วัดคนกันก็ตอน “ติ” นี่แหละ

correct
ภาพจากเพจ IdeaSpot (facebook)

ผมมีวิธีแยกคนโดยพื้นฐานนะ คือถ้าได้คบหากันมาประมาณหนึ่งแล้ว บางครั้งเราจะลองประมาณคำพูดกับเขา ซึ่งคำที่ประมาณนี่คือคำติ คำชมส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหาหรอก อย่างมากชมไปเขาก็ลอย เดี๋ยวเขาก็ไปแก้ของเขาเอง แก้ไม่ได้ก็ติดโลกธรรมต่อไป แต่มันไม่มีวิบากร้ายต่อกันมากเท่าคำติ เพราะติมากไปเขาก็จะโกรธ ดีไม่ดีเขาดูถูกเรากลับอีก

ตอนตินี่มันจะวัดเลยว่าเขาแข็งแกร่งพอที่จะรับความเห็นที่แตกต่างไหม? เพราะคำตินี่มันต่างจากที่เขาคิดและทำอยู่แล้ว ถ้าผ่านก็ขึ้น ถ้าไม่ผ่านก็ลง ตรงกลางไม่มีหรอก มันมีกระบวนการสั้น ๆ อยู่ คือ ๑.เราติไปเขายินดีรับฟังไหม ๒.เขาฟังแล้วทำใจในใจลงไปถึงที่เกิดในสิ่งที่เราติไหม (เหตุแห่งสัมมาทิฏฐิ ๒)

ถ้าติแล้วมีอาการ ไม่ยินดีฟัง เฉไฉ แถ ข่มกลับ ฯลฯ ผมจะไม่ต่อแล้ว เพราะทำต่อไปไม่มีประโยชน์ เราแหย่แล้วเขาไม่เอา ก็เว้นวรรคไว้สักพักเลย จะเดือนหรือปีหรือชาติหน้า ค่อยประมาณกันใหม่อีกทีตามเหตุปัจจัย

หรือพวกฟังแล้วเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา คือตอนฟังน่ะดูดีเชียว แต่ไม่เข้าถึงใจ คือไม่เข้าใจว่าต้องไปแก้ไขตรงไหน ตรงไหนที่เป็นปัญหาที่เขาติ พวกนี้ก็จะดูอาการไปสักระยะ ถ้าไม่ไหวก็ปล่อย

จริง ๆ ผมเป็นคนติหนัก ติแรง ติตรงนะ ไม่ค่อยชอบอ้อม ชอบตรงประเด็นชัด ๆ ทีเดียว ถ้าไม่แก้ก็ตายไปเลยแล้วกัน แต่จะไปทำอย่างนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์ ทำไปก็ตายเปล่า ก็เลยไม่เคยติใครขนาดนั้นสักที อีกอย่างคือทำไปมันมีวิบากนะ ไม่ใช่ไม่มี เราก็ต้องประมาณด้วยว่าจะได้วิบากเป็น + หรือ – ถ้าเสี่ยงไปเราก็ไม่ติ ปล่อยไปก่อน ตามเวรตามกรรม ถ้ารู้สึกพอไหวก็ลองติ แต่ถ้าติแล้วไม่ไหวก็ถอย

การที่ผมติเนี่ย ถือว่าผมเคารพคนที่ผมกำลังติอยู่นะ เพราะผมประเมินว่าเขารับไหว แต่ถ้าคนถูกติจะประเมินผมต่ำ ไม่ฟังคำติผม หรือข่มผมกลับ ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ผมรู้ตัวเดี๋ยวผมก็เลิกติเอง ผมไม่กล้าติคนที่ไม่อยากฟังหรอก

คนชั่วที่คิดว่าตนเองทำดีนี่แหละ ชั่วที่สุด

วันนี้คุยกับเพื่อนในประเด็นที่ว่าแบบไหนจะชั่วกว่ากัน คือคนชั่ว กับคนดีที่แอบชั่ว ก็สรุปกันออกมาได้ว่าคนดีที่แอบชั่วนี่แหละร้ายลึกชั่วช้าหนักนาน… เพราะคนชั่วทั่วไปนี่มันพอจะป้องกันได้ง่ายนะ แก้ไขได้ง่าย หรือคนที่รู้ว่าตัวเองชั่วก็สามารถที่จะเจริญได้เช่นกัน

แต่คนชั่วที่คิดว่าตัวเองดีนี่มันไม่มีทางไปเลยนะ มืดแปดด้าน มันจะเมาดีลวง ๆ ที่ตนเองทำอยู่นั่นแหละ แถมยังเอาดีสอดไส้ชั่วไปหลอกกันเองอีก ในวิบาก ๑๑ ประการที่เพ่งโทษพระอริยะมีอยู่ข้อหนึ่งคือ หลงว่าบรรลุธรรม เอาแบบโลก ๆ คือหลงว่าตัวเองดี ตัวเองมีดี ตัวเองกำลังทำดี คือเข้าใจผิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิด พูด ทำอยู่นั้นดี….ทั้งที่จริงมันชั่ว

แล้วจะแก้ได้ยังไง ก็ต้องอาศัยคำติจากคนดีนี่แหละ เขาติมาเราก็ฟังแล้วนำไปแก้ไขในส่วนที่ผิดพลาดไป แต่คนที่หลงว่าตนดีนั้นไม่ค่อยจะยอมฟังใครเขาติหรอก ก็ตัวเองคิดว่าตนดีตนถูก แล้วมันจะไปฟังใครอีกละ เขาติมาก็ว่าเขาผิดหมดนั่นแหละ ตัวเองถูกอยู่คนเดียว เพราะตนเองเป็นคนดี ดีไม่ดีไปด่าเขากลับอีก …เอาเข้าไปคนดี(ปลอม ๆ )

คนดีที่ดีแท้จะเห็นความชั่วในตนเองแล้วมุ่งล้างความชั่วนั้นให้หมด และจะเห็นชั่วที่ลึกและละเอียดขึ้นตามกำลังที่มี คือจะเห็นแบบที่คนอื่นไม่เห็น คนอื่นเขาไม่เห็นว่าชั่ว แต่เรารู้ชัด ๆ เลยว่าทำแบบนี้มันชั่ว มันเบียดเบียน มันไม่เป็นประโยชน์ตนเองและผู้อื่น

จะรู้ได้อย่างไร? ก็ตามระดับของศีลนั้นแหละ ถ้าศึกษาศีลตามลำดับจะรู้เองว่าอะไรดีอะไรชั่ว แต่ถ้าไม่ศึกษาก็ไม่รู้หรอก เพราะเรื่องแบบนี้คิดเอาก็ไม่ได้ ฟังเอาก็ไม่เข้าใจ ทำหน้างง ไอ้ที่เขาพูดมานี่มันชั่วยังไงหนอ…

จึงสรุปว่าคนที่ยังเห็นว่าตนเองชั่วอยู่ ยังผิดพลาด ยังต้องแก้ไขอยู่ ก็ยังดีกว่าคนที่หลงว่าตนเองเป็นคนดี ดึงดันทำแต่ความดีแบบที่ตนเองเข้าใจโดยไม่ฟังคำติของใครเลย