ขายธรรมะปลอมก็ยังมีคนยินดีซื้อ

ยุคนี้เป็นยุคตลก เป็นยุคที่คนต้องควักเงินซื้อธรรมะ แล้วเชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านั้นทำให้พ้นทุกข์ได้จริง ซึ่งธรรมะกับทุนนิยมมันถูกรวบเข้ามารวมกันได้ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน

ซึ่งมันกลับหัวกลับหางกับที่พระพุทธเจ้าสอนหมดเลย พระพุทธเจ้าท่านสอนฟรี สอนให้เป็นคนมักน้อย กล้าจน ไม่โลภมาก แต่สังคมทุกวันนี้มีผู้อ้างตนว่าเป็นอาจารย์รู้นั่นรู้นี่แล้วเปิดคอร์สสอนเรียกเก็บเงินเก็บทองมากมาย จนเรียกได้ว่ามันคือพุทธพาณิชย์ในอีกรูปแบบหนึ่ง (พวกที่แอบอ้างหลักคำสอนพุทธมาหากิน หาประโยชน์ใส่ตน โดยมีความโลภ โกรธ หลงเป็นแรงผลักดัน)

แต่ก่อนในสังคมเราก็จะมีพวกโน้มน้าวให้บริจาคแล้วสะกดจิตว่า รวย! รวย! รวย! แต่ตอนนี้มีพวกที่เหนือชั้นกว่านั้น คือเปิดคอร์สธรรมะหรือหลักสูตรทำให้มีความสุข พ้นทุกข์ …หรืออะไรก็ตามแต่จะตั้งชื่อ ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งชื่อเสียง

เอาธรรมะมาเป็นสินค้ามันก็ผิดในตัวเองอยู่แล้ว มันทำให้ธรรมนั้น ๆ เปรอะเปื้อน ธรรมะและความผาสุกมันควรจะฟรีสิ มันควรจะเข้าถึงได้ทุกฐานะสิ

ส่วนตัวผม สำหรับคนที่ช่วยคนแล้วเก็บเงินผมไม่คบ จะไม่ไปเกี่ยวข้องใด ๆ หรือแม้จะใกล้ ๆ คล้าย ๆ ธรรมะ เช่นสอนให้คนพอเพียง สอนให้พึ่งตัวเองได้ แต่ก็ยังไปเก็บเงินเขา นี่มันย้อนแย้งนะ คนที่พึ่งตัวเองได้จะไปเก็บตังคนอื่นทำไม พึ่งตัวเองได้มันก็เหลือแต่แบ่งปันคนอื่นเท่านั้นแหละ มันไม่มีเหตุจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องไปเอาจากคนอื่นเลย นั่นแสดงว่าเขายังพึ่งตนไม่ได้ ยังพอเพียงไม่ได้ ยังต้องขายความรู้เพื่อแลกเอาเงินจากคนอื่นมาอยู่เพื่อดำรงชีวิตหรือดำเนินกิจการของตน

จะว่าแปลกก็แปลก เขาเอาธรรมะปลอมมาขายแพง ๆ ก็ยังมีคนซื้อ ก็ยังมีคนสนับสนุน ดีไม่ดียกให้เป็นครูบาอาจารย์ ผู้รู้หรือนักปราชญ์อีก จะว่าไม่แปลกก็ไม่แปลก มันก็เป็นธรรมดาของกึ่งพุทธกาล มันก็บ้า ๆ บอ ๆ แบบนี้แหละนะ