การเก็บรังผึ้ง

กว่าผึ้งจะสร้างรังนี่เขาต้องใช้แรงงานและเวลามากเลยนะ แล้วคนก็ไปตัดทำลาย เอามาหาประโยชน์ส่วนตน ใครอยากให้ชีวิตพบความลำบาก สร้างเนื้อสร้างตัวมาแล้วก็ล้มละลาย ทำงานมาตั้งมากมาย โดนคนอื่นชิงผลงานไป หรืออยากได้รับผลกรรมอะไรทำนองนี้ ก็สนับสนุนผู้แย่งชิงต่อไป ถ้าอยากอยู่เป็นสุข มีผู้มาระรานชีวิตน้อย ก็เลิกสนับสนุนกัน

กลัว – เกิน

เวลาที่เราเริ่มมีความเก่งหรือชำนาญด้านใดขึ้นมาเป็นพิเศษ ก็จะเริ่มมีโอกาสที่จะใช้ความรู้นั้นช่วยเหลือผู้อื่นได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้พอดี

จากประสบการณ์ ผมก็เจอมาแล้วทั้งสภาพกลัว และสภาพเกิน

กลัวคือ ไม่กล้าจะบอกสิ่งดีออกไป แม้จะมีโอกาสเหตุปัจจัยที่เหมาะสม อาจจะด้วยเหตุที่ว่ากลัวเสียหน้า เสียมิตร เสีย…ฯลฯ หรืออะไรก็ตามที ก็จะทำให้เสียโอกาสในการทำดีไป

ความเกิน คือสภาพล้น ส่วนมากเกิดจากความล้นของอัตตา บางส่วนเป็นการประมาณที่ผิด เป็นสภาพที่เห็นได้ง่ายและเห็นได้บ่อย เพราะถ้าคนทั่วไปเขากลัวนี่เขาก็ไม่พูด ไม่พูดก็ไม่รู้ ก็เลยดูเหมือนไม่มี แต่ความเกินนี่มันแสดงตัวตนของมันออกมาอยู่แล้ว เลยเห็นได้ง่าย แต่ก็รู้ไม่ได้ง่าย ๆ เพราะความยึดดีมันมักจะบัง และทำให้เข้าใจว่าสิ่งที่ฉันทำอยู่นั้นดี นี่ฉันแสดงสิ่งดีให้เธอ เธอจงฟังฉัน เธอจงน้อมใจมาในธรรมของฉัน ถ้าอัตตามันจะมีอารมณ์มั่นใจแบบเกิน ๆ ปนอยู่

แต่สภาพพอดีนั้นเป็นไปได้ยาก แม้เราจะประเมินตัวเราได้ 100% แต่ฝั่งเขาเราประเมินไม่ได้ทั้งหมด ได้แค่ประมาณเอาตามข้อมูลที่ได้รับ และใน 100% ที่เราเข้าใจ อาจจะเป็นความจริงเพียงแค่ 50% ตามที่เขาแสดงออกมาก็เป็นได้

สภาพพอดี 100% ทั้งผู้ให้และผู้รับ คือสภาพของอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นไปได้ยาก ผู้ให้ต้องมีองค์ประกอบของปัญญาและสัปปุริสธรรม(หลักการประมาณ) ที่แม่นยำ ผู้รับต้องมีศรัทธาที่มากพอ คือมีอินทรีย์พละที่มากพอที่จะสามารถทำใจในใจตามธรรมนั้นได้

ในชีวิตจริง ใครล่ะที่จะทำได้ขนาดนั้น แล้วทำได้ทุกครั้งหรือไม่ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เอาจริง ๆ ก็ยากเสียจนนึกไม่ออกเลยล่ะ ดังนั้นเมื่อไม่ใช่เรื่องง่ายมันก็ต้องฝึก ก็ฝึกไปทั้งที่มันเกิน ๆ นี่แหละ แต่ให้เกินให้น้อยที่สุด

คือเสนอดีแล้ววางดีให้ได้ ถ้ากลัวไม่กล้าเสนอมันก็ไม่ต้องวางอะไร เพราะมันชิงวางไปก่อนหน้านั้นแล้ว วางทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ทำดีอะไร กุศลมันก็ไม่เกิด แต่วางหลังจากทำดีไปแล้ว แม้ไม่เกิดดีก็มีกุศล และยังมีโอกาสที่จะเกิดบุญจากการละวางตัวตน วางความเห็น วางความยึดดี ถือดี หลงดี ที่จะหลงยึดมั่นถือมั่นให้เขามาเอาตามที่เราหวังอีกด้วย

แต่การเสนอดี หรือบอกสิ่งดีก็ต้องมีศิลปะ อาจจะไม่ได้พูดทั้งหมด มี 100 อาจจะพูด 1 ถ้าเขาสนใจก็ค่อยเพิ่ม เขาไม่สนก็ค่อยเลิก ไม่ใช่ มี 100 ใส่ 100 อันนี้บางทีมันจะกดดัน พากันแตกร้าว แถมทุ่มหมดตัวก็อาจจะทำให้วางดีนั้นได้ยากตามไปด้วยเช่นกัน

รอบถึง จึงมี

การที่เราจะตัดสินใจช่วย แนะนำสิ่งใด ๆ ถ้ามันไม่เต็มรอบของมัน มันไม่สำเร็จหรอก บางทีพูดไปก็เสียของ ดีไม่ดี ตีความผิด หูเพี้ยน พาลจะบาดหมางกันอีกด้วย

วันนี้นั่งแท็กซี่เข้าบ้าน เพราะขนของเยอะ พอขึ้นไปคนขับเขาก็ทักว่าไปนั่งสมาธิมาหรอ? เราก็ตอบว่าไปเรียนพระไตรปิฎกมา เขาก็สนใจ

ก็คุยกันประเด็นเกี่ยวกับว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ก็ตอบตามที่เขาถาม แนะนำในประเด็นที่เขาสนใจ รู้สึกว่ามันลื่น ไปได้สวย พอเขาไม่ถามก็สงบตามปกติของเราไป ไม่ได้มีความรู้สึกอยากจะพูดอะไร

แต่ก่อนก็เคยคิดอยู่ว่าพูดมันก็ดี แต่จริง ๆ มันต้องดูจังหวะให้ออก ไม่ใช่ว่าเข้าใจว่าตัวเองมีของดีแล้วปล่อยหมด มันก็ต้องประมาณหน่อย

แต่ก่อนก็เคยเจอแต่แท็กซี่ เอาแต่พูด ไม่ฟัง แต่คนนี้เขาฟัง ก็เลยไปได้ดี สุดท้ายพอถึงบ้านก็เอาเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับการจัดค่ายให้เขา เสนอไปแล้วเขาดูสนใจน่ะนะ สรุปครั้งนี้ก็เป็นการแบ่งปันโดยไม่ได้มีการยัดเยียดใดใดเลย ก็เลยเป็นสุขเบา ๆ ต้อนรับเช้าวันใหม่

…เวลาที่จะให้ข้อมูล ผมไม่ได้ประเมินจากแค่ที่เขาถาม แต่ประเมินจากสิ่งที่เขาทำ สิ่งที่เขาเป็นด้วย พี่แท็กซี่คนนี้เขาเป็นคนตั้งใจทำดี เขาแขวนบัตรประชาชนจิตอาสาไว้หน้ารถ และเล่าเรื่องออกมาด้วยความยินดีในการเสียสละของเขา ผมก็ประเมินข้อมูลแล้วมันก็น่าจะพอได้ ก็เห็นพี่เขาใฝ่ดี ก็เลยลองบอก และแนะนำได้มากขึ้น

เขาก็ทำดีของเขามาเป็นทุน เราก็มีความรู้ที่เราศึกษามาพอที่จะให้ พอรอบมันลงตัว มันก็ไปด้วยกันได้ดี แต่ถ้ารอบไม่ถึงแล้วฝืนไปนะ จากประสบการณ์มีแต่บาดหมาง เหินห่าง ก็คงจะอย่างที่อาจารย์หมอเขียวสอนในค่ายล่าสุด

ยอมให้เขาห่างเรา x เมตร ดีกว่า พูดไปแล้ว แนะนำไปแล้ว บอกไปแล้ว เขาห่างเราไปอีก x+y+z+… เมตร สรุปก็นิ่งไว้เป็นหลักนั่นแหละนะ ดูให้ดี บางทีวิบากก็หลอกเราเหมือนกัน ให้เราประเมินผิดว่าเขาน่าจะเข้าใจ แต่จริง ๆ เขาไม่สามารถเข้าใจได้

ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจอะไรไป มันก็ต้องดูความเจริญว่าเต็มรอบหรือยัง ทำกุศลมาดีไหม ศรัทธากันมากพอไหม มีศีลไหม มันก็ต้องดูกันดี ๆ เพราะถ้าพลาดแล้ว นอกจากช่วยไม่ได้ ยังได้ศัตรูเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย

ไม่สนุกเลยล่ะ…

คนไข้และหมอจะพากันป่วยตาย…

ตอนแรกที่ได้ยินก็พอเข้าใจอยู่ แต่ไม่ค่อยเห็นภาพชัด แต่พอไปโรงพยาบาลเมื่อวาน ภาพก็ชัดเจนขึ้นทันที ว่าปลายทางคือพากันป่วยตายแน่นอน

จากประโยคเต็ม “หมอที่ดีที่สุดในโลกคือตัวคุณเอง ถ้าสุขภาพพึ่งตนเกิดไม่ได้ คนไข้และหมอจะพากันป่วยตาย” จากอาจารย์หมอเขียว (ดร.ใจเพชร กล้าจน)

ผมเห็นภาพที่คนไข้มากมายต่างมารอการรักษา ซึ่งโดยสถิติตามที่ได้รับรู้มาคือคนไข้โดยรวมไม่เคยลดลงเลย มีแต่มากขึ้น โรงพยาบาลก็สร้างตึกมากขึ้น นี่คือสิ่งที่แสดงการขยายตัวของความเจ็บป่วย

คนไข้ป่วย นี่เขาก็มีโอกาสจะตายอยู่แล้ว แต่หมอป่วยตายตอนแรกก็ยังไม่เข้าใจจนไปเห็นภาพ คนไข้ที่มหาศาล แล้วหมอกับพยาบาลต้องแบกรับไว้

คนป่วยคนไข้ นี่เขามาพร้อมกับวิบากบาป โดนทำให้ป่วย ให้เป็นทุกข์ เป็นพลังทางลบ หดหู่ เศร้าหมอง ถ้าถามว่าช่วยเขามันดีไหม มันก็ดีแหละ ได้ใช้ชีวิต ได้ใช้เวลาและความสามารถช่วยเหลือคนอื่นมันก็ดี มันก็เป็นกุศลกรรมที่ดี

แต่ปัญหาคือเขามาให้เรารักษาเขาไม่ได้คิดจะพึ่งตน เขาไม่ได้ให้ความร่วมมือกับการรักษาขนาดนั้น ถ้าตามหลักพุทธความเจ็บป่วยความตายนี่มันเกิดจากความเบียดเบียน แล้วเอาง่าย ๆ แค่ตามที่หมอแนะนำ ส่วนมากเขายังทำกันไม่ค่อยได้เลย เช่น ออกกำลังกายบ้าง ลดอาหารรสจัดบ้าง แค่นี้ก็ยากแล้ว

ซึ่งในความจริงมันก็ต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือแก้ที่กิเลส แก้ความอยากได้อยากมีอยากเสพที่ฟุ่มเฟือยเกินไปจนเบียดเบียนชีวิตตนเองและผู้อื่น

แล้วคนไปรักษาเขาอยากพรากจากกิเลสไหมล่ะ ไม่มีหรอก เขาแค่อยากหาย แล้วก็กลับไปเสพตามที่เขาสมใจ สร้างทุกข์ สะสมเหตุแห่งทุกข์แล้วมาให้หมอกับพยาบาลแก้

แล้วหมอกับพยาบาลก็พากันแก้ได้เต็มที่แค่วัตถุ วัตถุมันก็เท่านั้นแหละ เท่าที่เห็นคนเต็มโรงพยาบาล แก้ได้จริงโรงพยาบาลมันต้องเกือบร้างสิ มันก็ไม่ 100% เพราะวัตถุนี่มันสังเคราะห์ตามจิตวิญญาณ มันยังมีองค์ประกอบที่แก้ด้วยวัตถุไม่ได้อยู่เหมือนกัน เช่นความเครียด ความกังวล ความกลัว ความอยาก ฯลฯ ซึ่งเป็นเหตุที่ส่งผลต่อการเกิดหรือการกำเริบของโรค

แล้วโดยหน้าที่ หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ ก็ต้องแบกคนไข้ เป็นทั้งอาชีพและจริยธรรม ส่วนตัวแล้วผมว่านี่มันซวยสุด ๆ เลยนะ คนเขาก็ว่าอาชีพนี้ดี ได้กุศล คนก็สรรเสริญ แต่จากมุมมองผมนะ ให้ไปแบกคนไม่ลดกิเลสผมไม่เอาด้วยหรอก มีแต่จะสร้างปัญหามาให้เรื่อย ๆ ปัญหาเดิมก็ไม่ลด แล้วยังสร้างปัญหาใหม่มาอีก ตายกันพอดี

แบกคนที่เขาพยายามล้างกิเลสมันยังพอไปไหวอยู่บ้าง แต่แบบว่าเอาแต่เสพสมใจ ทำชั่วมาเต็มที่ แล้วมาให้แก้นี่มันไม่ไหว มันก็เป็นอาชีพที่ดี รายได้ดี แต่ต้องมาแลกกับการแบกปัญหาที่แก้ไม่ได้ หรือแก้ได้ 1 แต่เพิ่มมา 2

ผมว่าบุคลากรทางการแพทย์จะป่วยตายก็เพราะแบบนี้แหละ ต้องมาร่วมแบกรับวิบากกรรมของการเบียดเบียน ของการสนองกิเลสตามใจอยาก

แล้วบุคลากรทางการแพทย์นี่ผมว่าสร้างไม่ทันคนเจ็บคนป่วยหรอก สุดท้ายอัตราส่วนก็จะขยายตัวต่างกันหลายเท่า แบกกันไปก็เจ็บป่วยล้มตายตามกันไป

การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ

วันนี้ไปธุระที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พบว่าคนเยอะกว่าไปเดินห้างอีก เห็นแล้วก็สงสัยว่านี่มันอะไรกัน ทำไมคนป่วยถึงเยอะขนาดนี้

ก็คิดทบทวน ก็เข้าใจว่ายุคนี้มันก็แบบนี้แหละ คนเบียดเบียนกันมาก เบียดเบียนสัตว์มาก ก็ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บล้มตายมากเป็นธรรมดา

พระพุทธเจ้าตรัสสอนสรุปความได้ว่า ผู้ที่เบียดเบียนสัตว์ ไม่มีความเอ็นดูต่อสัตว์ จะทำให้มีโรคมากและอายุสั้น (จูฬกัมมวิภังคสูตร เล่ม 14 ข้อ 579…)

แล้วยุคนี้คนกินเนื้อสัตว์ขนาดนี้ ส่งเสริมการล่าสัตว์ สนับสนุนโรงฆ่าสัตว์กันขนาดนี้ วิบากกรรมจะไปทางไหนได้นอกจากทางทุกข์

คนที่เขาไปโรงพยาบาลนี่เขาก็ดูมีเงินกันทั้งนั้นนะ ค่ารักษาไม่ใช่ถูก ๆ บางคนเขาก็คิดว่านี่การที่เขามีเงินรักษานี่แหละคือดี โชคดีที่มีเงิน ดีที่มีลาภ

อันนี้มันก็ตื้น ๆ พอเห็นได้ เข้าใจได้ง่าย แต่มันก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรมากมายนัก เพราะสุดท้ายก็ต้องไปหาเงินมาก ๆ เบียดเบียนชาวบ้านมาก ๆ เพื่อให้ได้เงินมา ก็เป็นวิบากบาปใหม่อยู่ดี วนเวียนไป ทำชั่ว รักษาตัว แล้วไปทำชั่วเพื่อมารักษาตัวใหม่

ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ นี่มันไม่ใช่เรื่องโชคช่วยนะ มันต้องทำเอา คือทำตนให้เป็นคนไม่เบียดเบียน เกื้อกูลผู้คนและสัตว์ มันถึงจะมีลาภก้อนนี้สะสมได้ ส่วนลาภคือเงินที่เขาเอาไปใช้จ่ายค่ารักษานี่ผมว่ามันเทียบคุณค่ากับการไม่มีโรคไม่ได้เลยนะ

ไม่เชื่อก็ลองเลือกดูก็ได้ ไม่ป่วย กับ ป่วยแล้วมีเงินรักษา จะเลือกกันแบบไหน … แต่ความจริงมันก็เลือกไม่ได้หรอก มันต้องทำเอา อยากได้รับผลกรรมแบบไหนก็ทำแบบนั้น เบียดเบียนก็ได้ผลเป็นโรคและอายุสั้น ไม่เบียดเบียนเกื้อกูลก็ได้ผลเป็นแข็งแรงอายุยืน ก็เลือกธรรมกันเอาตามที่ชอบ

ชอบเป็นทุกข์ก็เบียดเบียนกันต่อไปทั้งทางตรงทางอ้อมทางแอบ ๆ อะไรก็ตามที แต่ถ้าจะให้เป็นอยู่ผาสุกก็ต้องหยุดเบียดเบียน ชวนคนอื่นเลิกเบียดเบียน ยินดีในธรรมที่พากันไม่เบียดเบียน

เข้าใจเรื่องกรรม ไม่ช้ำใจ

เรื่องกรรมและผลของกรรมนี่เป็นเรื่องเข้าใจยาก อธิบายยาก สอนยาก เพราะมันเป็นองค์ประกอบหนึ่งในสัมมาทิฏฐิ

นั่นหมายถึงคนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจ อันนี้ต้องทำใจไว้ก่อนเลยว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะทำใจให้เข้าใจเมื่อกระทบกับความจริงตรงหน้า (คิดเอาท่องเอา มันก็พอได้อยู่หรอก)

ดังเช่นว่า เพื่อนร่วมงานเป็นที่รักของเจ้านาย ส่วนเรานี่เป็นที่น่าชังเสียเหลือเกิน ถ้าไม่เข้าใจเรื่องกรรม มันจะโทษองค์ประกอบภายนอกหมดเลย เขาลำเอียงบ้างล่ะ เขาเลียเจ้านายบ้างล่ะ เขาไม่เข้าใจถึงคุณค่าของเราบ้างล่ะ

จิตที่มีกิเลสมันจะพุ่งไปเอาทันทีเลย มันจะโลภ อยากได้ของที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์จะได้ อยากได้ของที่ตัวเองไม่ได้ทำมา อยากได้สภาพดี ๆ ชังสภาวะหมาหัวเน่า อะไรแบบนี้ ถึงแม้พยายามเก็บอาการ แต่มันก็จะทำให้ขุ่นใจ ซึ่งอาจจะทำให้ออกหน้า ออกท่าทางโดยไม่รู้ตัว

แต่ถ้ามาทำความเข้าใจเรื่องกรรมให้ดี ๆ ว่านั่นเขาก็มีกรรมของเขาเนาะ ที่เขาจะเข้ากันได้ เกื้อกูลกันดี ก็เขาอาจจะเข้าขากันมาหลายภพหลายชาติ จริตเขาตรงกัน เขาก็มีผลกรรมที่เขาควรได้รับอย่างนั้น

แล้วเราทำไมไม่ได้อย่างเขา ก็เราไม่ได้ทำมา เราอาจจะเข้าใจว่าเราทำดีมามาก แต่ดีแบบนี้เราไม่ได้ทำ เราไปทำดีแบบอื่นมุมอื่น หรือจริง ๆ ก็คือเรายังทำดีไม่มากพอ ที่จะส่งผลให้มันเกิดสิ่งดีขึ้นกับเรา

ซึ่งดีโดยมากมันก็รั่วออกไปเพราะกิเลสนั่นแหละ ทำดีแล้วเททิ้ง ทำดีเป็นคนดี แต่พอโดนคนเข้าใจผิด ดูถูก ใส่ร้าย หยาม ข่ม ฯลฯ แล้วดันไปโกรธเขา ไม่พอใจเขา ชิงชังรังเกียจเขา อันนี้ดีที่ทำมามันรั่วออกรูนี้

ยิ่งเราสำคัญตนว่าตนดีเท่าไหร่ ฟ้าจะส่งโจทย์มาพิสูจน์ความดีเสมอว่า กระทบกับสิ่งเหล่านี้แล้วยังดีได้จริงอย่างที่คิดหรือเปล่า หรือเอาดีไปเททิ้งหมดแล้ว

พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า บัณฑิตมีการไม่เพ่งโทษเป็นกำลัง ส่วนคนพาลมีการเพ่งโทษเป็นกำลัง นั่นหมายถึงเมื่อคนดีกระทบสิ่งใดแล้วก็จะไม่พาล ไม่ชิงชัง ไม่คิดร้าย ไม่เพ่งโทษ ไม่เห็นว่าสิ่งร้ายที่กระทบนั้นจะเป็นโทษใด ๆ แก่จิตอันเป็นกุศลของตนเอง และไม่สร้างความเห็นผิดให้ตนเองซ้ำ

เพราะมีความเห็นเรื่องกรรมและผลของกรรมอย่างถูกต้องว่า ก็ถูกแล้ว สิ่งร้ายและดีที่เราได้รับ นั้นเพราะเราทำมาเอง ได้รับก็ได้รู้ว่าทำมา ได้รู้ก็ได้ระลึกว่าตนทำดีทำชั่วมาแค่ไหน เจอร้าย ก็อ๋อ ทำชั่วมามาก อย่างน้อย ๆ ก็ชั่วนี้แหละที่ทำ เจอดีก็ทำดีมามาก อย่างน้อย ๆ ก็ดีนี้แหละที่ทำมา

เรื่องราวมันก็วนอยู่ในตัวอยู่เท่านี้ อยู่กับเรื่องตัวเองอยู่กับกรรมและผลของกรรมของตัวเอง เมื่อใจไม่ได้สุขไม่ได้ทุกข์กับสิ่งที่กระทบ ความเห็น ความคิด การพูด การทำต่อจากนั้นเราก็ปรับปรุงให้เกิดดีขึ้นเรื่อย ๆ เป็นดีใหม่ที่เราจะทำอย่างมีสติ ไม่ใช่ดีที่หลงไปเองว่าดี เพราะดีที่ทำมา อาจจะไม่ได้ดีอย่างบริสุทธิ์แท้จริงก็ได้

คนรักฆ่ากันตาย

เหมือนจะเป็นข่าวธรรมดา ๆ ไปซะแล้ว เพราะมีเป็นประจำ แต่กระนั้นคนก็ยังไม่วายจะหาคู่ ไม่พิจารณา ไม่ทำใจในใจให้เข้าใจว่า คนที่จะเข้ามาเป็นคู่นั้นแหละ คือตัวเวรตัวกรรม

เขาก็หากันไป ตามเรื่องตามราว ตามกิเลสที่มี หามาบำเรอกาม บำเรออัตตากันไป ตามที่เห็นว่าดี เห็นว่ามีประโยชน์

แต่ก็ไม่รู้เลยว่าทุกอย่างมันมีต้นทุน มันมีวิบากกรรมเป็นตัวผลัก ได้คนดีมา ก็เสพผลดี กรรมดีที่สะสมไว้ก็รั่วออกไปเรื่องไร้สาระ ส่วนใหญ่ก็ไหลไปกับการกิน เที่ยว …. เสพทุกวัน กุศลที่เคยทำไว้ก็หมดไปทุกวัน

หมดเมื่อไหร่ก็เหมือนเทวดาตกสวรรค์ เริ่มจะเปลี่ยนทิศ จากเสพสุขมาจมทุกข์แทน แต่ก็ไม่อยากออกเพราะมันยังมีสุขให้เสพ (ปั้นสุขลวงขึ้นมาเองตามที่หลง) แม้จะมีทุกข์ก็ตาม สุดท้าย แม้จะสุข 1 หน่วย ทุกข์ 100 ก็ยังเอา เป็นสภาพที่ชาวบ้านงง ว่าทนอยู่ได้อย่างไรทุกข์ขนาดนี้

ดีไม่ดีทุนหมด วิบากร้ายเข้า เขาก็ทำร้ายเอา ฆ่าเอา นอกใจ ตายจาก สารพัดเรื่องที่จะทำให้ทุกข์

คนหาคู่นี่เห็นกงจักรเป็นดอกบัวแท้ ๆ พระพุทธเจ้าตรัสสอนประมาณว่า คนเขาได้คู่ ได้ลูกเขาก็หลงดีใจว่าได้ลาภ แต่นั้นเป็นลาภเลว (อนุตริยสูตร)… คือไม่ได้ดีกว่านั่นแหละ แต่คนหลงก็วนอยู่แต่เรื่องนี้ไง เรื่องได้คู่ได้ลูกนี่แหละ

เอากุศลตัวเองมาเปลี่ยนให้ได้เสพตามกิเลส มันอยากได้อะไรจิตมันก็จดจ่ออยู่อย่างนั้น สุดท้ายมันก็พยายามแส่หาสิ่งนั้นมา ได้มากุศลกรรมที่ทำมาก็หมดไป เหมือนทำดีมามากมายแล้วเทให้หมากิน ตัวเองไม่ได้กินใช้ผลนั้น กิเลสเอาไปกินหมด

คนมากมายเกิดแล้วตายไปเปล่า ๆ เพราะหลงมีคู่นี่แหละ ไม่ได้มีสาระอะไรเล้ย เอามากอดอยู่ได้ ความเห็นที่ว่าการมีคู่นั้นดี เป็นสุข เป็นสิ่งน่าได้น่ามีนั่นแหละ

คนใจเหี้ยมฆ่าสัตว์

คนที่เขาฆ่าสัตว์นี่ใจเขาต้องเหี้ยมมากนะ ศีล เศิล เมตตง เมตตา นี่ไม่ต้องมีกันหรอก คิดอย่างเดียวทำยังไงให้มันตาย ให้มันขายได้ราคาแพง มันจะเจ็บปวดทรมานยังไงเรื่องของมัน

คนมีหิริโอตตัปปะ เขาทำไม่ลงนะ มันทำไม่ได้ เห็นสัตว์เจ็บเขาก็ละอายเกรงกลัวบาปแล้ว ให้เขาร่วมวงด้วยเขาก็ไม่เอา ให้เขายินดีด้วยเขาก็ไม่เอา ให้เขากินด้วยเขาก็ไม่เอา

ส่วนคนโลกๆ ทั่วไปก็ โหดร้ายจัง ไม่อยากดู แต่ถ้าเขาไม่ฆ่า แล้วเราจะมีกินได้อย่างไร… อย่ากระนั้นเลย เราปล่อยวางแล้วกินต่อไปดีกว่า…พวกคิดแบบนี้มันพวกเฉโกชัด ๆ นอกจากจะไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว ยังสนับสนุนให้เขาฆ่าอีก อยู่ไปไม่ได้เกื้อกูลอะไรสัตว์อื่นเล้ย กิน ๆ เสพ ๆ บ้ากาม เมาอัตตา อยู่ๆ อยากๆ แล้วก็ตายไป เสียชาติเกิดจริงๆ

ถ้าผมไม่ได้เป็นโสด

สมัยยังหลง ยังเฉโกอยู่ มันก็เคยหาเหตุจะไปมีคู่เหมือนกัน กิเลสผมมันก็ฉลาดใช่ย่อย แต่ดีที่เราคบบัณฑิต เราเลยรอดมาได้

ผมเคยคิดนะว่า ชีวิตเรามีคู่ไปก็ปฏิบัติธรรมได้ ช่วยเผยแพร่ธรรมได้ แต่ความจริงที่ได้มันจะไม่เป็นแบบนั้นหรอก

นี่ถ้าทุกวันนี้ผมไม่ได้อยู่เป็นโสดนะ ผมไม่มีเวลามานั่งพิมพ์แบบนี้หรอก ก็ต้องเอาเวลาไปบำรุงบำเรอคู่ เอาสมองไปคิดเรื่องคู่ ดีไม่ดีมีลูก ต้องคิดเรื่องครอบครัวอีก ไม่ใช่แค่คิดนะ ต้องทำด้วย เวลาที่เรามีอิสระในการทำประโยชน์อื่น ๆ มันจะเสียไปหมดเลย มันจะไปเทลงที่คนไม่กี่คนนั่นแหละ แทนที่จะทำประโยชน์ได้เยอะ ๆ มันก็ได้แค่นิดเดียว เพราะชีวิตมันจะลำเอียง เทไปด้านที่ตนหลงชอบ

แล้วผมก็จะเสื่อมไปเรื่อย ๆ ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากผมฟังธรรมจากครูบาอาจารย์แล้ว ท่านก็บอกแล้วว่าอย่าไปมี ไม่มีประโยชน์กับความเจริญเลย ทีนี้ถ้าเราจะฝืนไปทิศตรงข้ามนี่มันนรกเลย มันเข้าใกล้ขีดอนันตริยกรรมได้เลย (อัญญสัตถารุทเทส) คือได้ฟังธรรมที่ถูกแล้ว ได้เจอหมู่คนดีที่ถูกแล้ว เรายังหลีกยังหนีออกไปมีคู่ ไปสู่อธรรม มันจะเสื่อมไปเรื่อย ๆ จะเริ่มตกต่ำ ห่างธรรม ธรรมที่เคยมีก็เสื่อมถอย เวียนกลับ ธรรมที่มีก็จะเริ่มบิดเบี้ยว ฯลฯ สุดท้ายก็ต้องทนทุกข์รับวิบากกรรมไป

เพราะมีคู่มีครอบครัว ก็ใช่ว่าเขาจะปล่อยมาทำดีง่าย ๆ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเสียเวลาดูแลเขา ต้องทำหน้าที่ ต้องรับผิดชอบ ถามว่าทำแล้วดีไหม มันก็ดี เป็นสิ่งดี เป็นมงคล แต่ถ้าไม่ต้องทำมันก็ดีกว่า มันมีดีอย่างอื่นที่ดีกว่าเอาเวลาไปดูแลลูกเมียอีกเยอะ

แล้วกิจกรรมกับหมู่กลุ่มคนดีนี่อย่าไปหวัง ต้องเก็บวันหยุดยาวไปเที่ยวกับครอบครัว ถ้าไม่พาไป เขาก็โกรธ ไม่พอใจอีก แถมค่าใช้จ่ายบานเบอะ เขาไม่ได้ทนลำบากกันได้สักเท่าไหร่หรอก รถนี่ต้องมี แถมบางทีก็ต้องขึ้นเครื่องบิน ยิ่งถ้าร้องจะไปเมืองนอกนี่ยิ่งซวยเข้าไปใหญ่

เอาแล้วไง จะมานั่งพิมพ์บทความได้ที่ไหนล่ะ มันต้องเอาเวลาไปหาเงิน เลี้ยงลูก เลี้ยงเมีย บำเรอให้เขาอิ่มกัน อิ่มวันนี้พรุ่งนี้หิวอีก ก็ต้องทำงานกันไป ทุกข์ก็ต้องทนทำ เบื่อก็ต้องทนทำ เวลาฟังธรรมหรออย่าหวังมาก แค่ต้องมาฟังปัญหาร้อยแปดภายในครอบครัวก็หมดเวลาแล้ว ไหนจะพ่อแม่พี่น้อง ไหนจะญาติมิตรเพื่อนสหาย ปัญหาเยอะไปหมด

ถ้าผมไปมีคู่นะ มีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายไปแล้ว มันพลาดตั้งแต่เราเบือนหน้าหนีธรรมอาจารย์นั่นแหละ ท่านสอนทางพ้นทุกข์ เราไม่ทำตามมันก็ไปทางทุกข์เท่านั้นเอง แล้วจะหวังอะไรกับทางทุกข์ มันคนละทางกับทางพ้นทุกข์ มันยิ่งไปมันยิ่งทุกข์ มันไม่พ้นอยู่แล้ว นั่นหมายถึงผมก็มีโอกาสจะเสียชาตินี้ไปอีกชาติ ถึงจะเก่งก็เก่งขึ้นไม่ได้มากกว่าภาวะคนคู่ เพราะชาตินี้มันสอบตก มันล้างไม่ทัน จะไปเบื่อตอนแก่มันก็ไม่ทัน ผัสสะมันไม่เหมือนเดิม เหตุปัจจัยมันหมดแล้ว มันมีจังหวะเดียวให้ชีวิตผลิกก็แค่ตอนจะตัดสินใจมีหรือไม่มีนั่นแหละ

ส่วนจะหวังบรรลุหรือหลุดพ้นเพราะคบกันนี่ผมบอกเลยว่า ยากกกกกกกก… เพราะกว่าจะถึงเวลานั้น คุณร่วมกันทำบาป ทำตามกิเลสกันมาเท่าไหร่ ทุ่มเทบำเรอกาม บำรุงอัตตากันมาเท่าไหร่ มันมีผลนะ มันบันทึกเป็นกรรมไม่พอ มันยังฝังเป็นอุปาทานด้วย ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วเป็นไปไม่ได้ จะมีเฉพาะบางกรณีพิเศษเท่านั้น ซึ่งก็อย่าไปหวังเลยว่าเราจะเป็นกรณีพ้นได้แบบง่าย ๆ

ขอให้ยินดีในความโสดเถอะครับ อย่างน้อยมันก็ยังทำให้เราได้มีเวลาแบ่งปันศึกษาเรียนรู้ร่วมกัน

มงคลชีวิต กับเรื่องคู่

ว่ากันด้วยเรื่องมงคลชีวิต ต่อจากเรื่องคู่เมื่อโพสก่อน ใครตกไปก็ตามไปอ่านกันก่อนได้

พระพุทธเจ้าตรัสมงคลชีวิตข้อแรกไว้ว่า “ไม่คบคนพาล” ข้อแรกนี่คือตัวกรองหยาบของศาสนาพุทธเลย เพราะในความจริงแล้วคนพาลมีอยู่เต็มโลก ซึ่งท่านก็ตรัสไว้อีกว่าคนที่จะพ้นทุกข์ได้จริง ๆ เมื่อเปรียบเทียบแล้วมีจำนวนเพียงแค่ฝุ่นปลายเล็บเมื่อเทียบกับดินทั้งแผ่นดิน

คนพาลจึงทำหน้าที่อย่างคนพาล คือมีไว้พรากคนโง่ออกจากความผาสุกที่แท้จริงโดยเฉพาะ คนที่คบคนพาล ก็จะพาไปหาผิด เช่น มีคู่ก็บอกว่าดี หรือไปมีคู่ก็จะพบความสุข พบความเจริญ ก็เฉโกกันไปตามความฉลาดของคนพาลที่จะแสดงอธรรมว่าเป็นธรรม

ในประเด็นเรื่องคู่ พระพุทธเจ้าปิดแทบทุกประตู คือไม่ส่งเสริม และคำตรัสของท่านเกี่ยวกับเรื่องคู่ เรื่องความรักก็มีมากมายเช่น ” บัณฑิตพึงประพฤติตนเป็นโสด ” นั่นหมายถึงคนพาลจะพาไปในทิศทางตรงข้าม ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ แต่ปลายทางคือจะไปมีคู่ให้ได้

หรือไม่คนเขาก็มักอ้างเล่ห์ว่า มีรักแต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือมีรักแต่ไม่ทุกข์ ซึ่งเป็นความฉลาดของคนพาลอีกเช่นกันในการสร้างวาทกรรมนำกิเลส เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ดังเช่นว่า มีรัก ๑ ก็ทุกข์ ๑ หรือที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ มันจะหนีทุกข์ไปไม่ได้หรอก ยกเว้นไม่ฉลาดพอที่จะเห็นทุกข์ ซึ่งการจะเห็นทุกข์นี่มันก็ยาก และคนพาลย่อมไม่เห็นทุกข์ โทษ ภัยของการยินดีในการครองคู่อยู่แล้ว

หรืออีกความเห็นที่ได้ยินได้ฟังกันบ่อยคืออยู่เป็นคู่บารมีส่งเสริมกันทำดี อันนี้เนียนสุด ๆ ดูดี ดูขาวสะอาด แต่กลิ่นฉุนพอสมควร เพราะความจริง ลักษณะของการเป็นคู่บารที่ปรากฎในพุทธประวัตินั้น จะพบว่าแทบจะไม่มีความอยากในการครองคู่เลย พระพุทธเจ้าก็ดี พระมหากัสสัปปะก็ดี ท่านก็ไม่อยากมีคู่ แต่พ่อแม่ก็บังคับบ้าง บริบทของสังคมบังคับบ้าง คือสภาพของคู่บารมีนี่มันไม่ต้องผลักดัน ไม่ต้องพยายาม ถึงพยายามจะผลักไสเขาก็จะมาอยู่ดี และที่สำคัญคือจะดำรงสภาพคู่อยู่ก็ต่อเมื่อยังไม่มีคำสอนในศาสนาพุทธเผยแพร่อยู่ ดังเช่นกรณีของพระมหากัสสัปปะ ซึ่งมีเรื่องราวคล้าย ๆ กับพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่อยากแต่งงาน นอนก็เอาดอกไม้กั้น ไม่แตะเนื้อต้องตัวกัน ถึงเวลาบวช ก็แยกกันไปคนละทาง อันนี้คือลักษณะเด่นของสาวกของพระพุทธเจ้าคือ เมื่อพบธรรมะก็จะหูผึ่ง จะไม่เอาแล้วเรื่องคู่ จะวิ่งหาธรรมอย่างเดียว

ส่วนยุคนี้มีธรรมประกาศอยู่ ซึ่งตามที่ยกมาก็ชัดพอแล้ว สูตรเดียวก็ชัดแล้ว คือมีรักก็ต้องทุกข์ ดังนั้นจะไปรักให้มันทุกข์ทำไม แต่คนพาลจะไม่พูดแบบนั้น จะไม่คิดแบบนั้น จะไม่เชื่อแบบนั้น คนพาลจะไม่ดำรงในธรรม แต่จะดำรงอยู่ในกาม จะฝักใฝ่ในเรื่องคู่ สามารถคิดหาเหตุผลล้านแปดในการให้น้ำหนักในการที่ตนหรือผู้อื่นจะยินดีในการมีคู่

เรียกว่ามาสร้างคู่บารมีผิดยุค ยุคนี้มันต้องโสดปฏิบัติธรรมจึงจะเจริญได้ไว ถ้าจะสร้างบารมีกันก็ยุคที่ไม่มีธรรมของพุทธประกาศอยู่ ถ้ามาหลงยุคสร้างบารมีกันในยุคนี้นี่จะเรียกว่าขัดขวางความเจริญกันซะมากกว่า เพราะยังไงก็ขัดกับคำพระพุทธเจ้าชัด ๆ อยู่แล้ว อย่างน้อยก็ไม่เจริญถึงขั้นเป็นบัณฑิตสักที ดังคำกล่าวว่า ” บัณฑิตพึงประพฤติตนเป็นโสด

คนส่วนมากก็จะไปหลงติดกับธรรมของคนพาลกันมาก ยากนาน ยึดยื้อกันอยู่หลายภพหลายชาติ เพราะเชื่อแล้วมันฝัง กลายเป็นอุปาทาน ทีนี้บวกพลิงกิเลสยิ่งยึดใหญ่ เพราะมันชอบเสพไง มันก็หาคำ หาประโยค หาแนวคิด หาวาทกรรมมาให้ได้เสพสมใจได้หมดนั่นแหละ

ต่อมาที่ข้อคบบัณฑิต ข้อนี้เป็นตัวคัดคนเข้าพุทธเลย ว่าจะทำใจได้รึเปล่า บัณฑิตก็คนที่ทำตามคำสอนพระพุทธเจ้านั่นแหละ ไม่ใช่แค่พูดได้นะ แต่ทำได้จริงด้วย แล้วทำได้อย่างยั่งยืน ยาวนาน ไม่เวียนกลับ ไม่แปรเปลี่ยน คงทนถาวรด้วย ไม่ใช่เข้ามาอาศัยศาสนาศึกษา อาศัย สอนไป สอนไปว่าแล้วก็สึกไปมีเมีย อันนี้ไม่ใช่แล้ว บัณฑิตนี้มันก็ต้องคัดหน่อย จะคัดมันก็ต้องใช้ปัญญา ส่วนข้อ 3 บูชาบุคคลที่ควรบูชาจะเป็นตัวย้ำสัมมาทิฏฐิ ส่วนคนโง่ เขาก็บูชาคนพาลอยู่นั่นแหละ สรรเสริญธรรมของคนพาล ยินดีในธรรมของคนพาล ทิศมันจะกลับกัน

นี่ก็พยายามย่นย่อได้เท่านี้ มงคล 38 ก็เอาแค่ 3 ข้อแบบไม่เต็มก็ดูจะยาวมากแล้ว ก็เอาเท่านี้แล้วกันครับ ใครที่อ่านแล้วก็พิจารณาหาประโยชน์กันไป ไม่ต้องเพ่งหาโทษนะ อันนั้นไม่มีประโยชน์อะไร เสียเวลาเปล่า ๆ