออกตาเฉยเลย

ผมเห็นหลายคนเขาแสดงธรรมที่ผิดเหล่านี้แล้วก็สงสาร จริง ๆ เห็นมานานแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคิดว่ากรรมใครกรรมมัน แต่ตอนนี้มันชักจะไม่ไหว ผมว่าถ้าปล่อยไปมันจะดึงคนดีให้หลงไปหมด มันจะมีแต่คนทุกข์ เขาไม่ได้สร้างความฉิบหายให้ตนเองคนเดียว เขายังลากคนอื่นไปเห็นผิดอย่างเขาด้วย

ซึ่งก็เคยมีประสบการณ์ตรงเหมือนกัน คือเพื่อนที่ศึกษาด้วยกันมาเขาจะไปมีคู่ แต่ตอนที่เขาจะไปมีคู่ คือไปแต่งงานนั่นแหละ เขาไม่ปรึกษาเราสักคำ เขาไปปรึกษานักบวชที่เขาศรัทธา แล้วไงล่ะ สุดท้ายก็ไปแต่งงาน มันก็หล่น ก็เสื่อมไปแบบนั้น ราศีหมดเลยนะ พระพุทธเจ้าตรัสเล่าไว้เกี่ยวกับต้นกำเกิดของคนว่า จากที่เคยมีจิตบริสุทธิ์ผ่องใส แต่พอหลงไปกินง้วนดินเท่านั้นแหละ ราศีหายเลย แล้วไปมีคู่นี่ไม่ต้องห่วง หนักหนากว่ากินง้วนดินเยอะ

นี่ถ้าเขาเกาะกลุ่มกันไปเขาจะรอด แต่เขาไม่เลือกทางนี้ เขาเลือกทางอื่น เขาเลือกที่จะไปฟังธรรมที่ไม่ฉุดรั้งเขา ไม่ขัดเกลาเขา ส่งเสริมกิเลสเขา เขาก็เลยได้ไปสู่คติที่เขาอยากไป ไปอยู่ในภพที่เขาอยากอยู่

ผมเห็นแบบนี้แล้วก็เสียดายคนดี ทั้ง ๆ ที่มีภูมิธรรมเก่ามาเป็นทุนอยู่แล้ว แต่กลับต้องเสียเวลาหลงทางไปอีกชาติ อาจจะเป็นเพราะผมปล่อยวางมากไปก็ได้ อาจจะเป็นเพราะผมไม่เอาภาระก็ได้ อาจจะเป็นเพราะผมห่วงตัวเองมากไปก็ได้

เพราะการที่ผมจะเอาภาระตรงนี้ มันจะเกิดการกระทบมาก เอาง่าย ๆ คือมีศัตรูมากขึ้น เพราะธรรมมันจะขัดกันอย่างชัดเจน แล้วมันก็จำเป็นต้องชี้แจงว่าเขาผิดอย่างไร นั่นหมายถึงมีโอกาสที่เขาจะไม่พอใจ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้อยากมีศัตรูหรอกนะ แต่ก็เห็นใจคนที่กำลังหลงในมิจฉาธรรมในเรื่องคู่ เรื่องอื่นผมอาจจะไม่เก่ง แต่เรื่องคนคุ่หรือความรักนั้นผมมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะตีแผ่ความจริงว่าสิ่งไหนผิด สิ่งไหนถูกได้

อย่าพึ่งรีบเชื่อใคร อย่าพึ่งรีบเชื่อผมเช่นกัน ให้ลองศึกษาและพิจารณาเปรียบเทียบเอา ก่อนที่ท่านจะพลาดพลั้งไป เพราะถ้าพลาดเรื่องคู่แล้ว มันอาจจะล็อกไปทั้งชาติเลย มันออกยาก ดีไม่ดีหลงไปอีกหลายชาติเลย

อันที่จริง ผมก็อยากให้คนที่เผยแพร่มิจฉาธรรมในเรื่องความรักเขาหยุดเผยแพร่นั่นแหละ จะขยันสร้าง content ไปมันก็จะยิ่งหลง เป็นวิบากบาปเท่านั้น แต่จะไปบอกเขาอย่างไรได้ ในเมื่อเขาสำคัญตนว่าเป็นผู้รู้ ผมก็เลยคิดว่าสุดท้ายผมก็ต้องนั่งพิมพ์แก้ไขความเห็นเหล่านั้นแล้วเผยแพร่ให้คนพิจารณาเองนั่นแหละ

ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็คงไม่สำคัญ เพราะถ้าผมได้ทำแล้วมันก็ดีแล้ว คนมีภูมิธรรมเขาอ่านแล้วเขาน่าจะเอาประโยชน์ได้ มันช่วยไม่ได้ทุกคนหรอก แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าที่ผมรู้แล้วไม่ได้เอาความรู้นั้นไปทำประโยชน์ให้ใคร (ทั้ง ๆ ที่สามารถทำได้)

เจอตอบนทางธรรม

วันก่อนผมเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ตระหนักถึงภัยอันน่ากลัว คือผมเดินไปสะดุดกระดานรองเขียนที่วางไว้ที่พื้น กระดานนั้นมันมีสีน้ำตาลเหมือนสีพื้น แม้มันจะสูงกว่าพื้นไม่มากนัก แต่มันก็ไม่ใช่พื้น และเราก็ไม่ทันสังเกต เราไปเห็นว่ามันเป็นพื้น สุดท้ายก็เลยสะดุดมัน

ก็ทำให้คิดว่า บนเส้นทางธรรมนี่ก็เป็นเส้นทางที่น่ากลัวเหมือนกัน ประมาทไม่ได้ และประมาทใครก็ไม่ได้ คนที่ไม่มีสติจะไม่ทันสังเกตความแตกต่าง คนไม่มีปัญญาจะไม่รู้ว่าแตกต่างกันอย่างไร

คนที่หันมาปฏิบัติธรรมแรก ๆ ส่วนมากจะมีความอ่อนน้อม เพราะรู้ตัวว่ายังไม่เก่ง แต่พออยู่นานเข้า ศึกษาและปฏิบัตินานเข้า ก็จะเริ่มเก่งและอัตตาก็จะเริ่มโต พออัตตาโตสายตามันก็จะเริ่มสั้น เริ่มมองเห็นไม่ชัด เห็นได้แต่ใกล้ ๆ คือเห็นสำคัญแต่ตัวตนของตนเอง แต่มักไม่เห็นความสำคัญในผู้อื่น

พอมองไม่ชัด มันก็เผลอ ก็พลาด ก็เลยเกิดเป็นสภาพชนตอ ทีนี้พออัตตาจัดแล้วชนตอ มันจะไม่รู้ตัวว่าชนตอ รู้แต่เจ็บ รู้แต่ทุกข์ แต่ไม่รู้ว่าชนอะไร ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็ชนไปแล้ว

หายนะอย่างหนึ่งของผู้ปฏิบัติธรรม คือการเพ่งโทษกันในหมู่คนดี กรรมเหล่านั้นจะให้ผลเช่น หลง เสื่อม เจ็บ ตาย ฯลฯ ซึ่งจะมีความรุนแรงไปตามตัวแปรคือบุคคลที่ไปเพ่งโทษ เรื่องที่ไปเพ่งโทษ และระยะเวลาที่ยังไม่ได้แก้ความเห็นผิดนั้น ๆ

ผมเคยเห็นผู้ที่ทำกรรมนี้มาแล้ว คือทำดีมาแทบตาย สุดท้ายชนตอ แล้วตอใหญ่ด้วย แต่ตัวเองไม่เห็น ไม่สำคัญว่านั่นคือตอ ชนทีเดียวตายเลย

ผมจึงต้องคอยตรวจสอบและระวังตัวเองให้มาก ไม่ให้สบประมาทใคร ไม่ให้เพ่งโทษใคร ไม่ให้อัตตาครอบงำจนสายตาสั้นหรือตาบอดมองไม่เห็นตอนั้น เพราะทันทีที่ผมพลาด ชีวิตผมก็คงจะล่มจมและฉิบหายด้วยผลแห่งกรรมนั้น ๆ

แม้จนถึงปัจจุบัน ผมก็ยังต้องตรวจจิตตัวเองซ้ำแล้วซ่ำเล่าว่ายังดีอยู่ไหม ยังมีความเห็นที่ถูกตรงสู่การพ้นทุกข์อยู่ไหม หรือมันเบี้ยว มันเอนออก เราตรวจสอบกับเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว เขาให้ความเห็นอย่างไร เขายังเห็นว่าเรายังดีอยู่ไหม ก็ต้องตรวจทั้งตนเองและให้ผู้อื่นตรวจ

ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วได้ผลที่ถูกตรงนั้นน่ากลัวเหมือนอสรพิษ ที่ว่าน่ากลัวไม่ได้หมายความว่าท่านเหล่านั้นจะมาทำร้ายเรา แต่น่ากลัวเพราะถ้าเราจะพลาดไปคิดพูดทำไม่ดีต่อท่าน นั่นหมายถึงเราได้สร้างความฉิบหายในระดับที่เรียกว่าโดนงูพิษกัดก็ยังน้อยไปให้ชีวิตของเรานั่นเอง

ชั่วที่สุดคือระเบิดรบ ดีที่สุดคือระเบิดรัก

…คิดได้ตอนฟังเขาพูดเกี่ยวกับระเบิดในวิทยุเมื่อกี้ ฟังไปก็พิจารณาไป ระเบิดนี่มันชั่วจริง ๆ มันฆ่าเหมาหมดเลย จะดีจะเลว ถ้าอยู่ในรัศมีของมันก็ตายหมด สัตว์เล็กสัตว์น้อยก็ตายหมดเช่นกัน

ดูเป็นการแก้ปัญหาที่เรียกว่าไร้สติปัญญาที่สุดทางหนึ่ง เพราะไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ แถมยังสร้างเวรสร้างกรรมเพิ่มขึ้นมหาศาล มีเรื่องกับใครอย่างเลวที่สุดก็ควรจะกำหนดกรอบเบียดเบียนแค่คนนั้น แต่มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกนะ ขึ้นชื่อว่าคนพาลแล้ว มันจะมีอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลเสมอ

ระเบิดรบมันจึงชั่ว จึงเลว จึงโง่ไปตามขนาดของการเบียดเบียนของมัน เบียดเบียนมากก็โง่มาก เพราะการเบียดเบียนไม่นำความผาสุกมาให้อย่างแน่นอน

ส่วนระเบิดรักนั้นเหมือนจะกลับกันโดยสิ้นเชิง ถ้าระเบิดรักนี่ควรสร้างให้ใหญ่ ให้ระเบิดให้กว้าง ให้ยั่งยืนนาน และไม่ควรระบุเจาะจงเป้าหมาย

ในเรื่องความรักนี่ยิ่งระบุเป้าหมายมากเท่าไหร่ ก็เป็นความเห็นแก่ตัวมากเท่านั้น ชั่วเท่านั้น เลวเท่านั้น โง่เท่านั้น นั่นเพราะความรักหรือการเมตตาเกื้อกูลหวังประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น ยิ่งทำได้กระจายไกลได้มากเท่าไหร่ก็จะมีแต่ผลดีกระจายทั่วถึงไปเท่านั้น ถ้าจะกระจุกจะกลายเป็นชั่ว นั่นเป็นเพราะอัตตาทำให้เราเลือกที่รัก ระเบิดรบก็เช่นกัน อัตตาจะทำให้เราชัง

ผมว่าหลายคนก็คงจะมีทั้งสองอย่างในตนเอง พอชังใครก็จะไปตีทิ้งคุณค่าของเขาหมดเลย เหมือนระเบิดเขาทิ้งทั้งหมด จะดีจะเลว ทำลายไม่เหลือ ส่วนพอไปรักใครก็จะวนเวียนเสียเวลาอยู่กับคนนั้น มุ่งอยู่แต่กับคนนั้น โลกนี้มีกันแค่สองคน ฯลฯ กลายเป็นว่าชีวิตเกิดมามีโอกาสทำดีตั้งมากมายไม่ทำ มาเลือกสิ่งที่คิดว่าดีกับคนหน่วยเดียว

เปรียบเทียบไปเหมือนคนมีพื้นที่อยู่ร้อยไร่ สามารถปลูกอะไรก็ได้ แต่เขาไม่ทำ เขานำทรัพยากรทั้งหมดไปปลูก ข้าวโพดอยู่ต้นหนึ่ง รักและดูแลข้าวโพดต้นนั้นอย่างทะนุถนอม จริงอยู่ที่ว่าเขาจะได้ผลเป็นข้าวโพดในวันใดวันหนึ่ง แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเขาให้เวลากับการปลูกข้าวโพดหรือพืชอีกหลายชนิดในไร่ของเขา เรื่องความรักก็เช่นกัน การที่คนเอาความรักไปลงกับคนคนเดียว ก็เหมือนคนมีที่กว้างใหญ่ แต่ปลูกข้าวโพดต้นเดียวนั่นแหละ..

ระเบิดรบจะต้องลดจากเบียดเบียนมากไปสู่การไม่เบียดเบียนเลย ส่วนระเบิดรักนั้นจะต้องลดความเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่บุคคลอันเป็นที่รักไปสู่การเมตตาเกื้อกูลหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง จึงจะเป็นสิ่งที่ดี เป็นประโยชน์แก่ทุกชีวิต

[37] หลักการจ่ายตลาด

diary-0037-หลักการจ่ายตลาด

37. หลักการจ่ายตลาด

เวลาไปตลาด ผมจะมีกรอบความคิดในการจับจ่ายตามสิ่งที่คิดไว้ว่าจะศึกษา

ซึ่งก็อยู่ที่ว่าตอนนั้นอยากจะศึกษาอะไร หัวข้ออะไร ยกตัวอย่างเช่น ทำอย่างไรจึงจะใช้ชีวิตโดยมีค่าอาหารน้อยที่สุดแต่มีพลังมากที่สุดโดยที่ยังต้องพึ่งพาการจ่ายตลาดอยู่ ซึ่งก็เป็นหัวข้อที่กำลังศึกษาในตอนนี้ ซึ่งต่อไปอาจจะเป็น การเลือกซื้อพืชผักที่สะอาดปลอดภัย หรือ การเลือกซือสินค้ากับร้านค้าที่มีศีลธรรม หรือ การงดเว้นจากการสนับสนุนร้านค้าที่ไม่มีศีลธรรม

แน่นอนว่าบางหัวข้ออาจจะทำควบคุ่กันไปได้ แต่บางหัวข้อก็ไม่ได้ เช่นถ้าตั้งกรอบหัวข้อที่กำลังจะศึกษาว่า การดำรงชีวิตโดยพึ่งพาเฉพาะผักในสวน มันก็จะไม่ได้ไปตลาด หรือถ้าบอกว่าจะเน้นของถูกได้ปริมาณมาก แต่มันก็อาจจะไม่ได้คุณภาพและความปลอดภัย

โดยหลักการรวม ๆ ของการจ่ายตลาด คือต้องประหยัด เรียบง่าย มีคุณค่า ปลอดภัย แต่มันก็อาจจะแกว่งไปขาด ๆ เกิน ๆ บ้างตามหัวข้อที่กำลังศึกษา

ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือการทำประโยชน์ให้ชีวิต เพราะการซื้อหรือการกินสิ่งใดโดยไม่พิจารณาก่อนนั้นว่ามีประโยชน์หรือเป็นโทษ ซื้อหรือกินตามความอยาก ตามความเคยชิน หรือตามใจคนอื่น ผมว่ามันไม่เจริญ อย่างน้อยเราก็เสียโอกาสในการได้ความรู้ไป แต่ส่วนมากจะเสียโอกาสให้กิเลสทั้งนั้น