Cyber bully กรณีศึกษา กระแสน้ำปัสสาวะรักษาโรค

เคยได้ยินคำนี้มาสักพัก จากในเฟสบุคนี่แหละ ก็มีเพจดัง ๆ ที่เขาพากันต่อต้านเจ้า Cyber bully หรือการไปขยี้ ขยำ ย่ำ เหยียดผู้ที่ตนเห็นว่าจะสามารถข่มได้

ผู้ที่โดน Cyber bully มักจะเป็นผู้ที่ตกเป็นข่าว หรือเรื่องที่ตกเป็นข่าว แม้เป็นถึงระดับคนใหญ่คนโตของประเทศก็หนีไม่พ้น

Cyber bully เป็นสภาพที่แสดงความตกต่ำของจิตวิญญาณแบบหนึ่ง ซึ่งโดยปกติในชีวิตแล้ว การที่ใครสักคนหนึ่งจะไปแสดงอาการ ท่าทาง วาจาที่ไม่ดีตีต่ออีกฝ่ายนั้น มักจะไม่เกิดบ่อยนัก แต่ในโลก social สังคมแคบลง การสื่อสารไวขึ้น ทำให้เกิดการแสดงออกบ่อยขึ้น คือปกติกิเลสเหล่านั้นก็มีอยู่แล้ว แต่พอมีช่องทางให้แสดงออก ให้ปล่อยออก มันก็ไหลออกมาโดยธรรมชาติของกิเลสที่จะแส่หาสิ่งใด ๆ มาเสพ ในกรณี ของ Cyber bully ภาพรวมก็คือความสะใจที่ได้ข่ม ได้แสดงออก ได้แสดงตัวตน ได้อวดความรู้ ได้แสดงตนว่าเป็นผู้ปราบมาร เป็นต้น.

Cyber bully มักจะเกิดจากสาเหตุหนึ่ง คือความเห็นต่าง และมีองค์ประกอบ คือมีผู้นำที่จะถล่ม ความเห็นต่างนั้น ๆ เชื่อไหมว่าตัวตั้งตัวตี ที่เคยเห็นว่าไม่สนับสนุน Cyber bully กลับเป็นตัวตั้งตัวตีที่มีส่วนในการโน้มน้าวผู้ที่เห็นต่าง ให้มาแสดงพฤติกรรม Cyber bully

จากกรณี กระแสน้ำปัสสาวะรักษาโรค ซึ่งผมก็อยู่ในห้อง มหัศจรรย์น้ำปัสสาวะบำบัดฯ ตามที่เป็นข่าวและรู้กันโดยมากว่านี้คือห้องที่รวบรวมผู้ใช้น้ำปัสสาวะบำบัดมาแลกเปลี่ยนความรู้กัน

แต่เมื่อเกิดกระแสข่าวในสังคมขึ้นมา สมาชิกใหม่จำนวนมาก ก็สมัครเข้ามาในกลุ่ม แต่เขาไม่ได้สมัครเข้ามาเพื่อจะศึกษา จากที่สังเกตุดูมาระยะหนึ่ง โดยมากจะเข้ามาเพื่อแสดงทัศนคติที่แตกต่างของคน ซึ่งจะมีน้ำหนักไปที่การเหยียดหยาม ดูถูก ชิงชัง รังเกียจ หรือนั่นก็คือลักษณะหนึ่งของ Cyber bully

ซึ่งจริง ๆ แล้ว การเห็นต่างไม่ได้หมายความว่าต้องมาทำการ Cyber bully หรือต้องไปขยำ ขยี้ผู้ที่เห็นต่าง แต่อย่างใด พระพุทธเจ้าตรัสว่าบัณฑิตมีการไม่เพ่งโทษเป็นกำลัง เมื่อบัณฑิตหรือผู้มีปัญญา รับทราบถึงความแตกต่าง ย่อมไม่เพ่งโทษ ถือสา หรือเบียดเบียนทำร้ายใคร

ต่างจากคนพาลซึ่งมีการเพ่งโทษเป็นกำลัง หมายถึง เมื่อคนพาลได้ที คือเข้าใจว่าตนดีกว่า ตนเหนือกว่า ซึ่งอาจจะเป็นความเข้าใจที่ถูกหรือผิดก็ตาม คนพาลจะเพ่งโทษความเห็นอื่น ๆ ที่แตกต่างจากตน พาลน้อยก็เพ่งโทษในจิต พาลมากก็ออกทางวาจา ในกรณีของ Cyber bully ก็เป็นขีดพาลมาก และพาลที่สุดคือทางกาย คือทำร้ายร่างกายกัน

ในกรณีของผู้ที่ทำการเสี้ยม หรือทำสื่อให้คนอาการอยากจะขยี้ ขยำฝ่ายอื่นด้วย กาย วาจา ใจ เช่น ถ่ายคลิปออกมาเพื่อที่จะแสดงความถูกต้อง และข่มผู้อื่นในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะถูกหรือจะผิดในเชิงของความรู้ แต่ถ้าทำให้คนเกิดอคติ ความเกลียด ความชัง หรือทะเลาะกัน ก็เป็นบาป ผู้ที่ทำสื่อ ก็เป็นผู้นำคนทำบาป วิบากบาปก็จะมาก เพราะเป็นเหตุในการเบียดเบียนที่มาก

ในการแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกใด ๆ ก็ต้องตรวจตัวเองดี ๆ ว่ามีผลดีกับใคร ทำไปแล้วเกิดผลยังไง ลดโลภ โกรธ หลง รึเปล่า หรือยิ่งเพิ่มความโลภ โกรธ หลง เข้าไปอีก

ความหลงเบียดเบียนอย่างไร ความหลงยึดว่าฉันถูก แกผิดนี่แหละ คือเหตุเบื้องต้นของ Cyber bully เพราะถ้าหลงว่าตนถูกเมื่อไหร่ คนที่เห็นต่างเป็นผู้ร้ายทันที ตัวเองกลายเป็นพระเอกทันที ทีนี้ผีเข้าแล้ว เหมือนผีไปสิงให้ไปปราบผู้ร้าย แต่ที่จริงตัวเองเป็นผู้ร้ายไปเบียดเบียนเขาก็ยังไม่รู้ตัว อันนี้มันก็น่าเห็นใจ ความหลงตัวหลงตนนี่มันเป็นภัยจริง

ในฝ่ายที่ถูก Cyber bully นั้น ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก ก็รับวิบากกรรมที่เคยทำมาด้วยใจผาสุกให้ได้ ก็ต้องเห็นใจเขา ถ้าเขามีปัญญารู้ว่าสิ่งใดเบียดเบียน เป็นโทษต่อตนเองและผู้อื่น เขาก็จะไม่ทำ เหมือนกับเราที่เคยไปทำอย่างนี้แหละ มาหลายต่อหลายชาติ ชาติที่เราไม่มีปัญญา ไม่รู้อะไรลึกซึ้ง ก็แห่ไปตามกระแสอย่างนี้แหละ แบบนี้แหละวัฏสงสาร มันน่าสงสารไหมล่ะ หลงทำบาปวนเวียน ขอทุกท่านจงเห็นใจ และวางใจ

ดูกรท่านผู้มีปัญญาทราม…

เจอประโยคนี้ระหว่างอ่านพระไตรปิฎก คนพูดก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็พระพุทธเจ้านั่นแหละ ถึงเวลาท่านจะข่มคนโง่ ท่านก็อัดตรง ๆ เลย

มายุคนี้จะไปพูดกับใครเขาแบบนี้ไม่ได้นะ เขาเอาตายเลย บารมีเราไม่พอด้วย จะไปใช้ภาษาระดับพระพุทธเจ้ามันก็ไม่ไหว

ไอ้การที่จะไปปะทะกับคนพาล คนโง่ คนชั่ว นี่มันยาก ในมงคล 38 ประการท่านก็ว่าให้ห่างไกลคนพาลไว้ก่อน

ในพระไตรปิฎกบทหนึ่งท่านก็กล่าวไว้ว่า คนต่ำกว่าไม่ต้องไปคบ ถ้าจะคบก็คบไว้เพื่อไว้ช่วยเขา ดังนั้นถ้าจะหาความเจริญก็ต้องมุ่งไปหาคนที่เจริญ ไปคลุกคลีอยู่กับคนที่เจริญกว่า เก่งกว่า เก๋ากว่า

ผมนี่ไม่ค่อยอยากจะเสียเวลากับคนมากเท่าไหร่ เพราะจริง ๆ จะว่าไปก็ไม่มีปัญญาไปช่วยเขาหรอก เหตุหนึ่งเพราะเขาก็ไม่ได้ให้เราช่วย คือไม่ได้ศรัทธากันขนาดนั้น มันก็ช่วยไม่ไหว ทำไปมันก็เสียเปล่า สู้เอาเวลาไปสนับสนุนคนดีจะดีกว่า เสียเวลาเท่ากันได้ประโยชน์กว่าเยอะ

ช่วยคนที่ไม่ศรัทธา ให้ตายก็ช่วยไม่สำเร็จ ดีไม่ดีมีการเพ่งโทษกลับไปอีก ลงนรกลึกเข้าไปอีก จากอยู่ขุมที่มันไม่ทุกข์มาก พอเพ่งโทษแล้วไม่รู้จะลงไปอยู่ขุมไหน พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนพาลมีการเพ่งโทษเป็นกำลัง เป็นคนพาลก็ปิดประตูบรรลุธรรมแล้ว ดังนั้นไปยุ่งกับคนที่เขาไม่ได้ศรัทธาขนาดนั้น มันก็มีแต่เสียเป็นส่วนใหญ่

ครูบาอาจารย์เคยให้ข้อมูลไว้ว่า ศรัทธาประมาณไหน ท่านถึงจะลงมือ ท่านก็บอกว่าระดับ full house คือเปรียบเทียบกับการได้ไพ่รูปแบบหนึ่งใน poker ซึ่งมีอัตราส่วนที่เขาประเมินมาก็ประมาณ 0.1% นั่นหมายความว่า เจอพันคน ก็จะช่วยได้จริง ๆ ก็หนึ่งคนนั่นแหละ พอเห็นอัตราส่วน มันก็สบายใจเลย โล่งเลย แบบนี้ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่รอให้เต็มรอบค่อยลงมือก็ได้ พวกไม่จริงจังก็ปล่อยเขาไปตามที่ชอบ ๆ ของเขา ก็ win win เราก็ไม่ต้องเสียเวลา เขาก็ไม่ต้องมาเพ่งโทษเรา

คบคนพาล พาลพา ไปหาผิด

ชีวิตมันยากเพราะมันโง่มาเยอะ ที่ชีวิตมันยากลำบากก็เพราะต้องมารับผลกรรมชั่วที่เกิดจากความโง่ที่เคยทำมานี่แหละ

ความโง่ หรือเรียกให้ดูสุภาพตรงจริตบางท่าน ก็คือมีอวิชชาเข้าครอบงำ (จริง ๆ มันก็ครอบมาตั้งแต่ชาติไหนแล้วก็ไม่รู้ ช่างมันเถอะ มันแก้อดีตไม่ได้)

ความโง่อันหนึ่งที่ทำร้ายชีวิต ทำลายเวลาอย่างหาประโยชน์แทบไม่ได้คือการคบคนพาล ซึ่งผมเองก็เคยเจอมาในชาตินี้เช่นกัน

สมัยศึกษาธรรมะใหม่ ๆ ก็ศึกษาไปมั่ว ๆ จนมาเจอของที่ปฏิบัติได้ผลจริง สุดท้ายไอ้ที่ศึกษามาก่อนหน้านั้น กว่าจะล้างสัญญาที่เรียนรู้และศึกษามาผิด ๆ ต้องใช้เวลาอยู่หลายปี แน่นอนว่ายังมีวิบากกรรมซ้อนทบไปอีก จากการที่เราหลงไปศรัทธาคนผิดในชาตินี้ ก็ต้องยอมไปรับในอนาคตต่อไป

ดังนั้นผมจึงไม่บังอาจไปแนะนำ เสนอแนะ หรือสอนใครที่เรียนมาต่างกัน สัญญาต่างกัน ความเห็นต่างกัน ฯลฯ เพราะมันยากที่เขาจะเข้าใจว่ามันต่างกันอย่างไร เพราะเขาเชื่ออย่างนั้น จำอย่างนั้น เข้าใจอย่างนั้น แล้วบางทีเขามาหลงตีความว่าเราเข้าใจอย่างเขาอีก ถ้าไม่จำเป็นก็คงจะไม่สนทนาเพราะมันต้องใช้เวลามาก แถมยากอีกด้วย การจะล้างความเห็นผิดของตัวเองว่ายากแล้ว จะไปล้างคนอื่นนี่ยากกว่า ยิ่งถ้าเขาไม่ยอมด้วยก็เลิกเลย ไม่ต้องคิด พวกโต้วาทะ ดีเบทอะไรนี่ ไม่เอาด้วยหรอก เสียเวลา

ถ้าถามว่าเห็นใจไหม มันก็เห็นใจเขา เราก็เคยเป็นมา แต่มันก็สุดมือเอื้อม แถมเขาก็ไม่ได้ร้องขอให้เราทำสักหน่อย ถ้าเป็นแบบตั้งใจ แสวงหาทางพ้นทุกข์กันจริง ๆ ก็อีกเรื่องหนึ่ง

ทุกวินาทีที่ยังคบคนพาล ยังเอาอสัตบุรุษเป็นที่พึ่ง มันก็จะสร้างความหลงไปเรื่อย ๆ เพราะเอาคนพาลเป็นอาจารย์ หลงว่าเป็นมิตรดี มันก็จะปักใจเชื่อ ทำใจตามคำสอนผิดเหล่านั้นแหละ ส่วนมากเป็นไปในทิศทางของกิเลส ซ่อนในวาทะสวยงามเหมือนลูกอมหวาน สอดไส้ยาพิษ

ดีไม่ดี หนีข้างนอกมาเจอในหมู่คนปฏิบัติดีนี่แหละ ก็แทรกตัวอยู่ เป็นเหมือนเนื้อร้าย เป็นมะเร็ง คบกันมากันไป กลายเป็นทิศทางนรก ธรรมะกลับหัวกลับหาง ไม่มีธรรมก็แสร้งว่ามีธรรม ไม่มุ่งขัดเกลาตนเอง แต่มุ่งแต่เรื่องคนอื่น เสแสร้ง ส่อเสียด ยุคนนั้นทะเลาะคนนี้ ยุให้คนมีจิตที่ไม่ดีต่อกัน ไม่ศรัทธากัน เพ่งโทษกัน คนแบบนี้คบไปมีแต่เสีย เหมือนพ้นนรกข้างนอกแล้วก็มาเจอนรกข้างในต่อ

ลักษณะหนึ่งของคนพาล คือ มักจะทำให้เราไขว้เขว ไม่ปฏิบัติที่ใจตนเอง ไม่น้อมเข้ามาในใจ ไม่ทำใจในใจ มักจะมุ่งเน้นองค์ประกอบข้างนอก ไม่ลงไปถึงกิเลส ตัณหา อุปาทาน แต่จะสนใจแค่เหตุการณ์ผิว ๆ พื้น ๆ เท่านั้น

ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คนพาลมีการเพ่งโทษเป็นกำลัง คนพาลจะแก้ปัญหานอกตัว ไม่แก้ปัญหาที่ตัวเอง ซ้ำยังโทษผู้อื่น หาโทษผู้อื่น(เพื่อยกตน ข่ม ดูถูก โยนปัญหา ฯลฯ) เพื่อสนองกิเลสตน

ถ้าคุณได้ลองพบกับ “คนพาลมีการเพ่งโทษเป็นกำลัง” คุณจะรู้ได้เลยว่านี่แหละคนพาล แถมคนพาลยังมีกำลังที่จะดึงดูดคนพาลมาร่วมกันอีก จึงกลายเป็นพากันเพ่งโทษเป็นอภิมหากำลัง

คุณอาจจะสงสัยว่า วัน ๆ คนพาลไม่มีอะไรทำกันเลยหรือยังไงถึงได้เอาเวลาไปเพ่งโทษชาวบ้าน ไม่มุ่งปฏิบัติธรรมที่ตน ก็อย่าได้สงสัยไปเลย ให้เข้าใจว่านี่แหละธรรมชาติของเขา และเป็นวิบากกรรมของเราที่ต้องมาเจอเขา

มันไม่มีอะไรถาวรหรอก วันหนึ่งผลกรรมชั่วของเราก็หมด เขาก็เลิกยุ่งกับเราเอง ส่วนวันไหนเขาทุกข์เกินทน เขาก็เลิกเป็นคนพาลเอง … แต่ยากหน่อยนะ เพราะกรรมที่ทำมาจะดึงดูดคนพาลเข้ามาในชีวิตเยอะ เป็นคนพาลก็คบแต่คนพาล พอชาติที่จะเลิก มันจะออกยาก มันจะวนเวียนในชีวิตอยู่นั่นแหละ ก็ให้เพียรทำดี ตั้งจิตตั้งใจว่าจะปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นกิเลสดี ๆ แล้วเสียสละและปฏิบัติตามศีลให้ตั้งมั่น มันจะหมดวิบากกรรมสักวันหนึ่งเอง

เช่นเดียวกับผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธ ก็ให้ตั้งจิตให้ดี ปฏิบัติ หมดวิบากร้ายชุดนั้นก็จะรู้เองว่าทางที่เดินอยู่นั้นถูกหรือผิด ครูบาอาจารย์ที่คบอยู่นั้นแท้จริงเป็นคนพาลหรือบัณฑิตกันแน่ คงต้องใช้ความตั้งใจและเวลาที่จะพิสูจน์ความจริงกัน