การประสบความสำเร็จในชีวิต

อ่านกระทู้เกี่ยวกับความหมายของการประสบความสำเร็จในชีวิต โดยมากก็หมายถึงการมีกินมีใช้อย่างมั่นคง ซึ่งในความหมายทางโลก คือ รวย นั่นแหละ

แต่ในมุมของผม ก็มีส่วนคล้ายกับเขาอยู่บ้าง คือมีกินมีใช้อย่างมั่นคง แต่ต่างกันตรงที่ผมจะปฏิบัติไปในทิศทางที่ “จน” คือเป็นคนจนที่มีกินมีใช้ไม่มีวันหมด(อาจจะขาดพร่องบ้างในบางช่วง แต่ค่ารวม ๆ โอเค) แต่แค่มีกินมีใช้ไม่มีวันหมดก็ไม่อาจเรียกได้เลยว่า ประสบความสำเร็จในชีวิต

ผมรู้สึกว่าความรวยด้วยทรัพย์ บริวาร(สามี ภรรยา ลูกหลาน ญาติมิตร สหาย) นั้นไม่มั่นคง อาจจะเพราะเป็นมุมมองที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็ก ความรวยต้องพยายามสร้าง บริวารต้องพยายามประคอง ผมว่ามันเหนื่อย สร้างความมั่นคงในความจนนี่มันง่ายกว่า จะเหนื่อยก็เหนื่อยแค่ใจ เพราะต้องปฏิบัติไปเพื่อการสละ ลด ละ เลิก สิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย จนพัฒนากลายเป็นคนจนที่กินน้อยใช้น้อยแต่ทำงานให้สังคมมาก สละออกมาก เอามาให้กับตัวน้อย ก็เป็นคนที่มีกำไร บุญกุศลที่ได้ทำ ก็ส่งผลให้มีกินมีใช้ไม่หมดตามผลกรรมของมันเอง

ลาภ สักการะ บริวาร ก็มีไว้เพียงเพื่อดำเนินกิจกรรมกุศล ไม่จำเป็นต้องพยายามสร้างหรือรับมาจนล้น จนเป็นภัยแก่ตนเอง แต่คนในโลกส่วนใหญ่เขาไม่เป็นเช่นนั้น เขาไม่พอเพียง เขาต้องรวยมาก ๆ โด่งดังมาก ๆ มีตำแหน่งสูง ๆ มีบริวารเยอะ ๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าต้องเสพอีกเท่าไหร่ถึงจะทุกข์จนพอใจ เพราะความจริงโลกธรรมนี่มันพาทุกข์นะ ได้มากก็ทุกข์ ได้น้อยก็ทุกข์ ถ้าปล่อยตัวปล่อยใจหมุนวนไปกับโลกธรรมนี่ยังไงมันก็ต้องทุกข์ สู้พยายามปฏิบัติให้อยู่เหนือโลกธรรมไม่ได้ อันนั้นมั่นคงกว่า ยั่งยืนกว่า สุขกว่า

ส่วนในเรื่องการประสบความสำเร็จในชีวิต ผมมองว่าถ้าเราสามารถเป็นคนที่ไม่ต้องประสบความสำเร็จอะไรเลย แม้เกิดเหตุการณ์ที่ทำอะไรไปก็ล้มเหลว ไม่เป็นที่นิยม พัง ไม่ยั่งยืน เจอแต่ปัญหาแล้วใจไม่ทุกข์ นี่ก็เรียกว่าประสบความสำเร็จแล้วล่ะ เพราะเป้าหมายในชีวิตผมคือฝึกใจไม่ให้ทุกข์ ถ้าใจเป็นสุขเมื่อได้ดั่งใจ เป็นที่นิยม สมหวัง เจริญรุ่งเรือง ฯลฯ มันจะไปยากอะไร มันไม่ต้องฝึกด้วยซ้ำ คนเขาก็เป็นกันไปทั่ว

ในวันนี้ก็ยังไม่เป็นคนที่ประสบความสำเร็จตามที่หวังเท่าไหร่ ซึ่งมันก็ยากและมันก็ไกล จินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่าถึงตอนนั้นมันจะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่มันก็เป็นเป้าหมายหนึ่งที่น่าตั้งจิตไว้พิชิตมัน

ราคะจัด พาฟุ่มเฟือย

ช่วงหลัง ๆ มานี่เห็นโฆษณาร้านอาหารทางเฟสบุคบ่อย ส่วนใหญ่ก็เป็นบุฟเฟ่ต์ ซึ่งราคามันสุดแสนจะแพง

ถ้าตามสามัญสำนึกของคนเมืองรายได้ปานกลางทั่วไป มื้อละ 299 ก็คงจะไม่แพงเท่าไหร่นัก แต่สมัยนี้มันมีเด็ดกว่านั้น มื้อละ 500-1500 จนกระโดดไปมื้อละหลายพันจนหลักหมื่น

จริง ๆ แล้วคนเรากินข้าวให้เก่งแค่ไหนก็ได้แค่อิ่ม ผมลองคิดดูว่าไปสั่งอาหารตามสั่งข้างทางกินเต็มอิ่มก็คงเต็มที่แค่ 2-3 จาน คงไม่เกิน 150

ค่าอาหารวันหนึ่ง 150 สำหรับผมมันก็แพงมากอยู่แล้ว เพราะทุกวันนี้เฉลี่ยต่อวันค่าอาหารก็ประมาณ 20 บาท แล้วส่วนที่เกินจากนั้นคือค่าอะไร ?

ชีวิตปกติในอดีตผมอาจจะกินวันละเป็น 100 แต่พอมาศึกษาการอยู่ง่ายกินง่ายค่าใช้จ่ายมันก็ถูกลงเหลือเฉลี่ยวันละ 20 แล้วส่วนต่าง 80 บาทที่หายไปคืออะไร?

มันคือค่าของราคะ ที่เราเคยจ่ายไปนั่นเอง มีราคะมากก็จ่ายมากแปรผันตามกันไป จริงอยู่ที่ว่าค่าครองชีพบางที่อาจจะแพง บางคนทำงานห้างก็ต้องกินในห้างอันนั้นยกไว้ แต่เรามามุ่งเน้นกันที่ในเมื่อเราเลือกอิ่มได้ ทำไมเรายังเลือกอิ่มที่แพงมากกว่าอิ่มที่ถูกกว่า ซึ่งมันก็อิ่มเหมือนกัน ตกลงจะเอาอิ่มท้องหรืออิ่มราคะกันแน่

การกินอาหารแพง ๆ ในสายตาของผม ไม่ได้มองว่าเป็นสิ่งที่หรูหรา มีศักยภาพหรืออำนาจที่จะได้มา แต่มันคือราคะที่จัดและแรงกล้า…ดังนั้นเวลาที่มีคนอวดว่าได้กินของเขาว่าดี(และแพง) ผมไม่เคยอิจฉาเลย ในทางกลับกัน ผมล่ะสงสารเขาสุดหัวใจ เพราะเขาไม่รู้ว่าราคะนี่แหละมันร้าย และมันร้ายลึกด้วย คือมันมีโทษที่ไม่ชัด ลึกล้ำกัดกินใจ และเป็นกิเลสที่ล้างยากแสนสาหัสที่สุดตัวหนึ่ง และเขาเอามาอวดมันก็แพร่เชื้อราคะต่อ ๆ กันไปอีก เป็นวิบากร้ายที่ทำทับถมกันไปเรื่อย ๆ

ในสังคมที่พยายามโชว์ว่าตนได้ตนเสพสมใจในสิ่งที่มันแพงนี่แหละ เหมือนกับการแก้ผ้าโชว์ว่าข้ามีราคะจัด …ก็ว่ากันไปตามประสาโลก