[7] วิวข้างทาง ระหว่างไปตลาด

diary-0007-วิวข้างทางระหว่างไปตลาด

7. วิวข้างทาง ระหว่างไปตลาด

ผมเห็นหลายคนเขาไปเที่ยว ไปหาประสบการณ์กันต่างถิ่นต่างแดน แต่ผมกลับรู้สึกว่าไม่ต้องไปไหนอีกแล้ว มันพอใจเท่าที่อยู่กันนี่แหละ

เพราะแค่ที่เห็นนี่มันก็ดีอยู่แล้ว มันลงตัวอยู่แล้ว เอาแค่วิวข้างทาง มองไปไกล ๆ ได้ มันก็สบายใจแล้ว ไม่อึดอัด

ส่วนที่เป็นธรรมชาติในบ้านเราก็สร้างของเราขึ้นมาเอง อยากให้สวย ให้ดี ให้มีประโยชน์แบบไหน เราก็สร้างมันขึ้นมาเอง ให้มันใช้งานได้ เป็นประโยชน์ ….วันหนึ่งคนเขาอาจจะคิดว่าที่เราอยู่เป็นสถานทีท่องเที่ยวก็ได้นะ …

[5] จุดไฟด้วยวัสดุต่าง ๆ

diary-0005-จุดไฟด้วยวัสดุต่างๆ

5. จุดไฟด้วยวัสดุต่าง ๆ

หลังจากที่มาเรียนรู้การประกอบอาหารด้วยฟืนหรือถ่าน ผมก็เรียนรู้การจุดไฟมาเรื่อย ๆ

ความเข้าใจเดิม ๆ ก็คือต้องมีขี้ใต้ มีวัสดุช่วยจุดไฟ ซึ่งถ้าในสถานการณ์ เช่น เดินป่าก็อาจจะเหมาะก็ได้ แต่นี่เราอยู่บ้านมันก็ไม่ต้องมีอะไรยุ่งยาก

ผมเริ่มเรียนรู้การจุดไฟจากเศษกระดาษเหลือใช้ ตั้งแต่การใช้กระดาษเยอะ ๆ จนเหลือเพียงกระดาษไม่กี่แผ่นก็ติดเตาได้

แล้วก็ทดลองใช้กิ่งไม้แทนกระดาษ ใช้เศษหญ้า เศษฟางแทนกระดาษ ลองใช้ไม้ฟืนที่ตัดเตรียมไว้แทน ก็พบว่าแทนกันได้ดี

ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อความยากง่ายในการติดไฟนั้นก็คือความชื้น เราควรเก็บเชื้อเพลิงของเราให้แห้งเข้าไว้จะง่ายต่อการจุดไฟ แต่ถ้าเปียกชื้นมันก็พอได้อยู่ แต่ต้องใช้เวลาและแรงมากหน่อยในการจะก่อไฟแต่ละครั้ง

[4] เก็บเศษไม้ ทำเชื้อเพลิง ทดแทนถ่าน

diary-0004-เก็บเศษไม้ทำเชื้อเพลง-*

4. เก็บเศษไม้ ทำเชื้อเพลิง ทดแทนถ่าน

ช่วงแรก ๆ ที่มาอยู่ที่นี่นั้น ผมจะใช้ถ่านเป็นหลักของเชื้อเพลิงในการทำอาหาร

แต่การได้มาซึ่งถ่านนั้นก็ยากเย็น ต้องขับรถออกไปซื้อจากชาวบ้าน แม้จะมีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับที่กรุงเทพฯ คือกระสอบละ 130-150 บาท แต่ก็ยังเป็นความไม่สะดวกในการจัดหาอยู่ดี

ต่อมา ผมเริ่มใช้กิ่งไม้เข้ามาเพื่อช่วยลดภาระ จนในที่สุดผมแทบจะไม่ได้ใช้ถ่านที่ซื้อมาเลย เรียกว่าแค่กิ่งไม้ที่มีในพื้นที่ก็ใช้กันไม่ทันเลยทีเดียว

ซึ่งตรงจุดนี้ก็สามารถลดค่าใช้จ่ายและความยุ่งยากจากการซื้อถ่านได้ แต่การมีถ่านสำรองไว้นั้นก็สามารถช่วยได้ในหลาย ๆ กรณีเช่น ไม่มีเวลาจัดหาฟืน ป่วย หรือทำอาหารประเภทเผา ย่าง ปิ้ง ควรจะใช้ถ่านมากกว่า เพราะฟืนจะมีควันค่อนข้างมาก ไม่เหมาะที่จะใช้กับอาหารที่ต้องกระทบกับความร้อนโดยไม่ผ่านเครื่องครัว

ถ้าเราไม่ต้องการซื้อถ่าน เราก็สามารถจะเผาถ่านเก็บไว้เองได้ แต่ในการเผาถ่านนี้ผมยังไม่ได้ทดลอง และหากไม่เผาถ่านก็สามารถจัดหาไม้มาตัดเป็นท่อน ๆ เตรียมสำรองไว้ได้เช่นกัน

[3] ถางหญ้า ได้ออกกำลัง ได้หญ้าคลุมดิน

diary-0003-ถางหญ้าได้ออกกำลัง

3. ถางหญ้า ได้ออกกำลัง ได้หญ้าคลุมดิน

หลังจากที่มาได้ไม่กี่วัน งานแรกที่ทำก็คือถางหญ้า เพื่อที่จะปลูกผัก

ในวันวันหนึ่งผมถางหญ้าได้ค่อนข้างเยอะ แต่จะไปเสียเวลากับการเตรียมแปลงผักมากกว่า เพราะต้องทำให้ดี ปลูกทีหนึ่งใช้ไปเป็นเดือน ไม่ก็หลายเดือน

ถางหญ้านี่ใช้เคียว จะไวมาก แต่ต้องระวัง ต้องมีสติ ไม่รีบ ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ทำไป เพราะถ้าโดนเคียวเกี่ยวทีก็คงจะเย็บกันหลายเข็มและหยุดงานไปอีกหลายวัน

หญ้าที่เกี่ยวมาได้ก็เอาไว้ยัดข้างแปลงผัก ทำเป็นร่องไว้ ตรงกลางเป็นดินพูน ๆ รอบ ๆ ก็เป็นร่องไว้ยัดหญ้า ฟาง ฯลฯ

จากที่ทดสอบมาก็ได้ผลดี คือเป็นอาณาเขตป้องกันหญ้าขึ้น ทั้งยังย่อยเป็นปุ๋ยให้ดินด้วย ที่สำคัญคือได้ใช้หญ้าให้เป็นประโยชน์ไม่มีอะไรเหลือทิ้งเลย

เกี่ยวหญ้านี่เป็นงานที่ทำได้ทั้งวัน ทำได้ไม่หยุด เพราะกินแรงไม่มาก แต่กินเรื่อย ๆ ต้องขยันดื่มน้ำหน่อย เพราะจะเสียน้ำไปโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะตอนทำงานกลางแดด

[2] พัดลมตัวแรก หลังจากผ่านมา 200 กว่าวัน

diary-0002-พัดลมตัวแรก

2. พัดลมตัวแรก หลังจากผ่านมา 200 กว่าวัน

พัดลมอันนี้เป็นพัดลม usb ซึ่งเหมาะกับที่บ้านนี้ใช้ไฟ 12v จากชุดโซล่าเซลล์ (เอามาแปลงเป็น usb ด้วยที่ชาร์จในรถ)

ตอนที่มาพัฒนาที่นี่แรก ๆ ผมเช่าบ้านเขาอยู่กว่าร้อยวัน ก็มีพัดลมให้ใช้ เพราะมีไฟฟ้าตามปกติ แต่พอบ้านที่สวนสร้างเสร็จ ก็ย้ายมาอยู่แบบไม่มีไฟฟ้า ต่อมามีโซล่าเซลล์ก็ยังไม่ได้ซื้อพัดลม

ก็อยู่แบบธรรมชาติมา 200 กว่าวัน ร้อนเย็นกันไปตามธรรมชาติ ก็มีลำบากนิดหน่อยตอนเย็นที่เลิกงานแล้วอาบน้ำเข้าห้อง คือมันมีความร้อนสะสมในร่างกาย อาบน้ำแล้วก็ยังเหงื่อออก พัดลมตัวนี้ก็เข้ามาช่วยตรงนี้ได้บ้าง

พัดลมตัวนี้ก็ไม่ได้ซื้อหรอก พอดีว่าแม่ซื้อมือถือใหม่ แล้วเขาแถมมาในชุดน่ะนะ เลยขอมาใช้

[1] ผ่านไปเกือบสามเดือน หญ้างามเหลือเกิน

diary-0001-ผ่านไปเกือบสามเดือน

1. ผ่านไปเกือบสามเดือน หญ้างามเหลือเกิน

ไม่ได้มาที่บ้านสวน(ที่ยังไม่เป็นสวนสักที) มาเกือบสามเดือน มาถึงก็พบว่า หญ้ารกมาก บางมุมก็สูงเกือบสองเมตร บังแปลงผักที่ทำไว้มิดเลย ก็ค่อยๆ ทำไป ถือว่าได้ปุ๋ยฟรี

เรื่องเก่า ๆ มีเวลาค่อยย้อนไปเขียนแล้วกันนะ เล่ากันตั้งแต่ปัจจุบันนี่แหละ เป็นไงมาไงก็ติดตามกันไป

สัตว์เลี้ยงดั่งลูกรัก

วันนี้ไปซื้อของที่ห้างหนึ่ง ก็เป็นห้างที่เขาเอาสัตว์เลี้ยงกันมาเยอะ ส่วนใหญ่ก็เป็นหมาละนะ

เห็นตั้งแต่คนที่เอาหมามาเดินเล่น เอาหมาใส่รถเข็น เอาหมามาอุ้มไว้บนตัก

ผมเห็นแล้วก็รู้สึก….จะว่าสงสารก็สงสาร ที่เขาขยันสร้างกรรมที่ผูกพันไว้กับสัตว์ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม สิ่งเหล่านั้นจะกลับมาผูกพันกับเราไม่รู้จบ

สัตว์นั้นคือเดรัจฉาน มีภูมิธรรมต่ำมาก ถึงจะเคยเป็นคนก็ต่ำจนเป็นสัตว์ได้นั่นแหละ นั่นหมายถึงเขาเหล่านั้นก็จะวนเวียนเจอกับสัตว์เดรัจฉานและคนเดรัจฉานที่พัฒนาขึ้นมาจากสัตว์

โดยเฉพาะรักเหมือนลูกนี่แหละ ตอนมันเป็นหมาก็ดูเหมือนจะน่ารักดี แต่พอมันเปลี่ยนมาเป็นคนแต่ภูมิธรรมเท่าเดิม ปัญญาเท่าเดิม นี่มันจะทุกข์หนักกันเลยทีเดียว คิดดูเถอะ สมัยนี้ก็มีให้เห็นอยู่เยอะ คนที่มีปัญญาเสมือนเดรัจฉานก็มี ต่ำกว่าเดรัจฉานก็มี

คนที่ไปยินดีในการอยู่กับสัตว์ก็หมายถึงจะต้องวนเวียนเจอกับความเป็นสัตว์ไปเรื่อย ๆ อยากเจอกับสัตว์แบบไหนก็คลุกคลีกับสัตว์แบบนั้น ผูกพันมากๆ กลายเป็นสัตว์ด้วยกันเลยก็ได้

ก็พิจารณาเอาว่าคลุกคลีผูกพันด้วยกรรมกับสัตว์เดรัจฉานกับสัตว์ประเสริฐอะไรมันจะทุกข์น้อยกว่ากัน… เพราะทุกข์นี่มันทุกข์แน่ถ้ายังผูก แต่ก็ต้องเลือกผูกหน่อย

ถ้าผูกกับสัตว์เดรัจฉานก็ทุกข์มากหน่อย ผูกกับสัตว์ประเสริฐก็ทุกข์พอจะกล้ำกลืนฝืนทนกันไป แต่ถ้าผูกกับโพธิสัตว์นี่เขาจะพาไปพ้นทุกข์เอานะ ก็ลองพิจารณากันดู อย่าไปผูกพันกับสัตว์เดรัจฉานนักเลย มันจะทุกข์มาก

ชังก็ช้า รักก็ช้า

วันนี้ออกไปเดินออกกำลังกายตอนเช้า หลังจากที่ไม่ได้เดินมานาน ระยะทางก็ไม่ไกล ไปกลับ 2 กิโลเมตร พอให้ได้ตื่นตัว

ผมเคยเดินแล้วเจอหมาบ้าง สนใจเราบ้าง ไม่สนใจเราบ้าง มันไม่สนใจเราก็ดี เราก็เดินต่อไป แต่ถ้ามันมาสนใจเรานี่สิ…

หมาที่เข้ามาขู่เรา มาเห่าเรา นี่ผมเคยเจอมาก่อนหน้านี้นิดหน่อย มันก็ตามเห่าเราอยู่นั่นแหละ ที่หนักกว่าคือวิ่งมาดักหน้า 3-4 ตัวแล้วรุมกันเห่า กันไม่ให้เราเดินไปต่อ ซึ่งไม่นานเจ้าของเขาก็มาไล่หมาไป แต่แบบวิ่งมากัดนี่ไม่เคยโดน

วันนี้เจอแบบใหม่ กระดิกหางมาแต่ไกล รู้เลยว่าแบบนี้ไม่กัด ไม่เอา ทำหน้าตาซื่อๆ เดินมาดมเท้าเรา เราก็ลดความเร็วลงเดินช้าๆ จะได้ไม่เตะมัน สักพักมันนึกคึก กระโดดๆ เล่นกับเราต่อ เราก็ไปไม่ได้ เพราะมันก็ดักหน้าเราไว้อีก ก็ต้องหยุดเดินกันนิดหนึ่งรอสบโอกาสแล้วค่อยเดินต่อ

พอเดินต่อไปไม่กี่ก้าว มันเรียกเพื่อนมาอีก เพื่อนมันก็สั่นหางตามมาเลย เรารู้แล้วว่าถ้าเดินช้านี่มันเล่นไม่หยุดแน่ เลยเดินเร็วหนีออกจากมันไป เพราะรู้แล้วว่ามันไม่กัดแน่ๆ

เดินไปก็คิดไป เออเนาะ มีคนชังเรามากเขาก็ดึงให้เราช้า มีคนรักเรามากเขาก็ดึงให้เราช้า ไอ้ชังก็ทนๆไป แต่รักนี่สิ มันมองเห็นยากนะ บางทีเราจะไปติดเมตตาเขามากจนเกินไป จนไม่ทันกิเลสตัวเองก็มี

เพราะชังนี่อาการมันชัด สังเกตุได้ง่าย แต่รักนี่มันเบากว่าบางกว่า แต่มันกัดกินแบบซึมลึก

เช้านี้ก็ได้มาเท่านี้ล่ะครับ

เก็บบ้าน

ตั้งแต่ช่วงต้นปีมานี้ ผมใช้เวลาส่วนมากในการเก็บของในห้องเพื่อบริจาค ซึ่งก็เคยบริจาคไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่พอมาเก็บครั้งนี้ ก็ยังรู้สึกว่า ยังเหลือเยอะอยู่ดี…

การเก็บห้องทำให้ผมรู้สึกว่า นี่เรายังเหลือกิเลสเยอะขนาดนี้เลยหรอ เรายังเสียดายสิ่งที่เราไม่ได้ใช้ขนาดนี้เลยหรอ นี่ขนาดขนไปรอบนึงแล้ว มาถึงรอบนี้ก็ยังเป็นงานที่ทำหลายวันอยู่

สิ่งที่จำเป็นต้องใช้จริงก็มีอยู่ แต่บางสิ่งก็เหมือนจะจำเป็นเหมือนจะไม่จำเป็น หนังสือบางเล่มก็ไม่จำเป็นต้องอ่านแล้ว บางทีก็ยังเก็บไว้ให้ตัวเองงงว่าเก็บไว้ทำไม -..-

นี่แค่เอาของออกยังลำบากขนาดนี้ และของๆเราก็จะไปเป็นภาระคนอื่นอีกทีหนึ่ง เป็นเพราะเราสะสมมามาก

ขนาดว่าหยุดสะสมมาสักพักแล้วยังรู้สึกว่ายังมีภาระมากมาย คิดย้อนไปสมัยที่เรายังไม่ได้ศึกษาธรรมะจริงจัง มันก็สะสมแล้วก็ไม่ได้คิดอะไร สะสมมาเรื่อยๆจนถึงวันที่พบธรรมจึงรู้ว่าการสะสมมันหนัก

การสะสมของว่าหนักแล้วแต่ก็ยังเอาออกง่าย ตายไปก็เอาไปไม่ได้ แต่สะสมกิเลสนี่มันหนักหนาสาหัส เอาออกไม่ได้ง่ายๆ ตายไปก็ยังติดตามไปด้วย คิดแล้วเหนื่อยจริงๆ

ก็พยายามลดสะสมทั้งของทั้งกิเลสกันไป จะได้เอาเวลามากำจัดมันออกบ้าง จะได้เบาๆ

หนึ่งปีผ่านไป ไวเหมือนโกหก

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่าช่วงเวลานี้เมื่อปีที่แล้วพึ่งผ่านพ้นไปได้ไม่นาน ไม่เคยคิดเลยว่ากาลเวลาจะผ่านไปเร็วขนาดนี้

วันนี้ไปจ่ายภาษีรถ เป็นกิจกรรมที่ทำปีละครั้ง แต่รู้สึกเหมือนมันพึ่งผ่านมาไม่นาน ทั้งๆที่จริงแล้วมันผ่านมาตั้งหนึ่งปีแล้ว ทำให้เริ่มรู้สึกว่า แต่ละปี แต่ละปีนั้นผ่านไปไวกว่าที่คิด

เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปไว ก็คิดว่าตัวเองน่าจะเร่งทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้มากขึ้น ลดกิจกรรมที่ไม่เป็นประโยชน์ลง เพราะอีกไม่นานก็คงจะเข้าวัยรุ่นตอนปลาย แล้วก็แก่ แล้วเฒ่า

หนึ่งปีไวขนาดนี้ สิบปีก็คงจะไวเหมือนกัน ไม่แน่ว่าร้อยปีก็อาจจะรู้สึกเช่นนี้ก็ได้ ถ้าอยู่ได้ถึงร้อยปีก็อาจจะเข้าใจก็ได้นะ แต่ตอนนี้เอาปัจจุบันให้เป็นประโยชน์ก่อนแล้วกัน