ประกาศิตสั่งตาย!

เอาเป็นชิ้น ๆ” คำพูดของคน ๆ หนึ่งดังขึ้นมาหน้าร้านขายปลา แม่ค้าหยิบปลาดุกที่ยังเป็น ๆ ยังดิ้นไปดิ้นมา วางบนเขียง
 
ผมยืนมองชะตากรรมของปลาตัวนั้นว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป..
 
เมื่อปลาถูกจับวางลงบนเขียง มีดอีโต้เล่มหนาถูกยกขึ้นมาและสับ! ลงไปที่โคนหาง..เว้นต่อมาอีกประมาณ 1 นิ้วก็หั่นไปอีกที และหั่นต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงหัว แล้วก็หั่นหัวอีก 2 ที
 
(สมัยก่อนเขาประหารคนแบบตัดหัวนี่ก็ว่าโหดแล้ว ถ้าเขาตัดจากขาขึ้นไปทีละท่อน ทีละท่อนจนถึงหัว…คงจะโหดยิ่งกว่า)
 
…จบงานรับจ้างฆ่า รับเงินนายจ้าง แลกกับปลาที่ตนได้ฆ่า
 
เป็นการสั่งฆ่ารูปแบบหนึ่ง คือใช้ปากสั่ง มันก็ดูจะบาปชัด ๆ หน่อย แต่ถ้าไม่สั่งเขาก็ไม่ฆ่า ฆ่าทิ้งไว้เดี๋ยวมันไม่สด คนก็ไม่ซื้อ เก็บก็ยาก ตลาดชุมชนต่างจังหวัดก็แบบนี้แหละ
 
เทียบกับในเมืองหรือในห้างนี่ไม่ต้องใช้ปากสั่งแล้ว ส่วนมากเดินหยิบชิ้นส่วนที่ต้องการไปจ่ายเงินได้เลย ถือว่าลดขั้นตอนไปได้หนึ่งขั้น สะดวกกว่าเดิม แต่ก็บาปเหมือนเดิมนั่นแหละ เพราะเงินที่เราจ่ายไปนั่นแหละคือตัวแทนคำสั่งให้ฆ่าเขา
 
…เขาขายได้ เขาก็จับมา แล้วก็ฆ่ามาขายเรื่อย ๆ เขาก็ฆ่ามาเพื่อแลกกับความต้องการของคุณลูกค้า(นายจ้าง)ทั้งหลายนั้นแหละ

อหิริกมูลกสูตร สู่บทความ ซื้อกิน ฆ่า ค้าขาย เสมอกัน

อหิริกมูลกสูตร

เป็นที่มาของบทความนี้ ผมคิดอยู่นานมากว่าจะพิมพ์เรื่องนี้ดีไหม เพราะถ้าตีความตามพระสูตรนี้ จะเรียกว่าแทบจะกวาดทิ้งคนที่เขาว่าตนเองเป็นคนดีทั้งแผนดินทิ้งเลยทีเดียว

ผมเคยศึกษาธรรมะของหลายสำนักด้วยการอ่านและพิจารณาสาวกของสำนักเหล่านั้นว่ามีลักษณะอย่างไร หลายท่านดูเหมือนจะพยากรตัวเองว่าเป็นพระอริยะกันได้ง่าย ๆ เพียงแค่ผ่านข้อกำหนดบางอย่างที่เจ้าสำนักกำหนดมา ซึ่งถ้าเจอกับ “อหิริกมูลกสูตร” ผมเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับท่านทั้งหลายที่กำลังประมาณตนผิด

พระสูตรนี้ใช้การเทียบหิริต่อหิริ โอตตัปปะต่อโอตตัปปะ ปัญญาต่อปัญญา เป็นตัวเชคว่าเราเจริญจริงไหม เราหลุดพ้นจริงไหม ถ้าเราเจริญจริง เราจะไม่คบค้าสมาคมกับคนที่ผิดศีลแน่ๆ

เป็นพระสูตรที่ไม่ได้เกี่ยวกับการไม่กินเนื้อสัตว์โดยตรง แต่สามารถเอามาเทียบได้กับทุกกิจกรรมในชีวิต

ลึก ๆ แล้วผมก็รู้สึกลำบากใจเหมือนกันที่จะสรุปอย่างในบทความ แต่สัจจะเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนั้น เราก็ต้องน้อมเข้ามาทำใจในใจว่าจริงไหมที่เรายังทำสิ่งที่ไม่สมควรอยู่

ที่หนักกว่าเรื่องการกินเนื้อสัตว์ คือคนที่ยังคบค้าสมาคมกับคนที่เห็นผิด ซึ่งจะไปตรงกับ อนุตตริยสูตร ที่ว่าการพบเห็นที่ผิด คือการได้พบครูบาอาจารย์ที่ผิด ฟังธรรมที่ผิด เป็นของเลว มันเลยทำให้ความเห็นผิดเพี้ยนตามไปด้วย

ปัจจุบันผมเลือกคบคนมาก จะให้ผมไปร่วมกิจกรรม หรือจะเรียกว่าสังฆกรรมอะไรมั่วๆ ผมไม่อยากไป เพราะไม่ต้องการคบคุ้น ไม่ต้องการเสียเวลา แถมยังมีโอกาสทำให้คนเข้าใจผิดว่าเราไปคบหาคนผิดอีก

ในเบื้องต้นผมก็ดูคนด้วยศีลนี่แหละ คัดกันตรงนี้ก่อน แล้วค่อยพิจารณาความเห็นของเขา ว่าเขาพูดให้คนลดกิเลสหรือพูดให้คนเพิ่มกิเลส แล้วก็ค่อยศึกษาไป ไม่รีบปักใจเชื่อ จนกว่าจะได้ลองทำตามแล้วเกิดผลคือกิเลสลดอย่างที่เขาว่าจริง จึงจะเชื่อ เพราะทำได้จริงนั่นเอง

ซื้อกิน ฆ่า ค้าขาย เสมอกัน

เลือกที่รัก มักที่ชัง กรณีการข่มเหงสัตว์

ผมรู้สึกแปลกใจว่า เรามีทั้งนักปกป้องมนุษชน มีคนสำนึกดีมากมายที่คอยติเตียนคนที่ทำร้ายผู้อื่น และมีทั้งคนที่โกรธแค้นอาฆาต เมื่อมีคนทำร้ายผู้คน เมื่อมีข่าวฆ่ากันตายหรือข่มขืน เราก็จะออกมาเรียกร้องหาศีลธรรมกันยกใหญ่

การฆ่ากัน ทำร้ายกัน ข่มขืนกัน ก็เป็นการข่มเหงรังแกกัน ด้วยกำลังอำนาจที่มากกว่า ถ้าสิ่งนี้เป็นที่น่ารังเกียจจริงแล้วล่ะก็…

…ทำไมเรายังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับการฆ่าสัตว์ การกินเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามา การสั่งฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารของเรา ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว มันก็เป็นการข่มเหงรังแกกันด้วยกำลังอำนาจเหมือนกัน

แค่เราเป็นมนุษย์ เราจึงมีสิทธิเหนือสัตว์อื่นอย่างนั้นหรือ คนรังแกคนนั้นผิด แต่คนรังแกสัตว์ไม่ผิดอย่างนั้นหรือ ทำไมจิตใจช่างมีความลำเอียงกันได้ถึงเพียงนี้ จะเหลือช่องเว้นว่างไว้ให้ตนเองได้มีพื้นที่เบียดเบียนสัตว์อื่นอยู่ทำไม แม้สิ่งนั้นโลกจะสมมุติกันว่าไม่ผิด แต่ตามสัจจะแล้วมันก็ไปเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นมาอยู่ดีนั่นแหละ

ถ้าสงสัยว่ามันเบียดเบียนอย่างไร สื่อที่เขามีเกี่ยวกับการได้มาซึ่งเนื้อสัตว์ในปัจจุบันนั้นมีเผยแพร่อยู่มากมาย ส่วนมากก็เรียกว่าโหดถึงระดับไม่อยากจะดูกันเลย แต่นั่นแหละคือความจริงของการเบียดเบียน