ขายธรรมะปลอมก็ยังมีคนยินดีซื้อ

ยุคนี้เป็นยุคตลก เป็นยุคที่คนต้องควักเงินซื้อธรรมะ แล้วเชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านั้นทำให้พ้นทุกข์ได้จริง ซึ่งธรรมะกับทุนนิยมมันถูกรวบเข้ามารวมกันได้ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน

ซึ่งมันกลับหัวกลับหางกับที่พระพุทธเจ้าสอนหมดเลย พระพุทธเจ้าท่านสอนฟรี สอนให้เป็นคนมักน้อย กล้าจน ไม่โลภมาก แต่สังคมทุกวันนี้มีผู้อ้างตนว่าเป็นอาจารย์รู้นั่นรู้นี่แล้วเปิดคอร์สสอนเรียกเก็บเงินเก็บทองมากมาย จนเรียกได้ว่ามันคือพุทธพาณิชย์ในอีกรูปแบบหนึ่ง (พวกที่แอบอ้างหลักคำสอนพุทธมาหากิน หาประโยชน์ใส่ตน โดยมีความโลภ โกรธ หลงเป็นแรงผลักดัน)

แต่ก่อนในสังคมเราก็จะมีพวกโน้มน้าวให้บริจาคแล้วสะกดจิตว่า รวย! รวย! รวย! แต่ตอนนี้มีพวกที่เหนือชั้นกว่านั้น คือเปิดคอร์สธรรมะหรือหลักสูตรทำให้มีความสุข พ้นทุกข์ …หรืออะไรก็ตามแต่จะตั้งชื่อ ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งชื่อเสียง

เอาธรรมะมาเป็นสินค้ามันก็ผิดในตัวเองอยู่แล้ว มันทำให้ธรรมนั้น ๆ เปรอะเปื้อน ธรรมะและความผาสุกมันควรจะฟรีสิ มันควรจะเข้าถึงได้ทุกฐานะสิ

ส่วนตัวผม สำหรับคนที่ช่วยคนแล้วเก็บเงินผมไม่คบ จะไม่ไปเกี่ยวข้องใด ๆ หรือแม้จะใกล้ ๆ คล้าย ๆ ธรรมะ เช่นสอนให้คนพอเพียง สอนให้พึ่งตัวเองได้ แต่ก็ยังไปเก็บเงินเขา นี่มันย้อนแย้งนะ คนที่พึ่งตัวเองได้จะไปเก็บตังคนอื่นทำไม พึ่งตัวเองได้มันก็เหลือแต่แบ่งปันคนอื่นเท่านั้นแหละ มันไม่มีเหตุจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องไปเอาจากคนอื่นเลย นั่นแสดงว่าเขายังพึ่งตนไม่ได้ ยังพอเพียงไม่ได้ ยังต้องขายความรู้เพื่อแลกเอาเงินจากคนอื่นมาอยู่เพื่อดำรงชีวิตหรือดำเนินกิจการของตน

จะว่าแปลกก็แปลก เขาเอาธรรมะปลอมมาขายแพง ๆ ก็ยังมีคนซื้อ ก็ยังมีคนสนับสนุน ดีไม่ดียกให้เป็นครูบาอาจารย์ ผู้รู้หรือนักปราชญ์อีก จะว่าไม่แปลกก็ไม่แปลก มันก็เป็นธรรมดาของกึ่งพุทธกาล มันก็บ้า ๆ บอ ๆ แบบนี้แหละนะ

หลงนานเท่าไหร่ หาทางกลับนานกว่านั้น

วันนี้คุยกับเพื่อนในประเด็นกรรมและเวลาส่งผลในการหลงผิด ว่าคนที่เขาหลงผิดเนี่ย กว่าเขาจะสำนึกแล้วกลับมาปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์ได้ต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่

ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เหมือนเราเปิดร้านของชำอยู่ข้างทาง มีคนขับรถมาถามทาง แต่แล้วเขาก็ขับไปผิดทาง ไปผิดแยก ไปตรงข้ามกับที่เราบอกเลย ทีนี้กว่าเขาจะกลับมาได้นี่ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ก็เท่าที่เขาขับหลงไปนั่นแหละ แต่ถึงจะรู้ตัวก็ใช่ว่าจะกลับได้ทันทีนะ ถ้าขับรถไปต่างจังหวัดแล้วขับผิดทาง กว่าจะเจอยูเทินนี่ก็ต้องไปต่อหลายกิโลเมตรเลย

กลับมาที่ตัวอย่างใกล้ตัว อย่างที่เห็นกันว่าผมจะเผยแพร่ธรรมะที่พาไปสู่ความโสดอย่างเป็นสุข แล้วที่นี้มีคนมาอ่านแล้วเขาไม่เชื่อ เรื่องอื่นเขาอาจจะเคยศรัทธา เคยเชื่อ แต่เรื่องนี้เขาไม่เอา เขาก็ไปนู่นเลย ไปมีแฟน ไปแต่งงาน ก็ปฏิบัติตรงข้ามกันเลย มีแฟนว่าหลงไกลแล้ว แต่งงานนี่ไกลลิบ ๆ ไม่เห็นแม้แต่เงา ถ้ายังหลงอยู่ มันก็จะไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ มีลูกมีหลาน ไกลออกไปอีก ทีนี้จะกลับมามันไม่ง่ายแล้ว ชีวิตมันมีภาระแล้ว แค่ผัวเมียก็เป็นภาระหนักแล้ว มีลูกมีหลานนี่ยิ่งหนักหนา จะกลับมาปฏิบัติแบบตัวเบา ๆ นี่ไม่ได้แล้ว จะมีกำแพง มีอุปสรรคขวางกั้น นานเท่าไหร่น่ะหรอ? ก็นานเท่าที่ทำมา และหนักเท่าที่ทำใจไว้ผิดนั่นแหละ

แต่คนที่เขาหลงแล้วมาเจอเรานี่ต่างกันนะ คนไม่เคยได้ฟังแล้วหลงมาก็มี นั่นเขารับวิบากมาแล้ว ต่างจากคนที่ฟังแล้วไปผิดทาง วิบากกรรมมันจะต่างกัน

อย่างใครตามอ่านบทความที่ผมพิมพ์เกี่ยวกับเรื่องความรักเรื่องคนโสดแล้วชัดว่าโสดดีกว่า เลิศกว่า ประเสริฐกว่า แต่กลับไปทำตรงข้ามนั่นแหละ จะยิ่งช้า นาน ไกล ห่างเหิน ทุกข์สะสมหนักนาน แต่ถึงจะทุกข์แสนสาหัสแล้วสำนึกมันจะออกหรือหลุดพ้นไม่ได้ง่าย ๆ เพราะวิบากมันกันไว้ กันไว้เท่าไหร่ก็เท่าที่หลง หนักเท่าไหร่ก็เท่าที่ทำใจไว้ผิด รวมกับกรรมชั่วที่ทำมาด้วยกันกับคู่ครอง และวิบากกรรมเก่าที่เสริมเติมดอกเบี้ยเข้ามาให้ทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อน หลงไปปีสองปี อย่าคิดว่าจะหลุดพ้นได้ทันที มันก็ต้องทนทุกข์ไปอีกปีสองปีหลังสำนึกผิดเป็นอย่างน้อยนั่นแหละ

เปรียบเทียบง่าย ๆ กับความเห็นที่หลายคนชอบยกมาว่ามีคู่ดีมันก็ดี จริง ๆ มันไม่ดี เพราะจับมือกันควงคู่ก็คือการพากันลงต่ำแล้ว ต่ำแค่ไหนก็แล้วแต่กิเลสจะนำพา ทีนี้ตอนกลับก็เหมือนกับต้องปีนขึ้นมาจากขุมนรกนั่นแหละคุณ ตอนแรกมันหลงไง นึกว่านรกเป็นแดนสวรรค์เขาก็จูงมือกันไป แล้วกว่าจะปีนกลับขึ้นมาจุดเดิมได้นะ คือจุดที่เป็นโสดนั่นแหละ ยากแสนสาหัสเลย เพราะคู่ก็คอยฉุดรั้งไว้ ลูกก็คอยฉุดรั้งไว้ สังคมก็คอยฉุดรั้งไว้ ให้วนเวียนทุกข์ในนรกคนคู่นั่นแหละ

อ่านถึงตรงนี้แล้ว ใครจะลองลงนรกไปศึกษาก็ไม่ว่ากัน

คนโสด กับคนที่ประพฤติตนเป็นโสด ไม่เหมือนกันนะ

ถ้าคนโสดเฉย ๆ นี่มันไม่แน่ชัดเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าปลายทางจะยังโสดอยู่หรือจะหลงไปมีคู่

แต่คนที่ประพฤติตนเป็นโสด นี่ปลายทางคือมุ่งไปสู่ความโสดอย่างผาสุกแน่นอน เพราะอย่างน้อยก็รู้แล้วว่าการอยู่เป็นโสดนั้นดีกว่ามีคู่เป็นไหน ๆ ส่วนจะล้มลุกคลุกคลานพ่ายแพ้ให้กับกิเลสตกหลุมพรางคนคู่ไป นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

การจะบอกว่าคนโสดมีบุญ หรืออะไรต่อมิอะไรนั้น มันต้องมีความประพฤติที่เป็นไปเพื่อความโสดด้วย มันถึงจะเรียกว่าคนมีบุญได้ ส่วนโสดไปวัน ๆ โสดรอเสพ โสดโหยหวน โสดพวกนี้เรียกโสดมีบาป คือยังมีกิเลสอยู่ ยังมีอุปาทานยึดว่า การมีคู่ครองนั้นดี

สรุปจะโสดแบบพ้นทุกข์ต้องสร้างองค์ประกอบเพื่อให้ตัวเองได้โสด ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ผู้ตั้งใจประพฤติตนเป็นคนโสด เขารู้กันว่าเป็นบัณฑิต ส่วนคนโง่ฝักไฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง.(พุทฺธ) ขุ. สุ. ๒๕/๔๙๔., ขุ. มหา. ๒๙/๑๘๖.

อายุขัยของพระโพธิสัตว์

ได้ฟังครูบาอาจารย์วิเคราะห์เรื่องอายุขัยของพระโพธิสัตว์ในการเรียนพระไตรปิฎกที่ผ่านมา ผมก็สรุปความได้ว่า อายุขัยของพระโพธิสัตว์ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบในโลก เช่น องค์โคตมะ เกิดใกล้กลียุค ท่านก็มีอายุ 80 ปี ส่วน องค์ศรีอริยฯ เกิดในยุคที่คนอายุ 80,000 ปี (คนทำดีมากและไม่ทำชั่วเลยอายุยืน) ท่านก็อายุ 80,000 ปี ….แล้วท่านก็บอกว่าถ้าเราทำชั่ว ครูบาอาจารย์จะอายุสั้น แม้ตนเอง สัตว์อื่น ฯลฯ ก็จะอายุสั้น

ผ่านมาอีกวัน ระหว่างเดินทางไปทำธุระก็มาคิดทบทวนว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น (อาจจะฟังไม่ครบเลยไม่ได้ยินว่าทำไม เลยต้องมานั่งคิดเอง…)

ก็คิดได้ว่า … ก็น่าจะเพราะพระพุทธเจ้าไม่มีอัตตา เลยไม่มีความอยากเพื่อตน ก็คงเหลือแต่เฉพาะการคงอยู่เพื่อที่จะทำประโยชน์แก่ผู้อื่น สัตว์อื่น ฯลฯ นั่นก็หมายความว่า เหตุปัจจัยที่จะมีผลต่ออายุขัยของท่าน ไม่ใช่ตัวท่านเอง แต่เป็นผู้อื่น สัตว์อื่น ฯลฯ

นั่นหมายถึงพระโพธิสัตว์ทั้งหลายน่าจะประเมินการตั้งอิทธิบาท(การทำให้มีอายุยืน) ตามองค์ประกอบของโลก …แต่ส่วนที่ท่านจะประเมินอย่างไรผมก็ไม่อาจรู้ได้ ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงสมมุติฐานเท่านั้น

เมื่อเห็นดังนั้นผมก็ได้ทดสอบสมมุติฐานนั้นในฐานของตัวเอง ซึ่งธุระในครั้งนี้ก็เป็นกิจกรรมในหมู่คนดีอยู่พอดี ก็เลยทดลองปล่อยชีวิตไปตามกรรม (กุศลกรรม) ว่ากรรมนั้นจะพาไปทางไหน เขาจะให้ไปเจอใคร ได้คุยกับใคร ให้กลับกับใคร ให้ไปนั่งรถคันไหน แล้วเขาจะพาไปไหน ก็ลองไปกับเขาดู ซึ่งก็พิจารณาในขีดที่เป็นกุศล ดีเราก็ไป ไม่ดีเราก็ไม่ไป แต่ถ้าอยู่กับหมู่คนดี ความเห็นส่วนใหญ่ของเขาก็ไปทำดีทั้งนั้น

สรุปว่าลองแล้ว ใจมันก็สบายดีนะ ดีกว่าไปวางแผนนั่นนู่นนี่ แต่แผนตั้งต้นน่ะมีอยู่ คือถ้าเขาไม่ชวนเราให้ไปกับเขา เราก็นั่งรถเมล์กลับบ้านเอง แต่พอเขาชวนเราก็เอาแผนเดิมของเราทิ้งไปแล้ววางแผนใหม่ไปเรื่อย ๆ ตามองค์ประกอบใหม่ที่มันเข้ามาสังเคราะ์ตามเวลาที่เปลี่ยนไป

กลายเป็นว่าวันนี้ได้สิ่งดีมากกว่าการตัดสินใจกลับบ้านเองอีก ได้ฟังเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรมเขาคุยกัน เล่าสภาวะกัน ได้ฟังครูบาอาจารย์สอน ฯลฯ

…วางใจมันก็ดีเหมือนกันนะ นี่แค่ทำได้นิดเดียวนะเนี่ย เสี้ยวเดียว แว่บเดียว แต่ระดับผู้ที่หมดอัตตา ท่านน่าจะได้เจอกับสภาพนี้ตลอดเวลา ผมก็เริ่มรู้สึกว่าสภาพนั้นมันน่าได้น่าเป็นน่ามีเหมือนกันนะนี่

การอยู่โดยไม่เอาอัตตาเป็นตัวตั้ง ไม่มีความเอาแต่ใจแม้ในช่วงหนึ่งก็สุขมากแล้ว ก็ทำให้เข้าใจว่า อ๋อ..การปล่อยให้การคงอยู่ของเราสังเคราะห์ไปกับสังคมสิ่งแวดล้อมมันเป็นแบบนี้นี่เอง

มันก็เลยทำให้เกิดความเข้าใจเรื่องอายุขัยของพระโพธิสัตว์เพิ่มขึ้นมานิด ๆ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ในระหว่างเรียนค่ายพระไตรปิฎกที่ผ่านมา ก็ได้ยินเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม กล่าวถึงการขอเอาครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งบ้าง ขอเอาหมู่กลุ่มที่ปฏิบัติธรรมเป็นที่พึ่งบ้าง ฯลฯ

ผมได้ฟังแล้วก็ประทับใจ เมื่อเห็นรอบของศรัทธาที่เจริญขึ้น มีความรักตั้งมั่นและหยั่งลงเป็นสภาพที่นิ่งขึ้น ไม่หวั่นไหว ไม่ส่ายไปมา ทำให้ผมนึกถึงประโยคในบทสวดที่ว่า “สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ” คือ ขอเอาสงฆ์ เป็นที่พึ่ง

สงฆ์ในความหมายของศาสนาพุทธคือผู้ที่มุ่งปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนเกิดมรรคผลลดจนถึงดับกิเลสได้จริง จะเป็นฆราวาสก็ได้ นักบวชก็ได้

โดยทั่วไปคนก็มักจะไม่ได้เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งหรอก เขาก็เอาผัวเอาเมียเอาลูก ไม่ก็ทรัพย์สินเงินทอง วัตถุข้าวของ เกียรติ ศักดิ์ศรี ฯลฯ เป็นที่พึ่ง แต่คนที่มีศรัทธามากมีปัญญามาก จะรู้เลยว่าเอาสิ่งเหล่านั้นเป็นที่พึ่งไม่ได้ มันไม่มั่นคงไม่แน่นอน แปรเปลี่ยนเป็นเหตุให้ทุกข์ได้เสมอ

เมื่อผมได้ยินว่าเขาเหล่านั้น ตั้งจิตเอาครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งบ้าง ขอเอาหมู่กลุ่มที่ปฏิบัติธรรมเป็นที่พึ่งบ้าง ฯลฯ ผมก็รู้เลยว่าเขาจะมุ่งไปสู่การพ้นทุกข์ในวันใดก็วันหนึ่งแน่นอน และจะเจริญมากขึ้นตามศรัทธาที่แนบแน่น ทุติยัมปิ(แม้ครั้งที่สอง…) ตะติยัมปิ(แม้ครั้งที่สาม…) แข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่หวั่นไหวต่อโลก เป็นศรัทธาที่ตั้งมั่น พากเพียรปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จนเจริญไปถึงระดับที่ไม่มีวันหวนกลับจะไปเอาสิ่งอื่นใดนอกจากพุทธะ ธรรมะ สังฆะ มาเป็นที่พึ่งทางใจอีกต่อไป

มิจฉาธรรมในเรื่องคนคู่

เป็นเรื่องที่มีภัยต่อสังคมค่อนข้างมาก พอ ๆ กับพระอลัชชีเลยทีเดียว แต่มันละเอียดแนบเนียนกว่ามาก

มีผู้ตั้งตนเป็นผู้รู้หลายคน กล่าวถึงเรื่องความรัก แต่ก็มักจะไม่พ้นการวนเวียนอยู่ในภพคนคู่ คือสื่อสารออกมาแล้วสื่อในลักษณะที่ไม่ทำให้คลายกำหนัด ไม่ทำให้ปล่อยวางความอยากมีคู่ ซ้ำยังไปเพิ่มอุปาทานว่าต้องเลือกคู่ดีแบบนั้นแบบนี้จึงจะดี มีคู่แบบนั้นแบบนี้มีได้ ไม่ผิด อะไรแนว ๆ นี้

ผมจะขีดเส้นแบ่งชัด ๆ ให้ คือ พูดให้คนเลิกหลงอยากมีคู่ กับพูดให้คนหลงอยู่ในการมีคู่ ซึ่งมันจะเป็นสัมมาทางหนึ่ง มิจฉาทางหนึ่ง แต่ในส่วนสัมมานั้นจะมีอนุโลมอยู่ คือถ้ามันจะไปมีให้ได้ มันหื่นกระหายใคร่อยากจนทนไม่ไหวแล้ว อกมันจะแตกตายแล้ว ก็ให้เลือกคู่ที่ชั่วน้อยที่สุด คือมีศีลเป็นคุณสมบัติหลัก คือแพ้กิเลสอย่างไรให้เจ็บน้อยที่สุด จะไม่มีมาเชิดหน้าชูตาอวดคู่หรอก จะอาย จะหลบ จะไม่แสดงตัวตนมากนัก อันนี้คือหิริ ของผู้ที่มีความเห็นถูกอยู่บ้าง ส่วนพวกเห็นผิดนี่ปฏิบัติธรรมหาคู่แล้วเอามาโชว์กันออกหน้าออกตาเฉยเลย

ผมเห็นหลายคนเขาแสดงธรรมที่ผิดเหล่านี้แล้วก็สงสาร จริง ๆ เห็นมานานแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคิดว่ากรรมใครกรรมมัน แต่ตอนนี้มันชักจะไม่ไหว ผมว่าถ้าปล่อยไปมันจะดึงคนดีให้หลงไปหมด มันจะมีแต่คนทุกข์ เขาไม่ได้สร้างความฉิบหายให้ตนเองคนเดียว เขายังลากคนอื่นไปเห็นผิดอย่างเขาด้วย

ซึ่งก็เคยมีประสบการณ์ตรงเหมือนกัน คือเพื่อนที่ศึกษาด้วยกันมาเขาจะไปมีคู่ แต่ตอนที่เขาจะไปมีคู่ คือไปแต่งงานนั่นแหละ เขาไม่ปรึกษาเราสักคำ เขาไปปรึกษานักบวชที่เขาศรัทธา แล้วไงล่ะ สุดท้ายก็ไปแต่งงาน มันก็หล่น ก็เสื่อมไปแบบนั้น ราศีหมดเลยนะ พระพุทธเจ้าตรัสเล่าไว้เกี่ยวกับต้นกำเกิดของคนว่า จากที่เคยมีจิตบริสุทธิ์ผ่องใส แต่พอหลงไปกินง้วนดินเท่านั้นแหละ ราศีหายเลย แล้วไปมีคู่นี่ไม่ต้องห่วง หนักหนากว่ากินง้วนดินเยอะ

นี่ถ้าเขาเกาะกลุ่มกันไปเขาจะรอด แต่เขาไม่เลือกทางนี้ เขาเลือกทางอื่น เขาเลือกที่จะไปฟังธรรมที่ไม่ฉุดรั้งเขา ไม่ขัดเกลาเขา ส่งเสริมกิเลสเขา เขาก็เลยได้ไปสู่คติที่เขาอยากไป ไปอยู่ในภพที่เขาอยากอยู่

ผมเห็นแบบนี้แล้วก็เสียดายคนดี ทั้ง ๆ ที่มีภูมิธรรมเก่ามาเป็นทุนอยู่แล้ว แต่กลับต้องเสียเวลาหลงทางไปอีกชาติ อาจจะเป็นเพราะผมปล่อยวางมากไปก็ได้ อาจจะเป็นเพราะผมไม่เอาภาระก็ได้ อาจจะเป็นเพราะผมห่วงตัวเองมากไปก็ได้

เพราะการที่ผมจะเอาภาระตรงนี้ มันจะเกิดการกระทบมาก เอาง่าย ๆ คือมีศัตรูมากขึ้น เพราะธรรมมันจะขัดกันอย่างชัดเจน แล้วมันก็จำเป็นต้องชี้แจงว่าเขาผิดอย่างไร นั่นหมายถึงมีโอกาสที่เขาจะไม่พอใจ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้อยากมีศัตรูหรอกนะ แต่ก็เห็นใจคนที่กำลังหลงในมิจฉาธรรมในเรื่องคู่ เรื่องอื่นผมอาจจะไม่เก่ง แต่เรื่องคนคุ่หรือความรักนั้นผมมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะตีแผ่ความจริงว่าสิ่งไหนผิด สิ่งไหนถูกได้

อย่าพึ่งรีบเชื่อใคร อย่าพึ่งรีบเชื่อผมเช่นกัน ให้ลองศึกษาและพิจารณาเปรียบเทียบเอา ก่อนที่ท่านจะพลาดพลั้งไป เพราะถ้าพลาดเรื่องคู่แล้ว มันอาจจะล็อกไปทั้งชาติเลย มันออกยาก ดีไม่ดีหลงไปอีกหลายชาติเลย

อันที่จริง ผมก็อยากให้คนที่เผยแพร่มิจฉาธรรมในเรื่องความรักเขาหยุดเผยแพร่นั่นแหละ จะขยันสร้าง content ไปมันก็จะยิ่งหลง เป็นวิบากบาปเท่านั้น แต่จะไปบอกเขาอย่างไรได้ ในเมื่อเขาสำคัญตนว่าเป็นผู้รู้ ผมก็เลยคิดว่าสุดท้ายผมก็ต้องนั่งพิมพ์แก้ไขความเห็นเหล่านั้นแล้วเผยแพร่ให้คนพิจารณาเองนั่นแหละ

ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็คงไม่สำคัญ เพราะถ้าผมได้ทำแล้วมันก็ดีแล้ว คนมีภูมิธรรมเขาอ่านแล้วเขาน่าจะเอาประโยชน์ได้ มันช่วยไม่ได้ทุกคนหรอก แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าที่ผมรู้แล้วไม่ได้เอาความรู้นั้นไปทำประโยชน์ให้ใคร (ทั้ง ๆ ที่สามารถทำได้)

เจอตอบนทางธรรม

วันก่อนผมเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ตระหนักถึงภัยอันน่ากลัว คือผมเดินไปสะดุดกระดานรองเขียนที่วางไว้ที่พื้น กระดานนั้นมันมีสีน้ำตาลเหมือนสีพื้น แม้มันจะสูงกว่าพื้นไม่มากนัก แต่มันก็ไม่ใช่พื้น และเราก็ไม่ทันสังเกต เราไปเห็นว่ามันเป็นพื้น สุดท้ายก็เลยสะดุดมัน

ก็ทำให้คิดว่า บนเส้นทางธรรมนี่ก็เป็นเส้นทางที่น่ากลัวเหมือนกัน ประมาทไม่ได้ และประมาทใครก็ไม่ได้ คนที่ไม่มีสติจะไม่ทันสังเกตความแตกต่าง คนไม่มีปัญญาจะไม่รู้ว่าแตกต่างกันอย่างไร

คนที่หันมาปฏิบัติธรรมแรก ๆ ส่วนมากจะมีความอ่อนน้อม เพราะรู้ตัวว่ายังไม่เก่ง แต่พออยู่นานเข้า ศึกษาและปฏิบัตินานเข้า ก็จะเริ่มเก่งและอัตตาก็จะเริ่มโต พออัตตาโตสายตามันก็จะเริ่มสั้น เริ่มมองเห็นไม่ชัด เห็นได้แต่ใกล้ ๆ คือเห็นสำคัญแต่ตัวตนของตนเอง แต่มักไม่เห็นความสำคัญในผู้อื่น

พอมองไม่ชัด มันก็เผลอ ก็พลาด ก็เลยเกิดเป็นสภาพชนตอ ทีนี้พออัตตาจัดแล้วชนตอ มันจะไม่รู้ตัวว่าชนตอ รู้แต่เจ็บ รู้แต่ทุกข์ แต่ไม่รู้ว่าชนอะไร ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็ชนไปแล้ว

หายนะอย่างหนึ่งของผู้ปฏิบัติธรรม คือการเพ่งโทษกันในหมู่คนดี กรรมเหล่านั้นจะให้ผลเช่น หลง เสื่อม เจ็บ ตาย ฯลฯ ซึ่งจะมีความรุนแรงไปตามตัวแปรคือบุคคลที่ไปเพ่งโทษ เรื่องที่ไปเพ่งโทษ และระยะเวลาที่ยังไม่ได้แก้ความเห็นผิดนั้น ๆ

ผมเคยเห็นผู้ที่ทำกรรมนี้มาแล้ว คือทำดีมาแทบตาย สุดท้ายชนตอ แล้วตอใหญ่ด้วย แต่ตัวเองไม่เห็น ไม่สำคัญว่านั่นคือตอ ชนทีเดียวตายเลย

ผมจึงต้องคอยตรวจสอบและระวังตัวเองให้มาก ไม่ให้สบประมาทใคร ไม่ให้เพ่งโทษใคร ไม่ให้อัตตาครอบงำจนสายตาสั้นหรือตาบอดมองไม่เห็นตอนั้น เพราะทันทีที่ผมพลาด ชีวิตผมก็คงจะล่มจมและฉิบหายด้วยผลแห่งกรรมนั้น ๆ

แม้จนถึงปัจจุบัน ผมก็ยังต้องตรวจจิตตัวเองซ้ำแล้วซ่ำเล่าว่ายังดีอยู่ไหม ยังมีความเห็นที่ถูกตรงสู่การพ้นทุกข์อยู่ไหม หรือมันเบี้ยว มันเอนออก เราตรวจสอบกับเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว เขาให้ความเห็นอย่างไร เขายังเห็นว่าเรายังดีอยู่ไหม ก็ต้องตรวจทั้งตนเองและให้ผู้อื่นตรวจ

ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วได้ผลที่ถูกตรงนั้นน่ากลัวเหมือนอสรพิษ ที่ว่าน่ากลัวไม่ได้หมายความว่าท่านเหล่านั้นจะมาทำร้ายเรา แต่น่ากลัวเพราะถ้าเราจะพลาดไปคิดพูดทำไม่ดีต่อท่าน นั่นหมายถึงเราได้สร้างความฉิบหายในระดับที่เรียกว่าโดนงูพิษกัดก็ยังน้อยไปให้ชีวิตของเรานั่นเอง

ชั่วที่สุดคือระเบิดรบ ดีที่สุดคือระเบิดรัก

…คิดได้ตอนฟังเขาพูดเกี่ยวกับระเบิดในวิทยุเมื่อกี้ ฟังไปก็พิจารณาไป ระเบิดนี่มันชั่วจริง ๆ มันฆ่าเหมาหมดเลย จะดีจะเลว ถ้าอยู่ในรัศมีของมันก็ตายหมด สัตว์เล็กสัตว์น้อยก็ตายหมดเช่นกัน

ดูเป็นการแก้ปัญหาที่เรียกว่าไร้สติปัญญาที่สุดทางหนึ่ง เพราะไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ แถมยังสร้างเวรสร้างกรรมเพิ่มขึ้นมหาศาล มีเรื่องกับใครอย่างเลวที่สุดก็ควรจะกำหนดกรอบเบียดเบียนแค่คนนั้น แต่มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกนะ ขึ้นชื่อว่าคนพาลแล้ว มันจะมีอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลเสมอ

ระเบิดรบมันจึงชั่ว จึงเลว จึงโง่ไปตามขนาดของการเบียดเบียนของมัน เบียดเบียนมากก็โง่มาก เพราะการเบียดเบียนไม่นำความผาสุกมาให้อย่างแน่นอน

ส่วนระเบิดรักนั้นเหมือนจะกลับกันโดยสิ้นเชิง ถ้าระเบิดรักนี่ควรสร้างให้ใหญ่ ให้ระเบิดให้กว้าง ให้ยั่งยืนนาน และไม่ควรระบุเจาะจงเป้าหมาย

ในเรื่องความรักนี่ยิ่งระบุเป้าหมายมากเท่าไหร่ ก็เป็นความเห็นแก่ตัวมากเท่านั้น ชั่วเท่านั้น เลวเท่านั้น โง่เท่านั้น นั่นเพราะความรักหรือการเมตตาเกื้อกูลหวังประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น ยิ่งทำได้กระจายไกลได้มากเท่าไหร่ก็จะมีแต่ผลดีกระจายทั่วถึงไปเท่านั้น ถ้าจะกระจุกจะกลายเป็นชั่ว นั่นเป็นเพราะอัตตาทำให้เราเลือกที่รัก ระเบิดรบก็เช่นกัน อัตตาจะทำให้เราชัง

ผมว่าหลายคนก็คงจะมีทั้งสองอย่างในตนเอง พอชังใครก็จะไปตีทิ้งคุณค่าของเขาหมดเลย เหมือนระเบิดเขาทิ้งทั้งหมด จะดีจะเลว ทำลายไม่เหลือ ส่วนพอไปรักใครก็จะวนเวียนเสียเวลาอยู่กับคนนั้น มุ่งอยู่แต่กับคนนั้น โลกนี้มีกันแค่สองคน ฯลฯ กลายเป็นว่าชีวิตเกิดมามีโอกาสทำดีตั้งมากมายไม่ทำ มาเลือกสิ่งที่คิดว่าดีกับคนหน่วยเดียว

เปรียบเทียบไปเหมือนคนมีพื้นที่อยู่ร้อยไร่ สามารถปลูกอะไรก็ได้ แต่เขาไม่ทำ เขานำทรัพยากรทั้งหมดไปปลูก ข้าวโพดอยู่ต้นหนึ่ง รักและดูแลข้าวโพดต้นนั้นอย่างทะนุถนอม จริงอยู่ที่ว่าเขาจะได้ผลเป็นข้าวโพดในวันใดวันหนึ่ง แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเขาให้เวลากับการปลูกข้าวโพดหรือพืชอีกหลายชนิดในไร่ของเขา เรื่องความรักก็เช่นกัน การที่คนเอาความรักไปลงกับคนคนเดียว ก็เหมือนคนมีที่กว้างใหญ่ แต่ปลูกข้าวโพดต้นเดียวนั่นแหละ..

ระเบิดรบจะต้องลดจากเบียดเบียนมากไปสู่การไม่เบียดเบียนเลย ส่วนระเบิดรักนั้นจะต้องลดความเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่บุคคลอันเป็นที่รักไปสู่การเมตตาเกื้อกูลหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง จึงจะเป็นสิ่งที่ดี เป็นประโยชน์แก่ทุกชีวิต

ชั่วที่ร้ายกว่าชั่ว คือชั่วโดยไม่รู้ว่าชั่ว

ช่วงนี้มีข่าวลวงคนไปเที่ยวต่างประเทศแล้วปล่อยเกาะ อันนี้คนก็พอเห็นความจริงได้ง่ายว่าคนที่เราเชื่อใจ ยอมโอนเงินให้ ยอมลำบากจัดกระเป๋าเดินทางมารอเพื่อจะไปกับเขานั้น เป็นคนดีจริงหรือคนชั่ว

แต่มันก็ไม่ง่ายที่จะรู้ มันต้องทุกข์ก่อนมันถึงจะเห็นธรรม แต่ที่ทุกข์แล้วไม่เห็นธรรมมันก็มี คือโง่ซ้ำโง่ซ้อน จะไปว่าเขาไม่เห็นก็ไม่ใช่ เขาก็เห็น แต่มันเป็นระดับ 0.00000000….1% อะไรแบบนี้ ก็เก็บรอบปัญญากันไป วันไหนเต็ม 100% ก็เห็นธรรมเอง

ที่แบบรู้ง่ายนี่มันก็ชั่วประมาณหนึ่ง แต่มีที่ยิ่งกว่าตัวอย่างที่ยกมาอีก เช่น ลัทธิหนึ่งขายบุญขายสวรรค์ คนก็ยังหลงไปซื้อ นี่หลักการเดียวกับขายทัวร์ปล่อยเกาะเลย แต่มันรู้ได้ยากกว่า ซับซ้อนกว่า คนก็เลยหลงไปเยอะเหมือนกัน จากข่าวที่เขาลวงคนแล้วข่าวเขาประมาณมาว่าได้เงินไปหลายสิบล้าน เมื่อเทียบกับลัทธินี้แล้วกระจอกไปเลย เขาลวงคนได้เยอะกว่านั้น เป็นพันเป็นหมื่นล้านนู่น หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้

แต่กระนั้นมันก็รู้ได้ไม่ยาก มันก็พอดูออกได้ แต่ไอ้ที่ชั่วแบบที่ล้ำลึกสุด ๆ เรียกว่ามีโอกาสได้เจอกันเกือบทุกคน คือ คู่รัก นี่แหละ ร้ายกว่าทัวร์ปล่อยเกาะ ร้ายกว่าลัทธิขายบุญ เขาหลอกคนได้เนียนมาก หลอกให้ทุ่มเทเวลา แรงกายแรงใจไปให้ เกิดมาชาติหนึ่งแทนที่จะมีอิสระทำความเจริญให้ชีวิตมาก ๆ กลับเอาเวลามาเสียให้กับตรงนี้ แล้วหลงไปมองว่ามันเป็นความเจริญเสียอีก เอาเข้าไป

หลายคนเกิดมาก็รอดจากความโลภในระดับที่เขาเอาของมาล่อได้ หรือไม่ก็รอดจากความหลงที่เขาเอามิจฉาธรรมมาล่อได้ แต่ไอ้ที่จะรอดจากคู่รักนี่มันยาก หลายคนมาดี ๆ เลยนะ กำลังเข้าทางธรรม กำลังเจริญ ไป ๆ มา ๆ เดี๋ยวก็โดนตัวเวรตัวกรรมฉุดลงนรกเหมือนเดิม(อีกชาติ) เหมือนตัวเงินตัวทองลากไก่ลงไปกินในน้ำประมาณนั้น ไก่โดนลากไปกินนี่มันตกใจ มันทุกข์นะ แต่คนโดนฉุดลงนรก ไปมีคู่ ส่วนมากเขาไม่ทุกข์นะ เขามีความสุขด้วย คิดดูสิ ไก่โดนตัวเงินตัวทองลากไปกินในนี้แล้วมีความสุข ดีใจ สงบร่มเย็น มันมีที่ไหน มันไม่มีหรอก มันเพี้ยน

ก็หลงกันไปแบบนี้ จึงทำชั่วโดยไม่รู้ว่าชั่ว คนที่เขาเชื่อว่าจะไม่ถูกลวงเที่ยวแล้วปล่อยเกาะ เขาก็ไม่รู้ของเขา คนที่เขาเชื่อว่าซื้อบุญได้จริง เขาก็ไม่รู้ของเขา คนที่เขาเชื่อว่ามีคู่เป็นสุขจริง เขาก็ไม่รู้ของเขา

สามตัวอย่างที่ยกมา หลงเหมือนกันหมดเลยครับ แต่มีความหยาบความละเอียดต่างกันเท่านั้นเอง

ยอมก่อนชนะ กอดชัยชนะ=แพ้

ความโหดในสมรภูมิคนดีไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าความยึดมั่นถือมั่น

การเอาตัวรอดในหมู่ผู้ที่พยายามปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์ แค่รักษาตนเองไม่ให้ไปเพ่งโทษ ดูถูก ปรามาสใครก็ยากแล้ว เรียกว่าพิงเชือกรอหมดยกต่อเวลาไปได้ก็แทบจะหืดขึ้นคอ

เพราะในความเป็นจริงนั้นไม่ง่าย อัตตามันจะผลักดันให้ออกไปชกอยู่เรื่อย แน่นอนว่าถ้าชกก็มีแพ้มีชนะ

เมื่อคนดีเจอกัน มันจะมีความเห็นที่ดีทั้งสองฝั่ง อาจจะต่างองค์ประกอบบ้างในบางประเด็น ทีนี้ปัญหามันอยู่ที่จะยึดดีรึเปล่า

เหมือนกับการเล่นเกม ที่พลัดกันวางไพ่ คนหนึ่งยื่นความคิดเห็นมา อีกคนก็ยื่นความคิดเห็นกลับ จะวางไพ่ทบกันไปกันมากี่ชั้นก็ได้ แต่ถ้าสุดท้ายไม่ถอย ก็แบกวิบากทั้งหมดเท่าความเห็นที่ได้เสนอกัน

ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. คุยกับนาย ข. เรื่องหนึ่ง ให้ความเห็นกันไปกันมา ว่าความเห็นของตนดี และทั้งคู่ไม่วางดี สุดท้ายไม่มีใครยอมใคร จบลงด้วยความโง่เท่าเดิม และโกยวิบากบาปในการไม่ฟังอีกฝ่ายเข้าตัว ซึ่งอาจจะเจอโจทย์เดิมอีกหลายชาติ คือเจอคนแบบเดิม ๆ เถียงกันแบบเดิม ๆ วนเวียนไปจนกว่าจะฉลาดขึ้นกว่าเดิม จึงจะพ้นได้

อีกตัวอย่างเช่น นาย ก. บอกนาย ข. ว่าสิ่งที่นาย ข. ทำนั้นไม่ดี ไม่ถูกตรง แม้นาย ข. จะรู้ว่านาย ก. ยังไม่เข้าใจเหตุผลทั้งหมดที่นาย ข. ทำ แต่เมื่อ ข. เห็น ก. ให้ความเห็นมาในลักษณะฟันธง เป็นเชิงแนะนำ ไม่ใช่คำถาม ข. จึงรับฟังและปล่อยวาง

ผลคืออะไร? ผลคือ ข. เลิกจองเวร แต่ ก.นี่ไม่แน่ แต่ที่แน่ ๆ คือ ก. โง่เท่าเดิม เพราะไม่ได้ฟังข้อมูลจาก ข. และมีโอกาสเข้าใจผิด จนเป็นเหตุให้เกิดการดูถูก เพ่งโทษ ฯลฯ

ตัวผมเองจะใช้ลักษณะของนาย ข. วัดภูมิของคนในเบื้องต้น เพราะถ้าเป็นคนยอมก่อนนี่ก็ถือว่าน่าสนใจแล้ว แต่ในการยอมมันก็มีรายละเอียดซึ่งต้องศึกษากันต่อไป

ส่วนลักษณะแบบ ก. ผมก็ใช้วัดภูมิเหมือนกัน ก็แล้วแต่ว่าจะวัดในขั้นไหน ถ้าเจอแบบ ก. ถ้าไปไม่ได้ก็อุเบกขาไป แต่ถ้าพอจะอธิบายได้ก็อธิบาย แต่นั่นก็หมายถึงการวางไพ่เพิ่มขึ้นไป การเสนอความเห็นกลับไปไม่ได้หมายความว่าเขาจะรับได้ บางทีจากที่เขาจะได้วิบากบาป 1 หน่วย เราเพิ่มข้อมูลให้เขา สุดท้ายตอนจบเขาวางใจไม่ได้ กลายเป็นเขาได้วิบากบาปเพิ่มอีกหลายหน่วย ตามข้อมูลที่เราให้ได้ไป เขาทำใจในใจไม่ได้ สิ่งที่เราให้กลายเป็นโทษกับเขาก็มี

ดังนั้น เราจึงควรยอมก่อน เพราะรู้เรานี่มันรู้ง่ายกว่า รู้เขานี่มันยาก มันประเมินไม่ได้หรอกว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ บางทีเขาถามเราก็จริง แม้สุดท้ายเขาฟังเรา เขาก็อาจจะไม่พอใจในเหตุผลของเรา แล้วแย้งมา เราก็ต้องประมาณให้อัตตาเขาไม่ขึ้นมาก ไม่ต้องไปบอกหมด ถ้าพูดอธิบายแล้วกิเลสเขาขึ้นก็ไม่ต้องพูด กำไรนิดเดียว แต่ขาดทุนย่อยยับมันไม่คุ้ม

เช่นเดียวกันตอนที่เราเสนอความเห็นเพิ่มให้เขาไป แล้วเขาเห็นแย้งมา เราจะทำใจในใจตามได้ไหม เราจะวางความยึดมั่นถือมั่นของเราได้ไหม เราวางไม่ได้ เราก็รับวิบากบาปหมดกองก่อนหน้านี้โกยเข้าตัว เพราะมันไม่แน่หรอกว่าที่เขาเห็นแย้งมันจะไม่ดีเสียทีเดียว และถึงมันจะดีหรือไม่ดีมันไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคืออัตตาเราขึ้นรึเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าเราไม่ยึด อัตตาเราก็ไม่ขึ้น ถึงเขาจะแนะนำมาผิด เราก็จะมีปัญญาใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นได้ จะเอามาปรับใช้ หรือจะวางไพ่กลับไป เพื่อช่วยเขาก็แล้วแต่จะประมาณให้เป็นกุศล ส่วนที่เขาแนะนำถูกนี่มันไม่ยาก ถ้าคนทำใจในใจตามเป็นจะรู้ว่าเขาแนะนำถูก คือถูกกิเลสเรา พอเรารู้ เราก็แก้ไข เป็นกำไรทั้งคู่ ไม่ต้องประมาณอะไร แค่ฟังแล้วนำมาปฏิบัติตาม

ผมว่าเรื่องนี้เข้าใจยากนะ อธิบายก็ยาก แต่ก็อยากบันทึกและนำเสนอไว้ ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์อยู่ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่ต้องเผชิญการกระทบกับผู้คน